“คุณจะให้ฉันทำอะไรก็ได้ที่คุณต้องการ” เธอตอบ ท้ายที่สุดแล้ว เธอมีเงินจำนวนจำกัด และก็มีแค่ชีวิตเดียวของเธอนี่แหละที่จะให้ได้ “ตกลง” เขาตอบ เธอผงะไปชั่วขณะ ‘เขาแค่... ตกลงตามคำขอของฉันใช่ไหม? เขาเป็นคนค่อนข้างง่ายจัง’ “มือของพี่เป็นอย่างไรบ้าง? มันยังร้อนอยู่ไหม” สายตาของเขาเปลี่ยนไปมองที่มือของเธอที่ยังอยู่ในน้ำเย็น ๆ “ตอนนี้ไม่ค่อยเจ็บแล้ว ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในน้ำเย็นสักพักหนึ่ง ฉันคิดว่าเดี๋ยวมันก็น่าจะดีขึ้น” เธอตอบ จากนั้นเขาก็ปิดก๊อกน้ำและหยิบผ้าเช็ดหน้าที่เขาพกติดตัวมาเพื่อเช็ดมือเธอให้แห้ง “ที่บ้านของคุณมีครีมทาไหม? มันยังดูค่อนข้างบวมอยู่ถ้าจะให้ดีคุณควรทาครีมบาง ๆ นะ” “โอ้ เรามี” “ไปเอามาเดี๋ยวนี้เลย” ชิน เหลียนอี วิ่งไปที่ห้องของเธอเพื่อไปเอาครีมทาสำหรับผิวไหม้ เมื่อเธอถือครีมเธอก็นึกขึ้นได้ ‘ทำไมฉันถึงเชื่อฟังเขาแบบนี้ล่ะ?’ อย่างไรก็ตาม นั่นยังคงเป็นเพียงแค่ความคิด เธอก็ยังคงต้องเอาครีมและออกจากห้องของเธอ เมื่อเธอก้าวออกไปเธอก็เห็นไป๋ ทิงซิน คุยกับพ่อแม่ของเธอในห้องนั่งเล่น เมื่อเธอเข้ามาใกล้ ๆ เธอก็ได้ยินแม่พูดว่า “โอ้ เป็นอย่างนั้นเองเหรอ เหลียนอีส่งคุณ
“ผมมีพี่น้องคนละแม่ที่มีพ่อคนเดียวกัน พ่อของผมมีผู้หญิงค่อนข้างหลายคน เขาจึงมีลูกเพิ่มครับ” คุณชินและคุณนายชิน ไม่คิดว่าจะได้คำตอบแบบนี้ ดังนั้นบรรยากาศเลยค่อนข้างตึงเครียด พวกเขาไม่รู้จะพูดอะไรกันต่ออย่างไง ชิน เหลียนอี จึงกล่าวขึ้นทันทีโดยไม่ได้คิดอะไรว่า “แม่คะพ่อคะ นั้นมันเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อน พ่อแม่เขาก็คือพ่อแม่เขา ส่วนเขาก็คือตัวเขาเอง” ไป๋ ทิงชิน ค่อนข้างประหลาดใจกับชิน เหลียนอี ในขณะที่เขามองเธอด้วยความรู้สึกอบอุ่นที่แม้แต่เขาก็ไม่เคยคิดได้แบบนี้มาก่อน คุณชินตอบกลับก่อนและยอมรับ “อันที่จริง เรื่องพวกนี้มันเป็นเรื่องของคนรุ่นก่อน ดังนั้น... ทิงชินง ตอนนี้คุณทำงานอะไร?” “ผมบริหารจัดการบริษัทเป็นหลักครับ” ไป๋ ทิงชิน ตอบ “บริหารจัดการบริษัทเหรอ?” คุณชินมองไปที่เขาด้วยความไม่เชื่อ เขาคิดว่าบางทีเขาอาจจะได้ยินผิด “คุณบริหารบริษัทอะไร? คุณอายุแค่ 29 ปีเอง” สำหรับคุณชินถือว่าก็พอดี หากผู้ชายอายุ 29 ปี จะสามารถรับตำแหน่งผู้จัดการได้ตามปกติ แต่สำหรับการจัดการบริษัท เขายังมองว่ามันค่อนข้างไม่น่าเป็นไปได้ “ผมไม่แน่ใจว่าคุณเคยได้ยินชื่อ ไป๋ เฟิง กรุ๊ป ไหมครับ?” คุณชิน
”เป็นอย่างนั้นเหรอ?” เขาจี้เข้าไป ขณะที่มองไปที่หน้าของเธอที่ค่อย ๆ พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างมีความหมาย ดิ๊ง! ลิฟต์มาถึงชั้นหนึ่ง พวกเขาเดินไปยังที่จอดของรถไป๋ ทิงชิน ชิน เหลียนอี รีบที่จะบอกลาเขา “นั่นคือทั้งหมดสำหรับวันนี้ ลาก่อน บ๊ายบาย” เธอรีบหันกลับไปทันที อย่างไรก็ตาม ไป๋ ทิงชิน ก็เอื้อมมือไปจับแขนของเธอก่อนที่จะดึงเธอเข้ามาสู่อ้อมกอดของเขา “อ้า!” ชิน เหลียนอี ร้องตะโกนเบา ๆ ขณะที่จมูกของเธอชนเข้ากับหน้าอกของไป๋ ทิงชิน ‘มันเจ็บนะ!’ ชิน เหลียนอี ลูบที่จมูกของเธอ จมูกของเธอเคยได้รับความบาดเจ็บที่คล้าย ๆ กันหลาย ๆ ครั้งในอดีต แม้ว่าจมูกของเธอจะทำมาจากเหล็ก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทนต่อความเจ็บปวดได้มากขนาดนั้น ไป๋ ทิงชิน ก้มลงและนำริมฝีปากของเขาเข้ามาใกล้หูของเธอขณะที่เขากระซิบ “คุณจะไม่ได้พูดแบบนั้นตราบใดที่ผมยังปิดปากเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงแรม คุณจะเห็นด้วยกับคำของผมไหม?” หูของ ชิน เหลียนอี ถูกระตุ้นด้วยลมหายใจของไป๋ ทิงชิน เธอรู้สึกว่าร่างกายของเธอค่อย ๆ เริ่มร้อนขึ้น “คุณมีอะไรจะขอบ้าง?” ชิน เหลียนอี เลียริมฝีปากที่ค่อนข้างจะแห้งของเธอ “ผมอยากให้คุณจูบผมและบอ
เมื่อ หลิง อี้หราน ทำงานที่ร้านอาหารเสร็จแล้วเธอก็พูดกับโจว เชียนหยุน เจ้านายสาวของเธอว่า “พี่โจวคะ พรุ่งนี้ฉันขอลาหยุดได้ไหมคะ ฉันต้องไปเยี่ยมหลุมศพของแม่และสักการะ” แม้ว่าวันต่อมาจะเป็นวันเช็งเม้งซึ่งเป็นวันหยุดประจำชาติ และวันหยุดก็มักหมายความว่าร้านอาหารลูกค้าก็จะเต็มร้าน โดยปกติแล้วพนักงานร้านอาหารมักไม่อนุญาตให้ลาในวันหยุดนักขัตฤกษ์ โจว เชียนหยุน ค่อนข้างตกใจที่แม่ของหลิง อี้หราน จากไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงกล่าวว่า “ได้สิ ไม่มีปัญหาว่าเธอจะไปในช่วงบ่าย ฉันจะบอกให้ห้องครัวเตรียมอาหารไว้สองสามอย่างให้เธอเอาไปไหว้ที่หลุมศพนะ” “ขอบคุณค่ะ แต่ไม่เป็นไร ฉันเตรียมพวกนั้นเองค่ะ” หลิง อี้หราน ต้องการทำอาหารให้แม่ของเธอด้วยตัวเอง ตอนที่แม่ของหลิง อี้หราน ยังมีชีวิตอยู่เธอยังเด็ก ตอนนี้ หลิง อี้หราน โตเป็นผู้ใหญ่และรู้วิธีทำอาหารแล้วเธอจึงอยากแสดงฝีมือให้แม่ของเธอได้เห็น “งั้นตอนนี้ฉันกลับบ้านก่อนนะคะ” หลิง อี้หรานกล่าว “ได้จ้า” โจว เชียนหยุน ดูเหมือนจะมีบางอย่างที่เธออยากจะพูด แต่สุดท้ายเธอก็เก็บมันไว้กับตัวเอง ‘ตั้งแต่ที่ อี้ หราน บอกว่าเธอไม่ได้สนิทกับกู้ ลี่เฉิน ฉันก็ไม่จำเป็นต
หลังจากที่ หลิง อีหราน วางวัตถุดิบไว้ในตู้เย็นแล้วเธอก็หันกลับไปเห็นอี้ จิ่นหลี พิงขอบประตูห้องครัวพลางครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างขณะที่เขามองเธอ หลิง อี้หราน หันหน้าหนีเพื่อพยายามหลีกเลี่ยงสายตาของ อี้ จิ่นหลี แต่ถ้าเธอต้องการออกจากห้องครัวเธอก็จะต้องเจอกับความเป็นไปได้ที่จะต้องถูกเขาดึงแขน “พี่ยังไม่ได้บอกฝันดีกับผมเลยนะ” เขาพูดกับเธอ หลิง อี้หราน สะดุ้งไปชั่วขณะ แต่ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “ฝันดีนะ” มีรอยยิ้มขึ้นมาบนหน้าของอี้ จิ่นหลี ในขณะที่เขายังคงจ้องมองเธออยู่ “ฝันดีครับพี่สาว พี่ดูเหมือนไม่ค่อยเต็มใจมากกว่าเดิมนะครับ” “...” หลิง อี้หราน พูดอะไรไม่ออกและไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร“มีคนแนะนำว่าถ้าผมอยากทำให้พี่ชอบผม ผมควรพยายามทำให้พี่พอใจ” อี้ จิ่นหลี ก้มมองคนตรงหน้าในระดับสายตา “พี่คิดว่ายังไง? พี่จะชอบผมไหม ถ้าผมทำให้พี่ได้พอใจ” หลิง อี้หราน อยากจะกัดลิ้นตัวเอง ดวงตาของเธอเปิดกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ขณะที่เธอจ้องมองเขา ‘เขากำลังพูดอะไร? เขา... อยากจะเอาใจฉันงั้นเหรอ?’ ‘ทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น?’ การแสดงออกของหลิง อี้หราน ดูเหมือนว่าจะทำให้อี้ จิ่นหลี พอใจ “ทำไมเหรอ? พี่ต
“นายลืมสิ่งที่เกิดขึ้นกับพ่อของนายไปแล้วเหรอ?” คุณปู่หยิบอดีตขึ้นมาอีกครั้ง “ผมยังไม่ลืมและผมเคยพูดไปแล้วว่าผมจะไม่เดินตามรอยที่พ่อของผมได้ทำ” อี้ จิ่นหลี กล่าว “ถ้าเป็นอย่างนั้น นายก็ควรที่จะไล่ผู้หญิงคนนั้นที่ชื่อ หลิง อี้หราน ออกไปจากคฤหาสน์อี้ ซะ และอย่าให้เธออยู่ในชีวิตของนายอีก” นายท่านอี้ใช่น้ำเสียงดุดัน “ผมเกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้ครับ” การจ้องมองของอี้ จิ่นหลี มืดลง มันบีบหัวใขของเขามากขึ้นเมื่อเขาได้ยินคำพูดของท่านปู่ และปฎิเสธความคิดนี้โดยที่จะไม่ย้อนเรื่องนี้กลับมาคิดซ้ำเป็นครั้งที่สอง “นี่นาย...!” คุณปู่สำลักลมหายใจขณะจ้องมองไปที่หลานชายของเขา “คุณปู่ ผมจะไม่เดินตามรอยแบบที่พ่อของผมทำ ผมจะดูให้แน่ใจว่าทุกอย่างต้องอยู่ภายใต้การควบคุม ผมจะทำให้ อี้หราน เคยชินกับบการที่ได้อยู่กับผม เธอจะไม่มีทางทิ้งผมไปไหนทั้งนั้น” อี้ จิ่นหลี หน้าของเขามีรอยยิ้มเล็กน้อย แต่การคุกคามในสายตาของเขานั้นมันชัดเจนมาก “ดังนั้น ผมหวังว่าคุณปู่จะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องของผม หากคุณปู่พยายามจะเข้ามายุ่ง ผมก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าผมจะทำอะไรเพื่อ จำกัดเสรีภาพของคุณปู่” นายท่านอี้ โกรธมากจนผิวหน้
การไปเยี่ยมหลุมศพเป็นเรื่องยุ่งยาก นอกจากนี้เมื่อเวลาผ่านไปหลุมฝังศพก็เริ่มแตก ต้องเสียเงินมหาศาลในการซ่อมแซม ดังนั้นจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่ามากในการย้ายหลุมฝังศพไปยังสุสานที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม หลิง อี้หราน ต้องเข้าคุก ดังนั้นความคิดจึงต้องหยุดลง หลังจากรับโทษแล้ว หลิง อี้หราน ก็เหลือเงินไม่มาก ดังนั้นจึงไม่เพียงพอ ไม่เพียงแต่เธอไม่สามารถจ่ายค่าสถานที่ในสุสานได้เท่านั้น แต่เธอยังไม่สามารถจ่ายค่าแรงให้คนงานที่ช่วยย้ายหลุมฝังศพได้อีกด้วย เมื่อหลิง อี้หราน มาถึงเชิงเขา เธอก็เห็นว่าชาวบ้านตั้งเคาน์เตอร์ลงทะเบียนไว้ใต้เต็นท์ชั่วคราว หลายคนกำลังมาและไปเยี่ยมสุสาน เมื่อถึงคิวของหลิง อี้หราน เธอก็ให้หมายเลขหลุมศพแม่ของเธอ เธอตกใจมากคนที่จัดการเคาน์เตอร์ลงทะเบียนตอบทันทีหลังจากได้ยินหมายเลขโดยพูดว่า “หลุมศพนั้นถูกย้ายแล้ว คุณยังมาที่นี่ทำไม?” “ย้ายแล้วงั้นเหรอ?” หลิง อี้หราน ตะลึง “ใช่แล้วโดยชายที่ชื่อ หลิง กว๋อจื้อ ฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นสามีของผู้เสียชีวิต” คนที่เคาน์เตอร์มองหาข้อมูลของชายคนนั้น จู่ ๆ หลิง อี้หรานก็นึกขึ้นได้ว่า พ่อของเธอใช้เรื่องย้ายหลุมศพเพื่อขอให้เธอเดินทางกลับ
หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนบ้านที่อยู่ข้าง ๆ ก็บอกให้เธอรู้ว่าพ่อและแม่เลี้ยงของเธอไปพักร้อนและไม่มีใครอยู่เลย ส่วนหลิง ลั่วอิน ตามที่เพื่อนบ้านบอกเธอซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้นและแทบจะไม่ได้กลับมาที่บ้านนี้เลย เมื่อหลิง อี้หราน ได้ยินแบบนั้นเธอก็รู้ว่าพ่อและแม่เลี้ยงของเธอตั้งใจทำแบบนี้ พวกเขารู้ว่าวันนี้เธอจะต้องไปเยี่ยมหลุมศพของแม่เธอ จึงวางแผนที่จะออกไปในเวลานี้ ‘ห้าสิบล้าน’ ขนหัวเธอลุกเมื่อนึกถึงคำพูดขอของพ่อ ด้วยสถารณ์ตอนนี้เธอไม่มีทางผลิตเงินห้าสิบล้านให้พ่อได้! หลังจากที่ หลิง อี้หราน บอกลาเพื่อนบ้านแล้วเธอก็โทรหา หลิง ลั่วอิน “เธออยู่ไหน? ฉันต้องการจะพบเธอ” “ฉันขอโทษนะ แต่ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก” หลิง ลั่วอิน ตอบแบบเฉยชา “ฉันอยากถามเธอแค่คำถามเดียวว่าพ่อย้ายหลุมศพของแม่ฉันไปที่ไหน?” หลิง อี้หรานถาม “ฉันไม่รู้” น้ำสียงของ หลิง ลั่วอิน เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย “แล้วพวกเขาไปพักร้อนที่ไหนกัน? เธอน่าจะรู้” “โอ้ น่าเศร้าจริง ๆ เพราะฉันไม่รู้ ทำไมไม่ให้ฉันบอกกับพวกเขาว่าเธอมาตามหาพวกเขาหลังจากที่พวกเขากลับมาล่ะ?” ตอนนี้หลิง อี้หราน ได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งอยู่ในโทรศัพท์ “ลิปสติกสี
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค