เมื่อหลิง อี้หรานลืมตาขึ้น เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอกำลังฝันอยู่ เธอฝันถึงเด็กชายตัวเล็ก ๆ และเด็กหญิงตัวน้อยเธอตกใจตื่นขึ้นมาเมื่อฝันถึงเหตุการณ์ที่เด็กชายล้มลงทันทีที่เธอลืมตาขึ้น ดวงตารูปอัลมอนด์ของเธอก็สบเข้ากับดวงตาคู่หนึ่งที่คุ้นเคย แต่ในตอนนี้ ดวงตาของอี้ จิ่นหลีกลับดูหม่นหมอง“ฝันเหรอ?” เขาถามขึ้น โดยที่น้ำเสียงของเขาฟังดูห่างเหิน“อืม” หลิง อี้หรานพยักหน้าและมองดูนาฬิกาบนผนัง เป็นเวลาตีสองโมงกว่า ๆ “ฉันทำให้คุณตื่นเหรอ?”“เปล่า ผมแค่นอนไม่ค่อยหลับ พี่ฝันถึงอะไร? หน้าพี่ดูซีดมากเลย” เขาพูดหลิง อี้หรานเผยอปากเหมือนจะพูดอะไร แต่เธอกลับนิ่งเงียบ เธอสามารถพูดได้ว่าเธอฝันถึงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ช่วยเด็กชายเอาไว้ และคิดว่าเด็กชายคนนั้นอาจเป็นกู้ ลี่เฉินหรือเปล่า?ปกติเขาก็อ่อนไหวอยู่แล้วที่กู้ ลี่เฉินเข้าใจผิดว่าเธอเป็นคนอื่นและตอนนี้เธอไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมเธอถึงมีความฝันแบบนี้ เป็นเพราะลูกพี่ลูกน้องของเธอได้เล่าให้เธอฟังถึงวิธีการช่วยเหลือกู้ ลี่เฉินหรือเปล่า? แล้วทำไม... เธอถึงฝันอย่างนั้น?แต่ทำไมเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในความฝันถึงดูเหมือนตัวเธอเอง?“ไม่มีอะไร” หลิง อี้หรา
เขาไม่เคยรู้ว่าเขาจะหงุดหงิดได้เพียงเพราะได้ยินคำพูดของเธอ“คุณรู้สึกดีขึ้นหรือยัง?” หลิง อี้หรานถามโดยไม่สนใจว่าอ้อมกอดของเขาจะทำให้เธอรู้สึกเจ็บ ทั้งหมดที่เธอสนใจคือท่าทางที่ผิดปกติของเขาและดูเหมือนว่าอาการสั่นของเขาจะลดลง มันไม่รุนแรงเท่ากับตอนก่อน“ดีขึ้น...” อี้ จิ่นหลีพึมพำโดยที่ยังกอดเธอไว้แน่นเธอทำให้เขารู้สึกกลัว เธอมีอิทธิพลเหนือเขามากกว่าที่เขาคิดหลังจากเวลาผ่านไปนาน อาการสั่นของอี้ จิ่นหลีก็หยุดลงจากนั้นเขาก็ปล่อยมือและพูดกับหลิง อี้หรานว่า “ผมคงทำให้พี่เจ็บตอนที่ผมกอดพี่”“ไม่เป็นไร ไม่เจ็บมากหรอก ฉันทนกับความเจ็บปวดได้สบายอยู่แล้ว” เธอตอบ หลังจากผ่านการทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมในคุก ความเจ็บปวดธรรมดา ๆ ก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับเธอดวงตาของอี้ จิ่นหลีมืดลงราวกับว่าเขาคิดอะไรบางอย่าง “ไม่เป็นไร ตอนนี้ผมโอเคแล้ว”“ว่าแต่ เมื่อกี้คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?” เธอถาม เธอจะรู้สึกไม่สบายใจถ้าเธอไม่รู้เหตุผล“มันคงเป็น…” เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “มันอาจจะเป็นแค่ฝันร้าย ผมตื่นขึ้นมาและร่างกายก็สั่นขึ้นเพราะฝันร้าย”ดวงตาของหลิง อี้หรานเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ พวกเขาทั้ง
เธอกล่อมเขาครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว ฝันร้ายจะไม่มีอีกแล้ว ฉันจะอยู่กับคุณ”‘เธอคิดว่าฉันเป็นเด็กเหรอ?’ เขาคิดในใจดูเหมือนกับว่าความกลัวของเขาจะค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อยพร้อมกับเสียงที่อ่อนโยนของเธอ จากนั้นเขาก็ผล็อยหลับไป‘อยู่กับฉันนะ...’ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่กลัวเมื่อเขาได้อยู่กับเธอแม้แต่อี้ จิ่นหลีเองก็ไม่รู้ตัวว่าเขาจะผล็อยหลับไปในไม่ช้าเมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของเขา หลิง อี้หรานก็หยุดและร้องเรียกออกมาเบา ๆ “จิน?”เขาผล็อยหลับไปและไม่มีเสียงตอบรับกับเธอเธอถอนหายใจอย่างโล่งอก เขากำลังหลับและคิ้วของเขาก็ไม่ขมวดเหมือนตอนแรก เขาดูเหมือนเทวดาที่แสนบริสุทธิ์และสงบนิ่งท่าทางของเขาในตอนนี้ดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากตอนที่เขาต้องเผชิญหน้ากับผู้คนบางทีเขาอาจเป็นเทวดาสำหรับเธอเท่านั้นส่วนความฝันของเด็กชายกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ เธอไม่อยากบอกเขาจนกว่าเธอจะรู้คำตอบที่แท้จริง ไม่อย่างนั้นเธอจะทำให้เขาสงสัยเธออยากรู้ว่าเธอฝันถึงเรื่องนี้เพราะเธอเคยได้ยินจากลูกพี่ลูกน้องพูดถึงเรื่องนี้ตอนเด็ก ๆ หรือเปล่า? เพราะอย่างนั้น เธอจึงสวมบทบาทและฝันถึงมัน หร
ดวงตาของเขาดูเหมือนกำลังจ้องมองคนแปลกหน้า แม้ว่าขณะนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับคนที่เคยช่วยเหลือเขา ‘ตัวสำรอง... ใครคือตัวสำรอง?’ครั้งหนึ่งเขาจินตนาการว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ จะหน้าตาเป็นอย่างไรเมื่อเธอโตขึ้น ผู้หญิงที่เขาตามหาคงรูปร่างแบบที่เขาจินตนาการไว้ไม่มากก็น้อยหลังจากที่เขาได้เห็นหลิง อี้หราน เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้เห็นเด็กหญิงตัวน้อยแต่หลิง อี้หรานไม่ใช่คนที่เขาตามหา ผู้หญิงคนนี้ต่างหาก หวา ลี่ฟางที่ช่วยชีวิตของเขาไว้เขาเคยเห็นรูปถ่ายของหวา ลี่ฟางตอนที่เติบโตขึ้นมาและแน่นอนว่าตอนที่เธออายุแปดหรือเก้าขวบ เธอดูเหมือนกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่เขาจำได้แต่หวา ลี่ฟางในตอนโตกลับดูไม่เหมือนอย่างที่เขาคิดไว้ เธอดูค่อนข้างคล้ายกับหลิง อี้หราน โดยมีคิ้ว ตาและใบหน้าคล้ายกัน แต่เมื่อพวกเธออยู่ด้วยกัน คุณจะไม่มีวันเข้าใจผิดออร่าของพวกเธอแตกต่างกันมาก“ลี่เฉิน?” เสียงของหวา ลี่ฟางดังขึ้นขัดจังหวะอาการเหม่อลอยของกู้ ลี่เฉินกู้ ลี่เฉินดึงสติของตัวเองกลับมา “คุณไม่ใช่ตัวแทนของใคร”“ก็... คุณเคยมองหาตัวสำรองจริง ๆ เหรอ? หวา ลี่ฟางถามขณะที่เธอแสร้งทำเป็นไร้เดียงสา ราวกับว่าเธออยากรู้อยาก
บางทีถ้าเขารู้ความจริง เธออาจจะลงเอยด้วยความทุกข์ยากหวา ลี่ฟางรู้สึกสั่นสะท้าน แต่ตอนนี้เธอก้าวขาลงเรือลำนี้มาแล้ว เธอไม่มีวันหวนกลับเธอจะยึดมั่นในกู้ ลี่เฉิน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตราบใดที่กู้ ลี่เฉินไม่รู้ความจริง เขาก็จะเป็นคนคุ้มครองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอ!...อี้ จิ่นหลีพาหลิง อี้หรานไปที่สถานกักกัน ซึ่งพวกเขาได้พบกับว่าย หยวี่หมิงเขาเป็นชายวัยกลางคนในวัย 40 ปีที่มีรูปร่างอวบเล็กน้อยและมีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย เขาเป็นเพียงคนแปลกหน้าสำหรับเธอแต่คนแปลกหน้าคนนี้กลับทำร้ายเธอ!‘ถ้าไม่ใช่เพราะคนคนนี้ ฉันก็คงไม่ต้องติดคุกถึงสามปี ฉันจะไม่ต้องทนทุกข์ ฉันยังคงเป็นทนายความหญิงที่มีอนาคตสดใสและได้ทำในสิ่งที่ฉันต้องการจะทำไปตลอดชีวิต!’ในตอนแรก หลิง อี้หรานคิดว่าเธอจะไม่สามารถมาพบว่าน หยวี่หมิงได้ก่อนที่ศาลจะอนุมัติ เพราะเขาได้หนีไปต่างประเทศเธอไม่คิดว่าเธอจะได้เห็นชายคนนี้ในสถานกักกันผู้ชายคนนั้นรู้สึกหวาดกลัวเมื่อเขาเห็นหน้าของอี้ จิ่นหลีและหลิง อี้หรานจากนั้นชายคนนั้นก็ยืนขึ้นและคุกเข่าต่อหน้าหลิง อี่หราน “คุณหลิง ผมขอโทษ ผมขอโทษที่ผมใส่ร้ายคุณ ผมผิดไปแล้ว! ผมยินดีที่จะยอมร
ดวงตาของอี้ จิ่นหลีเป็นประกายขณะที่เขาหลุบตาลงต่ำ “บางทีเขาอาจจะรู้สึกแย่หลังจากใส่ร้ายพี่ เขาเดินทางไปต่างประเทศแล้วและถ้าเขาไม่อยากกลับมา เราก็คงจะจับเขาได้ไม่ง่ายขนาดนี้ เขายอมกลับมาเมื่อเขารู้ว่าพวกเรากำลังสอบสวนคดีนี้อีกครั้ง”แน่นอนว่าสิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกไปก็คือว่าน หยวี่หมิงเต็มใจที่จะยอมจำนนเพราะเขาใช้วิธีการมากมายในการบีบบังคับให้ชายคนนั้นทำเช่นนี้“รู้สึกแย่เหรอ?” หลิง อี้หรานถอนหายใจ “เขามาขอโทษเพียงเพราะเขารู้สึกแย่งั้นเหรอ? มันเหมือนกับการฆ่าใครสักคนและขอการอภัยจากเหยื่อ คุณไม่คิดว่ามันไร้สาระเหรอ? ฉันไม่ได้ตายในคุก แต่ถ้าฉันตายในคุก ฉันก็คงไม่ได้มายืนอยู่ต่อหน้าเขาแบบนี้!”คำพูดของเธอบีบหัวใจเขาอย่างแรงและทำให้เขาหายใจลำบาก“ถ้าอย่างนั้น... พี่จะไม่ยกโทษให้เขาใช่ไหม?” อี้ จิ่นหลีพึมพำถาม“ใช่ ฉันจะไม่มีวันให้อภัยผู้ชายที่ทำร้ายฉันขนาดนี้!” หลิง อี้หรานตอบโดยไม่ได้สังเกตุท่าทางที่ผิดปกติของอี้ จิ่นหลีเธออยู่ในความทุกข์ทรมานจากการถูกใส่ร้ายมายาวนาน “เขากล้าดียังไงถึงมาขอให้ฉันยกโทษให้? เขากล้าดียังไง? ถ้าการคุกเข่าและขอโทษคือวิธีแก้ปัญหา แล้วทำไมต้องมาลากกฎหมายมาเก
“คุณอี้ ผม... ผมทำตามที่คุณบอกแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตผมด้วย!” ว่าน หยวี่หมิงพูดออกมาอย่างร้อนรนดวงตาของอี้ จิ่นหลีมืดม่นลง เขาจ้องมองผู้ชายที่อยู่ข้างหน้าเขา ชายคนนี้เป็นหนึ่งในผู้กระทำผิดที่ทำให้อี้หรานต้องมาแบกรับความผิดแทนเขา “ตราบใดที่คุณไม่พูดอะไรออกไป ผมก็ยังจะไม่ทำอะไรคุณ”ว่าน หยวี่หมิงรู้สึกโล่งใจเขาไม่เคยคิดแม้แต่จะมอบตัว นอกจากเขาจะถูกอี้ จิ่นหลีบังคับเท่านั้นแม้ว่าเขาจะอยู่ต่างประเทศ แต่ถ้าอี้ จิ่นหลีต้องการจะตามล่าเขา เขาก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้“ถ้าอย่างนั้น ครอบครัวของผม...” ว่าน หยวี่หมิงพูดอย่างประหม่า“ผมจะไม่แตะต้องครอบครัวของคุณเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าคุณทำอะไรลงไป แต่…” อี้ จิ่นหลีหยุดพูดชั่วคราว ว่าน หยวี่หมิงที่เพิ่งรู้สึกโล่งใจเล็กน้อยกลับรู้สึกประหม่าอีกครั้ง “การกระทำของคุณทำให้ อี้หรานต้องทุกข์ทรมานและคุณต้องชดใช้คืนให้เธอ คุณจะต้องชดใช้คืนเป็นสองเท่า”ว่าน หยวี่หมิงพยายามที่จะพูดปกป้องตัวเอง แต่อี้ จิ่นหลีกลับไม่เว้นช่องว่างให้เขาได้พูดแก้ต่าง “ว่าน หยวี่หมิง ผมจะไว้ชีวิตคุณ คุณควรขอบคุณอี้หรานซะ ที่เธออยากทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่อย่างนั้น คุณคงจ
“ทำไมพี่ถึงอยากมาที่นี่?” อี้ จิ่นหลีถามด้วยน้ำเสียงแหบเล็กน้อย“ตอนเด็ก ๆ ฉันเคยขึ้นมาเล่นบนเนินเขานี้ ถึงผู้ใหญ่จะบอกว่าอันตราย แต่ฉันก็ยังแอบขึ้นไปบนเนินเขา ฉันรู้สึกเหมือนเป็นนักสำรวจ” หลิง อี้หรานพูดในทางกลับกัน หวา ลี่ฟางไม่ชอบมาเล่นที่เนินเขาลูกนี้“เด็กทุกคนก็ทำอย่างนั้น” เขาพูด“ในตอนนั้น ฉันเคยคิดว่าฉันจะได้พบความลับบนเนินเขานี้ เช่น สมบัติ ยานอวกาศของมนุษย์ต่างดาว หรือบางทีฉันอาจจะค้นพบมิติเวลา ไม่ได้ดูไร้สาระใช่ไหม?” หลิง อี้หรานถามบางทีในสายตาของผู้ใหญ่ เนินเขานี้อาจจะไม่ได้ใหญ่มากนัก แม้ว่ามันจะเชื่อมต่อกับภูเขาด้านหลังก็ตาม แต่ในสายตาของเด็ก ๆ มันเหมือนกับโลกอีกใบ“ไม่ น่ารักดีออก แต่ตอนนี้พี่โตขึ้นแล้ว มันก็เป็นแค่เนินเขา มาเถอะ ดึกแล้ว เรารีบกลับไปที่เมืองเฉินกันเถอะ” อี้ จิ่นหลีพูดหลิง อี้หรานพยักหน้า เธอหันกลับไปมองที่เนินเขาอีกครั้งก่อนจะจากไปเธอไม่ได้สังเกตว่าขณะที่เธอหันไปมองที่เนินเขา มือที่อยู่ข้างลำตัวของอี้ จิ่นหลีกำลังกำแน่น นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกแปลก ๆ…ห่าว อี้เหมิงถูกกลุ่มนักข่าวรุมถามคำถามเมื่อเธอออกมาจากการถ่ายละคร“คุณห่าว คุณ