เขาเคยสงสัยว่าเธอจะงดงามขนาดไหนเมื่อสวมชุดที่เขาซื้อให้อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยรู้สึกตกตะลึงขนาดนี้มาก่อน ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาสวมชุดเดรสธรรมดาราคาถูก เธอเดินช้า ๆ ไปที่กระจกแล้วมองดู การกระทำง่าย ๆ นี้ทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำหลิง อี้หรานยืนอยู่หน้ากระจกมองดูชุดที่เธอกำลังใส่อยู่ เธอชอบชุดเดรสชุดนี้มากเพราะมันดูเหมือนชุดเดรสลายดอกไม้ที่คุณยายของเธอซื้อให้เธอเมื่อตอนที่เธอยังเป็นเด็กน่าเสียดายที่ชุดเดรสลายดอกไม้นั้นขาดและถูกโยนทิ้งตอนนั้นเธอยังร้องไห้เพราะมันด้วยซ้ำ!โชคดีที่ชุดค่อนข้างยาว ทำให้เธอไม่ต้องกังวลว่าจะกระโปรงจะเปิดตอนเธอขี่จักรยาทไฟฟ้า นอกจากนั้น ชุดเดรสนี้ก็ไม่แพง เพียง 280 ดอลลาร์เท่านั้น เธอสามารถต่อราคาในร้านค้าแบบนี้ได้ ทำให้ราคาถูกลงไปอีก“เป็นไงคะคุณผู้หญิง? ชอบไหมชุดนี้ไหมคะ?” เจ้าของร้านถามขึ้น“ก็ชอบค่ะ แต่คุณช่วยลดราคาอีกหน่อยได้ไหมคะ?” หลิง อี้หรานถาม“อืม... เราขายในราคาที่ถูกที่สุดแล้ว และราคา...” ก่อนที่เจ้าของร้านจะพูดจบ เธอกลับหยุดพูดกะทันหันขณะที่เธอจ้องไปข้างหลังหลิง อี้หรานอย่างว่างเปล่าหลิง อี้หรานตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะรู้ว่าเกิดอะไร
เขากอดเธอแน่นจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก“ฉันไม่... ไม่...” เธอพูดออกมาอย่างลำบากหลิง อี้หรานคิดว่าเธอจะเป็นลมเพราะขาดอากาศหายใจ ทันใดนั้น แรงกระชากก็ดึงเธอออกมาจากอ้อมแขนของกู้ ลี่เฉิน จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงหมัด ตามมาด้วยเสียงของหนักตกลงมา เก้าอี้และชั้นวางของก็พังลงมาหลิง อี้หรานสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้น สิ่งที่เธอเห็นคือใบหน้าของอี้ จิ่นหลีเขาดึงเธอออกจากอ้อมแขนของกู้ ลี่เฉิน! หลิง อี้หรานจ้องไปที่อี้ จิ่นหลีที่ยืนอยู่ข้างเธออย่างว่างเปล่า เธอสงสัยว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่ใบหน้าเย็นชาของอี้ จิ่นหลีจ้องมองกู้ ลี่เฉินที่เพิ่งถูกชกลงไปกองกับพื้นกู้ ลี่เฉินลุกขึ้นมาเอนตัวพิงที่ชั้นวางของ เขาถูกรายล้อมไปด้วยชั้นวางของที่ล้มลงมาริมฝีปากของเขามีเลือดไหลออกมา“นายรู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่?” อี้ จิ่นหลีถามออกไปด้วยใบหน้าที่น่ากลัว น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบราวกับลมเหน็บ และเสียงของเขาทำให้คนทั่วไปสั่นสะท้านกู้ ลี่เฉินจ้องมองอี้ จิ่นหลีด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ฉันรู้”“นายรู้? แต่ก็ยังจะทำ นายอยากให้ตระกูลกู้มีปัญหากับตระกูลอี้ใช่ไหม ลี่เฉิน?” อี้ จิ่นหลีกล่าวอย่างประชดประชันกู้ ลี่เฉินเ
ร่างกายของเขาสั่นสะท้านขึ้นอีกครั้ง เขาหันมามองเธอด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย นัยน์ตาของเขาดูมืดมนแต่มันกลับเต็มไปด้วยความรักที่เธอไม่วันเข้าใจ“ให้ฉันคุยกับเขาเถอะ จิน” เธอพูดและจับมือเขาแน่นราวกับจะปลอบโยนเขาอี้ จิ่นหลี้มองเธอโดยไม่ขยับไปไหน ริมฝีปากบางของเขาเม้มเข้าหากันแน่น เขากำลังลังเล เขาลังเลเพราะเขาไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรหลิง อี้หรานก้าวไปข้างหน้าและเดินผ่านอี้ จิ่นหลีไปเธอมองไปที่กู้ ลี่เฉินที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว “ฉันไม่ใช่คนที่คุณกำลังตามหาหรอก ฉันไม่รู้สึกประทับใจกับสิ่งที่คุณเพิ่งพูดไปสักนิด ฉันคิดว่าคุณกำลังเข้าใจผิดว่าฉันเป็นคนอื่น!”ดวงตาของอี้ จิ่นหลีเป็นประกายในขณะที่เธอพูด ในขณะที่กู้ ลี่เฉินดูไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้ เธอ... ลืมไปแล้วเหรอ? หรือเพราะมันนานมาแล้ว?”“ฉันเป็นคนความจำดีนะคะ แต่ฉันจำอะไรที่คุณเพิ่งพูดไปไม่ได้เลย ถ้าฉันดูเหมือนเด็กผู้หญิงที่คุณจำได้จริง ๆ และถ้าชุดที่ฉันเลือกวันนี้ดูคล้ายกัน ฉันคงบอกได้แค่ว่า มันคงเป็นเรื่องบังเอิญทั้งหมด” หลิง อี้หรานกล่าวกู้ ลี่เฉินเม้มริมฝีปากขณะดวงตาฟีนิกซ์ของเขาจ้องมองตรงมาที่หลิง อี้หรานหลิง อี้หร
อี้ จิ่นหลีไม่ได้พูดอะไร เขานิ่งเงียบและขับรถต่อไปเขาไม่รู้ว่าเขากำลังกลัวอะไร เขากลัวกู้ ลี่เฉินรู้ว่าอี้หรานเป็นคนที่เขากำลังตามหาหรือกลัวว่า อี้หรานจะมีความรู้สึกดี ๆ ต่อกู้ ลี่เฉิน?ไม่ กู้ ลี่เฉิน… จะไม่มีทางรู้ความจริง เพราะเขาได้ดัดแปลงหลักฐานไว้หมดแล้วอี้หราน... ดูเหมือนจะจำเหตุการณ์ในปีนั้นไม่ได้จริง ๆ หลังจากตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว เขาได้รู้ว่าอี้หรานล้มป่วยหลังจากพบกู้ ลี่เฉินเพียงไม่กี่วัน เธอถูกส่งกลับมาที่เมืองเฉินด้วยไข้สูงอาจเป็นเพราะอาการป่วยในครั้งนั้น ทำให้เธอจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้แม้ว่าเขา... จะเตรียมพร้อมรับมือแล้ว แต่ทำไมเขาถึงยังกระสับกระส่ายอยู่?เพราะทุกอย่างล้วนมีข้อยกเว้น บางสิ่งอาจจะเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้ก็ได้เช่นเดียวกับภาพที่เขาเห็นกู้ ลี่เฉินกอดเธอไว้ขณะร้องไห้ ตอนนั้นเธอคิดอะไรอยู่? ทำไมเธอถึงไม่เคยบอกอะไรกับเขาเลย?เธอพยายามปิดบังอะไร?“จิน คุณกำลังขับรถไปไหน? ฉันต้องกลับไปที่ร้านอาหารตอนบ่ายเพื่อไปส่งอาหาร” หลิง อี้หรานกล่าวแต่ดูเหมือนว่าอี้ จิ่นหลีจะไม่ได้ฟังที่เธอพูดหลิง อี้หรานกัดริมฝีปากของเธอ จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาโจ
“ทำไมเราถึงมาที่นี่?” หลิง อี้หรานถามด้วยความสงสัยอี้ จิ่นหลีเม้มริมฝีปากบางของเขาเข้าด้วยกันและมองรอดผ่านหน้าต่างรถไปที่วิวเมืองเฉินพ่อของเขาพาเขามาที่นี่เมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่และพูดกับเขาว่า “ลูกรู้อะไรไหม จิน? เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด ลูกจะเข้าใจว่าความโดดเดี่ยวมันเป็นยังไง แต่ถ้าลูกไม่ได้ยืนอยู่บนจุดสงสุด ลูกจะไม่สามารถแม้แต่จะควบคุมโชคชะตาของตัวเองได้”ดังนั้น ถ้าเขาต้องการที่จะควบคุมโชคชะตาของเขา เขาจะต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขาต่อไป!และเมื่อใดก็ตามที่เขาอารมณ์เสีย เขาจะมาที่นี่และมองดูที่เส้นขอบฟ้าที่ตัดกับเมืองเฉิน เขาบอกตัวเองว่าสักวันหนึ่งเขาจะเป็นผู้ควบคุมโชคชะตาของตัวเองนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้มาที่นี่ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งที่อี้ กรุ๊ป?ย้อนกลับไปในตอนนั้น เขาคิดว่าเขาสามารถควบคุมโชคชะตาของเขาได้แล้วและจะไม่มีใครผลักเขาลงมาอีกแต่เมื่อเขาขับรถมาที่นี่อีกครั้ง มันทำให้เขาเริ่มคิดว่าเขาเป็นผู้ควบคุมโชคชะตาของเขาจริง ๆ หรือโชคชะตาของเขาอยู่ในมือของคนอื่นกันแน่?บุคคลนั้นสามารถควบคุมอารมณ์ทั้งหมดของเขา ทำให้เขากระวนกระวายใจและแม้กระทั่ง... ทำให้เข
ทำไม... เธอต้องพูดออกไปใช่ไหม?ราวกับว่าเขาพยายามเค้นให้เธอตอบคำถามของเขา“บอกผมสิ ทำไม? บอกผมทีว่าทำไมพี่ถึงจะไม่ตกหลุมรักกู้ ลี่เฉิน” เขาถามเธอซ้ำใบหน้าของหลิง อี้หรานแดงก่ำ ขณะที่เธอตะเบ่งเสียงออกมาว่า “เพราะคุณเป็นคนที่ฉันตกหลุมรักไง ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ระหว่างฉันกับกู้ ลี่เฉิน จิน ฉันไม่อยากให้คุณเข้าใจฉันผิด” ไม่มีอะไรจริง ๆ เหรอ?เขายังจำรูปถ่ายในกล่องจดหมายอีเมลของเขาได้ รูปถ่ายของกู้ ลี่เฉินที่อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนรูปที่... กู้ ลี่เฉินร้องไห้ต่อหน้าเธอภาพถ่ายเหล่านั้นเหมือนกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่ แม้ว่าเขาจะพยายามทำทุกอย่าง แต่เขากลับไม่สามารถทำลายสายสัมพันธ์ระหว่างเธอกับกู้ ลี่เฉินได้“ไม่มีอะไรเหรอ? พี่ไม่มีอะไรปิดบังผมอยู่เหรอ?” เขาถามด้วยเสียงพึมพำ“ฉันทำทุกอย่างชัดเจนแล้ว เรื่องระหว่างฉันกับกู้ ลี่เฉิน ไม่มีอะไรทั้งนั้น” เธอคิดว่าเขากำลังถามถึงเหตุการณ์ในวันนี้“ถ้าอย่างนั้น… อี้หราน พี่คลั่งรักผมมากแค่ไหนล่ะ?” ลมหายใจร้อนของเขาปะทะเข้ากับใบหน้าของเธอ ริมฝีปากของทั้งสองเกือบสัมผัสกันความกำกวมชัดเจนมากยิ่งขึ้นใบหน้าของหลิง อี้หรานแดงขึ้นเล็กน้อย เธอ... ควรจะตอบ
หลิง อี้หรานตกตะลึง ‘พิสูจน์? แล้วฉันจะพิสูจน์ได้ยังไง?’เธอมองดูเขาที่กำลังจ้องมาที่เธอ จู่ ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ เธอลังเล จากนั้นจึงใช้ความคิดริเริ่มที่จะยกมือขึ้นแล้วโอบรอบคอของอี้ จิ่นหลีเธอก็ยกคางขึ้นเล็กน้อยแล้วประกบจูบเขาที่ริมฝีปากริมฝีปากของเขาเย็นเฉียบและกลิ่นของเขาทำให้เธอมั่นใจ ริมฝีปากของเธอค่อย ๆ กดทับริมฝีปากของเขาแน่นขึ้น การบรรจงจูบต่อเขาเต็มไปด้วยความรัก... มันเป็นข้อพิสูจน์ว่าเธอคลั่งรักเขามากแค่ไหนแต่แค่จูบนั้น ไม่เพียงพอต่อเขาขณะที่เธอกำลังจะถอนจูบออก มือขวาของเขาก็จับเข้าที่ด้านหลังศีรษะของเธอ ริมฝีปากของเขากดลงอย่างแรง เขาเริ่มสอดแทรกลิ้นเข้าไปหยอกล้อกับลิ้นร้อนของเธอ เขาต้องการลิ้มรสความหวานทั้งหมดในปากของเธอเธอตกใจกับการจูบที่รุนแรงของเขา แต่เธอกลับไม่อยากถอนตัวกลับจูบนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ดูเหมือนว่าเขาต้องการจะขโมยลมหายใจไปจากเธอ เธอรู้สึกราวกับว่าเธอแทบจะหายใจไม่ออกหลิง อี้หรานอยากจะถอนตัวออกมา แต่เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอเมื่อเธอถอนตัวออกเล็กน้อย เราก็ก้มลงจูบเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับอ่อนโยนกว่าครั้งแรกเธอรู้สึกเจ็บที่ริมฝีปากและ
เธอตกใจกับความคิดที่อันตรายของเขาความปรารถนาในดวงตาของเขาเหมือนกำลังกลืนกินเธอทั้งตัวเขายังคงไล่จูบผิวหนังของเธอ เรียวนิ้วยาวของเขาขยับไปมาทั่วร่างกายเธอ เธอรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังเสียการทรงตัว“จิน... จิน... อย่า... อย่าทำแบบนี้...” หลิง อี้หรานพูดตะกุกตะกักขณะที่เธอพยายามจะหยุดการกระทำของเขาแต่เธอกลับไม่สามารถทำอะไรได้เขาฉีกชุดลายดอกไม้ของเธอจนขาดออกจากกัน จากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้นเพื่อมองลงมาที่เธอและถอดเสื้อแจ็กเก็ตออก...หลิง อี้หรานตัวสั่น ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาคงจะ...ไม่ เธอไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้!ตอนนี้เมื่อเขาดูแตกต่างไปจากปกติ เขาเอาแต่อยากให้เธอพิสูจน์อะไรบางอย่างเธอเริ่มดิ้นรนเมื่อเห็นว่าเขาถอดเสื้อออกไป “ฉันไม่ได้ต้องการพิสูจน์ด้วยวิธีนี้ จิน การทำแบบนี้... มันพิสูจน์อะไรไม่ได้เลย”“พิสูจน์อะไรไม่ได้เหรอ?” เขาถามด้วยเสียงพึมพำ “พี่ต้องการผมใช่ไหม? พี่ปรารถนาในตัวผม และพี่ก็รักผม!”“ใช่ ฉันรักคุณ ฉันรักคุณแม้ว่าเราจะไม่ได้มีอะไรกัน แต่ถ้าฉันไม่ได้รักคุณ ต่อให้พวกเราทำแบบนี้ ฉันก็จะไม่รักคุณ และการกระทำแบบนี้คงไม่มีอะไรไปมากกว่าความสัมพันธ์ทางกาย” หลิง อ
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค