‘นี่มัน... เสียงของอี้หราน!’ ในทันใดนั้นอี้จิ่นหลีก็ดูเหมือนจะได้สติคืนมา ดวงตาสีดำของเขาที่เคยเต็มไปด้วยความเดือดดาลก็ค่อย ๆ ลดน้อยลงไป“จิน ไปกันเถอะ ฉันไม่สนเรื่องที่ชายคนนี้พูด คุณเองก็ไม่ต้องไปสนใจ! ไม่จำเป็นต้องเอามือไปเปื้อนคนสกปรกแบบนี้หรอกค่ะ!” หลิงอี้หรานกล่าวอย่างเป็นห่วง“เธอ... ไม่สนใจเหรอ?” อี้จิ่นหลีพึมพำ“ค่ะ ฉันไม่สนใจ!” เธอตอบเขาด้วยคำตอบที่ฟังดูหนักแน่นในที่สุดนิ้วของเขาก็ค่อย ๆ คลายออกหลิงกว๋อจื้อรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด เขาตกใจมากจนพูดไม่ออกสักคำ ในขณะที่ฟางซุ่ยเอ๋อก็ได้แต่ตัวสั่นทำอะไรไม่ถูกอยู่ข้าง ๆหลิงอี้หรานเหลือบมองพ่อและแม่เลี้ยงของเธอพลางพูดอย่างเย็นชาว่า “เรื่องหลิงลั่วอิน เธอสมควรได้รับผลกรรมกับสิ่งที่ทำลงไปแล้ว ฉันไม่มีทางช่วยอะไรแน่ ๆ และไม่คิดจะเอาคืนด้วย สำหรับพวกคุณสองคน เราไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันอีกต่อไป และตอนนี้คนเดียวที่เป็นครอบครัวของฉะนคือ จิน!”เธอว่าแล้วเดินเข้าไปในคฤหาสน์พร้อมจับมืออี้จิ่นหลีไว้หลิงกว๋อจื้อและฟางซุ่ยเอ๋อยังคงตกตะลึงและพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวอี้จิ่นหลีเดินตามหลิงอี้หรานไปติด ๆ ในหัวของเขายังคงมีคำพูดที่เธอเพิ่งพูด
อี้จิ่นหลียังคงเจ็บปวดจากความกลัวในหัวใจเมื่อคิดถึงเรื่องนั้นแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะอยู่ตรงหน้าเขา แต่ก็ไม่สามารถหยุดหัวใจของเขาที่สั่นจากความกลัวได้เลยหลิงอี้หรานพึมพำ “ค่ะ ฉันรอดมาได้ ฉันแค่สงสารห่าวเหมยยวี่... แต่เราก็หาสาเหตุจริง ๆ ของอุบัติเหตุได้ และตอนนี้ทุกอย่างก็จบลงแล้ว”อี้จิ่นหลียังคงเงียบ ‘สาเหตุจริง ๆ งั้นเหรอ... อันที่จริง... เธอไม่รู้อะไรเลย’ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าอธิบายทุกอย่างให้เธอฟังเธอมีความยุติธรรมในตัวสูงมาก แล้วเธอจะทนกับคนที่รู้ความจริง แต่เลือกที่จะเมินได้อย่างไร?“เกิดอะไรขึ้น? ทำไมสายตาคุณเป็นอย่างนั้นล่ะคะ?” หลิงอี้หรานถามค่อนข้างแปลก “เหมือนคุณทำผิดมาและไม่รู้ว่าต้องทำยังไง”ขนตาของอี้จิ่นหลีสั่นเล็กน้อย “แล้วถ้า... ฉันทำผิดจริง ๆ ล่ะ?”หลิงอี้หรานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นก็บอกความจริงมาสิคะ แล้วคุณจะได้รับโทษสถานเบา แต่ถ้าให้การปฏิเสธ คุณจะต้องได้รับโทษสถานหนักนะ”“ฉันจะได้โทษสถานเบาถ้ารับสารภาพงั้นเหรอ?” เขาถาม“ทำไมไม่ลองพยายามสารภาพดูล่ะคะ?” เธอหยอกล้อ เธอไม่คิดว่าเขาทำอะไรผิด และแม้ว่าเขาทำ เขาก็จะสามารถแก้ไขมันได้ แต่...“จิน คุณบอกฉันถึงส
‘จินกังวลเรื่องอะไรกันนะ? เราคืนดีกันแล้วและเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ทุกอย่างกำลังไปในเส้นทางที่ถูกที่ควร!'‘หรือจะเป็นความเข้าใจผิด?’เมื่อจูบนั้นจบลง ใบหน้าของเขาก็ปกคลุมไปด้วยความปรารถนา และดวงตาดอกท้อทรงเสน่ห์ของเขาก็จ้องมองเธอไม่วางตา “อี้หราน...” เสียงของเขาแหบพร่าและบดขยี้จิตวิญญาณ เขากระซิบชื่อเธอ แต่ดูเหมือนมันทำให้จิตวิญญาณของเธอสั่นไหว“ฉัน... ฉันทำตอนนี้ไม่ได้ มันจะเสี่ยงแท้งได้นะ...” เธอทำได้เพียงย้ำเตือนเขา“ฉันรู้ ฉันไม่ทำเรื่องนั้นกับเธอหรอก” เขาพูดขณะที่หอบเล็กน้อย เพราะเธอต่อสู้เพื่อลูกทั้งสามไว้ด้วยชีวิต เขาจึงจะทะนุถนอมพวกเขาไว้เช่นกัน “อย่าเพิ่งขยับนะ ให้ฉัน... กอดเธอไว้แบบนี้สักพัก”เสียงของเขาให้ความรู้สึกรัก แขนของเขาโอบรอบตัวเธอไว้อย่างอ่อนโยน และใช้ความอดกลั้นทั้งหมดไปกับการสะกดกลั้นความปรารถนาในร่างกายหลิงอี้หรานอยู่เงียบ ๆ ในอ้อมแขนของอี้จิ่นหลี เธอรู้สึกได้ถึงร่างกายที่แข็งเกร็งของเขา และรับรู้ว่าเขากำลังพยายามอดกลั้นตัวเองไว้‘บางทีเขาเต็มใจที่อดกลั้นเรื่องนี้ไว้เพื่อฉันกับลูก และทำให้ฉันรักเขามากขึ้น'‘มากขึ้นเหรอ?’ หลิงอี้หรานชะงักไปกับความคิดที่แ
โจวเชียนหยุนกอดลูกชายไว้พลางพูดว่า “รู้อะไรไหม? ลูกสำคัญที่สุดสำหรับแม่ แม่ไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดถึงแม่ยังไง แม่จะเสียใจถ้าลูกต้องเจ็บ”เจ้าตัวเล็กพยักหน้าด้วยความแน่วแน่ในดวงตา “ผมจะไม่ทำให้แม่เสียใจอีกครับ!”โจวเชียนหยุนยิ้มอย่างอ่อนโยนและลูบใบหน้านุ่มนิ่มของลูกชาย ความสัมพันธ์ระหว่างคู่แม่กับลูกชายทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกอบอุ่น เย่เหวินหมิงตกอยู่ในภวังค์ความคิดเมื่อเห็นสิ่งนี้เขาไม่เคยคิดถึงเธอในบทบาทการเป็นแม่มาก่อน แต่ตอนนี้เขากำลังเห็นเธอเล่นบทบาทแม่ต่อหน้าต่อตาตัวเองความคิดของเขาย้อนนึกถึงตอนที่เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนที่เรามีลูกกัน คุณน่าจะเป็นพ่อที่เข้มงวดแน่เลย”“แล้วคุณล่ะ?” เขาถาม“ฉันเหรอ? คงจะเป็นแม่ที่น่ารัก”“คุณเคยได้ยินไหมว่าแม่ที่น่ารักจะเลี้ยงลูกไม่ได้เรื่อง?”“แม่น่ารัก ๆ แบบฉันจะเป็นแม่ที่ดีค่ะ ฉันจะเลี้ยงลูกให้ดี!”เขาไม่รู้ว่าเธอสอนลูกอย่างไร แต่อย่างน้อยเขารู้ว่าเธอเป็นแม่ที่ดีของลูกในทันใดนั้นโจวเชียนหยุนก็ขมวดคิ้วและสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป จากนั้นเธอก็พูดกับเจ้าตัวน้อยว่า “อาหยันน้อย คุยกับพ่อไปก่อนนะลูก แม่ไปเข้าห้องน้ำก่อน”พูดจบโจวเชียนหยุนก็หม
เขาเหม่อมองไปยังร่างสูงและร่างเล็กซึ่งเดินกุมมือกันไปโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้กลับไปโดยทันที และยังค่อย ๆ หลับตาพิงเบาะนั่งอย่างหนักอึ้งหลังจากที่ทั้งสองหายไปจากสายตาของเขา‘ฉันเป็นอะไรไป?’ เขารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองอบอุ่นเมื่อมองภาพของโจวเชียนหยุนกับอาหยันน้อยอยู่ด้วยกัน นี่เขาคิดว่าโจวเชียนหยุนเป็นแม่ที่ดีอย่างนั้นเหรอ? เขายังลังเลเล็กน้อยเมื่อคิดว่าจะต้องสู้กันเรื่องสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกแม้โจวเชียนหยุนจะเป็นแม่ที่ดีของอาหยันน้อย แต่ลูกชายของเขาต้องไม่โดนเลี้ยงด้วยคนบ้านโจว!ทั้งหมดนี่เป็นเพราะโจวเชียนหยุนมีพ่อเป็นคนแบบนั้น! ทำไมพ่อของเธอต้องกดดันตระกูลเย่และเกือบทำลายครอบครัวของพวกเขาลงด้วย?เวลาผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ เย่เหวินหมิงก็เห็นโจวเชียนหยุนขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างร้านอาหารของเธอออกมาจากหมู่บ้าน ร่างผอมบางของเธอขี่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าธรรมดา ๆ ที่ดูเหมือนเธอจะปลิวไปหากมีลมพัดมาในตอนนั้นเองที่รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหยุดลง โจวเชียนหยุนก้มหน้าลงและกุมส่วนบนของช่องท้องด้วยร่างกายที่สั่นเล็กน้อยเย่เหวินหมิงขมวดคิ้วเปิดประตูรถและรีบเดินไปยังรถพ่วงข้าง จากนั้นเขาก็เห็นใบหน้าของโจวเช
อี้จิ่นหลีจ้องมองนิ้วมือของหลิงอี้หราน “แน่ใจนะว่าไม่เจ็บเท่าไหร่?”“คุณคิดว่าฉันเจ็บมากแค่ไหนเหรอคะ?” หลิงอี้หรานยิ้มบาง ๆ “คุณก็รู้ว่าข้อนิ้วของฉันมันก็ปวดอย่างนี้แหละค่ะเวลาที่เย็นหรืออากาศชื้น ฉันจะไปหาหมอซูให้เขาดูให้พรุ่งนี้”พูดเรื่องนี้แล้ว หมอซูเคยบอกให้เธอไปรับการรักษาสัปดาห์ละครั้ง แต่เพราะมีหลายเรื่องเกิดขึ้นทั้งเธอยังตั้งท้องด้วยทำให้เธอไม่ได้ไปหาเขาเลยเธอสงสัยว่าถ้าไปหาหมอซูคราวนี้ เธอคงจะโดนโกรธแน่เลย“งั้นพรุ่งนี้ฉันจะไปกับเธอ” เขาพูด“ขอบคุณนะคะ แต่ไม่เป็นไร คุณมีงานต้องทำ ฉันไปเองได้ค่ะ” เธอกล่าว“ฉันจะไปกับเธอ” เขาพูดเมื่อได้ยินอย่างนั้นหลิงอี้กรานก็เลิกปฏิเสธ เธอกำลังจะทานต่อในตอนที่จู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ให้ฉันป้อนสิ”“ป้อนเหรอคะ?” เธอตะลึงไปเล็กน้อย“เธอเจ็บมือไม่ใช่หรือไง? เธอถือตะเกียบไม่สะดวก ให้ฉันป้อนดีกว่า” เขาพูดเป็นเรื่องจริงที่เธอปวดนิดหน่อย แต่มันไม่ได้รุนแรงมากจนใช้ตะเกียบหยิบอาหารไม่ได้เสียหน่อยถึงอย่างนั้นเมื่อเห็นอี้จิ่นหลีดึงตะเกียบออกจากมือเธอไป หลิงอี้หรานก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและรับอาหารที่เขาป้อนให้ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงตั้งอกตั้
“หยุดการรักษาเหรอ?” หมอซูขมวดคิ้วทันที “นี่เธอลืมเรื่องความร้ายแรงของการหยุดรักษากลางคันไปแล้วเหรอ? โชคดีที่เธอไม่ได้หยุดไปนานเลยไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ถ้าเป็นปี...”หลิงอี้หรานกล่าวว่า “ฉันท้องค่ะ ถ้าเรายังทำการรักษาต่อไป มันจะไม่ส่งผลต่อเด็กในท้องเหรอคะ? เพราะอย่างนั้นเราเลยทำได้แค่ต้องหยุดการรักษาไว้ก่อน”สีหน้าของหมอซูชะงักค้าง “อันที่จริงถ้าเธอตั้งท้องเราก็ใช้วิธีการรักษาแบบนั้นไม่ได้ แต่ถ้าเธอหยุดการรักษาไปตอนนี้ อาการที่มือของเธอก็จะยิ่งแย่ลง เธออาจจะไม่สามารถกำมือได้อีก”สีหน้าของอี้จิ่นหลีเปลี่ยนไปทันที “เป็นแบบนั้นไปได้ยังไง?”“อย่างแย่ที่สุดก็คือมือเธออาจพิการ” หมอซูกล่าวเสริมสีหน้าของอี้จิ่นหลีบูดบึ้งกว่าเดิม “เป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ?”หมอซูยิ้มบาง ๆ “ผมอธิบายความเป็นไปได้สำคัญ ๆ ที่อาจเกิดขึ้นก่อนการรักษาให้เธอฟังแล้ว!”หลิงอี้หรานพูดว่า “จะบอกว่า ฉันเลื่อนการรักษาออกไปสักปีไม่ได้ใช่ไหมคะ?”“ไม่ใช่ว่าเธอจะรับการรักษาไม่ได้อีก แต่แค่ความเจ็บที่เกิดขึ้นจะมากกว่าที่เธอเคยเป็น อีกอย่างถ้าอาการของมือเธอแย่ลงจนใช้การไม่ได้แล้วก่อนการรักษา งั้นมันก็รักษ
หลังจากขึ้นรถอี้จิ่นหลีก็หยิบใบสั่งยาจากมือของหลิงอี้หรานไป เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ฉันจะให้คนไปตรวจใบสั่งยาทีหลัง”“คุณกลัวว่ามันจะมีอะไรผิดปกติเหรอคะ?” หลิงอี้หรานถาม“ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีอะไรผิดปกติ แต่มันก็ดีกว่าถ้าเราระวังเอาไว้” อี้จิ่นหลีกล่าว พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเธอเขาก็กังวลไปเสียหมดอี้จิ่นหลีจับมือของเหลิงอี้หรานไว้และก้มมองมันพลางพูด นิ้วของเธอเรียวบางเหมือนกับรูปร่างของเธอ แต่เพราะแบบนั้นข้อต่อที่ผิดรูปจึงสามารถมองเห็นได้ชัดเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นมือของเธอเขารู้สึกผิด รู้สึกเสียใจ ทั้งยังรู้สึกอับจนหนทางเขาร่ำรวยมากและสามารถมีทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ทว่าเขากลับรู้สึกอับจนหนทางเมื่อเป็นเรื่องมือของเธอแม้ว่าเขาจะหาผู้เชี่ยวชาญสาขาที่เกี่ยวข้องหลายต่อหลายคนมาให้กับเธอ แต่พวกเขาก็ลงมติกันว่าทำได้เพียงทุเลาความเจ็บปวดที่มือของเธอลงได้เท่านั้น พวกเขาไม่สามารถทำให้มือของเธอเคลื่อนไหวลื่นไหลเหมือนคนปกติทั่วไปได้ถ้าเธอเลือกที่จะรักษามันในหนึ่งปีหลังจากนี้ เขาคงไม่สามารถยกโทษให้ตัวเองได้หากมีอะไรเกิดขึ้นกับมือของเธอ เขายอมเสียเด็กสามคนนี้