น้ำตายังคงไหลลงมาจากดวงตาของหวาลี่ฟางขณะที่เธอพูด เธอไม่ได้บีบน้ำตาไปเสียหมด อย่างไรเสียเธอก็กลัวจริง ๆ ถ้ากู้ลี่เฉินเชื่อคำพูดของหลิงอี้หราน เธอก็จบเห่เลยน่ะสิโชคดีที่กู้ลี่เฉินไม่ได้เชื่อหลิงอี้หรานเลยหลิงอี้หรานมองหน้ากู้ลี่เฉินอยู่ตลอดเวลา “ในสายตาของคุณ ฉันดูเป็นคนที่จะโกหกและเสแสร้งว่าเป็นคนที่ช่วยชีวิตใครเหรอคะ?”น้ำเสียงของเธอลดความขุ่นเคืองลงกว่าก่อนหน้านี้ ราวกับว่าเธอกำลังถามคำถามจริงจัง แต่ก็เป็นคำถามง่าย ๆ และจู่ ๆ หัวใจของเขาก็เต้นแรงอย่างเริ่มตื่นตระหนกนี่เขาตื่นตระหนกกับอะไร?ราวกับว่าช่องว่างระหว่างเขาและเธอที่เขาพยายามดึงให้มันแคบลงกลับดูเหมือนยิ่งกว้างขึ้น กว้างขึ้นไปมาก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะกวอซิ่นหลี่ ผู้ชายที่เขาไม่เคยสนใจเลยในความรู้สึกของเขา ผู้ชายคนนั้นก็แค่คนหน้าตาทั่วไปและเป็นคนธรรมดา!“กวอซิ่นหลี่สำคัญกับคุณจริง ๆ เหรอ?” เขาถามโดยไม่ตอบ“ฉันไม่อยากให้เขาถูกใส่ร้ายอย่างไม่มีเหตุผล” หลิงอี้หรานกล่าว“ถ้ามันไม่มีเหตุผลเราก็จะได้รู้กันศาลนั่นแหละ ในเมื่อคุณคิดว่าเขาถูกใส่ร้าย ทำไมไม่รอฟังล่ะว่า ผู้พิพากษาท่านจะว่ายังไง?” กู้ลี่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา“ง
“คุณจำสิ่งที่คุณพูดครั้งสุดท้ายก่อนเราจะจากกันที่โรงพยาบาลตอนเด็กได้ไหม?” เขาโพล่งถามขึ้นมา“คะ?” หวาลี่ฟางกะพริบตาและกล่าวว่า “แน่สิคะ ฉันจำได้ ฉันให้สร้อยข้อมือคุณไม่ใช่เหรอคะ? ฉันยังบอกคุณด้วยว่าให้เราใช้มันเป็นสัญลักษณ์ระหว่างกัน ฉันบอกคุณว่าให้คุณเอาสร้อยข้อมือมาด้วยตอนที่มาเจอฉัน เพื่อที่ว่าถึงคุณจะมาหาฉันช้าไป เราก็จะยังมีสร้อยข้อมือที่เอาไว้บอกได้ แม้ว่าหน้าตาเราจะเปลี่ยนไป แต่เราก็จะยังสามารถจำกันและกันได้ไงคะ”หวาลี่ฟางจงใจกล่าวเสริมขึ้นอีกว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะฉันจำมาจากละครในทีวีที่นักแสดงนำชายหญิงเขาจำกันได้ด้วยจี้หยกครึ่งซีก ฉันเลยทำตามไงคะ”เมื่อได้ยินอย่างนั้น กู้ลี่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้ง ‘ฉันกำลังคิดอะไรอยู่? นี่ฉันหวังว่าสิ่งที่หลิงอี้หรานพูดเป็นจริงงั้นเหรอ? นี่ฉันหวังให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นเด็กสาวคนนั้นที่ช่วยฉันไว้ตอนเด็กงั้นเหรอ? นี่ฉันหวังวว่าคนที่ฉันคิดถึงมาตลอดหลายปีเป็นอี้หรานเหรอ?‘แต่คนนั้นคือลี่ฟาง! แม้ว่าลี่ฟางจะไม่ใช่แบบที่ฉันคิด ไร้ประโยชน์ และพยายามจะหาประโยชน์จากฉันที่สุด แต่เธอก็เป็นคนที่เคยช่วยชีวิตฉันเอาไว้!’ลี่ฟางไม่สามารถอธิบายได้ว่ามีบา
นี่หวาลี่ฟางพยายามใช้กวอซิ่นหลี่มาทำให้เธอกับกู้ลี่เฉินแตกคอกันเหรอ?แล้วเธอจะโน้มน้าวให้กู้ลี่เฉินเลิกมองกวอซินหลี่เป็นศัตรูได้อย่างไร?บางที่เธอควรลองอีกทีและหาโอกาสคุยกับลี่เฉินตัวต่อตัวเพื่ออธิบายเรื่องทั้งหมด...หลังจากคิดเรื่องนี้ไปสักพัก โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้นขัดจังหวะ หลิงอี้หรานหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเสียงของโจวเชียนหยุนก็ดังขึ้นมา “อี้หราน เรื่องอากวอเป็นอย่างไรบ้าง? ช่วงนี้อาหยันน้อยเอาแต่ถามถึงลุงกวอ”“ยากเลยค่ะ ฉันจะลองพยายามหาทางและจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเขาบริสุทธิ์” หลิงอี้หรานพูด แม้ว่าโอกาสจะน้อยมาก แต่เธอก็ต้องลองพยายามดู“ถ้ามีอะไรที่ฉันพอทำได้ ก็บอกนะ” โจวเชียนหยุนกล่าว“ค่ะ” หลิงอี้หราน หลังจากวางสาย เธอก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเดินเข้ามาในตึกสำนักงานของอี้กรุ๊ปโดยที่ไม่รู้ตัว!เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เธอมาที่นี่หลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในตอนที่เธอเป็นพนักงานส่งอาหารให้ร้านเล็ก ๆ ของพี่โจว มีช่วงหนึ่งที่อี้จิ่นหลีชอบสั่งชุดข้าวกล่องให้เธอไปส่งให้เขาตอนเที่ยงหลิงอี้หรานไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงเดินเข้ามาในนี้โดยไม่รู้ตัว เกิดอะไรขึ้นกับเธอล่ะเนี่ย?เธออยากจะหันหลังก
ดังนั้นนี่จึงเกิดเป็นภาพอันแปลกประหลาดตรงหน้าทางเข้าของบริษัทอี้กรุ๊ป หลิงอี้หรานกำลังอาเจียนใส่ถังขยะโดยมีพนักงานรักษาความปลอดภัยยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ ห่างออกมาไม่ไกล อี้จิ่นหลีก็ยืนนิ่งอยู่กับที่และมองมายังหลิงอี้หรานโดยไม่ได้มีสีหน้าสุขใจหรือโกรธเคืองใด ๆ ส่วนเกาฉงหมิง คนขับรถ เหล่าผู้บริหารระดับสูง และบอดี้การ์ดจำนวนหลายคนก็มายืนกระจัดกระจายล้อมรอบอี้จิ่นหลีอยู่เมื่อหลิงอี้หรานอาเจียนจนหมดไส้หมดพุงแล้ว เธอก็เงยหน้าขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน และพบว่า... เธอกำลังโดนมองอยู่!นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เธอถูกคนเยอะขนาดนี้มองตอนกำลังอาเจียนขนาดอี้จิ่นหลีเองก็ยังมองเธอเลย!วันนี้เขาดูเคร่งขรึมและไม่ค่อยเป็นมิตรในชุดสูทสีดำเข้าชุดกับเสื้อไหมพรมคอเต่าหลิงอี้หรานเลิ่กลั่กและอยากจะหนีไป แต่เธอต้องไปยังทางที่เขายืนอยู่เพื่อขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ดังนั้นหลิงอี้หรานจึงทำได้เพียงก้มหน้าอย่างเก้ ๆ กัง ๆ และหยิบทิชชู่ในกระเป๋าออกมาเช็ดมุมปากของตัวเอง เธอรีบเดินเพื่อออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดอี้จิ่นหลีไม่ได้ขยับและยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยิ่งเธอเดินเข้าไปใกล้เขา หลิงอี้หรานก็รู้สึกได้ว่าเธอกำลังโดนจับตามองหนักข
หลังจากนั้นหลิงอี้หรานก็เช็ดรองเท้าให้เขาจนเสร็จและเงยหน้ามองเขา “พอใจยังคะ?”ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับหิมะและไม่มีสีอื่นเลย เมื่อประกอบกับร่างผอมบางของเธอแล้วทำให้เธอดูเปราะบางเหลือเกินอี้จิ่นหลีขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว การเห็นสภาพนี้ของเธอทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ หลิงอี้หรานรออยู่สักพักและเมื่ออี้จิ่นหลีไม่ตอบอะไรเธอ เธอจึงลูบจมูกตัวเองแก้เก้อก่อนจะหัวเราะกับตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน“ขอฉันยืมไม้กวาดกับที่ตักผงหน่อยได้ไหมคะ? ฉันจะเอามาทำความสะอาดที่นี่สักหน่อย” หลิงอี้หรานพูดกับชายในชุดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย“ฮะ?” ชายคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากเห็นเกาฉงหมิงพยักหน้าเขาก็รีบตอบว่า “ครับ เดี๋ยว... เดี๋ยวผมไปหามาให้”เขาพูดแล้วรีบไปเอาไม้กวาดกับที่ตักผงมาส่งให้หลิงอี้หรานหลิงอี้หรานก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดอ้วกของตัวเอง โดยมีอี้จิ่นหลียืนอยู่ไม่ไกลและไม่ได้เดินจากไปในเมื่ออี้จิ่นหลีไม่ไป คนอื่น ๆ เลยไม่กล้าขยับตัวไปด้วย ดังนั้นกลุ่มคนเหล่านั้นจึงมองดูหลิงอี้หรานทำความสะอาดกันดวงตาสีดำของเขาจ้องมองไปยังร่างผอมบางและใบหน้าของอี้จิ่นหลีก็บูดบึ้งขึ้นเรื่อย ๆ สภาพของเธอทำให้เ
อี้จิ่นหลีพาหลิงอี้หรานออกมาจากลิฟต์เมื่อมันมาหยุดตรงชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานของประธานบริษัท“ปล่อยสิ... นี่คุณพยายามทำอะไร...” เธอร้องโวยวาย สีหน้าเคร่งขรึมของเขาและออร่าทรงพลังก็แผ่ออกมาปกคลุมจนคนอื่นสามารถรับรู้ได้ถึงความอันตรายแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดาว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ในขณะที่บรรดาเลขามองตาม แต่กลับไม่มีใครกล้าเดินเข้าไป หลังจากอี้จิ่นหลีพาหลิงอี้หรานเข้าไปในห้องทำงาน เลขาก็มองหน้ากันและทำทีเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงอย่างนั้นความตกใจที่ปิดไม่มิดก็ปรากฏชัดในดวงตาของพวกเขา!เหล่าเลขาย่อมรู้จักหลิงอี้หรานและเคยคุยกันก่อนหน้านี้ด้วยว่าหลิงอี้หรานอาจจะเข้าไปเป็นนายหญิงของตระกูลอี้ด้วย เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่เคยเห็นนายน้อยอี้สนใจผู้หญิงคนไหนมากขนาดนี้มาก่อนถึงอย่างนั้นช่วงนี้หลิงอี้หรานกลับกลายเป็นสิ่งต้องห้ามที่ใครพลั้งปากพูดว่า ‘อี้หราน’ ขึ้นมาจะต้องโดนไล่ออกทันที!ช่วงหลังมานี้ เลขาเกาจึงแอบกำชับพวกเขาไว้ว่าอย่าพูดอะไรที่เกี่ยวโยงถึงหลิงอี้หรานอีกเหล่าเลขาต่างก็คิดว่า ซิ่นเดอเรลล่าคนนั้นเสียโอกาสของเธอไปแล้ว แต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้จะมีเรื่อง
หลิงอี้หรานหวนนึกถึงภาพตอนที่เธอบอกกับกู้ลี่เฉินว่าเธอคือเด็กหญิงคนนั้นที่ช่วยเขาเอาไว้ แต่กู้ลี่เฉินไม่เชื่อเธออีกแล้วเพราะก่อนหน้านี้เธอปฏิเสธเขาไปหลายต่อหลายครั้งคำปฏิเสธทั้งหมดของเธอเป็นเพราะ... อี้จิ่นหลี คนที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้!ทุกอย่างดูเหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายไปเสียอย่างนั้น หลิงอี้หรานสูดลมหายใจเข้าลึกและกล่าวว่า “อี้จิ่นหลี เรื่องระหว่างฉันกับกู้ลี่เฉินเป็นเรื่องระหว่างฉันกับเขา ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาคุณด้วย ฉันคิดว่าเราคุยกันชัดไปตั้งแต่ต้นแล้วนะ”ดวงตาของเขาเย็นชายิ่งกว่าเดิม และนิ้วเรียวของเขาก็จับขากรรไกรของเธอไว้“โอ๊ย!” หลิงอี้หรานอุทานเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่ขากรรไกรของตัวเอง และใบหน้าของเขาก็เข้ามาใกล้เธอจนจมูกแทบจะสัมผัสกัน ใกล้มากจนเธอสามารถนับเส้นขนตาของเขาได้เลย“หลิงอี้หราน...” เสียงแหบของเขาดังขึ้นในหูของเธอ “เธอเคยเสียใจบ้างไหม? เสียใจบ้างหรือเปล่าที่ขอให้ฉันปล่อยเธอไป?”เธอตัวแข็งทื่อไปในทันที ‘เสียใจเหรอ? บางทีฉันคงได้กลับไปคบกับเขาแล้วหากไม่ทำแบบนั้น ฉันรู้สึกตื้นตันใจในตอนที่เขาคุกเข่าฉันลงตรงเท้าของฉัน อละพูดว่าเขาเชื่อใจฉัน รักฉัน และย
หลิงอี้หรานรีบโทรหาชินเหลียนอี แต่เสียงปลายสายกลับดังเป็นสัญญาณว่าสายไม่ว่างหลิงอี้หรานยังคงกดโทรต่อซ้ำ ๆ แต่ไม่มีสายไหนที่ต่อติดเลยความไม่สบายใจระลอกใหญ่ถาโถมเข้าสู่หัวใจของเธอในทันที‘เหลียนอี... จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอไม่ได้นะ!’หลิงอี้หรานรีบค้นหาข่าวเกี่ยวกับไป๋ทิงซินว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แต่ข่าวล่าสุดที่เธอเห็นกลับเป็นข่าวซุบซิบที่เธออ่านไปก่อนหน้านี้คือ เขาหายตัวไปไป๋ทิงซินเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่คนดัง แม้เขาจะเป็นผู้นำของตระกูลไป๋ แต่ความสนใจที่คนอื่นมีต่อเขากลับอยู่ในวงจำกัดเท่านั้น ดังนั้นข่าวพวกนี้จึงไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไหร่‘เกิดอะไรขึ้นกับเหลียนอีกันแน่? ทำไมเหลียนอีไม่รับโทรศัพท์ล่ะ?’ หลิงอี้หรานพยายามส่งข้อความไปด้วยเช่นกัน ทั้ง WeChat... และอื่น ๆ เธอทำทุกวิถีทางเพื่อให้ติดต่อกับอีกฝ่ายได้ แต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากช่องทางใดเลยหลิงอี้หรานลังเลเล็กน้อยและสุดท้ายก็โทรหาพ่อแม่ของเหลียนอี เธอบันทึกเบอร์ของพวกท่านไว้ในโทรศัพท์ แต่ไม่เคยโทรไปสักครั้ง เพราะพ่อแม่ของเหลียนอีกไม่ชอบหน้าเธอหลังจากที่เธอเกิดอุบัติเหตุและโดนจับขังคุกถึงอย่างนั้นพ่อแม่ของเหลียนอีก็มีเหตุผลที