“เธอมองจนทำเอาฉันคิดว่าเธอมีความรู้สึกลึกซึ้งให้ฉัน และเธอก็รักฉันมากแล้วนะ!” อี้จิ่นหลีพูดขณะที่จู่ ๆ เขาก็เงยหน้ามองมาที่เธอด้วยนัยน์ตาดอกท้อสีดำสนิทของเขาหลิงอี้หรานรู้สึกอาย “ฉันแค่...”‘แค่อะไรล่ะ? แค่มองไปเรื่อยอย่างนี้เหรอ? หรือแค่มองเพราะว่านี้เขาดูดีจริง ๆ อย่างนั้นล่ะ?’อันไหนก็ฟังดูไม่ดีทั้งนั้นแหละ!หลิงอี้หรานไม่รู้ว่าตอนนี้ต้องพูดอะไร ดังนั้นเธอจึงทำเพียงมองเขาด้วยดวงตาเมล็ดอัลมอนด์ของเธออี้จิ่นหลีพูดเบา ๆ ว่า “ถ้าเธอไม่รักฉันก็อย่ามองฉันแบบนั้นอีก มันจะทำให้ฉันเข้าใจผิดไป”“ขะ... เข้าใจแล้วค่ะ” เธอรีบพูดและก้มหน้าก้มตากินอาหารในจาน‘เมื่อกี้ฉันมองเขายังไงเหรอ? ทำไมเขาถึงเข้าใจผิดว่าฉันรักเขาไปได้?’‘นี่ฉันยังรักอี้จิ่นหลีอยู่เหรอ? ฉันยังรักผู้ชายที่ฉันเคยรักมากคนนั้นอยู่เหรอ?’ ...อี้จิ่นหลีและหลิงอี้หรานไปยังที่ว่าการอำเภอหลังจากมื้อเช้า เพราะว่าไม่ใช่วันสำคัญอะไร ดังนั้นที่นี่จึงไม่มีคนมากนักหลิงอี้หรานกับอี้จิ่นหลีรอคิวของตัวเองและนั่งรอหลังจากกดคิวแล้ว ตอนนี้มีคิวก่อนหน้าพวกเขาสามคิวที่ไม่รู้ว่าจะจดทะเบียนสมรส... หรือจดทะเบียนหย่ากันก็ไม่รู้การจดทะเบ
หญิงสาว: [ใครล่ะ? เซเลบคนใหม่เหรอ?]นักข่าวสายบันเทิงท่านหนึ่ง : [เซเลบอะไรล่ะ? นั่นมันอี้จิ่นหลี!]หญิงสาว : [อี้จิ่นหลี? อี้จิ่นหลีไหน?]นักข่าวสายบันเทิงท่านหนึ่ง : [เธอคิดว่ามีอี้จิ่นหลีกี่คนในเมืองเฉิน?]หญิงสาวตะลึงไป จากนั้นเธอก็เห็นว่าพวกเขาเรียกคิวที่เก้าออกไป อี้จิ่นหลีจับมือหลิงอี้หรานไว้แล้วเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจดทะเบียนสมรสหญิงสาวคนนั้นมองแผ่นหลังของอี้จิ่นหลีด้วยสายตาว่างเปล่า ‘นี่เขาเป็นประธานของอี้กรุ๊ปจริงเหรอ? ผู้ชายคนที่เขาเรียกกันว่านายน้อยอี้น่ะเหรอ?’จากนั้นแจ้งเตือนข้อความเข้าจากวีแชทในมือถือของเธอก็ดังขึ้นอีกครั้งนักข่าวสายบันเทิงท่านหนึ่ง : [เธอไปเจออี้จิ่นหลีที่ไหน?] หญิงสาว : [ที่ว่าการอำเภอ]นักข่าวสายบันเทิงท่านหนึ่ง : [เขาไปทำอะไรที่ที่ว่าการอำเภอ?]ข้อความนั้นตามมาด้วยอิโมจิทำหน้าสงสัยหญิงสาว : [น่าจะ... มาจดทะเบียนสมรส]หญิงสาวคนนั้นยังคงงง ๆ นายน้อยอี้ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองเฉินปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเธอและรอเขาเรียกคิวเพื่อ... จดทะเบียนสมรสกับผู้หญิงคนหนึ่งอย่างนั้รเหรอ?ทำไมเธอรู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่เรื่องจริงเลยล่ะ?นักข่าวสายบัน
‘ยังไงนี่ก็เป็นการจดทะเบียนสมรสของอี้จิ่นหลีนะ! น้อยคนจะได้รู้ว่านายน้อยอี้จดทะเบียนสมรสแล้วที่นี่! ถ้าสื่อข่าวในเมืองเฉินรู้เข้า ทั้งเมืองต้องวุ่นวายแน่‘ถึงอย่างนั้น... ผู้หญิงที่แต่งงานกับอี้จิ่นหลีกลับเป็นแปลกหน้า เธอน่าจะไม่ใช่ทายาทของตระกูลไหนในเมืองเฉินใช่ไหม? ถ้าให้พูดเจาะจงก็คือนิ้วของเธอที่กำลังเซ็นเอกสารนั้นค่อนข้างขยับได้ช้ากว่าคนทั่วไป และข้อนิ้วของเธอก็ดูผิดรูปเล็กน้อย ฉันเห็นหนังด้านบนมือของเธอด้วย‘อย่างน้อย ๆ มือคู่นั้นก็ไม่น่าจะเป็นมือของทายาทตระกูลดังได้’ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารคิดกับตัวเองทันทีที่หลิงอี้หรานเขียนชื่อตัวเองในใบลงทะเบียนเสร็จ ความรู้สึกคลื่นไส้อันคุ้นเคยอยู่ ๆ ก็จู่โจมเธอ หลิงอี้หรานรีบปิดปากของตัวเองไว้ในทันทีและพุ่งไปยังห้องน้ำอี้จิ่นหลีลุกขึ้นทันทีและรีบตามหลิงอี้หรานไป เมื่อเห็นแบบนี้ผู้อำนวยการฝ่ายและเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ เองก็รีบร้อนตามพวกเขาไปเช่นกันดังนั้นจึงเกิดเป็นภาพอันน่าตกตะลึงภายในที่ว่าการอำเภอผู้หญิงรูปร่างผอมบางคนหนึ่งวิ่งนำไปโดยมีชายหนุ่มหน้าตาดีวิ่งตามไปไม่ห่างแล้วก็มีกลุ่มเจ้าหน้าที่วิ่งตามหลังเขามาอีกทีหลิงอี้หรานพุ่งเข้า
ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารสูดลมหายใจยาว สุดท้ายแล้วสายตาแปลก ๆ ก็หันมามองเมื่อพวกเขายืนอยู่ตรงนี้จากนั้นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและเหล่าเจ้าหน้าที่ก็เห็นชายผู้ซึ่งไม่มีใครในเมืองเฉินกล้าทำให้ขุ่นเคืองใจประคองผู้หญิงในอ้อมแขนมานั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนโยน เขากดน้ำจากตู้กดน้ำแล้วส่งให้เธอนี่นายน้อยอี้... กำลังเสิร์ฟน้ำให้คนอื่นเหรอ?พวกคนที่รู้ว่าอี้จิ่นหลีเป็นใครต่างก็อึ้งไปตาม ๆ กัน เป็นเรื่องปกติที่คนอื่นจะเสิร์ฟน้ำให้นายน้อยอี้ แต่ไม่ใช่กลับกันแบบนี้หลิงอี้หรานรับมาและดื่มไปนิดหน่อย อี้จิ่นหลีสอดมือเข้าไปในเสื้อสูทของตัวเองและหยิบเอากล่องเล็ก ๆ ที่มีบ๊วยเค็มอยู่ในนั้นออกมา เขาเอาออกมาหนึ่งชิ้นและส่งให้เธอ “กินนี่สิ ฉันได้ยินมาว่าช่วยหยุดอาการคลื่นไส้ได้เวลาท้อง”หลิงอี้หรานรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินบ๊วยเข้าไป “ใครบอกคุณคะ ว่าบ๊วยช่วยเรื่องคลื่นไส้ได้?”“เกาฉงหมิง” อี้จิ่นหลีพูดชื่อออกมา“เกาฉงหมิงแต่งงานแล้วเหรอคะ?” หลิงอี้หรานถามด้วยความแปลกใจ สิ่งที่เธอรับรู้ก่อนหน้านี้คือเกาฉงหมิงดูเหมือนจะเป็นคนโสด“เปล่า แต่เขาบอกว่าตอนแม่ท้องเขาเธอแพ้ท้องหนักมาก และดีขึ้นหลังจากกินบ๊วยเข้าไป” อี
ตอนนั้นเธอชอบลูบคิ้วและดวงตาของเขาด้วยปลายนิ้วมือพลางพูดว่า “รู้หรือเปล่าว่าคุณดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากตอนยิ้ม? พอคุณยิ้มแบบนี้คนมองเหมือนโดยดูดวิญญาณไปเลยนะ”เขายิ้มกว้างทรงเสน่ห์ขึ้นอีก “แล้วเธอโดนฉันดูดวิญญาณไปด้วยหรือเปล่า?” ขณะพูดดวงตาดอกท้อของเขาก็มองเธอไม่วางตาเธอหน้าแดงขึ้นมาในทันทีและรู้สึกว่าเธอได้ขุดหลุมฝังตัวเองเขาจับมือเธอไว้และจูบมันอย่างแผ่วเบา “รู้อะไรไหม? ฉันยิ้มแบบนี้ก็เพื่อโชว์ด้านที่น่าจะดึงดูดใจเธอที่สุดออกมา แบบนั้นเธอจะได้หลงเสน่ห์ฉันและรักฉันมากขึ้น อี้หราน ฉันยิ้มแบบนี้ให้เธอคนเดียว และจะไม่มีทางยิ้มแบบนี้ให้คนอื่น”ตอนนั้นเธอทั้งรู้สึกอ่อนหวานและอบอุ่นมาก แต่ตอนนี้... หลังจากหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขา ดูเหมือนว่ามีอ่าวลึกระหว่างทั้งสอง เธอไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรรอพวกเขาอยู่ในอนาคต...“ทำไม? เธอคิดว่ามันออกมาไม่ดีเหรอ?” เสียงของอี้จิ่นหลีดังขึ้น“อ่า เปล่าหรอก ออกมาดีเลยล่ะค่ะ” หลิงอี้หรานรีบพูดตอบ“งั้นเอารูปพวกนี้เลยแล้วกัน” เขาพูดขณะที่ดึงรูปพวกนั้นออกจากมือเธอและส่งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งอยู่ใกล้ ๆสายตาของหลิงอี้หรานมองไปยังโถงสาบานตนซึ่งอยู่ถัดไป
เธอยังพูดไม่จบประโยคดีในตอนที่เขาขัดขึ้นมาว่า “อย่าคิดว่าจะได้หย่าเลย! ตลอดชีวิตนี้ไม่มีวัน! เธอต้องเป็นภรรยาของฉันคนเดียว และสามีของเธอก็ต้องมีแค่ฉันคนเดียวเท่านั้น!”เธอตะลึงไป และเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องกล่าวคำสาบานบนเวที หลิงอี้หรานก็ยังงง ๆ อยู่เล็กน้อยจนกระทั่งเธอเริ่มท่องคำสาบานตนจึงค่อย ๆ กลับมามีสติรู้ตัวอีกครั้งทีละนิด ไม่รู้ว่าทำไม แต่ดูเหมือนเธอจะรู้สึกว่าเสียงของอี้จิ่นหลีไม่ได้ฟังดูเย็นชาเหมือนเมื่อกี้แล้วราวกับว่า... มีความรู้สึกเจือปนอยู่ในนั้น!“จากวันนี้ไป เราจะสมัครใจแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แบ่งปันความรับผิดชอบและชีวิตสมรสซึ่งกันและกัน...” หลิงอี้หรานท่องไปทีละคำ‘นับจากนี้ไปฉันต้องติดอยู่กับผู้ชายคนนี้‘ในที่สุดฉันก็มีครอบครัวของตัวเอง ฉันจะมีลูกของตัวเอง ไม่ว่าในอนาคตจะต้องพบเจอกับความยากลำบากแค่ไหน ฉันก็จะผ่านมันไปได้พร้อมกับเขาใช่ไหม?‘เราจะรักกันตลอดไปไหม?‘ตลอดไป... ช่างเป็นคำที่ดูสวยงามอะไรขนาดนี้ แต่ต้องใช้ทั้งชีวิตเพื่อให้ได้มันมา‘ไม่ว่ายังไงฉันคิดว่า ฉันจะพยายาม... พยายามทำให้ชีวิตการแต่งงานนี้เป็นไปได้ด้วยดีและรักษาครอบครัวนี้ไว้ ฉันจะพยายามไม
เธอกล่าวเยาะเย้ย “จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง? ถ้าอี้จิ่นหลีแต่งงาน เมืองเฉินก็คงใกล้แตกแล้วล่ะ”“ไม่อย่างนั้นทำไมบัญชีผู้ใช้ของเธอถึงโดนระงับล่ะ? อีกอย่าง... พวกเจ้าหน้าที่ที่นี่ล้อมหน้าล้อมหลังตอนที่เขาจดทะเบียนสมรสด้วยนะ!”นักข่าวสาวเพื่อนเธอเงียบปากไปทันที หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่สุดท้ายเธอก็พูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ถ้าเป็นอี้จิ่นหลีจริง... นี่ต้องเป็นข่าวหน้าหนึ่งของเมืองเฉินแล้วสิ”ถึงอย่างนั้น เว้นแต่อี้จิ่นหลีจะประกาศข่าวแบบนั้นเองก็ไม่มีสำนักข่าวไหนกล้าออกข่าวเรื่องนั้น!แล้วผู้หญิงคนนั้นที่แต่งงานกับอี้จิ่นหลีเป็นใครมาจากไหนกัน?นักข่าวสายบันเทิงคนนั้นครุ่นคิดด้วยความสงสัยอบู่นานในขณะที่มองไปยังรูปในมือถือของเธอซึ่งทำให้บัญชีผู้ใช้ใน Weibo ของเธอถูกจำกัดการใช้งาน …ผู้หญิงที่นักข่าวคนนั้นสงสัยตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในรถขณะที่มองวิวทิวทัศน์ซึ่งลดหลั่นกันไปตามแนวภูเขาสองข้างทางขณะที่ถามขึ้นว่า “เรากำลังไปไหนกันเหรอคะ?”อี้จิ่นหลีกล่าวว่า “ไปโรงพยาบาล ฉันเตรียมทุกอย่างไว้แล้ว พอเราไปถึงเธอกับลูกก็จะได้รับการตรวจเรื่องที่จำเป็นให้ครบ ตอนที่เธอหมดสติไปคราวที่แล้วหมอตรวจให้แค่คร่า
เกาฉงหมิงกล่าวปกป้องตัวเองเล็กน้อยและหาทางออกให้อี้จิ่นหลีออกจากสถานการณ์น่าอึดอัดใจนี้อี้จิ่นหลีถูหน้าผากของตนเอง ใช่ เมื่อวานเขายุ่งมากเสียจนไม่มีเวลาตรวจดูอีเมล เขาคิดว่าในเมื่อวันนี้ก็มาตรวจอยู่แล้วอ่านหรือไม่อ่านผลวินิจฉัยอย่างไรก็คงไม่ต่างกัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะกำลังอุ้มท้องแฝดสามอยู่ดวงตาที่กำลังตกตะลึงของอี้จิ่นหลีมองไปยังท้องของหลิงอี้หราน ‘มีเด็กสามคน... อยู่ในท้องฟีบ ๆ นั่นเหรอ?’‘เรากำลังจะ... มีลูกสามคนไม่ใช่คนเดียวเหรอ?’หลิงอี้หรานเองก็มองท้องของตัวเองด้วยความตะลึงไปเช่นกัน เธอไม่อยากจะเชื่อ... เลยสักนิด!‘แฝดสาม?’แค่เด็กคนเดียวเธอก็รู้สึกว่าเป็นของขวัญล้ำค่าจากพระเจ้าแล้วตอนนี้ พระเจ้ากำลังมอบของขวัญล้ำค่าให้เธอถึงสามคนเลยเหรอ?น้ำตาของเธอเอ่อคลอเมื่อนึกถึงความจริงอันคาดไม่ถึงนี้“เธอร้องไห้ทำไม?” อี้จิ่นหลีขมวดคิ้วขณะมองน้ำตาในดวงตาของอี้หราน“ฉัน... ฉันแค่ดีใจมาก... ฉันกำลังจะมีลูกสามคนใช่ไหมคะ?” เธอร้องไห้“เราจะมีลูกสามคน” เขาย้ำความถูกต้องขณะที่รับทิชชู่มาจากเกาฉงหมิงแล้วเช็ดน้ำตาบนหน้าให้เธออย่างแผ่วเบา “เอาล่ะ หยุดร้องดีกว่า ร้องไห้มากไปก็ไม่ดีกับลูก
หลิงอี้หรานลุกขึ้นและกอดชินเหลียนอีเบา ๆ “ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องเสียใจ”“เธอพูดเรื่องอะไรกัน? ฉันก็แค่อยากให้เธอโอเคแล้วก็ไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องในอดีต ยังไงซะ เธอก็ต้องเดินหน้าต่อไปใช่ไหมล่ะ?” ชินเหลียนอีพูดพร้อมสูดจมูกและฝืนยิ้มให้หลิงอี้หรานแต่หลิงอี้หรานรู้สึกแสบจมูกเมื่อเธอเห็นรอยยิ้มของเพื่อนรัก เหลียนอีนั้นยังเจ็บช้ำจากอาการอกหัก แต่ว่าเลือกทึ่จะกลบฝังความเจ็บปวด และเผชิญหน้ากับคนอื่นด้วยรอยยิ้ม“ฉันจะไม่เป็นอะไร เธอไม่ต้องห่วงฉันหรอก เธอสิเป็นคนที่ต้องไม่เป็นอะไร รีบ ๆ หายดีไว ๆ เธอต้องมาเล่นกับลูก ๆ ของฉันตอนที่พวกเขาเกิดมาแล้ว” หลิงอี้หรานบอก“พวกเราทุกคนจะต้องไม่เป็นอะไร” ชินเหลียนอีกอดเพื่อนรักเธอแน่นและก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง “ฉันจะลืมไป๋ถิงซิน ฉันทำได้แน่ ๆ ฉันก็แค่ต้องมองว่า ความสัมพันธ์ของฉันและไป๋ถิงซินก็เป็นความทรงจำเรื่องหนึ่ง จากนี้ไปมันจะเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น”อาการเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็ใกล้วันตรุษจีนเข้ามาทุกที หลิงอี้หรานเอามือลูบท้อง เธอไม่เห็นจินมาหลายวันแล้ว ทุกวันนี้เธอคิดถึงแต่เรื่องที่เหลียนอีพูด ‘เดินไปข้างหน้า’ เธอถามตัวเองว่า เธอรัก
”นายน้อยอี้แค่ต้องการปกป้องคุณให้ดีขึ้นแค่นั้นครับคุณผู้หญิง” เกาฉงหมิงบอก “เขาจะปกป้องฉัน หรือว่าคอยจับตาดูฉันกันแน่?” อี้หรานถาม เกาฉงหมิงเงียบไปทันที เพราะอย่างไรนายน้อยอี้ก็สั่งไม่ให้บอกอี้หรานเรื่องเลขาหวังเพื่อไม่ให้เธอต้องเป็นกังวลโดยเฉพาะตอนนี้เธอใกล้คลอดแล้ว หลิงอี้หรานเองก็ไม่ได้คาดคั้นเธอแค่ก้มหน้ามองหน้าท้องที่พองนูน เมื่อมาถึงโรงพยาบาลหลิงอี้หรานก็เจอชินเหลียนอี เธอดูท่าทางสดใสตอนนี้เธอดูแลตัวเองได้แล้ว เมื่อออกจากโรงพยาบาลและได้พักผ่อนสักหน่อย เธอก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิมได้ชินเหลียนอี้ทักหลิงอี้หราน “อี้หราน เธอมาแล้ว มาสิมา มานั่งเร็ว เธอเป็นคนท้องแล้วตอนนี้ก็เป็นช่วงต้องระวัง” หลังจากที่อี้หรานนั่ง เธอก็ถามว่า “เป็นยังไงบ้าง? หมอบอกไหมว่า เธอจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหน?”“หมอบอกว่า ฉันออกได้อาทิตย์หน้าน่ะ” ชินเหลียนอี้ยิ้มกริ่มพร้อมเอามือลูบหัวที่โล้นเลี่ยน หลังจากที่เธอผ่าตัดสมองผมของเธอก็โดนโกนออกจนเกลี้ยงและเธอก็อาจจะต้องใส่วิกไปสักพักหลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล “เมื่อวานพี่โจวมาหาฉันแล้วบอกว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันว่าเธอเหมือนรอดตายหวุดหวิดเลยห
อี้จิ่นหลีเกือบจะวิ่งออกจากห้องตรวจของหมอด้วยอาการตื่นตระหนก เขาสั่งหวงเซียนบอดี้การ์ดของหลิงอี้หรานแล้วหมอคนใหม่ให้กลับมาที่ห้องตรวจ หมอที่เคยตรวจหลิงอี้หรานนั้นโดนคนของกู้ลี่เฉินทำให้สลบ“นายน้อยอี้ คุณเป็นอะไรไหมครับ?” เกาฉงหมิงถาม เพราะว่าตอนนี้นายน้อยอี้ดูหน้าซีดมาก“ฉันไม่เป็นอะไร” อี้จิ่นหลีหายใจอย่างยากลำบาก เขาไม่คาดคิดว่า ตัวเองจะยังหวาดกลัวอยู่ เขานั้นกลัวว่า เธอจะตอบว่าเสียใจ แม้เธอจะยังไม่ได้คิดถึงเรื่องการหย่า เขาก็กลัวว่าสักวันเธอจะคิดขึ้นมา เขานั้นกลัวว่า เธออาจจะรักเขาไม่มากพอ.. เขากลัวหลายอย่างมาก“นายเจอเลขาหวังหรือยัง?” อี้จิ่นหลียกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากและถามเกาฉงหมิง“ยังครับ” เกาฉงหมิงตอบ ตั้งแต่งานศพของนายท่านอี้ เลขาหวังที่เคยทำงานให้นายท่านอี้ก็หายตัวไป แม้ว่าพวกเขาจะสั่งคนเพิ่มไปตามหาเลขาหวังก็ยังหาไม่เจอ“ตามหาต่อไป ตราบใดที่เขายังไม่ออกจากเมืองเฉินไป ถึงต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาเขาให้ได้” อี้จิ่นหลีสั่ง สีหน้าเขามืดครึ้ม เลขาหวังนั้นเป็นคนเก็บความลับของปู่ ปู่ของเขาน่าจะทำมากกว่าแค่ส่งอีเมลข้อมูลความจริงไปหากู้ลี่เฉิน มันจะต้องมีอย่างอื่นอีก ไม่อย่า
ขณะที่พูดเขาก็เดินมาหาหลิงอี้หรานและจ้องเธอ “เธอเคยบอกว่าเธอจะไม่ทิ้งฉันตราบใดที่ฉันไม่ทิ้งเธอใช่ไหม? ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอก็จะไม่ทิ้งฉันไปตราบที่เธอยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” หลิงอี้หรานอึ้งไป สิ่งที่เธอเคยพูดก่อนหน้านี้ยังดังกังวาลในหูเธอ มือของเธอจับหน้าท้องซึ่งตอนนี้ใหญ่เท่าอายุครรภ์พร้อมคลอด เธอสูดหายใจลึกก่อนบอกว่า “ใช่ ฉันพูดแบบนั้น” จากนั้นเธอก็หันไปมองกู้ลี่เฉินและพูดว่า “กู้ลี่เฉิน คุณก็ได้ยินเขาแล้ว ฉัน… จะไม่ทิ้งจินไป” เมื่อเธอพูดคำว่า ‘จิน’ ออกมา ดวงตาของอี้จิ่นหลีก็เป็นประกายขณะที่เขายืนอยู่ข้างเธอ ความตื่นเต้นยินดีฉายผ่านใบหน้าเขาอย่างห้ามไม่อยู่ ‘เธอเรียกฉันว่าจินอีกครั้งแล้ว นี่หมายความว่าเธอยอมอภัยให้แล้วลืมเรื่องในอดีตใช่ไหม?’สีหน้ากู้ลี่เฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้รู้สีกแปลกใจมากนัก บางทีเขาก็อาจจะคาดคำตอบนี้ไว้แล้ว เขาแค่อยากรู้ว่า เธอจะยังอยู่กับอี้จิ่นหลีไหมหลังจากที่ได้รู้ความจริง “โอเค เข้าใจแล้ว ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณต้องการ” กู้ลี่เฉินพูดก่อนที่จะออกจากห้องตรวจของหมอไปพร้อมคนของเขา อี้จิ่นหลียังสั่งให้คนอื่นออกไปจากห้อง จู่ ๆ ก็เหลือ
”จิ่นหลีขังคุณไว้เหรอ?” กู้ลี่เฉินถาม หลิงอี้หรานอึ้งไป ‘ขังฉันเหรอ? เขาเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน?’เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของเธอ กู้ลี่เฉินก็บอกว่า “จำนวนของยามในคฤหาสน์อี้ทุกวันนี้เพิ่มขึ้นมาสามเท่า และผมก็ได้ยินว่าระบบรักษาความปลอดภัยก็เปลี่ยนเป็นตัวที่ดีขึ้น อีกอย่างผมไปหาคุณสองครั้งแล้ว แต่ว่าอี้จิ่นหลีก็หยุดผมไว้ทั้งสองครั้ง ผมเจอคุณไม่ได้เลย พอผมโทรเข้ามือถือของคุณ สัญญาณก็โดนตัดไปอัตโนมัติ” หลิงอี้หรานตกใจเมื่อเธอได้ยินเช่นนี้ กลายเป็นที่เธอรู้สึกว่าจำนวนของบอดี้การ์ดเพิ่มขึ้นนั้นเธอไม่ได้คิดไปเอง แสดงว่าจินส่งคนมากขึ้นให้มาคอยตามเธอ มีครั้งหนึ่งที่เธออยากไปเดินแถวบ้านแต่ว่าย่านนั้นก็มีการจัดการเก็บกวาดจนหมด และเธอก็มีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งคอยห้อมล้อม ตั้งแต่นั้นเธอก็ไม่ออกไปเดินเตร่อีกเลย เธอเดินอยู่แต่ในคฤหาสน์เท่านั้น แต่ก็ดูเหมือนมีกล้องวงจรปิดในบ้านเพิ่มขึ้นด้วย 'นีจินกลัว… ว่าฉันจะหนีเหรอ? เขาเลยขังฉันไว้ด้วยวิธีนี้’ หลิงอี้หรานครุ่นคิดขณะที่กู้ลี่เฉินพูดอย่างวิตก “ระหว่างคุณกับเขาเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หรือว่าเขา…” เขานั้นกลัวว่าหลังจากที่อี้หรานรู้ความจริง ความสัมพันธ์ร
”แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังเป็นทายาทลำดับที่สองของตระกูลห่าว ไม่ใช่ว่าคุณจะไม่ได้อะไรเลย คุณก็ยังได้สิ่งที่พ่อแม่ของคุณจะให้อยู่ดี”“ได้มาไม่เท่าไหร่แล้วจะมีประโยชน์อะไร?” ห่าวอี้เหมิงแค่นเสียง “ถ้าพี่สาวฉันยังมีชีวิตอยู่แล้วฉันเป็นทายาทลำดับสองของตระกูลห่าว พ่อแม่ของคุณคงไม่ให้ค่าฉันแบบนี้แล้วก็ต้องบอกให้คุณระวังตอนที่คบกับฉัน” เซียวจื่อฉีหน้าแดงก่ำทันที เขารู้ว่าห่าวอี้เหมิงพูดถูก พ่อแม่ของเขาเลือกเธอเพราะว่าเธอจะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลห่าว “แต่หลิงอี้หรานบริสุทธิ์ ทำไมคุณถึงทำกับเธอแบบนั้นตอนที่อยู่ในคุก ทั้ง ๆ ที่คุณก็ป้ายความผิดให้เธอแล้ว?” เซียวจื่อฉีถาม เซียวจื่อฉีตัวสั่นเมื่อคิดถึงว่า ห่าวอี้เหมิงทำกับอี้หรานอย่างไรในตอนนั้น แล้วที่แท้ตัวเธอเองกลับเป็นฆาตกรตัวจริง ผู้หญิงคนนี้เสแสร้งแกล้งแสดงใส่เขามากแค่ไหนนะ?“เธอเป็นแฟนคุณ มีเพียงแต่ต้องกำจัดหล่อนเท่านั้นฉันถึงจะมีโอกาสได้เป็นแฟนคุณ” ห่าวอี้เหมิงยิ้มเย้ย “ ฉันก็แค่อยากเห็นว่า หลิงอี้หรานสำคัญกับคุณมากแค่ไหน แต่… ฮ่าฮ่า… กลายเป็นว่าเธอไม่มีค่าอะไรเลย” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่ง ห่าวอี้เหมิงก็บอกอีกว่า “เซียวจื่อฉี คุณเขี่ยหลิง
แต่ด้านนอกช่วงนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เครือข่ายของตระกูลห่าวล้มและไม่สามารถจ่ายหนี้ธนาคารได้ ดังนั้นธนาคารจึงยื่นเรื่องให้ห้ามมีการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของตระกูลห่าว ขณะเดียวกัน ข่าวก็แพร่ไปว่า ตำรวจได้ไปจับกุมห่าวอี้เหมิงในงานแฟนมีตติ้ง แม้ว่าห่าวอี้เหมิงจะออกจากวงการบันเทิงมาแล้ว แต่เธอก็ยังมีแฟนคลับเหนียวแน่นจำนวนมาก เธอนั้นแต่งตัวเพื่อไปงานแฟนมีตติ้งโดยใส่สร้อยคอมูลค่า 300 ล้านบาท เธอถึงขั้นเชิญนักข่าวมาร่วมงาน เจตนาของห่าวอี้เหมิงที่จัดงานแฟนมีตติ้งก็คือเพื่อแสดงให้เห็นว่า ตระกูลห่าวไม่ได้เจอปัญหาทางด้านการเงิน และเพื่อให้ชื่อของเธอติดกระแสในโลกออนไลน์ แต่ตำรวจกลับโผล่มาในงานแฟนมีตติ้งของเธอเธอนั้นโดนใส่กุญแจมือต่อหน้าแฟนคลับกลุ่มใหญ่โดยตำรวจที่บอกว่า มาจับเธอในข้อหาต้องสงสัยการฆาตกรรม บรรดาแฟนต่างก็ตกตะลึง ‘ฆาตกรรมเหรอ? ฆาตกรรมอะไรกัน? เทพธิดาห่าวของเราเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆาตกรรมเหรอ?’ ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่มีโอกาสที่จะปกปิดข่าวไว้ได้ แม้ห่าวอี้เหมิงและตระกูลห่าวจะอยากทำแค่ไหนก็ตาม เพราะอย่างไรก็มีแฟน ๆ อยู่มากเกินไป จากนั้นเหตุการณ์นี้ก็กลายเป็นหัวข้
เขานั้นจะทำทุกอย่างให้เธอยอมอภัยทุกอย่างยกเว้นไปจากเขา เขาไม่สนใจว่าเธอต้องการจะไปจากคฤหาสน์อี้ หรือไปจากเขา แต่ว่าเขายังอยากจะกักขังเธอไว้ในคฤหาสน์อี้ มันเหมือนกับเขาเชื่อว่า เธอจะไม่มีทางทิ้งไปแบบนั้นแน่ เมื่อพูดจบแล้วจิ่นหลีก็หันหลังเดินออกจากห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาซึ่งเป็นคนเดียวกับที่คอยดูแลอี้หรานตอนกลางคืนตลอดหลายวันมานี่ “คุณผู้หญิงอี้คะ คุณผู้ชายอี้บอกว่าให้คุณพักผ่อน เขาจะไม่เข้ามาในห้องอีกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องอะไรแล้วค่ะ” พยาบาลผู้ดูแลบอกหลิงอี้หรานเงียบ เธอนอนลงและหลับตาช้า ๆ แต่มือของเธอยังคงลูบท้องอยู่ เธอนั้นพยายามสงบสติอารมณ์ลง เธอต้องทำใจให้สงบเพื่อเด็ก ๆ ‘ฉันควรทำยังไงดี? ฉันไม่สามารถลืมความเจ็บปวดและการที่เขามองดูอยู่ข้าง ๆ เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์ได้? ใช่ไหม?’จู่ ๆ เธอก็คิดถึงสิ่งที่เขามักบอกเธอเสมอว่า หากเขารู้จักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็จะไม่ปล่อยให้เธอต้องทรมานแบบนี้น ตอนนั้นเธอเพียงคิดว่า เขาหมายถึงช่วงเวลาที่เธอต้องทรมานอยู่ในคุก แต่มันมีความหมายอื่นที่แฝงอยู่ในคำพูดของเขา หากว่าเขารู้จักและตกหลุมรักเธอเร็วกว่านี้ เขาก็คงไม่นั่งดูอยู่เฉย ๆ เขาจะต้อ
เมื่อหมอและพยาบาลออกไป หลิงอี้หรานก็มองอี้จิ่นหลีที่ยังคงยืนอยู่ในห้อง เขายืนไม่ไกลจากเตียงนักและเหมือนห้อมล้อมไปด้วยความเปล่าเปลี่ยวสิ้นหวัง อี้หรานเม้มปากและบอกว่า “พอลูกคลอดแล้ว ฉันอยากจะย้ายออกจากบ้านตระกูลอี้”อี้จิ่นหลีเงยหน้ามองเธอทันทีด้วยสีหน้าตระหนกตกใจ “เธออยากจะ… ออกจากคฤหาสน์อี้เหรอ?”เธอตอบ “ใช่ เพราะว่าฉันไม่รู้ว่าจะมองหน้าคุณยังไง บางทีการย้ายออกจากคฤหาสน์อี้อาจจะดีกับเราทั้งคู่”เธออาจจะหาข้อแก้ตัวมาช่วยแก้ตัวให้การกระทำของเขาได้ อย่างเช่น เธออาจจะบอกว่าเพราะตอนนั้นเขายังไม่รู้จักเธอและเธอก็ไม่มีค่าอะไรในสายตาเขา แล้วเขาจะมาเห็นอกเห็นใจคนที่ไม่มีความสำคัญอะไรได้อยางไร ในเมื่อเขานั้นมักจะไร้ความรู้สึกอยู่เสมอ? มันก็จะอธิบายได้ว่า ทำไมเขาถึงได้ทำเพียงแค่ดูแต่ไม่เข้ามามีส่วนร่วมอะไร เธออาจจะหาข้ออ้างได้มากกว่าหนึ่งข้อเพื่อที่จะใช้เกลี้ยกล่อมตัวเอง เธอนั้นถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อมั่นในความยุติธรรม นั่นเลยเป็นสาเหตุที่เธอเลือกเป็นทนายซึ่งจะต่อสู้เพื่อความถูกต้องและความยุติธรรมด้วยการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ แต่คนที่เธอรักที่สุดกลับไม่แยแสและปล่อยให้เธอต้องติดคุกโดยไร้ค