ในตอนกลางคืนอากาศภายในห้องเย็นจนเหมือนน้ำ เย็นจนสามารถทำให้ไม่สบายได้!...หลังจากหลิง ลั่วอิน กลับมาบ้าน เธอได้ยินว่าแม่ถูกไล่ออกจากงานและพ่อของเธอก็ถูกลดตำแหน่งจากหัวหน้าแผนกไปเป็นพนังงานประจำด้วย!“เป็นไปได้ยังไงคะ?” หลิง ลั่วอิน ถามด้วยความประหลาดใจ พ่อแม่ของเธอทำงานในภาครัฐ ตราบใดที่ไม่มีใครทำความผิด พวกเขาจะไม่ถูกลดตำแหน่งเด็ดขาด นับประสาอะไรกับการไล่ออกนอกจากนี้เธอยังเป็นแฟนของกู้ ลี่เฉิน! แม้ว่าหัวหน้าภาครัฐอยากจะไล่หรือลดตำแหน่งพ่อแม่ของเธอ พวกเขาก็ควรคำนึงถึงสิ่งนี้ด้วย!“พ่อแม่ไม่ได้บอกผู้บังคับบัญชาเหรอคะว่าตอนนี้หนูเป็นแฟนกับกู้ ลี่เฉิน?” หลิง ลั่วอิน ถาม“แม่บอก แน่นอนสิว่าพวกเราบอกเขา” ฟาง ซุ่ยเอ๋อ รู้สึกโกรธมากเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เธอบอกกับเจ้านายว่าลูกสาวของเธอเป็นแฟนกับเจ้าชายแห่งวงการบันเทิง และในอนาคตเธอจะแต่งงานกับครอบครัวที่ร่ำรวยและมีอำนาจแต่เจ้านายของฟาง ซุ่ยเอ๋อ กลับไม่สนใจคำพูดของเธอ พร้อมพูดว่า “ไม่ว่าแฟนของลูกสาวคุณจะเป็นใคร คุณต้องออกไปจากที่นี้วันนี้ ผมไม่มีที่ว่างให้กับการโต้เถียงหรอกนะ!”นั่นทำให้เธอโกรธอย่างมากใครจะไปคิดว่ามีอีก! เธอไม่เคยหย
หลิง กว๋อจื้อ แสดงสีหน้าไม่พอใจและพูดด้วยน้ำเสียงโกรธว่า “นังลูกสาวอกตัญญูที่เคยติดคุกและทำลายครอบครัว ตอนนี้ยังจะทำลายพวกเราอีกเหรอ?”เขาได้ขอความช่วยเหลือและใช้เงินจำนวนมากเพื่อให้ได้อยู่ในตำแหน่งหัวหน้างาน!แล้วเขาจะยอมรับความจริงที่ต้องกลับไปเป็นพนักงานทั่วไปได้อย่างไร?ฟาง ซุ่ยเอ๋อ โกรธมากเช่นกัน ราวกับว่าเธออยากจะฉีกหลิง อี้หราน ออกเป็นชิ้น ๆ “แม่คะ พ่อคะ อย่าเพิ่งเต้นตามแรงกระตุ้นค่ะ ตอนนี้พี่มีอี้ จิ่นหลี อยู่ข้าง ๆ เราควรคิดว่าจะทำอะไรกับพี่ดี” หลิง ลั่วอิน พูดแนะนำ ยังไงซะเธอก็เคยเจ็บช้ำน้ำใจกับหลิง อี้หราน มาก่อน!หลิง กว๋อจื้อ กับฟาง ซุ่ยเอ๋อ คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และเห็นด้วย พวกเขาเอ่ยว่า “ตอนนี้พวกเราควรทำยังไง? ทนทุกข์ทรมานต่อไปเหรอ?”“ฉันจะหาวิธีจบมัน” หลิง ลั่วอิน กล่าว เธอต้องคิดหาวิธีจำการกับหลิง อี้หราน และไม่ปล่อยให้หลิง อี้หราน มีบทบาทสำคัญมากขึ้นในใจของลี่เฉินแม้ว่าอี้ จิ่นหลี จะกำจัดหลิง อี้หราน แต่หลิง อี้หราน อาจจะมาแย่งพื้นที่ของเธอไปและกลายเป็นแฟนใหม่ของลี่เฉินแทนเธอ!เธอต้องไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้น!...ชิน เหลียนอี ถามหลิง อี้หราน อีกครั้งและให้ข้
เป็นเพราะชีวิตของเธอทำให้ตระหนักถึงความสำคัญของเงินมากขึ้นหรือเปล่านะ?ชิน เหลียนอี กอดเธอกะทันหันเมื่อเห็นสีหน้าบนใบหน้าของเธอ “อี้หราน ฉันรู้สึกเสียใจมาหลายปีที่ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยช่วยเธอเลย ฉันรู้ว่าฉันผิด และฉันไม่สามารถหาหลักฐานมาช่วยแก้ไขคดีความของเธอได้” เธอกล่าวทีละคำ คำพูดเล่านี้ฝังอยู่ในใจของเธอมายาวนาน“แม้แต่ตอนที่เธออยู่ในคุก ฉันก็ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากปลอบใจเธอตอนไปเยี่ยมเท่านั้น ฉันคิดความรู้สึกนี้มาก ตอนนี้ฉันมีหลักฐานแล้วฉันจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเธอย้อนคดี เธอไม่ต้องคิดมากนะและอย่าคิดว่าเธอติดหนี้บุญคุณอะไรฉันเลย”น้ำเสียงของชิน เหลียนอี ที่กล่าวโทษตัวเองอย่างหนักแน่นก้องอยู่ในหูของหลิง อี้หราน“เหลียนอี ฉันอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อในคุกก็ได้ ถ้าเธอไม่มาเยี่ยมฉันบ่อย ๆ และทุ่มเทให้กับให้คดีความของฉัน อย่าคิดว่าคำพูดของเธอเป็นการปลอบใจเล็กน้อยเลย เพราะคำพูดพวกนั้นทำให้ฉันมีความกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ” หลิง อี้หราน พูดพร้อมกับกอดรับเพื่อนเธอกลับตอนนี้ผู้หญิงทั้งสองคนมีดวงตาที่แดงก่ำจากการกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลหลังจากนั้นไม่นานดวงตาของพวกเขาก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ชิน เห
เธอจำได้เพียงตัวเลขสามหลักแรกและตัวสุดท้ายของหมายเลขป้ายทะเบียนทันทีที่ หลิง อี้หราน รู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วตัว เกิดอะไรขึ้น? คนที่อยู่ในรถนั้นคือใคร? ทำไมพวกเขาถึงลักพาตัวเหลียนอีไป?ตอนนี้เหลียนอี...นี่เป็นการลักพาตัวใช่ไหม? หรือ… หลิง อี้หราน หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวและโทรหาเพื่อนสนิทของเธอ แต่เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เพื่อนสนิทอยู่ในเหตุการณ์แบบไหน ถ้าเธอโทรหาเหลียนอี มันอาจจะทำให้เรื่องแย่ลงมือของเธอเริ่มสั่นจนแทบไม่สามารถถือโทรศัพท์เอาไว้ได้เธอกดหมายเลข 110 เพื่อโทรหาตำรวจด้วยความยากลำบากหลังจากรายงานให้ตำรวจฟัง เธอรีบไปยังสำนักงานบริหารของลานจอดรถ ที่นี้มีกล้องวงจรปิดจำนวนมาก เพราะฉะนั้นเธอสามารถดูกล้องวงจรปิดเพื่อดูรถยนต์ที่พาตัวเหลียนอีไปจะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเหลียนอี ไม่มีอะไรเกิดขึ้น!นี่คือสิ่งที่หลิง อี้หราน คิดในตอนนี้!...เมื่ออี้ จิ่นหลี ได้รับโทรศัพท์จากหลิง อี้หราน เขาได้ยินเสียงของเธอสะอื้นมาจากอีกทางด้านหนึ่งเพียงแค่ได้ยินเสียงสะอื้นของเธอ หัวใจของเขาก็หล่นลงทันที “เกิดอะไรขึ้นกับพี่? พูดอะไรหน่อยสิ?!”“จิน นายช่วยตามหาเหลียน
เธอตัวสั่นและเงยหน้าขึ้นอย่างคนหัวรั้น มองคนตรงหน้าเธอ ดวงตาสีดำที่เปียกชื้นของเธอค่อย ๆ โฟกัส“จิน นายช่วยฉันตามหาเหลียนอีได้ไหม?” เธอรีบกล่าวหลังจากรู้สึกตัว “ตำรวจเพิ่งรับคดี พวกเขาจะส่งคนไปตามหาเธอ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะตามเธอเจอเมื่อไหร่ ถ้าฉันจำป้ายทะเบียนได้... ทำไมฉันไม่ตั้งใจให้มากกว่านี้นะ?”เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่สำนึกผิดอี้ จิ่นหลี จ้องมองไปที่หลิง อี้หราน เขาเคยเห็นเธอเป็นกังวลมากเมื่อมีบางอย่างเกิดขึ้นกับยายของเธอยายของเธอเป็นญาติของเธอ แต่ชิน เหลียนอี? เป็นแค่คนหนึ่งที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเธอ แต่เธอกลับเป็นกังวลอย่างมากคลื่นแห่งความหึงหวงผุดขึ้นในใจของเขา เขาอิจฉาที่เธอเป็นห่วงชิน เหลียนอี มาก แล้วเขาล่ะ? ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เธอจะเป็นห่วงเขาบ้างไหม?“กลับบ้านก่อนนะ ที่นี้อากาศเย็นมาก” เขากล่าว “ดูสิว่ามือของพี่เย็นขนาดไหน”หนาวไหม? เธอไม่รู้สึกอะไรเลย สิ่งที่เธอคิดอย่างเดียวคือจะหาเหลียนอีได้ยังไง“นายจะ… จะช่วยฉันตามหาเหลียนอีได้ไหม?” เธอถามเพื่ออยากได้คำตอบที่ชัดเจน เธอทำได้แค่รอตำรวจ แต่... ถ้าเขาเต็มใจที่จะช่วย พวกเขาคงจะพบเหลียนอีในไม่ช้าเขามีทั้งคนรู้จั
ตอนนี้ลมหายใจของเขาเหมือนติดอยู่กลางหน้าอก เขาไม่สามารถเอามันออกมาหรือสูดลมหายใจกลับเข้าได้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาทนไม่ได้ที่ต้องเห็นเธอเป็นกังวลและกลัว? ดูเหมือนเธอจะเป็นคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกแบบนั้นอี้ จิ่นหลี ถอนหายใจราวกับว่าต้องการประนีประนอมอย่างทำอะไรไม่ถูก เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาและโทรออก “ช่วยฉันหาใครสักคนหน่อย ฉันอยากรู้ว่าคนคนนั้นอยู่ที่ไหน ไม่ว่าเธอจะปลอดภัยหรือไม่... ชื่อของเธอคือชิน เหลียนอี เธอถูกรถคันนี้ลักพาตัวไปเมื่อตอนบ่าย รถคือ...”อี้ จิ่นหลี กล่าวและยื่นโทรศัพท์ให้หลิง อี้หราน เขากวักมือเรียกเธอมาคุยหลิง อี้หราน ตัวสั่นและรีบกล่าวว่า “รถยนต์คันสีดำ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มายบัค หมายเลขทะเบียนคือ...”เธอรีบบอกตัวเลขที่เธอจำได้ ที่อยู่ที่จอดรถ เวลาที่เกิดเหตุ และรายละเอียดอื่น ๆหลังจากหลิง อี้หราน พูดจบ อี้ จิ่นหลี ก็พูดกับอีกฝ่ายที่อยู่ในสายว่า “นั่นคือทั้งหมดที่ฉันอยากรู้ว่าคนคนนี้อยู่ที่ไหน โดยด่วนที่สุด!”หลังจากวางสาย อี้ จิ่นหลี มองไปที่หลิง อี้หราน “เอาล่ะ เรากลับกันได้แล้วใช่ไหม?”เธอจึงเดินไปขึ้นรถกับเขา เขาเปิดประตูที่นั่งโดยสารและเมื่อเธอเข้าไปนั่งในร
อี้ จิ่นหลี ไม่พูดอะไรอีก เขาปิดประตูรถและเดินอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับจากนั้นสตาร์รถ หลิง อี้หราน แปลกใจเล็กน้อย ที่เห็นอี้ จิ่นหลี ขับรถ เพราะปกติแล้วต้องเป็นหน้าที่ของคนขับรถ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่า เขากำลังขับรถอยู่ เธอจึงมองเห็นด้านข้างใบหน้าของเขา เมื่อเธอสังเกตจากด้านข้าง เธอดูเหมือนจะเห็นได้ชัดขึ้นว่า โครงหน้าที่ชัดเจนมากขึ้นของเขาและสันจมูกที่ตรงได้รูของเขา อีกทั้งริมฝีปากบาง ๆ ที่แสนจะเซ็กซี่ แต่ในตอนนี้ ผมของเขายุ่งกว่าปกติ มีเส้นผมสองสามเส้นพาดผ่านหน้าผากของเขา เขาดูเหมือน จิน คนที่เธอเคยรู้จักมากขึ้น จิน... การนึกถึงชื่อนี้ ทำให้เธอรู้สึกสับสน เมื่อกี้เธอเรียกเขาว่า ‘จิน’ เพราะจิตใต้สำนึกของเธอ คิดเพียงว่ามีแค่ ‘จิน’ เท่านั้นที่จะคอยช่วยเธอ ไม่ใช่ อี้ จิ่นหลี ไม่ใช่เหรอ? แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นจินหรืออี้ จิ่นหลี มันก็คือเขาอยู่ดี และในตอนนี้ เขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่เธอจะสามารถขอความช่วยเหลือได้ แม้ว่าตำรวจจะกำลังตามหาเหลียนอี แต่... เธอก็ยังต้องการคนช่วยกันตามหาเพิ่มขึ้น เพราะมันจะดีที่สุด ถ้าพวกเขาหาตัวเหลียนอีได้เร็วขึ้น เมื่อรถจอดติดไฟแดง
เขาต้องการให้เธอมีเขาเพียงคนเดียวในสายตาเธอ “ถ้าพี่อยากจะรู้จริง ๆ พี่ก็คงต้องรอไปพร้อม ๆ กับผม ถ้าคนของผมพบว่า ชิน เหลียนอี อยู่ที่ไหน พวกเขาจะรีบแจ้งผมทันที” อี้ จิ่นหลี กล่าว นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลิง อี้หราน แต่... เดี๋ยวนะ? เธอต้องรอกับเขาที่ไหน? หลิง อี้หราน กระพริบตา และ 5 นาทีต่อมา ในที่สุดเธอก็รู้แล้วว่า เธอต้องรอที่ไหน ในห้องของอี้ จิ่นหลี นี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเข้ามาในห้องของเขา แต่มันเป็นครั้งแรกที่เธอเข้ามาทางประตูหน้าห้อง แทนที่จะเข้าผ่านประตูทางเชื่อมของห้องพวกเขา เมื่อเข้ามาข้างใน อี้ จิ่นหลี ก็ถอดเสื้อ โค้ทออกแล้วเอาโทรศัพท์มาถือออกมาวางไว้บนโต๊ะกาแฟ หลิง อี้หราน ถึงกับตกใจที่ได้เห็นโทรศัพท์เครื่องนั้น มันเป็นเครื่องเดิมที่เธอเคยซื้อให้กับเขาในราคา 1,500 ดอลลาร์ โดยคนทั่วไปอาจจะมีโทรศัพท์ที่ดีกว่าเครื่องนี้ด้วยซ้ำ เขายังเก็บโทรศัพท์เครื่องนี้ไว้ตลอดเลยเหรอ? ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้ เธอจะติดต่อเขาได้ทันทีที่เธอโทรมาได้ยังไง? แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะเลิกสงสัยถึงเรื่องโทรศัพท์มือถือ เธอก็ได้เห็นเขาถอดเสื้ผ้าอีก หลิง อี้หราน หน้าแดงทันที “ทำไม... ทำไม