โจวเชียนหยุนตามเย่เหวินหมิงไปยังห้องนั่งเล่นของห้องชุดนี้ เขาหยุดและหันกลับมามองเธอด้วยสายตาเย็นชา “เธอมาที่นี่แล้วพูดเรื่องยอมรับข้อเสนอของฉัน ทำไมเหรอ? เธอจะยอมแพ้เรื่องสิทธิ์การเลี้ยงดูอาหยันน้อยหรือไง?”“ค่ะ” ปากของโจวเชียนหยุนกล่าวคำนั้นออกมาแผ่วเบา ถึงอย่างนั้นเมื่อพูดออกไปแล้วเธอกลับรู้สึกราวกับว่ากำลังสั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณของเธอคำว่า ‘ค่ะ’ นั้นทำให้เย่เหวินหมิงขมวดคิ้วเขาควรจะต้องมีความสุขที่เธอเต็มใจจะยอมแพ้สิทธิ์ในการเลี้ยงดูอาหยันน้อย เพราะจะได้ไม่ต้องเปลืองเวลาและพลังงานของเขาทว่าไม่รู้ทำไมเขาจึงไม่มีความสุขเลย“เธอจะยอมแพ้เรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกจริงเหรอ?” เขาหรี่ตาและมองเธออย่างเฉียบขาดโจวเชียนหยุนยิ้มขมขื่น “เรื่องที่ฉันยอมแพ้ในสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องการเหรอคะ? แต่ฉันหวังว่าคุณจะสัญญากับฉันไว้สองอย่าง”รอยยิ้มเจื่อนของเธอกระจ่างจ้าสำหรับเขาเป็นพิเศษ“ได้ ว่ามาสิ” เขาพูดขณะนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทีเมินเฉย“อย่างแรก ฉันหวังว่าคุณจะดูแลอาหยันน้อยด้วยตัวเองแทนที่จะส่งอาหยันน้อยให้คงจื่ออินดูแลทั้งหมดเพียงคนเดียว แม้ว่าพวกคุณจะกลายเป็นสามีภร
“นั่นมันเรื่องของฉัน เย่เหวินหมิง ตราบใดที่คุณสัญญาฉันสองอย่างนี้ ฉันจะให้สิทธิ์การเลี้ยงดูอาหยันน้อยแก่คุณ!” เธอก้าวถอยหลังเพื่อสร้างระยะห่างระหว่างพวกเขา“ในเมื่อเธอคิดว่าอาหยันน้อยเป็นภาระ ทำไมต้องรอสามเดือนด้วยล่ะ? ฉันเอาเขาไปตอนนี้เลยก็ได้”“ไม่!” เธอตะโกนเสียงแหลมในลำคอ ราวกับว่ามีใครพยายามเอาชีวิตเธอไป “เย่เหวินหมิง ฉันแค่ต้องการเวลาอยู่กับเขาสามเดือน คุณจะให้สามเดือนนั่นกับฉันไม่ได้เลยเหรอ?”“สามเดือน?” เขากล่าวเย้ย “ในเมื่อเธอไม่อยากได้ลูกชายอีกแล้ว ทำไมต้องดื้อด้านอยากได้สามเดือนนั่นด้วยล่ะ?”เธอกัดริมฝีปากล่างแน่น หลังจากนั้นก็กล่าวว่า “ถ้าไม่ให้สามเดือนนี้กับฉัน งั้น... ฉันก็ไม่ยอมแพ้เรื่องสิทธิ์การเลี้ยงลูก”เขามองเธออย่างใช้ความคิด “อยู่ ๆ เธอก็มาที่นี่เพื่อบอกฉันเรื่องพวกนี้ หรือว่าเธอไปเจอใครเข้าและอยากจะเริ่มชีวิตใหม่เหรอ? เพราะแบบนั้นเธอก็เลยเปลี่ยนใจและอยากยอมแพ้เรื่องสิทธิ์เลี้ยงลูกงั้นเหรอ?”เธอเงียบและไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรถึงอย่างนั้นความเงียบของเธอเท่ากับการยอมรับสำหรับเขา!จู่ ๆ เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีหนามแหลมตำหัวใจ และหนามเหล่านั้นก็เติบโตยาวขึ้น แหลมขึ
“ไม่... ไม่เป็นไร...” เธอพูดอย่างยากลำบาก ในเวลาไม่ถึงหนึ่งหรือสองนาที ใบหน้าของเธอก็ขาวซีดราวกระดาษ และดูเหมือนจะเจ็บปวดมากสภาพของเธอดูเหมือนจะทำให้หัวใจของเขาเป็นกังวล “ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล”“ไม่!” เธอจับแขนของเขาไว้อย่างแรงจนเจ็บ “ฉันไม่เป็นไร ปัญหาเดิม ๆ แหละ ฉันไม่เป็นไร... อีกไม่นานก็หาย คุณ... ยอมรับเงื่อนไขของฉันไหม?” เธอถามด้วยความยากลำบากเขาจ้องมองเธอ ‘ปัญหาเดิม ๆ เหรอ? เธอไปมีปัญหาพวกนี้ตอนไหน? ตอนที่เราอยู่ด้วยกันเธอไม่เคยเป็นแบบนี้'‘หรือว่าเธอได้มันมาตอนที่อยู่ในคุกเหรอ?’“คุณ... คุณจะ... ยอมรับไหม?” เธอถามอีกครั้งราวกับต้องการคาดคั้นเอาคำตอบเขามองเธอด้วยดวงตาสีเข้ม และหลังจากนั้นพักใหญ่ สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นว่า “โอเค สามเดือนใช่ไหม? ก็ได้!”มีรอยยิ้มโล่งใจปรากฏตรงมุมปากของเธอ ภาพของเธอที่ยิ้มด้วยใบหน้าซีดเซียวและอ่อนแรงนั้นทำให้เธอดูสวยงามแต่ก็บอบบาง ในตอนนั้นเย่เหวินหมิงไม่สามารถอธิบายได้ว่าเขารู้สึกอย่างไรโจวเชียนหยุนคลายมือออกและยืนตัวตรงขณะที่สั่นเทิ้ม “งั้นฉัน... ก็จะส่งอาหยันน้อยให้คุณ... ในอีกสามเดือน คุณเย่ ฉันหวังว่าคุณจะดูแลอาหยันน้อยเป็นอย่างดีนะคะ”
“พี่โจว นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่? ทำไมอยู่ ๆ พี่ถึงยอมแพ้เรื่องสิ์ทธิการเลี้ยงดูอาหยันน้อยล่ะ?” หลิงอี้หรานถาม“โอกาสในการชนะมันน้อยมาก และ... อย่างที่เธอเห็น ฉันมีแค่ร้านอาหารแผงลอยเล็ก ๆ หาเงินก็ได้ไม่มาก อาหยันน้อยต้องใช้เงินอีกมากในอนาคต ถ้าเขาอยู่กับฉัน เขาจะไม่ได้เข้าโรงเรียนดี ๆ และไม่มีเงินไปเขาห้องติวหลังเลิกเรียนด้วย ไหนจะเรื่องค่าอาหาร ค่าเสื้อผ้าอีก? ฉันคงจะทำให้เขาได้รับแต่สิ่งเลวร้ายเท่านั้น!”หลิงอี้หรานรีบกล่าวว่า “ฉันทำให้อาหยันน้อยมีชีวิตที่ดีได้นะคะ! ฉันชอบอาหยันน้อยมาก ฉันคิดว่าเขาเป็นลูกอุปถัมภ์ของฉันเอง!”“ขอบคุณนะ หลิงอี้หราน” โจวเชียนหยุนฝืนยิ้ม “เธอช่วยพี่มามากพอแล้วล่ะ อีกอย่าง... ถ้าอาหยันน้อยไม่มีพ่อ พี่คงรับน้ำใจเธอไว้แล้วล่ะ แต่ในเมื่อเขายังมีพ่อและพ่อของเขาสามารถมอบชีวิตที่ดีให้เขาได้ เขาก็ควรจะได้อยู่กับพ่อ”“แต่พี่โจว พี่อยากทำแบบนั้นเหรอคะ?” หลิงอี้หรานถาม ตั้งแต่ที่เธอตั้งท้องมา เธอก็ตระหนักถึงความเกี่ยวพันของแม่และลูกมากขึ้น นอกจากนั้นพี่โจวยังเลี้ยงอาหยันน้อยมาตั้งสี่ปีโจวเชียนหยุนพึมพำ “ฉันต้องทำแบบนี้ถึงแม้จะไม่อยากทำก็ตาม ฉันแค่อยากจะเลือ
อี้จิ่นหลีตอบว่า “โอเค เธอควรเข้านอนได้แล้ว หยุดคิดมากได้แล้วนะ”“เอ่อ... ดูเหมือนฉันจะหิวนิดหน่อยน่ะค่ะ” หลิงอี้หรานโพล่งออกมา“งั้นฉันจะให้คนไปเตรียมอาหารให้” เขาพูดขณะยกเท้าออกจากเตียง“ไม่ค่ะ ดึกแล้ว นั่นเสียมารยาทนะคะที่ไปปลุกใครมาเพื่อแค่ทำอาหารให้ฉัน อีกอย่าง... ฉันแค่อยากกินซุปผลไม้ ฉันเข้าครัวไปทำเองได้ค่ะ” หลิงอี้หรานกล่าว“ฉันทำให้เธอเอง” อี้จิ่นหลีกล่าว“คุณน่ะเหรอคะ?” เธอตะลึงไป“ก็แค่ซุปผลไม้ไม่ใช่เหรอ แป๊บเดียวเอง” เขาตอบท้ายที่สุดหลิงอี้หรานก็ออกจากห้องนอนไปพร้อมกับอี้จิ่นหลี และพวกเขาก็ไปยังห้องครัวด้วยกันทั้งคู่ขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สตูลข้างบาร์ในครัว หลิงอี้หรานก็หุบยิ้มกว้างของตัวเองไม่ลงพลางมองอี้จิ่นหลีหยิบผลไม้ออกมาจากตู้เย็น ปอกเปลือก หั่นเป็นชิ้น และทำให้มันกลายเป็นซุปตอนนี้เขาดูเหมือนสามารถเข้าถึงได้มากกว่าเดิม ราวกับว่าช่องว่างระหว่างพวกเขาได้ค่อย ๆ น้อยลง เขาไม่ได้แผ่ความรู้สึกสูงส่งทรงอำนาจเหมือนเมื่อก่อนแล้วหลิงอี้หรานเอามือเท้าคางและมองอี้จิ่นหลีที่กำลังวุ่นวาย เธอชอบสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่ในตอนนี้มาก ทั้งเงียบสงบและอบอุ่นในไม่ช้าซุปผลไม้ก
เธอค่อย ๆ ใช้ช้อนตักซุปผลไม้ขึ้นมาขณะพูด “เหมือนกับผลไม้ในซุปนี้ บางผลอาจจะเปรี้ยว บางผลอาจจะหวาน คุณตั้งใจจะเสียใจไปทุกวันเกิดเลยหรือไงคะ? อีกอย่าง คุณจะทุกข์ทนไปทุกวันเกิดของฉันเลยเหรอ?” เธอกล่าวแหย่เล่น“ฉันขอโทษ ฉันไม่น่าเลิกกับเธอเลย!” อี้จิ่นหลีพึมพำ“งั้นเราก็จำไว้เตือนใจและไม่พูดเรื่องเลิกกันอีก โอเคไหมคะ?” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มจาง ๆเขาตะลึงไป ดวงตาดอกท้อสีเข้มของเขาจ้องมองเธอไม่วางตา หลังจากนั้นสักพักเขาก็กล่าวเสียงแหบว่า “งั้นก็เอาตามนี้ ไม่พูดเรื่องเลิกกันอีก”“ค่ะ ถ้าคุณไม่รู้ว่าอยากได้ของขวัญเป็นอะไร งั้นฉันจะเตรียมมาเอง คุณจะมาบอกว่าไม่ชอบไม่ได้นะ” หลิงอี้หรานกล่าวและก้มหน้ากินซุปตรงหน้าของเธออี้จิ่นหลีมองหลิงอี้หราน และความรู้สึกเจ็บปวดก็แล่นผ่านแววตาของเขา‘นี่เป็น... เรื่องจริงใช่ไหม? เราจะไม่พูดเรื่องลิกกันอีกแล้วใช่ไหม?‘เธอจะรู้ไหมว่าความกลัวสุดชีวิตของฉันคือวันหนึ่งเธอเลือกที่จะจากฉันไป?‘เธอรู้ไหมว่าฉันหวังว่าเธอจะรักษาสัญญาไว้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม?’ ...หลิงอี้หรานกังวลเรื่องของขวัญของอี้จิ่นหลีเล็กน้อย อย่างไรเขาก็มีทุกอย่างแล้ว นอกจากนี้เธอยั
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่เหรอ?” สีหน้าแข็งกร้าวของกู้ลี่เฉินราวกับจะแตกออก นั่นเป็นเหตุการณ์กำหนดชะตาชีวิตสำหรับเขา แต่กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนแบบพวกเขางั้นเหรอ?“ลองพูดแบบนั้น... อีกทีสิ!” กู้ลี่เฉินกล่าวด้วยเสียงเย็นชา และมีความโกรธเคืองบางอย่างปรากฏบนใบหน้าสวยงามแต่เฉยเมยนั้นป้าสามตะลึงไป เธอรู้สึกได้เพียงว่าอยู่ดี ๆ กู้ลี่เฉินก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาดูเหมือนดาบที่ออกจากปลอก และพร้อมจะฟาดฟันฆ่าเธอได้ทุกเมื่อ“ฉัน... ฉันแค่พูดว่า... ไม่... ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย เงินที่ลี่ฟางเอาไป... เอาไปจากคุณก็เป็นเพียงเศษเงินสำหรับคุณเท่านั้น!”“ฮะฮะ... ฮ่าฮ่า...” จู่ ๆ กู้ลี่เฉินก็หัวเราะและเหวี่ยงหมัดไปเพื่อต่อยป้าสาม เย่ฉงเว่ย รีบจับกู้ลี่เฉินไว้ทันที“พอเถอะลี่เฉิน ทำไมต้องไปสนใจเรื่องที่คนอย่างเธอพูดด้วย ใช่ไหม?” เย่ฉงเว่ยกล่าว“เธอบอกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฮะฮ่าฮา... ไม่คิดว่ามันตลกเหรอ? เธอบอกว่าสิ่งที่ทำลายชีวิตของฉัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร...” กู้ลี่เฉินหัวเราะ แต่เสียงหัวเราะของเขาก็สะอึกด้วยแรงสะอื้น“ตอนนี้ ๆ หยุดคิดมากก่อนดีกว่า” เย่ฉงเว่ยกล่าวปลอบใจเขาทันใดนั้นกู้ลี่เฉินก็
ป้าสามตะลึงไป แต่จากนั้นก็พูดว่า “ยังไงเราก็ยังเป็นญาติกันนะ! เธอไม่กลัวว่าคนจะพูดลับหลังเธอที่ไม่ช่วยเราว่ายังไงเหรอ?”“คนทำผิดยังไม่กลัวข่าวซุบซิบเลย ทำไมฉันที่เป็นเหยื่อต้องกลัวด้วยล่ะ? อีกอย่าง ลี่ฟางก็ไม่ได้เห็นฉันเป็นญาติในตอนที่ทำร้ายฉันด้วยซ้ำ” หลิงอี้หรานหัวเราะใบหน้าของป้าสามซีดเผือดในทันที เธอพยายามใช้การกระทำแบบคนแก่สั่งสอนหลิงอี้หราน ด้วยการยกมือขึ้นเพื่อผลักหลิงอี้หราน แต่บอดี้การ์ดจับนิ้วของเธอเอาไว้ในตอนที่เอื้อมไปหาหลิงอี้หรานในทันใดนั้นนิ้วของป้าสามรู้สึกราวกับว่ากำลังจะหักจนเธอร้องออกมา“ป้าสาม ไม่แตะฉันจะดีกว่านะคะ บอดี้การ์ดฉันไม่เงอะงะนะ คุณจะเป็นคนเดียวที่ต้องเจ็บตัวนะ ป้าสาม” หลิงอี้หรานกล่าวอย่างเย็นชาป้าสามโกรธจัด แต่ก็เจ็บนิ้วมากจนทำได้แค่ดึงมือออกและมองหลิงอี้หรานด้วยสายตาเป็นฟทนเป็นไฟ “โอเค โตแล้วสิ? คอยดูเถอะ ฉันจะดูว่าแกจะหยิ่งไปได้สักแค่ไหนกันเชียว!”“ถ้ากล้าทำอะไรเธอ ผมรับประกันได้เลยว่าไม่ใช่แค่หวาลี่ฟาง แต่ทั้งครอบครัวคุณก็เข้าคุกได้เหมือนกัน!” จู่ ๆ กู้ลี่เฉินก็กล่าวออกมาเสียงดังป้าสามตกใจจนหน้าซีดและจากไปเงียบ ๆ ด้วยความเสียหน้ากู้ลี่เฉ