เมื่อถึงตาพวกเขาขึ้นม้าหมุน โจวเชียนหยุนก็พบว่ามันหมุนไวกว่าตอนที่เธอดูก่อนหน้านี้แม้ว่าเธอจะกินน้อยมาก ๆ เพราะอาการป่วย แต่เธอก็ยังรู้สึกอยากจะอ้วกอยู่ดี โดยเฉพาะในตอนที่ตับของเธอดูเหมือนจะปวดขึ้นมาอีกครั้งอาหยันน้อยร้องออกมาด้วยความสนุกสนาน เธอรับรู้ได้ว่าลูกชายของเธอกำลังมีความสุขมือของเธอกำราวจับที่อยู่ใกล้ตัวแน่น เธอตัวเกร็ง และพยายามควบคุมความไม่สบายตัวในร่างกายของตัวเอง เธอไม่สังเกตเลยว่าดวงตาของเย่เหวินหมิงกำลังจับจ้องมาที่เธอการนั่งม้าหมุนไม่เป็นปัญหาอะไรกับเย่เหวินหมิงเลยและการได้นั่งม้าหมุนเป็นเพื่อนเจ้าตัวเล็กแบบเด็ก ๆ นี้เป็นประสบการณ์ใหม่ ๆ สำหรับเขาอีกด้วยเมื่อได้ยินเสียงตื่นเต้นประหลาดใจของลูกชาย เขาก็รู้สึกได้ถึงความสนุกสนานและความภาคภูมิใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนนี่เป็นเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดเหรอ?เขารู้สึกแบบนี้เพราะว่าอาหยันน้อยเป็นลูกชายของเขาอย่างนั้นเหรอ? เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบเด็กมาก่อนแต่เมื่อมองเห็นใบหน้าซีดเซียว คิ้วที่ขมวดแน่น และชั้นเหงื่อบาง ๆ บนหน้าผากของโจวเชียนหยุน เขาก็เห็นได้ว่าเธอกำลังพยายามฝืนทนกับความไม่สบายตัว การขี่
เธอหวังแค่ว่าเขาจะใจดีกับอาหยันน้อยก็เท่านั้น!หลังจากถ่ายไปสองสามรูปเจ้าตัวน้อยก็พูดว่า “แม่ฮะ มาถ่ายรูปกับพ่อและผมด้วยสิครับ! ได้ไหมครับพ่อ?”เจ้าตัวเล็กเงยหน้ามองเย่เหวินหมิงด้วยความคาดหวังเย่เหวินหมิงกำลังจะตอบตกลง แต่โจวเชียนหยุนกลับพูดมาก่อนว่า “รูปเราถูกถ่ายไว้แล้วอัตโนมัติตอนที่เราขี่ม้าหมุนในสวนสนุกนี่แล้วล่ะ แม่จะเอารูปให้ลูกตอนที่เรากลับถึงบ้านกันแล้วโอเคไหมจ๊ะ?”เจ้าตัวเล็กพยักหน้าด้วยความตื่นเต้นในทันที และไม่ได้พูดเรื่องนี้อีกโจวเชียนหยุนถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอเพิ่งค้นพบว่าสวนสนุกมีระบบนี้ด้วย และมันช่วยไม่ให้เธอต้องฝืนถ่ายรูปกับเย่เหวินหมิงแม้นี่จะเป็นความปรารถนาของลูกชายเธอ แต่นี่ก็เป็นการทรมานเธอด้วยเช่นกันสีหน้าของเย่เหวินหมิงบูดบึ้ง ‘ผู้หญิงคนนี้ไม่อยากถ่ายรูปร่วมกับฉันงั้นเหรอ?’‘ฉันควรเป็นคนที่ไม่อยากทำสิ่งนี้สิ ผู้หญิงคนนี้กล้าดียังไง...’ ถึงอย่างนั้นโจวเชียนหยุนก็ไม่ได้ชำเลืองมองเขาสักนิด เธอก้มหน้าพูดกับลูกชายเท่านั้น ทั้งผู้ใหญ่และเด็กต่างพากันชี้ไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่างชิงช้าสวรรค์ในทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเธอทำกับเขาเหมือนเป็นอากาศตอนเที่ยง พวก
โจวเชียนหยุนยิ้มอ่อน “ถ้าวันไหนฉันกำลังจะตาย ฉันก็จะไม่ตายต่อหน้าคุณ เพราะฉันไม่อยากให้คุณเป็นคนสุดท้ายที่ฉันเห็นก่อนตาย!”“เธอ...” เขามองเธอ เขาพบว่าคำพูดของเธอทำให้หัวใจของเขาอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวด “หยุดพูดเรื่องตายทั้งวันได้แล้ว ทำไม? เธอกำลังจะตายตอนนี้เลยมาเรียกร้องความสงสารจากฉันเหรอ?”เธอไม่ตอบเขา แต่เลือกที่จะก้มหน้ากลืนยาทีละเม็ดจนหมด จากนั้นเธอก็เงยหน้ามองเขาอย่างไม่สั่นคลอนพลางพูดว่า “แล้วยังไงต่อคะ รู้สึกสงสารฉันบ้างหรือเปล่า? ถ้าฉันกำลังจะตาย และคุณมีโอกาสช่วยฉัน คุณจะช่วยไหมคะ?”เขาตกตะลึง ‘เธอหมายความว่ายังไง? เธอกำลังจะตายเหรอ?’การคาดเดานั้นผุดวาบขึ้นในความคิดเขา แต่เขาก็ปัดมันทิ้งไป ‘จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง? เธอแค่พูดแบบนี้ให้ฉันเห็นใจ หรือบางทีเธอคงมีแรงจูงใจอื่น’“ฉันจะไปช่วยเธอได้ยังไง? ช่างเถอะ โจวเชียนหยุน ฉันไม่ช่วยเธอหรอก ถึงเธอจะตายตรงหน้าฉันวันนี้ก็เถอะ!” เขาพูดอย่างเย็นชาเธอยิ้มอ่อน “ฉันก็คิดอย่างนั้นแหละค่ะ เย่เหวินหมิง ขอบคุณนะ”เขาตะลึงไป คำขอบคุณของเธอกวนใจเขายิ่งนัก “ทำไมต้องขอบคุณฉันด้วย? ประชดเหรอ?”“เปล่า ฉันขอบคุณจริง ๆ” เธอพูดเสียงเบา
โจวเชียนหยุนกลับบ้านและวางอาหยันน้อยลงบนเตียงอย่างอ่อนโยน แจ้งเตือนดังขึ้นเธอชำเลืองมองผ่าน ๆ และเห็นว่าเป็นป๊อบอัปแจ้งเตือนข่าวสารปกติแล้วเธอไม่ค่อยสนใจข่าวพวกนี้เท่าไหร่ แต่ข่าวนี้ทำให้เธอตัวสั่นไปในทันที เธอรีบหยิบมือถือขึ้นมาและเปิดลิงก์ข่าวขึ้นมา มันเป็นข่าวของไป๋ทิงซิน!ข่าวบอกว่า ไป๋ทิงซินผนึกกำลังกับตระกูลเกาในเมืองเจ และจู่ ๆ ก็ปรากฏตัวในประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้ เขายังได้รับสิทธิ์ในการควบคุมตระกูลไป๋กลับมาอยู่ในมืออีกด้วยตำรวจเองก็เข้าจับกุมภรรยาใหญ่ของตระกูลไป๋ และลูกชายทั้งสองด้วยข้อหาต้องสงสัยว่าทำร้ายผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนคงจะพูดได้ว่าภรรยาใหญ่บ้านตระกูลไป๋เสียทุกอย่างไปแล้ว!ไป๋ทิงซินกลายเป็นผู้ชนะการนองเลือดนี้ในท้ายที่สุด!ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข่าวยังระบุอีกว่าตระกูลไป๋และตระกูลเกามีความตั้งใจที่จะรวมเข้าด้วยกันผ่านการแต่งงาน และบริษัทของพวกเขาก็อาจจะควบรวมเข้าด้วยกันในอนาคตโจวเชียนหยุนตกใจ ‘ตระกูลไป๋กับตระกูลเการวมเข้าด้วยกันผ่านการแต่งงาน... นี่หมายความว่า ไป๋ทิงซินกำลังจะแต่งกับคนจากบ้านตระกูลเกางั้นเหรอ? ถ้าลูกชายสองคนของภรรยาใหญ่ของตระกูลเกาเข้าคุกไป งั
ดวงตาของอี้จิ่นหลีเปล่งประกายเล็กน้อย ก็จริง เธอคงไม่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขา ถ้าชินเหลียนอีไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเธอก็คงจะไม่ตอบตกลงแต่งงานกับเขาง่าย ๆ อย่างในตอนนั้นแน่“โอเค ฉันจะไปหาทางให้ไป๋ทิงซินมาเมืองเฉินเอง เธอจะได้ไม่ต้องเดินทางระหว่างเมือง” อี้จิ่นหลีกล่าว“ถ้าเขาไม่มาเมืองเฉินล่ะคะ?” หลิงอี้หรานถาม“เขามาแน่ ถ้าเขาปฏิเสธ ฉันจะจับเขามัดแล้วส่งมาเมืองเฉินเอง” เขาพูดอย่างมั่นใจตราบใดที่เธอต้องการ เขาก็จะช่วยให้เธอได้รู้มันเอง!สองวันต่อมา หลิงอี้หรานก็ได้เจอกับไป๋ทิงซิน แต่ไป๋ทิงซินมาที่เมืองเฉินพร้อมด้วยทายาทของตระกูลเกา เกาม่านหลินแม้ว่าหลิงอี้หรานจะเคยเห็นภาพของเกาม่านหลินมาก่อน แต่เธอก็ผมว่าผู้หญิงคนนี้ส่วนน่ามองมากกว่าในรูปจริง ๆ เมื่อเจอตัวจริง ราวกับว่าเธอเกิดมาพร้อมกับเสน่ห์ดึงดูดที่ทำให้ชายใดก็ตามหลงใหลในตัวเธอถึงอย่างนั้น... ไป๋ทิงซินก็ไม่ควรเป็นหนึ่งในผู้ชายพวกนั้น! เธอเห็นความรักของไป๋ทิงซินที่มีต่อเหลียนอีมาตลอด ไป๋ทิงซินตกหลุมรักเกาม่านหลินเหรอ? เธออยากได้ยินคำตอบจากปากของไป๋ทิงซินเอง!“คุณเกา ฉันอยากคุยกับไป๋ทิงซินตามลำพัง พอจะเป็นไปได้ไหมคะ?” ห
“อย่างนั้นเหรอ? งั้นเธอก็ยังโชคดีสินะ” ไป๋ทิงซินกล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ“ใช่ เธอก็โชคดีพอที่ถูกเจอตัวในทันที และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่บางทีโชคของเธอคงจะหมดไปแล้ว ตามที่หมอบอก อาการของเธอวิกฤติอยู่หลายครั้ง มีแค่ช่วงนี้ที่เธอพอจะรู้สึกตัวบ้าง แต่เมื่อวานจู่ ๆ หมอก็บอกว่าอาการของเธอวิกฤติอีกครั้ง เธอน่าจะนอนเป็นผักตลอดไป ถึงแม้จะยังมีลมหายใจอยู่ก็ตาม” อี้จิ่นหลีพูดช้า ๆ น้ำเสียงของเขาฟังเหมือนกำลังพูดถึงข่าวสารทั่วไปถึงอย่างนั้นสีหน้าของไป๋ทิงซินก็เปลี่ยนไปในทันที เขาลุกขึ้นในทันที “จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง?”“นั่นทำให้คุณประหลาดใจเหรอ?” อี้จิ่นหลียิ้ม “ยังไงข่าวเรื่องที่ตระกูลไป๋กับตระกูลเกาจะควบรวมกิจการกันผ่านการแต่งงานก็กระจายไปทั่วทั้งอินเทอร์เน็ตแล้ว ตอนนี้ทุกคนคงได้เห็นข่าวนี้แล้ว ไม่ยกเว้นแม้แต่ชินเหลียนอี แต่ดูเหมือนคุณจะยังสนใจชินเหลียนอีอยู่อีกเหรอ ประธานไป๋?”ไป๋ทิงซินดูเหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าเมื่อกี้นี้เขาตื่นเต้นเกินไปหน่อย เขามองอี้จิ่นหลี และไม่พูดอะไรไปครู่หนึ่งเกาม่านหลินขมวดคิ้ว และค่อย ๆ อ้าปากสีแดงสดของเธอถามอย่างไม่ค่อยพอใจว่า “ทิงซิน คุณเป็นอะไรไปคะ?”ไป่ทิ
หลิงอี้หรานได้ยินเสียงเพื่อนสนิทพูดช้า ๆ ทีละคำมาจากปลายสายว่า “อี้หราน... ฉัน... ฉันอยากเจอ... ทิงซิน... เธอ... เธอจะพาเขามาได้ไหม... ช่วยฉัน... ติดต่อเขา... บอกเขา... ฉันอยากเจอ... ฉันเชื่อใจเขา... ไม่ว่ายังไงก็เชื่อใจเขา...”หลิงอี้หรานน้ำตาแตกออกมาในทันทีเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะตอบเหลียนอีอย่างไร ไป๋ทิงซินที่เหลียนอีเชื่อใจตอนนี้กำลังคบกับผู้หญิงคนอื่นอยู่ บางที... คำตอบที่ออกมาอาจจะไม่ใช่แบบที่เหลียนอีอยากฟังเลยก็ได้!น้ำตาของหลิงอี้หรานทำให้ไป๋ทิงซินพุ่งเข้ามาในทันที “เกิดอะไรกับเหลียน? เหลียนอีเป็นอะไรไป?”หลิงอี้หรานร้องไห้ และก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร ไป๋ทิงซินก็ฉวยมือถือในมือเธอไป และตะโกนใส่ปลายสายอย่างเป็นกังวล “เหลียนอีเป็นอะไร?!”“ทิงซิน...” เพียงคำเดียวจากปลายสาย แต่ทำให้ไป๋ทิงซินชะงักค้างไป‘เสียงของ... เหลียนอี!’ริมฝีปากของเขาสั่นเทา และขยับเล็กน้อยราวกับต้องการพูดอะไรสักอย่าง แต่ดูเหมือนคำพูดทั้งหมดของเขาจะติดอยู่ในคอ และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว“ทิงซิน... ฉัน... ฉันอยากเจอคุณ ไม่ว่า... คุณจะพูดอะไร... ฉันก็อยาก... ได้ยินจากคุณ... ถ้า... คุณไม่มาหาฉัน
“เป็นอะไรไหม? โอเคหรือเปล่า?” ตอนนี้เป็นอี้จิ่นหลีที่ตระหนกตกใจ ในนาทีที่เขาเห็นเธอตัวเอนไปข้างหลังเหมือนจะล้มลง เลือดของเขาดูเหมือนจะโดนแช่แข็งไปหลิงอี้หรานตกใจจนหน้าซีดเธอรู้ว่าตัวเองกังวลมาก เพราะถ้าเธอล้มลง เด็กในท้องของเธอทั้งสามคนก็จะตกอยู่ในอันตรายได้“ฉัน... ไม่เป็นไรค่ะ” หลิงอี้หรานพูดหลังจากกลับมาตั้งสติได้อี้จิ่นหลีช่วยประคองให้หลิงอี้หรานยืนได้อย่างมันคงและมองไป๋ทิงซินอย่างเย็นชา “ประธานไป๋ ช่วยระวังด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยาผมเมื่อกี้นี้ ผมจะทำให้ตระกูลไป๋หายไปจากเมืองไป๋แน่”ไป๋ทิงซินตอบหน้าตาย “เหรอครับ? นายน้อยอี้ ดูเหมือนคุณจะมองตัวเองสูงส่งไปนะ ไม่ใช่แค่เมืองเฉิน แต่จะเข้าไปยุ่งกับเมืองเจด้วยเหรอ? นายน้อยอี้ ถ้าคุณทำให้ตระกูลไป๋หายไปได้ก็ลองดูสิ”จากสถานการณ์ของระหว่างชายสองคนนี้ ในตอนนี้ดูเหมือนว่าสงครามจะเกิดขึ้นได้ทุกนาทีหลิงอี้หรานดึงอี้จิ่นหลีไว้และพูดว่า “พอแล้วค่ะ ตอนนี้เหลียนอีสำคัญที่สุดนะ!”ขณะพูด เธอก็มองไป๋ทิงซินและพูดว่า “คุณต้องไปหาเหลียนอีให้ได้ในวันนี้ให้ได้เลยหรือไง?”ไป๋ทิงซินไม่พูดอะไร แต่ความเงียบของเขาก็เป็นคำตอบเช่นกัน“ฉันรู้ว่าฉ