หลังจากนั้นหลิงอี้หรานก็เช็ดรองเท้าให้เขาจนเสร็จและเงยหน้ามองเขา “พอใจยังคะ?”ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับหิมะและไม่มีสีอื่นเลย เมื่อประกอบกับร่างผอมบางของเธอแล้วทำให้เธอดูเปราะบางเหลือเกินอี้จิ่นหลีขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว การเห็นสภาพนี้ของเธอทำให้เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ หลิงอี้หรานรออยู่สักพักและเมื่ออี้จิ่นหลีไม่ตอบอะไรเธอ เธอจึงลูบจมูกตัวเองแก้เก้อก่อนจะหัวเราะกับตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน“ขอฉันยืมไม้กวาดกับที่ตักผงหน่อยได้ไหมคะ? ฉันจะเอามาทำความสะอาดที่นี่สักหน่อย” หลิงอี้หรานพูดกับชายในชุดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย“ฮะ?” ชายคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากเห็นเกาฉงหมิงพยักหน้าเขาก็รีบตอบว่า “ครับ เดี๋ยว... เดี๋ยวผมไปหามาให้”เขาพูดแล้วรีบไปเอาไม้กวาดกับที่ตักผงมาส่งให้หลิงอี้หรานหลิงอี้หรานก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดอ้วกของตัวเอง โดยมีอี้จิ่นหลียืนอยู่ไม่ไกลและไม่ได้เดินจากไปในเมื่ออี้จิ่นหลีไม่ไป คนอื่น ๆ เลยไม่กล้าขยับตัวไปด้วย ดังนั้นกลุ่มคนเหล่านั้นจึงมองดูหลิงอี้หรานทำความสะอาดกันดวงตาสีดำของเขาจ้องมองไปยังร่างผอมบางและใบหน้าของอี้จิ่นหลีก็บูดบึ้งขึ้นเรื่อย ๆ สภาพของเธอทำให้เ
อี้จิ่นหลีพาหลิงอี้หรานออกมาจากลิฟต์เมื่อมันมาหยุดตรงชั้นซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องทำงานของประธานบริษัท“ปล่อยสิ... นี่คุณพยายามทำอะไร...” เธอร้องโวยวาย สีหน้าเคร่งขรึมของเขาและออร่าทรงพลังก็แผ่ออกมาปกคลุมจนคนอื่นสามารถรับรู้ได้ถึงความอันตรายแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเดาว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่ในขณะที่บรรดาเลขามองตาม แต่กลับไม่มีใครกล้าเดินเข้าไป หลังจากอี้จิ่นหลีพาหลิงอี้หรานเข้าไปในห้องทำงาน เลขาก็มองหน้ากันและทำทีเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นถึงอย่างนั้นความตกใจที่ปิดไม่มิดก็ปรากฏชัดในดวงตาของพวกเขา!เหล่าเลขาย่อมรู้จักหลิงอี้หรานและเคยคุยกันก่อนหน้านี้ด้วยว่าหลิงอี้หรานอาจจะเข้าไปเป็นนายหญิงของตระกูลอี้ด้วย เพราะอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่เคยเห็นนายน้อยอี้สนใจผู้หญิงคนไหนมากขนาดนี้มาก่อนถึงอย่างนั้นช่วงนี้หลิงอี้หรานกลับกลายเป็นสิ่งต้องห้ามที่ใครพลั้งปากพูดว่า ‘อี้หราน’ ขึ้นมาจะต้องโดนไล่ออกทันที!ช่วงหลังมานี้ เลขาเกาจึงแอบกำชับพวกเขาไว้ว่าอย่าพูดอะไรที่เกี่ยวโยงถึงหลิงอี้หรานอีกเหล่าเลขาต่างก็คิดว่า ซิ่นเดอเรลล่าคนนั้นเสียโอกาสของเธอไปแล้ว แต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าวันนี้จะมีเรื่อง
หลิงอี้หรานหวนนึกถึงภาพตอนที่เธอบอกกับกู้ลี่เฉินว่าเธอคือเด็กหญิงคนนั้นที่ช่วยเขาเอาไว้ แต่กู้ลี่เฉินไม่เชื่อเธออีกแล้วเพราะก่อนหน้านี้เธอปฏิเสธเขาไปหลายต่อหลายครั้งคำปฏิเสธทั้งหมดของเธอเป็นเพราะ... อี้จิ่นหลี คนที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้!ทุกอย่างดูเหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายไปเสียอย่างนั้น หลิงอี้หรานสูดลมหายใจเข้าลึกและกล่าวว่า “อี้จิ่นหลี เรื่องระหว่างฉันกับกู้ลี่เฉินเป็นเรื่องระหว่างฉันกับเขา ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาคุณด้วย ฉันคิดว่าเราคุยกันชัดไปตั้งแต่ต้นแล้วนะ”ดวงตาของเขาเย็นชายิ่งกว่าเดิม และนิ้วเรียวของเขาก็จับขากรรไกรของเธอไว้“โอ๊ย!” หลิงอี้หรานอุทานเมื่อรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่ขากรรไกรของตัวเอง และใบหน้าของเขาก็เข้ามาใกล้เธอจนจมูกแทบจะสัมผัสกัน ใกล้มากจนเธอสามารถนับเส้นขนตาของเขาได้เลย“หลิงอี้หราน...” เสียงแหบของเขาดังขึ้นในหูของเธอ “เธอเคยเสียใจบ้างไหม? เสียใจบ้างหรือเปล่าที่ขอให้ฉันปล่อยเธอไป?”เธอตัวแข็งทื่อไปในทันที ‘เสียใจเหรอ? บางทีฉันคงได้กลับไปคบกับเขาแล้วหากไม่ทำแบบนั้น ฉันรู้สึกตื้นตันใจในตอนที่เขาคุกเข่าฉันลงตรงเท้าของฉัน อละพูดว่าเขาเชื่อใจฉัน รักฉัน และย
หลิงอี้หรานรีบโทรหาชินเหลียนอี แต่เสียงปลายสายกลับดังเป็นสัญญาณว่าสายไม่ว่างหลิงอี้หรานยังคงกดโทรต่อซ้ำ ๆ แต่ไม่มีสายไหนที่ต่อติดเลยความไม่สบายใจระลอกใหญ่ถาโถมเข้าสู่หัวใจของเธอในทันที‘เหลียนอี... จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอไม่ได้นะ!’หลิงอี้หรานรีบค้นหาข่าวเกี่ยวกับไป๋ทิงซินว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน แต่ข่าวล่าสุดที่เธอเห็นกลับเป็นข่าวซุบซิบที่เธออ่านไปก่อนหน้านี้คือ เขาหายตัวไปไป๋ทิงซินเป็นนักธุรกิจ ไม่ใช่คนดัง แม้เขาจะเป็นผู้นำของตระกูลไป๋ แต่ความสนใจที่คนอื่นมีต่อเขากลับอยู่ในวงจำกัดเท่านั้น ดังนั้นข่าวพวกนี้จึงไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไหร่‘เกิดอะไรขึ้นกับเหลียนอีกันแน่? ทำไมเหลียนอีไม่รับโทรศัพท์ล่ะ?’ หลิงอี้หรานพยายามส่งข้อความไปด้วยเช่นกัน ทั้ง WeChat... และอื่น ๆ เธอทำทุกวิถีทางเพื่อให้ติดต่อกับอีกฝ่ายได้ แต่ก็ไม่มีการตอบกลับจากช่องทางใดเลยหลิงอี้หรานลังเลเล็กน้อยและสุดท้ายก็โทรหาพ่อแม่ของเหลียนอี เธอบันทึกเบอร์ของพวกท่านไว้ในโทรศัพท์ แต่ไม่เคยโทรไปสักครั้ง เพราะพ่อแม่ของเหลียนอีกไม่ชอบหน้าเธอหลังจากที่เธอเกิดอุบัติเหตุและโดนจับขังคุกถึงอย่างนั้นพ่อแม่ของเหลียนอีก็มีเหตุผลที
เมื่อเธอมาถึงโรงพยาบาลและพูดชื่อของชินเหลียนอีกับเคาน์เตอร์พยาบาล ความบังเอิญในทีแรกกลายเป็นความจริงในที่สุดชินเหลียนอีได้รับบาดเจ็บหนักและเพิ่งออกมาจากห้องฉุกเฉิน เธอยังต้องอยู่ดูอาการต่อในห้องไอซียู และจะได้ย้ายไปอยู่ห้องพักฟื้นทั่วไปก็ต่อเมื่อพ้นช่วงภาวะวิกฤติไปได้แล้วเท่านั้นทุกอย่างตรงหน้าหลิงอี้หรานราวกับกลายเป็นสีเทา เมื่อเธอมาถึงห้องไอซียู เธอก็เห็นนายท่านและคุณนายชินยืนอยู่ริมกำแพงกระจกใส พวกเขากำลังร้องไห้ขณะที่มองเข้าไปข้างในหลังจากไม่ได้เจอพ่อแม่ของเหลียนอีมากว่าสี่ปี หลิงอี้หรานไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับพวกท่านในสถานที่แบบนี้‘เหลียนอี... ตอนนี้เหลียนอี...’ขาของหลิงอี้หรานสั่น เธอกลัวเกินกว่าจะเข้าไปดูสภาพของเหลียนอีที่อยู่หลังกำแพงกระจก เธอกลัวว่าเธอจะรับกับสิ่งที่เห็นไม่ไหว!ทีละก้าว... ทีละก้าว...ระยะทางอันสั้นกลับดูยิ่งไกลออกไป สุดท้ายเมื่อเธอเดินไปถึงกำแพงกระจกและมองเข้าไป หลิงอี้หรานก็เห็นชินเหลียนอีกำลังนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลทันใดนั้นหลิงอี้หรานก็ร้องไห้ออกมาทันที! ‘เหลียนอีเหรอ? นั่นคือเหลียนอีเหรอ?’ คนที่อนู่บนเตียงโรงพยาบาลใส่ท่อช่วยหายใจและมีผ้าพ
เมื่อได้ยินอย่างนั้น นายท่านชินก็กล่าวกับหลิงอี้หรานว่า “เหลียนอีบาดเจ็บหนัก อย่างที่เธอเห็น ตอนนี้ครอบครัวเราวุ่นวายมาก แล้วเราก็อารมณ์ไม่ดีด้วย หวังว่าเธอจะไม่โผล่หน้ามาให้พวกเราเห็นอีกนะ ถึงเราจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหลียนอีในครั้งนี้จะไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ แต่พอเราเห็นเธอก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่าเหลียนอีเคยเสียสละให้เธอไปมากแค่ไหน เราก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเธอ”“หนู... หนูเข้าใจค่ะ” หลิงอี้หรานกล่าว เธอไม่เคยโทษนายท่านและคุณนายชินเลย พ่อแม่ทุกคนคงไม่อยากเห็นลูกของพวกเขาทิ้งอนาคตของตัวเองเพื่อเพื่อนคนหนึ่งในทันใดนั้นเองที่พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาและเอาบิลค่าใช้จ่ายมอบให้นายท่านและคุณนายชิน “เราหักเงินจากก่อนหน้านี้ออกไปแล้ว แต่ยังมีค้างอยู่บางส่วนค่ะ เพราะอย่างนั้นรีบไปจ่ายให้เร็วที่สุดด้วยนะคะ คุณชินเหลียนอียังมีการผ่าตัดที่ต้องเข้าผ่าตัดอีกสองครั้ง และยังมีค่ารักษาในห้องไอซียูกับค่าใช้จ่ายเฝ้าติดตามอาการด้วย ญาติคงต้องเตรียมเงินไว้... มากกว่าล้านดอลลาร์ค่ะ”สิ่งนั้นทำให้นายท่านชินและคุณนายชินสติหลุดไปเลยทีเดียว มากกว่าล้านเหรอ? ครอบครัวฐานะธรรมดา ๆ แบบพวกเขาจะไปเอาเงินมากขนาดนั้นมาจ
หนึ่งถึงสองล้านดอลลาร์ไม่ระคายอะไรกู้ลี่เฉินหรอก แต่สำหรับเหลียนอี มันคือเงินที่ต้องใช้เพื่อรักษาชีวิตเธอ!หลิงอี้หรานหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหากู้ลี่เฉิน แต่ไม่มีใครรับสาย เธอกัดฟันและเดินทางไปที่ห้องพักฟื้นของกู้ลี่เฉินในโรงพยาบาลซิตี้เฟิร์ส แต่กลับไม่มีใครอยู่ และเธอได้รู้จากพยาบาลว่ากู้ลี่เฉินออกจากโรงพยาบาลไปแล้วเมื่อบ่ายนี้เอง!‘ที่ไหนได้อีก? ฉันจะไปหากู้ลี่เฉินได้ที่ไหน?’หลิงอี้หรานใช้ความคิด ‘คฤหาสน์กู้ หรือไม่ก็... คฤหาสน์ส่วนตัวของกู้ลี่เฉิน?’เธอจำได้ว่ากู้ลี่เฉินเคยบอกไว้ว่า ปกติเขาจะอยู่ที่คฤหาสน์ส่วนตัว และที่อยู่ของมันก็คือ... หลิงอี้หรานจำได้ว่าในข่าวซุบซิบคนดังเคยพูดถึงที่อยู่ของเขาเอาไว้อย่างไรกู้ลี่เฉินก็เป็นเจ้าชายแห่งวงการบันเทิง หลายคนจึงรู้ว่าคฤหาสน์ส่วนตัวของเขาอยู่ที่ไหน แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็ได้จะเข้าไป เพราะที่นั่นมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีที่สุดในโลกและมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหลายคนหลิงอี้หรานขึ้นแท็กซี่และบอกจุดหมายเป็นที่อยู่คฤหาสน์ของกู้ลี่เฉินเมื่อได้ยินอย่างนั้นคนขับรถก็แนะขึ้นทันทีว่า “ไม่ได้จะไปหาโอกาสที่บ้านเจ้าชายหรอกใช่ไหม? เอ เ
ในตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ก็มีรถเข้ามาจอดและหวาลี่ฟางก็ลงมาจากรถ มีความแปลกใจปรากฏในดวงตาของเธอเมื่อเห็นหลิงอี้หราน เธอเดินมาแล้วพูดว่า “อี้หราน ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”หลิงอี้หรานสูดลมหายใจเข้าลึกและพูดกับหวาลี่ฟาง “ฉันอยากเจอลี่เฉิน เพื่อนฉันได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องเข้าห้องไอซียู ฉันจะมาขอให้กู้ลี่เฉินช่วย ถ้า... เป็นไปได้ เธอช่วยพาฉันเข้าไปเจอลี่เฉินหน่อยได้ไหม?”เธอรู้ว่าหวาลี่ฟางไม่มีทางตอบตกลงเพราะเรื่องระหองระแหงกันเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่เพื่อเหลียนอี หลิงอี้หรานก็ทำได้แค่ลองพยายามดูเป็นไปตามที่เธอคาดไว้ หวาลี่ฟางทำหน้าลำบากใจและพูดว่า “ช่วยไม่ได้หรอก อย่างที่เธอรู้ วันนี้เธอกับลี่เฉินจากกันไม่ดีเท่าไหร่ ลี่เฉินยังโกรธอยู่เลย ถ้าฉันพาเธอเข้าไป เขาไม่โกรธฉันไปด้วยหรือไง? ขอโทษนะ แต่ฉันคงช่วยไม่ได้จริง ๆ”พูดจบหวาลี่ฟางก็หันตัวกลับไปยังรถ ประตูเหล็กค่อย ๆ เปิดออก และรถคันนั้นก็แล่นเข้าไป ขณะนั่งในรถหวาลี่ฟางมองผ่านกระจกหน้าต่างไปยังหลิงอี้หรานที่ยืนอยู่ข้างนอกด้วยสีหน้าเจ็บปวด เธอจึงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มอย่างพอใจเธอไม่ยอมให้อี้หรานเจอลี่เฉินง่าย ๆ หรอก เธอยังรอให้ความเข้าใจระหว่าง