การฝึกฝนสำหรับเธอคงไม่ได้ง่ายดายนักที่จะวาดรูปออกมาในลักษณะนี้ได้ เธอต้องใช้ความพยายามในการทำแบบนี้มากกว่าคนทั่วไป“มันไม่ค่อยมีราคาอะไร แต่อยากให้เก็บไว้เป็นที่ระลึก มันต้องเป็นความทรงจำอันงดงามในตอนที่เราแก่ตัวลงและสวมใส่มันแน่เลยค่ะ”“ตอนนี้ก็เป็นความทรงจำที่สวยงามสำหรับฉันแล้วล่ะ” เขาพึมพำขณะก้มลงจูบเธออย่างละมุน “ขอบคุณนะ อี้หราน!”เขาได้รับทั้งความสุขและความทรงจำอันงดงามเป็นของขวัญจากเธอและเธอเป็นคนเดียวในโลกนี้ที่มอบสิ่งเหล่านี้ให้เขาได้! ...ในห้องโรงแรมขนาดเท่ารูหนู คงจื่ออินมองแฟนเก่าของเธอที่กำลังมีรอยยิ้มด้วยความไม่พอใจเธอสงสัยขึ้นมาว่าตอนนั้นทำไมเธอถึงรสนิยมตกต่ำและเลือกเขามาเป็นแฟนได้ เขาเทียบกับเย่เหวินหมิงไม่ได้เลย โชคดีแท้ ๆ ที่เธอได้สติและทิ้งเขาได้ทันเวลาโจวหยวนลู่ราวกับมองเห็นความรังเกียจในดวงตาของเธอจึงกล่าวย้ำว่า “นี่ จื่ออิน เธอไม่ต้องคิดว่าตัวเองเจ็บปวดเพราะคบกับฉันในตอนนั้นหรอกนะ จะบอกความจริงอะไรให้ เรามันก็เป็นคนประเภทเดียวกันนั่นแหละ เพราะงั้นเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่าฉันนักหรอก"“เธอเป็นคนที่แอบอ้างเป็นคนบริจาคไขกระดูกแทนโจวเชียนหยุนนี่ ตอนนั้นเธอยังข
แต่... ความเสียใจที่สุดในชีวิตของเธอก็คงเป็นการที่ไม่สามารถดูเขาเติบโตได้เมื่อพวกเขาไปถึงชั้นล่าง รถของเย่เหวินหมิงก็จอดอยู่แล้ว และเขาก็กำลังยืนพิงรถด้วยท่าทางที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง“พ่อฮะ!” อาหยันน้อยรีบตะโกนออกมาในทันทีที่เห็นเย่เหวินหมิงมาจากไกล ๆเย่เหวินหมิงเงยหน้ามองและเห็นโจวเชียนหยุนในชุดเดรสขนแกะสีฟ้าอ่อนและสวมรองเท้าผ้าใบสีขาว เธอแต่งหน้าอ่อน ๆ และสะพายกระเป๋าผ้าใบสีกรมท่าไว้บนหลัง เธอดูแปลกตาไปจากปกติในตอนที่ทำงานขายข้าวเธอดูค่อนข้างคล้ายกับผู้หญิงคนนั้นที่เธอเคยเป็นตอนก่อนจะเข้าคุก คนที่ทั้งสวยและมีชีวิตชีวาในขณะที่เย่เหวินหมิงกำลังเหม่ออยู่นั้น ร่างใหญ่และร่างเล็กก็เข้ามาใกล้เขา“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณพ่อ” อาหยันน้อยกล่าวอย่างสุภาพ“อรุณสวัสดิ์...” เย่เหวินหมิงตอบ จากนั้นเขาก็พูดว่า “เร็วเถอะ ขึ้นรถสิ ไม่งั้นเราจะไปถึงสวนสนุกสายนะ”พูดจบเขาก็รีบเปิดประตูรถราวกับกลบเกลื่อนช่วงเวลาที่เขาเหม่อลอยเมื่อครู่นี้ไปอาหยันน้อยขึ้นนั่งที่เบาะหลังก่อน และในตอนที่โจวเชียนหยุนกำลังจะขึ้นรถ จู่ ๆ เย่เหวินหมิงก็จับแขนเธอไว้และพูดด้วยน้ำเสียงที่มีแค่พวกเขาสองคนจะได้ยิน
เมื่อได้รับตั๋วมาอาหยันน้อยก็พูดว่า “แม่ฮะ วันนี้เราถ่ายรูปกับพ่อให้เยอะ ๆ ได้ไหมครับ?”โจวเชียนหยุนชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “แม่จะถ่ายรูปลูกกับพ่อให้เยอะ ๆ เลยจ้ะ”“ผมอยากได้รูปพ่อกับแม่ฮะ” เจ้าตัวน้อยพูด‘รูป... ถ่ายด้วยกันเหรอ?’ โจวเชียนหยุนเงียบไป เย่เหวินหมิงอาจจะไม่เต็มใจแม้ว่าเธอจะเต็มใจก็ตาม!อาหยันน้อยถามด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “เพราะว่าแม่กับพ่อหย่ากันแล้วเลยถ่ายรูปด้วยกันไม่ได้เหรอครับ? ในห้องเรียนเรามีเด็กที่พ่อแม่เขาหย่ากันด้วย แต่... เขาก็มีรูปกับพ่อกับแม่เยอะแยะเลย”ร่องรอยความอ้างว้างปรากฏบนใบหน้าของเจ้าตัวเล็กเมื่อเขาพูดเรื่องนี้โจวเชียนหยุนยกมือขึ้นสัมผัสศีรษะของลูกชาย หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเธอก็กล่าวว่า “แม่จะถ่ายรูปให้ลูกกับพ่อก่อน แล้วเราค่อยถ่ายรูปด้วยกัน ดีไหม?”“ดีครับ” เจ้าตัวเล็กยิ้มออกมาอีกครั้งและพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นขณะมองลูกชายของเธอ โจวเชียนหยุนก็ลอบถอนหายใจอยู่ในใจ ‘ทุกอย่างที่ฉันจะทำในวันนี้ก็เพื่อตอบสนองความปรารถนาของอาหยันน้อยใช่ไหมล่ะ? เพราะอย่างนั้น เขาต้องการรูปถ่ายด้วยกัน... ฉันก็จะพยายามให้ดีที่สุดเพื่อให้ได้มาสักรูปแล้วกัน!’
เมื่อถึงตาพวกเขาขึ้นม้าหมุน โจวเชียนหยุนก็พบว่ามันหมุนไวกว่าตอนที่เธอดูก่อนหน้านี้แม้ว่าเธอจะกินน้อยมาก ๆ เพราะอาการป่วย แต่เธอก็ยังรู้สึกอยากจะอ้วกอยู่ดี โดยเฉพาะในตอนที่ตับของเธอดูเหมือนจะปวดขึ้นมาอีกครั้งอาหยันน้อยร้องออกมาด้วยความสนุกสนาน เธอรับรู้ได้ว่าลูกชายของเธอกำลังมีความสุขมือของเธอกำราวจับที่อยู่ใกล้ตัวแน่น เธอตัวเกร็ง และพยายามควบคุมความไม่สบายตัวในร่างกายของตัวเอง เธอไม่สังเกตเลยว่าดวงตาของเย่เหวินหมิงกำลังจับจ้องมาที่เธอการนั่งม้าหมุนไม่เป็นปัญหาอะไรกับเย่เหวินหมิงเลยและการได้นั่งม้าหมุนเป็นเพื่อนเจ้าตัวเล็กแบบเด็ก ๆ นี้เป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ สำหรับเขาอีกด้วยเมื่อได้ยินเสียงตื่นเต้นประหลาดใจของลูกชาย เขาก็รู้สึกได้ถึงความสนุกสนานและความภาคภูมิใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนนี่เป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดเหรอ?เขารู้สึกแบบนี้เพราะว่าอาหยันน้อยเป็นลูกชายของเขาอย่างนั้นเหรอ? เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบเด็กมาก่อนแต่เมื่อมองเห็นใบหน้าซีดเซียว คิ้วที่ขมวดแน่น และชั้นเหงื่อบาง ๆ บนหน้าผากของโจวเชียนหยุน เขาก็เห็นได้ว่าเธอกำลังพยายามฝืนทนกับความไม่สบายตัว การขี่
เธอหวังแค่ว่าเขาจะใจดีกับอาหยันน้อยก็เท่านั้น!หลังจากถ่ายไปสองสามรูปเจ้าตัวน้อยก็พูดว่า “แม่ฮะ มาถ่ายรูปกับพ่อและผมด้วยสิครับ! ได้ไหมครับพ่อ?”เจ้าตัวเล็กเงยหน้ามองเย่เหวินหมิงด้วยความคาดหวังเย่เหวินหมิงกำลังจะตอบตกลง แต่โจวเชียนหยุนกลับพูดมาก่อนว่า “รูปเราถูกถ่ายไว้แล้วอัตโนมัติตอนที่เราขี่ม้าหมุนในสวนสนุกนี่แล้วล่ะ แม่จะเอารูปให้ลูกตอนที่เรากลับถึงบ้านกันแล้วโอเคไหมจ๊ะ?”เจ้าตัวเล็กพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นในทันที และไม่ได้พูดเรื่องนี้อีกโจวเชียนหยุนถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอเพิ่งค้นพบว่าสวนสนุกมีระบบนี้ด้วย และมันช่วยไม่ให้เธอต้องฝืนถ่ายรูปกับเย่เหวินหมิงแม้นี่จะเป็นความปรารถนาของลูกชายเธอ แต่นี่ก็เป็นการทรมานเธอด้วยเช่นกันสีหน้าของเย่เหวินหมิงบูดบึ้ง ‘ผู้หญิงคนนี้ไม่อยากถ่ายรูปร่วมกับฉันงั้นเหรอ?’‘ฉันควรเป็นคนที่ไม่อยากทำสิ่งนี้สิ ผู้หญิงคนนี้กล้าดียังไง...’ ถึงอย่างนั้นโจวเชียนหยุนก็ไม่ได้ชำเลืองมองเขาสักนิด เธอก้มหน้าพูดกับลูกชายเท่านั้น ทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างพากันชี้ไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่างชิงช้าสวรรค์ในทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเธอทำกับเขาเหมือนเป็นอากาศตอนเที่ยง พวก
โจวเชียนหยุนยิ้มอ่อน “ถ้าวันไหนฉันกำลังจะตาย ฉันก็จะไม่ตายต่อหน้าคุณ เพราะฉันไม่อยากให้คุณเป็นคนสุดท้ายที่ฉันเห็นก่อนตาย!”“เธอ...” เขามองเธอ เขาพบว่าคำพูดของเธอทำให้หัวใจของเขาอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด “หยุดพูดเรื่องตายทั้งวันได้แล้ว ทำไม? เธอกำลังจะตายตอนนี้เลยมาเรียกร้องความสงสารจากฉันเหรอ?”เธอไม่ตอบเขา แต่เลือกที่จะก้มหน้ากลืนยาทีละเม็ดจนหมด จากนั้นเธอก็เงยหน้ามองเขาอย่างไม่สั่นคลอนพลางพูดว่า “แล้วยังไงต่อคะ รู้สึกสงสารฉันบ้างหรือเปล่า? ถ้าฉันกำลังจะตาย และคุณมีโอกาสช่วยฉัน คุณจะช่วยไหมคะ?”เขาตกตะลึง ‘เธอหมายความว่ายังไง? เธอกำลังจะตายเหรอ?’การคาดเดานั้นผุดวาบขึ้นในความคิดเขา แต่เขาก็ปัดมันทิ้งไป ‘จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง? เธอแค่พูดแบบนี้ให้ฉันเห็นใจ หรือบางทีเธอคงมีแรงจูงใจอื่น’“ฉันจะไปช่วยเธอได้ยังไง? ช่างเถอะ โจวเชียนหยุน ฉันไม่ช่วยเธอหรอก ถึงเธอจะตายตรงหน้าฉันวันนี้ก็เถอะ!” เขาพูดอย่างเย็นชาเธอยิ้มอ่อน “ฉันก็คิดอย่างนั้นแหละค่ะ เย่เหวินหมิง ขอบคุณนะ”เขาตะลึงไป คำขอบคุณของเธอกวนใจเขายิ่งนัก “ทำไมต้องขอบคุณฉันด้วย? ประชดเหรอ?”“เปล่า ฉันขอบคุณจริง ๆ” เธอพูดเสียงเบา
โจวเชียนหยุนกลับบ้านและวางอาหยันน้อยลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน แจ้งเตือนดังขึ้นเธอชำเลืองมองผ่าน ๆ และเห็นว่าเป็นป๊อบอัปแจ้งเตือนข่าวสารปกติแล้วเธอไม่ค่อยสนใจข่าวพวกนี้เท่าไหร่ แต่ข่าวนี้ทำให้เธอตัวสั่นไปในทันที เธอรีบหยิบมือถือขึ้นมาและเปิดลิงก์ข่าวขึ้นมา มันเป็นข่าวของไป๋ทิงซิน!ข่าวบอกว่า ไป๋ทิงซินผนึกกำลังกับตระกูลเกาในเมืองเจ และจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวในประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้ เขายังได้รับสิทธิ์ในการควบคุมตระกูลไป๋กลับมาอยู่ในมืออีกด้วยตำรวจเองก็เข้าจับกุมภรรยาใหญ่ของตระกูลไป๋ และลูกชายทั้งสองด้วยข้อหาต้องสงสัยว่าทำร้ายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนคงจะพูดได้ว่าภรรยาใหญ่บ้านตระกูลไป๋เสียทุกอย่างไปแล้ว!ไป๋ทิงซินกลายเป็นผู้ชนะการนองเลือดนี้ในท้ายที่สุด!ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข่าวยังระบุอีกว่าตระกูลไป๋และตระกูลเกามีความตั้งใจที่จะรวมเข้าด้วยกันผ่านการแต่งงาน และบริษัทของพวกเขาก็อาจจะควบรวมเข้าด้วยกันในอนาคตโจวเชียนหยุนตกใจ ‘ตระกูลไป๋กับตระกูลเการวมเข้าด้วยกันผ่านการแต่งงาน... นี่หมายความว่า ไป๋ทิงซินกำลังจะแต่งกับคนจากบ้านตระกูลเกางั้นเหรอ? ถ้าลูกชายสองคนของภรรยาใหญ่ของตระกูลเกาเข้าคุกไป งั
ดวงตาของอี้จิ่นหลีเปล่งประกายเล็กน้อย ก็จริง เธอคงไม่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขา ถ้าชินเหลียนอีไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเธอก็คงจะไม่ตอบตกลงแต่งงานกับเขาง่าย ๆ อย่างในตอนนั้นแน่“โอเค ฉันจะไปหาทางให้ไป๋ทิงซินมาเมืองเฉินเอง เธอจะได้ไม่ต้องเดินทางระหว่างเมือง” อี้จิ่นหลีกล่าว“ถ้าเขาไม่มาเมืองเฉินล่ะคะ?” หลิงอี้หรานถาม“เขามาแน่ ถ้าเขาปฏิเสธ ฉันจะจับเขามัดแล้วส่งมาเมืองเฉินเอง” เขาพูดอย่างมั่นใจตราบใดที่เธอต้องการ เขาก็จะช่วยให้เธอได้รู้มันเอง!สองวันต่อมา หลิงอี้หรานก็ได้เจอกับไป๋ทิงซิน แต่ไป๋ทิงซินมาที่เมืองเฉินพร้อมด้วยทายาทของตระกูลเกา เกาม่านหลินแม้ว่าหลิงอี้หรานจะเคยเห็นภาพของเกาม่านหลินมาก่อน แต่เธอก็ผมว่าผู้หญิงคนนี้ส่วนน่ามองมากกว่าในรูปจริง ๆ เมื่อเจอตัวจริง ราวกับว่าเธอเกิดมาพร้อมกับเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ชายใดก็ตามหลงใหลในตัวเธอถึงอย่างนั้น... ไป๋ทิงซินก็ไม่ควรเป็นหนึ่งในผู้ชายพวกนั้น! เธอเห็นความรักของไป๋ทิงซินที่มีต่อเหลียนอีมาตลอด ไป๋ทิงซินตกหลุมรักเกาม่านหลินเหรอ? เธออยากได้ยินคำตอบจากปากของไป๋ทิงซินเอง!“คุณเกา ฉันอยากคุยกับไป๋ทิงซินตามลำพัง พอจะเป็นไปได้ไหมคะ?” ห
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค