ทั้งสองรีบปลดเข็มขัดนิรภัยขณะที่พูดคุยกัน ตอนนี้รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 70 ไมล์ต่อชั่วโมง และกำลังเคลื่อนที่ไปยังพื้นที่ห่างไกลอย่างต่อเนื่องพวกเขาควรจะต้องหาโอกาสเพื่อกระโดดออกจากรถ แต่จู่ ๆ ก็มีรถขนทรายขับเข้ามาจากถนนด้านข้าง คนขับรถขนทรายเองก็เห็นรถของชินเหลียนอีแล้วและเริ่มลดความเร็ว แต่เขาไม่ได้หยุด อย่างไรเสีย ตามกฎการจราจรแล้ว ชินเหลียนอีต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายหยุดแต่ชินเหลียนอีไม่สามารถหยุดรถของเธอได้ถ้าพวกเธอชนกับรถบรรทุกทรายก็จะร่วงลงมา และแม้พวกเธอจะเอาตัวรอดออกจากการชนได้ แต่ก็คงไม่สามารถเอาตัวรอดจากทราบพวกนั้นได้!ตอนนี้ชินเหลียนอีหมุนพวงมาลัยอย่างสิ้นหวัง และพยายามประคองรถให้หนีออกจากรถขนทราย แต่รถบรรทุกที่ขนทรายมาเต็มคันรถและคนขับไม่ได้หยุดรถลงเลย แม้ว่าเขาจะสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับรถของชินเหลียนอี แต่ตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะเหยียบเบรคแล้วเมื่อเห็นว่ารถสองคันกำลังจะชนกัน ชินเหลียนอีก็ร้องออกมาด้วยความหมดหวัง “อี้หราน กระโดด! เร็วเข้า!”ในตอนนั้นเองที่อยู่ดี ๆ ก็มีรถอีกคันขับเข้ามาหาพวกเขาจากนั้นก็เกิดเสียงชนกันดังก้องและเสียงเบรกที่เสียดหู ด้านหน้าของรถ
ข้างหน้าของรถเสียหายจากแรงกระแทก และประตูก็เป็นรอยแตกจนแยกออก ดูเหมือนว่ามันจะถูกเปิดออกจากข้างในได้อย่างยากลำบากร่างหนึ่งโซซัดโซเซออกมาจากรถดวงตาของหลิงอี้หรานเบิกกว้าง และเธอก็จ้องมองร่างนั้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาคือ... กู้ลี่เฉิน เป็นกู้ลี่เฉินจริง ๆ !แม้ว่าเธอจะไม่กล้าเชื่อสิ่งนั้น แต่สิ่งที่เห็นในตอนนี้ก็กำลังบอกว่านี่เป็นเรื่องจริงเธอมองดูเขาที่เดินเข้ามาหาเธอ ใบหน้าของเขาอาบไปด้วยเลือด สภาพของเขาดูไม่จืดเลยเขาเป็นถึงเจ้าชายแห่งวงการบันเทิง ปกติเขาเป็นคนที่แต่งตัวดูดีและสะอาดสะอ้านต่อหน้าผู้คนอยู่เสมอ เขาเคยอยู่ในสภาพนี้ด้วยเหรอ?เลือดสีแดงหยดลงบนเสื้อแจ็คเก็ตสีครีมขาวของเขา ทำให้ภาพที่เห็นชวนให้ดูน่าตกใจเขาเดินเข้ามาใกล้ประตูรถของเธอทีละก้าว ๆ ก่อนจะเปิดมันออก และก้มลงมาอย่างยากลำบาก ใบหน้าเปื้อนเลือดของเขาเคร่งเครียด “คุณเป็นอะไรไหม? บาดเจ็บหรือเปล่า?”น้ำเสียงของเขาแหบพร่า และมือทั้งสองข้างของเขาที่ยื่นมาหาเธอก็เต็มไปด้วยเลือดจมูกของหลิงอี้หรานรู้สึกระคายเคือง ชายคนนั้นถามเธอว่า เธอบาดเจ็บไหม ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองกำลังเจ็บและมีเลือดออกมากอย่างเห็นได้ชัด!“คุณจง
นายท่านและนายหญิงกู้มองไปยังประตูห้องผ่าตัดที่ปิดสนิทด้วยความวิตกกังวล ขณะที่เขาฟังผู้เชี่ยวชาญในโรงพยาบาลอธิบายอาการบาดเจ็บของกู้ลี่เฉินและความยากลำบากในการผ่าตัดนายท่านและนายหญิงกู้รู้สึกเบาใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้รู้ว่าลูกชายของพวกเขาไม่ได้บาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ชีวิต จากนั้นสายตาของพวกเขาก็มองไปยังหลิงอี้หรานและชินเหลียนอีหากพูดให้เจาะจงก็คือพวกเขามองมาที่หลิงอี้หราน“เธอคงเป็นหลิงอี้หรานสินะ!” นายหญิงกู้เดินเข้ามาหาหลิงอี้หรานและพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉันไม่สนใจว่าเรื่องระหว่างเธอและลี่เฉินจะเป็นยังไง แต่ฉันไม่อยากเห็นลี่เฉินถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดเพราะเธอแบบนี้อีก!”ชินเหลียนอีอยากจะช่วยปกป้องเพื่อนรัก แต่หลิงอี้หรานก็ห้ามเอาไว้และส่ายหัวให้เงียบ ๆ เพื่อบอกว่าเธอไม่ต้องทำแบบนั้นกู้ลี่เฉินช่วยชีวิตเธอไว้และต้องถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดเพราะเหตุนั้น คุณนายกู้ยั้งตัวเองเอาไว้ด้วยการพูดถึงสิ่งที่เธอทำเท่านั้น แม้ว่านายหญิงกู้จะด่าเธออย่างรุนแรง เธอก็ควรจะยอมรับไว้!“พอเถอะ เราค่อยคุยกันหลังจากการผ่าตัดของลี่เฉินก็แล้วกัน” นายท่านกู้กล่าวด้วยท่าทีจริงจังนายหญิงกู้หยุดพูดสองชั่วโมง
เธอขนลุกเมื่อนึกถึงอุบัติเหตุของเธอกับห่าวเหมยยวี่ เธอยังจำได้ถึงความรู้สึกกลัวเหล่านั้นทว่าอุบัติเหตุรถชนในครั้งนี้... ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัว แต่เป็น... ความขมขื่นอันหนักอึ้ง“ผมแค่ช่วยคนที่ผมรัก ทำไมคุณต้องขอบคุณผมด้วยล่ะ?” กู้ลี่เฉินกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ซึ่งมีความอ่อนโยนซึ่งหาชมได้อยากปรากฏอยู่หวาลี่ฟางมองรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาด้วยความหึงหวง รอยยิ้มของลี่เฉินที่มีให้หลิงอี้หราน!“ลี่เฉิน คุณพูดเรื่องช่วยอะไรเหรอคะ? เมื่อวานไม่ใช่ว่าคุณประสบอุบัติเหตุหรอกเหรอ?” หวาลี่ฟางถามด้วยความสับสนแทนที่จะได้รับคำตอบกู้ลี่เฉินกล่าวว่า “ลี่ฟาง ผมอยากกินนมถั่วเหลือง ทำไมคุณไม่ลงไปซื้อให้ผมหน่อยล่ะ?”หวาลี่ฟางสัมผัสได้ว่ากู้ลี่เฉินจงใจกีดกันเธอ แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถหาเหตุผลปฏิเสธมาเพื่อปฏิเสธการลงไปซื้อนมถั่วเหลืองให้เขาได้ ดังนั้นเธอจึงตอบได้เพียงว่า “ได้ค่ะ ฉันจะไปซื้อให้”ถึงอย่างนั้นระหว่างทางที่ออกจากห้องพักฟื้นไป ปลายหางตาเธอก็เหลือบไปเห็นทั้งสองคนที่อยู่ห้อง แล้วความริษยาก็เพิ่มขึ้นในดวงตาของเธอ‘อี้หรานเป็นความน่ารำคาญจริง ๆ เหมือนที่หลิงลั่วอินบอกไว้ไม่มีผิด ฉันคงไม่มีวัน
“อี้หราน ผมเลือกช่วยคุณเอง คุณไม่ต้องรู้สึกหนักใจหรอก” กู้ลี่เฉินกล่าว ดวงตารูปนกฟินิกซ์เหล่านั้นดูเหมือนจะมองทุกอย่างออกอย่างทะลุปรุโปร่งหลิงอี้หรานรู้สึกได้ถึงความแสบร้อนที่เผาไหม้ในลำคออย่างต่อเนื่องกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อมาชินเหลียนอีก็มายังโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมกู้ลี่เฉินเช่นกัน เธอยังได้บอกพวกเขาด้วยว่าตำรวจตรวจสอบรถแล้ว และพบว่ารถถูกดัดแปลงจริง ๆทำให้เบรกจะยังไม่พังในทันที แต่จะพังหลังจากที่เวลาผ่านไปสักพัก เมื่อวานนี้พวกเธอคงได้ประสบอุบัติเหตุหนักจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะกู้ลี่เฉินพุ่งเข้ามาชนพวกเธอไว้ก่อน“ดูเหมือนว่าช่วงนี้สัญญาณกันขโมยของรถฉันจะชอบดังขึ้นมาแบบปุบปับด้วย บางทีเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวกัน” ชินเหลียนอีกล่าวหลิงอี้หรานจึงพูดว่า “น่าจะเป็นไปได้ แล้วตำรวจบอกอะไรอีกไหม?”“เขาบอกว่าจะสืบสวนต่อให้ บางทีเขาน่าจะโทรหาเธอไปสอบปากคำด้วยน่ะ” ชินเหลียนอีกล่าวหลิงอี้หรานพยักหน้า และหวังว่าตำรวจจะจับกุมผู้กระทำความผิดได้ในเร็ววัน“ผมจะให้คนไปตามสืบเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน ไม่ว่ายังไงผมก็จะหาตัวคนร้ายมาให้ได้!” กู้ลี่เฉินกล่าวด้วยดวงตาที่ปรากฏแรงแค้นเขาจะไม่ยอมปล่อยใครก็ตามที่พ
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาเช้านี้ เธอก็พบว่าตัวเองยังถือสายค้างไว้อยู่และทิงซิน... ไม่วางสายเลยทั้งคืน!จากนั้นเธอก็ทำเสียงขึ้นมา แล้วเขาก็พูดอรุณสวัสดิ์กับเธอทันทีน้ำเสียงของเขาแหบเล็กน้อย เธอสงสัยว่าเขาจะได้หลับสบายไหมหลังจากที่เธอรบกวนเขาทั้งคืน หรือ... เขาจะไม่ได้นอนเลยหรือเปล่า?เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น ตอนนี้ก็เป็นเวลาสองสัปดาห์แล้วที่เขาไปจากเมืองเฉิน แต่เธอกลับคิดถึงเขามากเลย!เธออยากเจอเขาสุด ๆ !คนคนหนึ่งจะรู้ขึ้นมาว่าเขาต้องการอะไรหลังจากที่ได้ประสบกับเหตุการณ์ระหว่างความเป็นกับความตายเมื่อชินเหลียนอีเดินออกมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินและเดินไปยังประตูทางเข้าหมู่บ้าน และฝีเท้าของเธอก็หยุดลงครู่สั้น ๆรถสีดำหยุดลงไม่ไกล และร่างหนึ่งก็ลงมาหาเธอดวงตาของชินเหลียนอีแดงขึ้นมา และรู้สึกอยากจะร้องไห้ในทันที!“เหลียนอี ผมกลับมาแล้ว” เสียงทุ้มแหบห้าวเล็กน้อยของเขาพูด เขามองเธอด้วยความอ่อนโยน แต่ก็เจือความเป็นห่วงไว้ด้วยชินเหลียนอีร้องออกมาเสียงดังและกระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของไป๋ทังซินในทันทีเธอกอดเขาไว้แน่นและฝังใบหน้าลงในอ้อมแขนของเขาขณะที่ร้องไห้เสียงดัง ดูเหมือนว่าเธอจะกำลังร้องไห้
เธอจ้องมองเขา ใบหน้าของชายหนุ่มเป็นห่วงเธอมาก มีรอยคล้ำจาง ๆ ใต้ตาของเขา แสดงว่าเมื่อคืนเขาคงจะไม่ค่อยได้นอน นอกจากนั้น เขาบอกว่าต้องจัดการกับเรื่องในครอบครัวไป๋ แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้ว!ชินเหลียนอีประคองใบหน้าของไป๋ทิงซินด้วยสองมือของเธอ “เราแต่งงานกันเถอะ ฉันจะแต่งงานกับคุณทันทีที่คุณจัดการเรื่องในครอบครัวไป๋เสร็จแล้ว!”ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพูดถึงเรื่องการแต่งงานกันไว้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่เธอก็อยากแต่งงานกับเขามากและอยากผ่านสถานการณ์ความเป็นความตายร่วมกันกับเขามากจริง ๆเธออยากจะใช้เวลาไปกับเขาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะเพิ่มมาเพียงแค่หนึ่งนาที หรือแม้แต่วินาทีเดียวก็ตาม!บางทีตอนนี้เธอคงจะทะนุถนอมเขามากขึ้นหลังจากที่ประสบกับเรื่องแบบนั้นแม้ตอนนี้พวกเขาจะยืนเจอกันแบบตัวต่อตัวและมองตากอดกันไว้ เธอก็รู้สึกว่าสิ่งนี้คือพรจากสวรรค์!ไป๋ทิงซินมองคนตรงหน้าและโน้มตัวลง แนบหน้าผากของเขาเข้ากับเธอเบา ๆ “เราจะแต่งงานกัน ผมจะแต่งคุณเข้ามาเป็นภรรยาของผมในตระกูลไป๋อย่างยิ่งใหญ่เลยล่ะ!”เธอมอบรอยยิ้มเปื้อนน้ำตาให้ เธอไม่สนใจว่ามันจะยิ่งใหญ่หรือไม่ เธอสนใจแค่ว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันตลอด
นายท่านและคุณนายชินมองหน้ากัน หลังจากแต่งงานกันมานานหลายปี พวกเขาก็เข้าใจในความคิดของกันและกันได้เป็นอย่างดีนายท่านชินกระแอมไอและสุดท้ายก็เลือกถอยหลังก้าวหนึ่งพลางพูดว่า “ถ้านายแก้ไขเรื่องวุ่นวายในครอบครัวไป๋ได้ งั้นเราก็จะยอมอนุญาตให้พวกเธอแต่งงานกัน”อย่างไรพ่อแม่ย่อมต้องการให้ลูก ๆ ของพวกเขามีความสุขชินเหลียนอีดีใจมาก ‘นี่พ่อแม่ยอมแล้วเหรอ?’ไป๋ทิงซินเองก็โล่งใจ อย่างไรพวกท่านก็เป็นพ่อแม่ของเหลียนอี และเป็นคนที่สำคัญกับเหลียนอีที่สุด เขาจึงหวังว่าพวกท่านจะอนุญาตให้เขาและเหลียนอีได้แต่งงานกัน เขาหันไปมองรอยยิ้มบนใบหน้าของชินเหลียนอี เขาแอบตัดสินใจเงียบ ๆ ว่าจะต้องทำให้เรื่องวุ่นวายในครอบครัวไป๋จบลงโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อให้เหลียนอีมีอนาคตที่ดีกว่าและปลอดภัยกว่า! ... หลิงอี้หรานมาเยี่ยมอาหยันน้อยก่อนเมื่อเธอมาโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมกู้ลี่เฉิน อาหยันน้อยอาการดีขึ้นมากและสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ในอีกสองวัน!ช่างบังเอิญที่อาหยันน้อยและกู้ลี่เฉินเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเดียวกันถึงอย่างนั้น อาหยันน้อยก็อยู่ในวอร์ดเด็กธรรมดา ในขณะที่กู้ลี่เฉินอยู่ในวอร์ดวีไอพีอาห