“ทำไมเราถึงมาที่นี่?” หลิง อี้หรานถามด้วยความสงสัยอี้ จิ่นหลีเม้มริมฝีปากบางของเขาเข้าด้วยกันและมองรอดผ่านหน้าต่างรถไปที่วิวเมืองเฉินพ่อของเขาพาเขามาที่นี่เมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่และพูดกับเขาว่า “ลูกรู้อะไรไหม จิน? เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ลูกจะเข้าใจว่าความโดดเดี่ยวมันเป็นยังไง แต่ถ้าลูกไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสงสุด ลูกจะไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้”ดังนั้น ถ้าเขาต้องการที่จะควบคุมโชคชะตาของเขา เขาจะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขาต่อไป!และเมื่อใดก็ตามที่เขาอารมณ์เสีย เขาจะมาที่นี่และมองดูที่เส้นขอบฟ้าที่ตัดกับเมืองเฉิน เขาบอกตัวเองว่าสักวันหนึ่งเขาจะเป็นผู้ควบคุมโชคชะตาของตัวเองนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งที่อี้ กรุ๊ป?ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาคิดว่าเขาสามารถควบคุมโชคชะตาของเขาได้แล้วและจะไม่มีใครผลักเขาลงมาอีกแต่เมื่อเขาขับรถมาที่นี่อีกครั้ง มันทำให้เขาเริ่มคิดว่าเขาเป็นผู้ควบคุมโชคชะตาของเขาจริง ๆ หรือโชคชะตาของเขาอยู่ในมือของคนอื่นกันแน่?บุคคลนั้นสามารถควบคุมอารมณ์ทั้งหมดของเขา ทำให้เขากระวนกระวายใจและแม้กระทั่ง... ทำให้เข
ทำไม... เธอต้องพูดออกไปใช่ไหม?ราวกับว่าเขาพยายามเค้นให้เธอตอบคำถามของเขา“บอกผมสิ ทำไม? บอกผมทีว่าทำไมพี่ถึงจะไม่ตกหลุมรักกู้ ลี่เฉิน” เขาถามเธอซ้ำใบหน้าของหลิง อี้หรานแดงก่ำ ขณะที่เธอตะเบ่งเสียงออกมาว่า “เพราะคุณเป็นคนที่ฉันตกหลุมรักไง ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ระหว่างฉันกับกู้ ลี่เฉิน จิน ฉันไม่อยากให้คุณเข้าใจฉันผิด” ไม่มีอะไรจริง ๆ เหรอ?เขายังจำรูปถ่ายในกล่องจดหมายอีเมลของเขาได้ รูปถ่ายของกู้ ลี่เฉินที่อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนรูปที่... กู้ ลี่เฉินร้องไห้ต่อหน้าเธอภาพถ่ายเหล่านั้นเหมือนกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่ แม้ว่าเขาจะพยายามทำทุกอย่าง แต่เขากลับไม่สามารถทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับกู้ ลี่เฉินได้“ไม่มีอะไรเหรอ? พี่ไม่มีอะไรปิดบังผมอยู่เหรอ?” เขาถามด้วยเสียงพึมพำ“ฉันทำทุกอย่างชัดเจนแล้ว เรื่องระหว่างฉันกับกู้ ลี่เฉิน ไม่มีอะไรทั้งนั้น” เธอคิดว่าเขากำลังถามถึงเหตุการณ์ในวันนี้“ถ้าอย่างนั้น… อี้หราน พี่คลั่งรักผมมากแค่ไหนล่ะ?” ลมหายใจร้อนของเขาปะทะเข้ากับใบหน้าของเธอ ริมฝีปากของทั้งสองเกือบสัมผัสกันความกำกวมชัดเจนมากยิ่งขึ้นใบหน้าของหลิง อี้หรานแดงขึ้นเล็กน้อย เธอ... ควรจะตอบ
หลิง อี้หรานตกตะลึง ‘พิสูจน์? แล้วฉันจะพิสูจน์ได้ยังไง?’เธอมองดูเขาที่กำลังจ้องมาที่เธอ จู่ ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เธอลังเล จากนั้นจึงใช้ความคิดริเริ่มที่จะยกมือขึ้นแล้วโอบรอบคอของอี้ จิ่นหลีเธอก็ยกคางขึ้นเล็กน้อยแล้วประกบจูบเขาที่ริมฝีปากริมฝีปากของเขาเย็นเฉียบและกลิ่นของเขาทำให้เธอมั่นใจ ริมฝีปากของเธอค่อย ๆ กดทับริมฝีปากของเขาแน่นขึ้น การบรรจงจูบต่อเขาเต็มไปด้วยความรัก... มันเป็นข้อพิสูจน์ว่าเธอคลั่งรักเขามากแค่ไหนแต่แค่จูบนั้น ไม่เพียงพอต่อเขาขณะที่เธอกำลังจะถอนจูบออก มือขวาของเขาก็จับเข้าที่ด้านหลังศีรษะของเธอ ริมฝีปากของเขากดลงอย่างแรง เขาเริ่มสอดแทรกลิ้นเข้าไปหยอกล้อกับลิ้นร้อนของเธอ เขาต้องการลิ้มรสความหวานทั้งหมดในปากของเธอเธอตกใจกับการจูบที่รุนแรงของเขา แต่เธอกลับไม่อยากถอนตัวกลับจูบนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะขโมยลมหายใจไปจากเธอ เธอรู้สึกราวกับว่าเธอแทบจะหายใจไม่ออกหลิง อี้หรานอยากจะถอนตัวออกมา แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอเมื่อเธอถอนตัวออกเล็กน้อย เราก็ก้มลงจูบเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับอ่อนโยนกว่าครั้งแรกเธอรู้สึกเจ็บที่ริมฝีปากและ
เธอตกใจกับความคิดที่อันตรายของเขาความปรารถนาในดวงตาของเขาเหมือนกำลังกลืนกินเธอทั้งตัวเขายังคงไล่จูบผิวหนังของเธอ เรียวนิ้วยาวของเขาขยับไปมาทั่วร่างกายเธอ เธอรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังเสียการทรงตัว“จิน... จิน... อย่า... อย่าทำแบบนี้...” หลิง อี้หรานพูดตะกุกตะกักขณะที่เธอพยายามจะหยุดการกระทำของเขาแต่เธอกลับไม่สามารถทำอะไรได้เขาฉีกชุดลายดอกไม้ของเธอจนขาดออกจากกัน จากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้นเพื่อมองลงมาที่เธอและถอดเสื้อแจ็กเก็ตออก...หลิง อี้หรานตัวสั่น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาคงจะ...ไม่ เธอไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้!ตอนนี้เมื่อเขาดูแตกต่างไปจากปกติ เขาเอาแต่อยากให้เธอพิสูจน์อะไรบางอย่างเธอเริ่มดิ้นรนเมื่อเห็นว่าเขาถอดเสื้อออกไป “ฉันไม่ได้ต้องการพิสูจน์ด้วยวิธีนี้ จิน การทำแบบนี้... มันพิสูจน์อะไรไม่ได้เลย”“พิสูจน์อะไรไม่ได้เหรอ?” เขาถามด้วยเสียงพึมพำ “พี่ต้องการผมใช่ไหม? พี่ปรารถนาในตัวผม และพี่ก็รักผม!”“ใช่ ฉันรักคุณ ฉันรักคุณแม้ว่าเราจะไม่ได้มีอะไรกัน แต่ถ้าฉันไม่ได้รักคุณ ต่อให้พวกเราทำแบบนี้ ฉันก็จะไม่รักคุณ และการกระทำแบบนี้คงไม่มีอะไรไปมากกว่าความสัมพันธ์ทางกาย” หลิง อ
เธอเคยพูดว่า “เรียกฉันว่าพี่สิ”เธอถือว่าเขาเป็นครอบครัวตั้งแต่ตอนนั้นเธอมักจะเรียกเขาว่า “จิน จิน...”การที่เธอเรียกเขาว่าจินเป็นคำพูดที่อ่อนโยนที่สุด ทำให้เขาเสพติดเธอ เขาอยากได้ยินเธอเรียกเขาแบบนั้นไปตลอดชีวิต“จิน... จิน...” เธอเรียกเขาอีกครั้ง... ทำไมเสียงร้องของเธอเหมือนเสียงสะอื้นล่ะ?เธอ... ร้องไห้?อี้ จิ่นหลีค่อย ๆ ดึงสติของตัวเองกลับมา เขาเห็นใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของหลิง อี้หรานเธอ… กำลังร้องไห้เหรอ?เขาทำร้ายเธอเหรอ? ใช่ เขาต้องการให้เธอพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเธอคลั่งรักเขาแค่ไหนและเธอต้องการเขามากขนาดไหนเขาถึงพาเธอขับรถมาที่นี่ตอนนี้ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา ผิวขาวเนียนเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำและดวงตาของเธอดูหวาดกลัวเขา... ทำให้เธอกลัวหรือเปล่า?ทั้งหมดเป็นเพราะกู้ ลี่เฉินที่เขาไม่มีความเป็นตัวเอง!“พี่กลัวผมเหรอ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาร่างกายของเธอสั่นเทา กลัวอย่างนั้นเหรอ? ใช่ เธอกลัว ไม่ว่าเธอจะร้องไห้และดิ้นรนอย่างไร ทั้งหมดกลับดูไร้ประโยชน์เธอรู้สึกว่าไม่คุ้นเคยกับเขาเลยสักนิดเธอมองออกไปด้านนอกแล้วเห็นแต่ความมืดมิด มีเพียงลมหนาวที่พัดผ่าน ตอนนี้เธอ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็พูดขึ้น “ถ้าคุณคิดที่จะทำแบบนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าฉันรักคุณมากแค่ไหน ก็... ก็ทำเลย”เธอเต็มใจทำมันแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการทำ ไม่สำคัญว่าจะมีใครจับพวกเขาในขณะที่ทำกิจกรรมที่น่าอับอายหรือไม่เธอเพียงต้องการบรรเทาความอ่อนแอของเขาและอยากดูแลเขาให้ดีเขามองคนตรงหน้าอย่างเฉยเมย น้ำเสียงของเธอช่างคุ้นเคย แต่กลับไม่คุ้นหูของเขา‘เธอกำลังพูดถึงอะไร? เธอกำลังบอกว่าเธอเต็มใจเหรอ?’แม้ว่าร่างกายของเธอจะสั่นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าเธอจะกลัว แต่เพราะเห็นแก่เขา... เธอกลับเต็มใจราวกับว่ามีบางอย่างกระแทกเข้ามาในหัวใจของเขา เขารู้สึกหวานอมขมกลืน แต่... มันกลับบรรเทาอาการกระสับกระส่ายของเขาแม้แต่ร่างกายที่เย็นชาของเขากลับรู้สึกอบอุ่นขึ้น...นี่คืออี้หราน ผู้หญิงที่เขารัก...หลังจากนั้นไม่นาน อี้ จิ่นหลีถอนหายใจและหยิบแจ็คเก็ตที่ถูกโยนทิ้งไปมาปกปิดร่างกายหลิง อี้หราน เขาปกปิดผิวหนังที่เปลือยเปล่าของเธอที่เผยให้เห็นจากชุดที่ขาด“ผมขอโทษ... ผมขาดสติไป” เขาพึมพำและเอื้อมมือไปกอดเธอเขาเกือบจะทำแบบนั้นกับเธอในรถแล้ว!ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงของเธอที่ดึงสติของเขากลับมา บางทีเขา
“ฉัน... ฉันทำเองได้” เธอหน้าแดงเขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วส่งเสื้อผ้าให้เธอ พร้อมกับหันหลังกลับหลิง อี้หรานที่กำลังหน้าแดงอยู่รีบสวมเสื้อผ้า เธอไม่ได้สังเกตว่าอี้ จิ่นหลีที่หันหลังให้กับเธอกำลังกำมือแน่นเขากำลังรู้สึกตื่นเต้นกับการที่ได้รับรู้ว่าเธอกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่แม้ว่าเขาจะระงับความปรารถนาภายในรถได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความปรารถนานั้นจะหายไปบางทีอาจเป็นเพราะกู้ ลี่เฉินที่ทำให้เขาต้องการเธอมากกว่าปกติแต่เขาไม่อยากทำให้เธอกลัว เขาไม่อยากให้เธอมองเขาด้วยความกลัวและตื่นตระหนก เขาไม่ต้องการเสียสติให้ความปรารถนาและทำร้ายเธออย่างควบคุมไม่ได้ดังนั้นเขาจึงระงับแรงกระตุ้นและความปรารถนานี้ไว้เมื่อหลิง อี้หรานเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เขาก็หันกลับมาชุดลายดอกไม้ขาดกองอยู่บนพื้น ในขณะที่เธอสวมชุดยาวสีเหลือง อี้ จิ่นหลีก้มลงหยิบมันขึ้นมาแล้วพูดว่า “ผมจะซื้อชุดอื่นให้พี่ทีหลัง”“ไม่ล่ะ ขอบคุณ” เธอรีบบอก “ฉันใส่ชุดนี้แทนเสื้อที่เปื้อนน้ำชา คุณซื้อเสื้อผ้าให้ฉันเยอะแล้ว ไม่จำเป็นต้องซื้ออีก”“ถ้าอย่างนั้นผมจะบอกให้คนรับใช้ทิ้งชุดนี้” เขาพูดและกำลังจะเรียกคนใช้ แต่เธอกลับคว้า
ณ ห้องทำงาน ภาพถ่ายที่กู้ ลี่เฉินกอดหลิง อี้หรานไว้ในอ้อมแขนปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ดวงตาเฉียบคมของอี้ จิ่นหลีจับจ้องภาพถ่ายด้วยท่าทีนิ่งเฉยเขาไม่ได้ถามเธอว่าทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องในวันนั้น ทำไมกู้ ลี่เฉินถึงกอดและร้องไห้ต่อหน้าเธอ?บางทีเขาอาจจะกลัวว่าคำตอบที่เขาไม่ได้อยากได้ยินอี้ จิ่นหลียิ้มเยาะตัวเอง เมื่อไหร่กันที่เขาขี้ขลาดเช่นนี้?เช่นเดียวกับวันนี้ เมื่อเขาก้าวเข้าไปในร้านเสื้อผ้าและเห็นกู้ ลี่เฉินกอดอี้หรานอยู่ ร่างกายของเขาก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้เขาไม่อยากให้กู้ ลี่เฉินจำอี้หรานได้เขารู้จักกู้ ลี่เฉินมานานและรู้เขาเป็นคนดื้อรั้นขนาดไหน เมื่อไหร่ก็ตามที่กู้ ลี่เฉินพูดถึงผู้หญิงที่เขาตามหา เขาจะยืนกรานถึงผู้หญิงคนนั้นจนน่ารำคาญ!เขารู้สึกกลัวเพราะเขาห่วงใย“จิน ในอนาคต ถ้าลูกยิ่งห่วงใยใครสักคนมากเท่าไหร่ ลูกก็จะยิ่งขี้ขลาดมากขึ้นเท่านั้น” เสียงของพ่อดังก้องอยู่ในหูของเขา“ขี้ขลาด?” ในตอนนั้นเขาไม่เคยเข้าใจคำพูดของพ่อ“ใช่ ลูกจะขี้ขลาดและกลัวการสูญเสีย นั่นเรียกว่าจุดอ่อน” พ่อพูดพลางกับเอามือใหญ่ลูบหัวของเขา “แต่ชีวิตกลับค่อนข้างน่าเบื่อ ถ้า