แม่ทัพหยางโม่เหยียนที่คิดจะแนะนำนางให้ทุกคนรู้จักจำต้องหยุดคำพูดลง เมื่อรถม้าอีกคันที่ประทับตราของจวนตระกูลหยางแล่นเข้ามาแล้วหยุดลง พร้อมกับบุรุษผู้เป็นพี่ชายที่ก้าวลงจากรถม้าพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้าง"โม่เหยียน"คุณชายใหญ่ตระกูลหยางผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน หยางโม่ชาง ผู้ที่ไม่ชมชอบการใช้กำลัง จึงเลือกที่จะเป็นขุนนางมากกว่าการเป็นทหาร ที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน แต่ก็มิได้เป็นปัญหาเพราะทุกคนต่างเคารพในการตัดสินใจของเขา "พี่ใหญ่"สองพี่น้องที่ต่างพูดคุยกันอย่างคิดถึง ทักทายกันตามประสาบุรุษ คุณชายใหญ่หยางโม่ชางที่เห็นว่าข้างกายของน้องชายตนมีโฉมสะคราญอีกนางหนึ่ง สายตาล้อเลียนที่ส่งมาให้ผู้เป็นน้องชายตนราวจะถามถึงความสัมพันธ์ แม้จะพอรู้มาบ้างจากคำบอกเล่าในจดหมายของผู้เป็นน้องสาวอีกคน ในตอนแรกนั้นเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่า น้องชายผู้นี้ของเขาจะยอมผูกมัดตัวเองง่ายๆ แต่เมื่อเห็นสตรีตรงหน้าเขาก็ไม่แปลกใจเลย ว่าเหตุใดน้องชายตนจึงคิดที่จะแต่งนาง"นางเป็นภรรยาข้า ซูจือหลิง"เสียงราบเรียบที่กล่าวขึ้น ทำเอาผู้ที่ถูกกล่าวถึง ถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก ก่อนจะส่งยิ้มจืดเจื่อนไปให้พี่ชายของบุรุษหน้ามึนที่ดึงนางมาโอบก
เมื่อเจ้านายทุกคนเข้ามากันพร้อมหน้าพร้อมตา บ่าวไพร่ต่างก็พร้อมใจยกสำรับอาหารที่หน้าตาน่ารับประทานเข้ามาเรียงรายจนเต็มโต๊ะ อาหารแต่ละจานล้วนถูกปรุงขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน บ่งบอกถึงความใส่ใจของผู้ลงมือทำได้เป็นอย่างดี "วันนี้พี่สะใภ้ของเจ้าตั้งใจทำอาหารทุกจานด้วยตนเองเพื่อต้อนรับเจ้าทั้งสองเชียวนะ"ฮูหยินผู้เฒ่าที่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มกล่าวขึ้น เมื่อนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย ด้านขวามือฮูหยินผู้เฒ่าคือคุณชายใหญ่หยางโม่ชาง ผู้เป็นนายท่านใหญ่ของจวน ตามด้วยสะใภ้ใหญ่ จางฮุ่ยหนิง"หลิงหลิง มานั่งข้างๆ มารดานี่"มือเหยี่ยวย่นที่ตบลงเบาๆ บนเก้าอี้ข้างตัวอีกด้าน จากหญิงชราที่ในตอนแรกใบหน้านั้นดูนิ่งขรึมเรียบเฉย แต่ตอนนี้กลับมีรอยยิ้มอบอุ่นแต่งแต้ม จนคนที่เกร็งตัวอยู่ตลอดเริ่มผ่อนคลายลงนางมิใช่สตรีแก่ชราที่ดวงตาฝ้าฟาง ล้วนมองออกว่าสิ่งใดล้ำค่า สิ่งใดคือกรวดทรายเจ้าของชื่อที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดคิด หันไปมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีอย่างขอความเห็น เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้ จึงก้าวไปนั่งลงด้านข้างหญิงชรา ตามด้วยแม่ทัพหยางโม่เหยียนที่ตามมานั่งลงด้านข้าง"รู้สึกเหมือนตัวเองโดนแย่งชิงความรักเสี
ความสงสัยทั้งหมดถูกพับเก็บลง เมื่อคิดได้ว่าสตรีนางนั้นจะเป็นใคร เกี่ยวข้องอันใดกับบุรุษผู้นี้ก็ไม่เกี่ยวกับนาง เมื่อครบกำหนดนางก็ต้องจากไป ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก แต่ทำไมถึงรู้สึกอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น คงเป็นเพราะนางเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวัน และยังถูกบุรุษผู้นั้นรังแกจึงทำให้เป็นเช่นนี้กระมัง เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถม้า ใบหน้างามก็ร้อนผ่าวขึ้นมา นางลืมไปได้อย่างไรกันว่าความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นจะนำพามาซึ่งความยุ่งยากใจในภายหลัง ซึ่งหากนางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาคงจะไม่ดีแน่"ถึงแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย"เสียงของบ่าวรับใช้ใบหน้ากลมจิ้มลิ้มดูน่าเอ็นดู เอ่ยขึ้น เมื่อพานางมายังเรือนเรือนหนึ่งที่ดูใหญ่โตและสวยงาม รู้เพียงว่าเรือนหลังนี้อยู่ทางปีกตะวันออกของเรือนใหญ่ เพราะมัวแต่คิดเรื่องสตรีนางนั้น จึงทำให้มิรู้ตัวเลยว่านางเดินมาถึงเรือนแห่งนี้ได้อย่างไร แล้วจะหาแม่ทัพโม่เหยียนได้ที่ไหนล่ะทีนี้"เรือนตะวันออกนี้ เป็นเรือนพักของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะฮูหยินน้อย"เสียงแจ้วๆ ของบ่าวรับใช้ตัวกลมที่พานางเดินดูรอบๆ เรือนยังคงดังขึ้นเป็นระยะอย่างน่าฟัง สายตากลมโตที่ก
น้ำหนักมือที่บีบนวดลงบนไหล่มนอย่างพอดี ทำให้เจ้าของร่างบางที่หลับตาพริ้มครางฮืออย่างพออกพอใจ แต่มือของอาเปาช่างสากระคายยิ่งนัก ก่อนหน้านี้อาเปาทำหน้าที่ใดในจวนแม่ทัพแห่งนี้กัน แต่คงจะเป็นงานที่หนักน่าดู ใบหน้างามที่กำลังหลับสบาย จำต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อมือที่บีบนวดตรงไหล่มนของนางเริ่มที่จะร้อนผ่าวขึ้นและไต่ระดับต่ำลงมาตามท่อนแขนเล็กกลมกลึงแผ่วเบา จนขนอ่อนของนางลุกซู่ แล้วร่างบางพลันสะดุ้งเฮือก ผวาลุกพรวดขึ้นจากน้ำอย่างตกใจเมื่อฝ่ามือร้อนนั้นรวบเอาทรวงอกอวบอิ่มของนางเอาไว้เต็มฝ่ามือภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้นางแทบสิ้นสติ เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่อาเปาแต่กลับเป็นเจ้าของเรือนที่ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างจากหน้าอกของนางไม่ถึงคืบ"ท่าน"มือบางข้างหนึ่งที่ยกขึ้น พาดลำแขนเล็กลงปกปิดบนทรวงอกอิ่มทั้งสองข้างอย่างหมิ่นเหม่ เพื่อให้พ้นจากสายตาหื่นกระหายของบุรุษตรงหน้า แม้จะรู้ว่ามิอาจปกปิดความใหญ่โตเกินตัวเอาไว้หมด แต่นางก็อับอายเกินกว่าจะปล่อยให้ยอดทรวงอิ่มชี้หน้าบุรุษจอมหื่นผู้นี้ อีกมือนั้นใช้ดันใบหน้าหล่อเหลาที่พยายามก้มหน้าลงมา เพื่อฉกชิมความหวานของยอดทรวงที่รวบแข็งเป็นไตท้าทายอีกฝ่ายจนน่าโมโหตั้ง
ริมฝีปากหนาที่ขบกัดขมเม้มไปทั่วทั้งลาดไหล่มนและเนินอกอวบอิ่มมิได้ทำให้รู้สึกเจ็บอย่างที่นางกังวลว่าเขาจะเอาคืน แต่กลับรู้สึกเสียวกระสันจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน นิ้วเรียวยาวที่สอดงองุ้มเข้ามาในจุดอ่อนไหวกลางกาย ยิ่งทำให้ริมฝีปากอวบอิ่มยิ่งเผยอครวญคราง ริมฝีปากหนาสะเปะสะปะจูบไซร้ไปทั่วทั้งใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยอารมณ์พิศวาส ก่อนจะวกกลับมาครอบครองปากอิ่มบ่วมเจ่ออีกครั้ง บดคลึงด้วยแรงเสน่หา ส่งลิ้นร้อนเข้ามาควานหาความอ่อนหวานนุ่มละมุนในโพรงปากเล็กราวหิวกระหายมือหนาจับปลายคางมนแล้วดันให้แหงนเงยรับจุมพิตลึกซึ้ง ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นเล็กของนาง พันเกี่ยวประสานดูดกลืนด้วยความร้อนเร่า จนนางแทบสำลักลมหายใจ ปากหนาจึงได้ผละออกให้นางได้สูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะประกบลงมาใหม่ ทาบทับลงมาบดเคล้ากลีบปากเล็กอย่างบ้าคลั่ง สูบเอาเรี่ยวแรงของนางไปจนหมดสิ้น สะโพกแกร่งที่บดเบียดเข้ามาระหว่างเรียวขาเล็กที่โอบรัดเอวสอบแน่น จนรู้สึกถึงลำเอ็นแข็ง ร้อนผ่าวที่นาบไปกับหน้าท้องแบนราบจนสัมผัสได้ว่ามันทั้งยาวและใหญ่เพียงใด ยิ่งทำให้ก้อนเนื้อในอกยิ่งเต้นกระหน่ำ สติที่คิดจะต่อต้านพลันพร่าเลือน ปล่อยให้ทุกอย่า
ร่างบางพลิกกายที่เมื่อยขบหันไปมองด้านข้างที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้เงาของบุรุษที่ก่ายกอดนางเอาไว้ตลอดทั้งคืน ใบหน้างามที่แดงระเรื่อขึ้น เมื่อย้อนนึกไปถึงคำพูดของแม่ทัพจอมหื่น ที่นางพึ่งได้รู้ว่านอกจากบุรุษผู้นั้นจะหื่นแล้ว ทั้งยังปากหวานและขี้อ้อนมากอีกด้วย แต่ก็ทำให้นางใจเต้นแรงและรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด"เจ้ายินดีจะเป็นฮูหยินแม่ทัพไปตลอดหรือไม่ หลิงเอ๋อ"นั่นคือคำถามที่คนตัวโตถามนางหลังจากที่ศึกรักที่กินเวลานานสงบลง นางที่ยังคงหลับตานิ่ง ใบหน้านวลซบอยู่กับอกแกร่งชื้นเหงื่อ ฟังเสียงหัวใจที่เริ่มกลับมาเต้นในจังหวะปกติของคนตัวโต นางไม่ได้หลับและได้ยินคำพูดนั้นชัดทุกคำ"ข้าอยากให้เจ้าลองให้โอกาสตัวเองและให้โอกาสข้าดูสักครั้ง หากจะพูดว่ารัก มันคงจะฟังดู เร็วเกินไป แต่ข้า รู้สึกดีที่มีเจ้า และทุกคนที่นี่ก็ยินดีที่จะมีเจ้ามาเป็นครอบครัวอีกคน"คำพูดทุกคำสลักลึกลงไปในใจนาง ทั้งรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ ตื้นตัน อย่างบอกไม่ถูก รู้เพียงว่านางรู้สึกดีมากๆแม่ทัพหยางโม่เหยียน ที่ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งเขาจะมาร้องขอโอกาสจากสตรีคนหนึ่งเพื่อให้นางอยู่ด้วย เขาที่พยายามหลีกหนีการผูกมัดมาตลอด ตอนนี้กลับอยากผูกติด
ว่านอิงฮวา สตรีวัยสิบเจ็ดหนาวที่ยังไม่ยอมออกเรือน นางเป็นน้องสาวของอดีตลูกน้องคนสนิทของท่านแม่ทัพหยางโม่เหยียน ที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแต่ต้องมาจบชีวิตลงจากศึกใหญ่เมื่อหลายปีก่อน และได้ฝากฝังน้องสาวและมารดาไว้กับท่านแม่ทัพว่านอิงฮวาจึงเหลือแค่มารดาแก่ชราเพียงคนเดียว แต่เมื่อสามปีก่อน ก่อนที่ท่านแม่ทัพจะเดินทางกลับแดนใต้มารดาของนางก็ได้จบชีวิตลง จึงเหลือนางเพียงคนเดียวไร้ญาติสนิท ท่านแม่ทัพ เวทนาสงสารจึงรับนางเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพแห่งนี้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ส่วนเรื่องเบื้องลึกนั้นไม่มีใครรู้ไปมากกว่านี้อาเปาที่บอกแก่นายตนเพียงแค่นั้น แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าแม่นางว่านนั้นมีใจให้ท่านแม่ทัพจึงไม่ยอมออกเรือน ทุกคนรู้ได้เช่นไรน่ะหรือ ก็เจ้าตัวออกตัวมาตลอดตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาอยู่ที่นี่ ว่านางเป็นคนของท่านแม่ทัพ นางได้แต่เฝ้ารอวันที่ท่านแม่ทัพกลับมา แต่อาเปาก็ไม่ได้แจ้งให้ฮูหยินน้อยระคายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะท่าทีของท่านแม่ทัพไม่ได้มองแม่นางว่านเกินเลยไปกว่าสถานะน้องสาว จือหลิงที่ฟังเรื่องราวของว่านอิงฮวาจากอาเปา ก็ไม่ได้แสดงท่าทีเช่นไรออกไป เพียงพยักหน้ารับรู้เท่านั้น แม้ในใจขอ
แม่ทัพหยางโม่เหยียนที่คิดไปถึงเรื่องราวในครั้งอดีตเกี่ยวกับสตรีที่เขาได้รับปากกับลูกน้องคนสนิทที่เขารักดังสหายเอาไว้ก่อนตาย ว่าจะดูแลมารดาและน้องสาวผู้นี้ให้เป็นอย่างดี เมื่อครั้งที่มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่เขาก็ดูแลทั้งสองอย่างที่รับปากเอาไว้ อย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย จนเมื่อมารดาของนางสิ้นใจ ก็ได้ฝากฝังนางไว้กับเขา เพราะนางนั้นไม่เหลือใครอีก จึงต้องให้นางเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพโดยมิอาจหลีกเลี่ยง ซึ่งในตอนนั้นนางอายุแค่เพียงสิบสี่หนาวยังไม่ถึงวัยออกเรือน เขาได้รับปากมารดานางว่าถึงวันที่นางต้องออกเรือน จะให้นางได้แต่งกับบุรุษที่ดีเพราะสงสารที่ชีวิตนางไม่เหลือใคร จึงให้ความสนิทสนมกับอีกฝ่าย จนกลายเป็นเขาให้ความหวังกับนางโดยไม่รู้ตัว และในวันที่เขาจะออกเดินทางในตอนนั้น นางได้เอ่ยกับเขาว่า"ข้าจะรอท่านแม่ทัพกลับมาเจ้าค่ะ"เสียงหวานปนเศร้านั้น ทำให้เขารู้สึกเวทนาในโชคชะตาของนางนัก จึงไม่คิดที่จะกล่าวอันใดให้นางรู้สึกแย่ แม้จะรู้ว่านางคิดเช่นไรกับเขา แต่คิดว่านางยังไม่เข้าใจในความรัก เมื่อเวลาผ่านไปนางคงจะเข้าใจ ในสิ่งที่เขาเคยพูดมาตลอดว่านางเป็นดังน้องสาวคนหนึ
จือหลิงที่ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้นางหลับไปตั้งแต่ตอนไหน รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่แสนคุ้นเคยแผ่ซ่านอยู่ด้านหลัง สายตาก้มลงมองอ้อมแขนแกร่งที่กอดกระชับเอวบางของนางด้วยความรู้สึกเจ็บปวดระคนสับสน เปลือกตาที่เปิดขึ้นเพียงครู่หลับลงอีกครั้ง ความเจ็บปวดจุกแน่นแผ่ซ่านไปทั่วโพรงอก เมื่อความทรงจำของเมื่อคืนหวนกลับเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้งได้โปรดเถอะ หยางโม่เหยียน อย่าทำดีกับข้าเช่นนี้ เพราะข้าไม่สามารถแบกรับความรู้สึกเจ็บไปมากกว่านี้ได้อีกแล้วนางนอนคิดใคร่ครวญตลอดทั้งคืน ว่าจะทำเช่นไรกับเหตุการณ์ที่น่าอึดอัดนี้ เขาทำเหมือนมีใจให้นาง เหมือนนางเป็นคนสำคัญ แต่ขณะเดียวกันก็มีสตรีอีกคน หากจะต้องอยู่เช่นนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่ นางมิอาจทานทนได้ เพราะตอนนี้นางรู้ตัวแล้วว่าได้มอบหัวใจให้บุรุษผู้นี้ไปเสียแล้ว หากอยู่แล้วต้องเจ็บ มิสู้ยอมถอยออกมาก่อนที่จะเจ็บไปมากกว่านี้ดีกว่าหรือไม่"ตื่นแล้วหรือ"เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยขึ้น พร้อมวงแขนแข็งแกร่งที่กระชับร่างบางให้แนบไปกับอกแกร่งกำยำ มือหนาที่ลูบไร้หน้าท้องแบนราบจนกายบางแข็งเกร็งขึ้น มือเล็กจับมือหนาที่ทำท่าจะลูบไล้ขึ้นสูง เบี่ยงใบหน้าหนีริมฝีปา
ผ่านมาหลายวัน จือหลิงนางใช้ชีวิตอยู่ในจวนแม่ทัพอย่างมีความสุข ทุกคนต่างรักและเอ็นดูนางในฐานะสะใภ้เล็กของจวน แม่สามีรักและเอ็นดูนางดังบุตรแท้ๆ บ่าวไพร่ต่างเคารพยำเกรงในฐานะเจ้านายอีกคน จนนางรู้สึกหวงแหนกับการที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้แม่ทัพหยางโม่หยียนปฏิบัติต่อนางราวกับทั้งคู่คือสามีภรรยากันจริงๆ จนบางครั้ง นางเผลอลืมความตั้งใจในตอนแรก ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเขา แม้ทุกอย่างจะยังไม่ชัดเจนในความรู้สึก นางเพียงขอเก็บช่วงเวลาดีๆ นี้เอาไว้ อย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่ง จะได้รู้ว่านางก็เคยมีความสุขมากแต่ความสุขในชีวิตนางมักจะสั้นเสมอ แม้นางจะเตรียมตัวเตรียมใจแบกรับความรู้สึกผิดหวังและเสียใจเอาไว้บ้างแล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญกับความรู้สึกนั้นจริงๆ มันกลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย ความหวาดระแวงกำลังเกาะกินจิตใจนาง ยิ่งแม่ทัพหยางโม่เหยียนแสดงความชัดเจนที่มีต่อนาง ทั้งที่สตรีอีกคนมองมาด้วยความหม่นหมอง นางกลับยิ่งรู้สึกเจ็บปวดระยะหลังมานี้ แม่ทัพหยางโม่เหยียนต้องจัดการเรื่องราวในกองทัพของเขา ที่จะมาประจำการในเมืองหลวง ซึ่งยังไม่ลงตัว ทั้งคู่จึงไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันนัก เขามักจะออกไปตั้งแต่ฟ้าสางและกลับมาใน
แม่ทัพหยางโม่เหยียนที่คิดไปถึงเรื่องราวในครั้งอดีตเกี่ยวกับสตรีที่เขาได้รับปากกับลูกน้องคนสนิทที่เขารักดังสหายเอาไว้ก่อนตาย ว่าจะดูแลมารดาและน้องสาวผู้นี้ให้เป็นอย่างดี เมื่อครั้งที่มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่เขาก็ดูแลทั้งสองอย่างที่รับปากเอาไว้ อย่างไม่ให้ขาดตกบกพร่อง มีชีวิตความเป็นอยู่ที่สุขสบาย จนเมื่อมารดาของนางสิ้นใจ ก็ได้ฝากฝังนางไว้กับเขา เพราะนางนั้นไม่เหลือใครอีก จึงต้องให้นางเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพโดยมิอาจหลีกเลี่ยง ซึ่งในตอนนั้นนางอายุแค่เพียงสิบสี่หนาวยังไม่ถึงวัยออกเรือน เขาได้รับปากมารดานางว่าถึงวันที่นางต้องออกเรือน จะให้นางได้แต่งกับบุรุษที่ดีเพราะสงสารที่ชีวิตนางไม่เหลือใคร จึงให้ความสนิทสนมกับอีกฝ่าย จนกลายเป็นเขาให้ความหวังกับนางโดยไม่รู้ตัว และในวันที่เขาจะออกเดินทางในตอนนั้น นางได้เอ่ยกับเขาว่า"ข้าจะรอท่านแม่ทัพกลับมาเจ้าค่ะ"เสียงหวานปนเศร้านั้น ทำให้เขารู้สึกเวทนาในโชคชะตาของนางนัก จึงไม่คิดที่จะกล่าวอันใดให้นางรู้สึกแย่ แม้จะรู้ว่านางคิดเช่นไรกับเขา แต่คิดว่านางยังไม่เข้าใจในความรัก เมื่อเวลาผ่านไปนางคงจะเข้าใจ ในสิ่งที่เขาเคยพูดมาตลอดว่านางเป็นดังน้องสาวคนหนึ
ว่านอิงฮวา สตรีวัยสิบเจ็ดหนาวที่ยังไม่ยอมออกเรือน นางเป็นน้องสาวของอดีตลูกน้องคนสนิทของท่านแม่ทัพหยางโม่เหยียน ที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมาแต่ต้องมาจบชีวิตลงจากศึกใหญ่เมื่อหลายปีก่อน และได้ฝากฝังน้องสาวและมารดาไว้กับท่านแม่ทัพว่านอิงฮวาจึงเหลือแค่มารดาแก่ชราเพียงคนเดียว แต่เมื่อสามปีก่อน ก่อนที่ท่านแม่ทัพจะเดินทางกลับแดนใต้มารดาของนางก็ได้จบชีวิตลง จึงเหลือนางเพียงคนเดียวไร้ญาติสนิท ท่านแม่ทัพ เวทนาสงสารจึงรับนางเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพแห่งนี้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ส่วนเรื่องเบื้องลึกนั้นไม่มีใครรู้ไปมากกว่านี้อาเปาที่บอกแก่นายตนเพียงแค่นั้น แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าแม่นางว่านนั้นมีใจให้ท่านแม่ทัพจึงไม่ยอมออกเรือน ทุกคนรู้ได้เช่นไรน่ะหรือ ก็เจ้าตัวออกตัวมาตลอดตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาอยู่ที่นี่ ว่านางเป็นคนของท่านแม่ทัพ นางได้แต่เฝ้ารอวันที่ท่านแม่ทัพกลับมา แต่อาเปาก็ไม่ได้แจ้งให้ฮูหยินน้อยระคายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะท่าทีของท่านแม่ทัพไม่ได้มองแม่นางว่านเกินเลยไปกว่าสถานะน้องสาว จือหลิงที่ฟังเรื่องราวของว่านอิงฮวาจากอาเปา ก็ไม่ได้แสดงท่าทีเช่นไรออกไป เพียงพยักหน้ารับรู้เท่านั้น แม้ในใจขอ
ร่างบางพลิกกายที่เมื่อยขบหันไปมองด้านข้างที่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้เงาของบุรุษที่ก่ายกอดนางเอาไว้ตลอดทั้งคืน ใบหน้างามที่แดงระเรื่อขึ้น เมื่อย้อนนึกไปถึงคำพูดของแม่ทัพจอมหื่น ที่นางพึ่งได้รู้ว่านอกจากบุรุษผู้นั้นจะหื่นแล้ว ทั้งยังปากหวานและขี้อ้อนมากอีกด้วย แต่ก็ทำให้นางใจเต้นแรงและรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด"เจ้ายินดีจะเป็นฮูหยินแม่ทัพไปตลอดหรือไม่ หลิงเอ๋อ"นั่นคือคำถามที่คนตัวโตถามนางหลังจากที่ศึกรักที่กินเวลานานสงบลง นางที่ยังคงหลับตานิ่ง ใบหน้านวลซบอยู่กับอกแกร่งชื้นเหงื่อ ฟังเสียงหัวใจที่เริ่มกลับมาเต้นในจังหวะปกติของคนตัวโต นางไม่ได้หลับและได้ยินคำพูดนั้นชัดทุกคำ"ข้าอยากให้เจ้าลองให้โอกาสตัวเองและให้โอกาสข้าดูสักครั้ง หากจะพูดว่ารัก มันคงจะฟังดู เร็วเกินไป แต่ข้า รู้สึกดีที่มีเจ้า และทุกคนที่นี่ก็ยินดีที่จะมีเจ้ามาเป็นครอบครัวอีกคน"คำพูดทุกคำสลักลึกลงไปในใจนาง ทั้งรู้สึกตื่นเต้น ดีใจ ตื้นตัน อย่างบอกไม่ถูก รู้เพียงว่านางรู้สึกดีมากๆแม่ทัพหยางโม่เหยียน ที่ไม่นึกเลยว่าวันหนึ่งเขาจะมาร้องขอโอกาสจากสตรีคนหนึ่งเพื่อให้นางอยู่ด้วย เขาที่พยายามหลีกหนีการผูกมัดมาตลอด ตอนนี้กลับอยากผูกติด
ริมฝีปากหนาที่ขบกัดขมเม้มไปทั่วทั้งลาดไหล่มนและเนินอกอวบอิ่มมิได้ทำให้รู้สึกเจ็บอย่างที่นางกังวลว่าเขาจะเอาคืน แต่กลับรู้สึกเสียวกระสันจนร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน นิ้วเรียวยาวที่สอดงองุ้มเข้ามาในจุดอ่อนไหวกลางกาย ยิ่งทำให้ริมฝีปากอวบอิ่มยิ่งเผยอครวญคราง ริมฝีปากหนาสะเปะสะปะจูบไซร้ไปทั่วทั้งใบหน้างามแดงระเรื่อด้วยอารมณ์พิศวาส ก่อนจะวกกลับมาครอบครองปากอิ่มบ่วมเจ่ออีกครั้ง บดคลึงด้วยแรงเสน่หา ส่งลิ้นร้อนเข้ามาควานหาความอ่อนหวานนุ่มละมุนในโพรงปากเล็กราวหิวกระหายมือหนาจับปลายคางมนแล้วดันให้แหงนเงยรับจุมพิตลึกซึ้ง ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดกับปลายลิ้นเล็กของนาง พันเกี่ยวประสานดูดกลืนด้วยความร้อนเร่า จนนางแทบสำลักลมหายใจ ปากหนาจึงได้ผละออกให้นางได้สูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะประกบลงมาใหม่ ทาบทับลงมาบดเคล้ากลีบปากเล็กอย่างบ้าคลั่ง สูบเอาเรี่ยวแรงของนางไปจนหมดสิ้น สะโพกแกร่งที่บดเบียดเข้ามาระหว่างเรียวขาเล็กที่โอบรัดเอวสอบแน่น จนรู้สึกถึงลำเอ็นแข็ง ร้อนผ่าวที่นาบไปกับหน้าท้องแบนราบจนสัมผัสได้ว่ามันทั้งยาวและใหญ่เพียงใด ยิ่งทำให้ก้อนเนื้อในอกยิ่งเต้นกระหน่ำ สติที่คิดจะต่อต้านพลันพร่าเลือน ปล่อยให้ทุกอย่า
น้ำหนักมือที่บีบนวดลงบนไหล่มนอย่างพอดี ทำให้เจ้าของร่างบางที่หลับตาพริ้มครางฮืออย่างพออกพอใจ แต่มือของอาเปาช่างสากระคายยิ่งนัก ก่อนหน้านี้อาเปาทำหน้าที่ใดในจวนแม่ทัพแห่งนี้กัน แต่คงจะเป็นงานที่หนักน่าดู ใบหน้างามที่กำลังหลับสบาย จำต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อมือที่บีบนวดตรงไหล่มนของนางเริ่มที่จะร้อนผ่าวขึ้นและไต่ระดับต่ำลงมาตามท่อนแขนเล็กกลมกลึงแผ่วเบา จนขนอ่อนของนางลุกซู่ แล้วร่างบางพลันสะดุ้งเฮือก ผวาลุกพรวดขึ้นจากน้ำอย่างตกใจเมื่อฝ่ามือร้อนนั้นรวบเอาทรวงอกอวบอิ่มของนางเอาไว้เต็มฝ่ามือภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้นางแทบสิ้นสติ เพราะคนตรงหน้าไม่ใช่อาเปาแต่กลับเป็นเจ้าของเรือนที่ใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างจากหน้าอกของนางไม่ถึงคืบ"ท่าน"มือบางข้างหนึ่งที่ยกขึ้น พาดลำแขนเล็กลงปกปิดบนทรวงอกอิ่มทั้งสองข้างอย่างหมิ่นเหม่ เพื่อให้พ้นจากสายตาหื่นกระหายของบุรุษตรงหน้า แม้จะรู้ว่ามิอาจปกปิดความใหญ่โตเกินตัวเอาไว้หมด แต่นางก็อับอายเกินกว่าจะปล่อยให้ยอดทรวงอิ่มชี้หน้าบุรุษจอมหื่นผู้นี้ อีกมือนั้นใช้ดันใบหน้าหล่อเหลาที่พยายามก้มหน้าลงมา เพื่อฉกชิมความหวานของยอดทรวงที่รวบแข็งเป็นไตท้าทายอีกฝ่ายจนน่าโมโหตั้ง
ความสงสัยทั้งหมดถูกพับเก็บลง เมื่อคิดได้ว่าสตรีนางนั้นจะเป็นใคร เกี่ยวข้องอันใดกับบุรุษผู้นี้ก็ไม่เกี่ยวกับนาง เมื่อครบกำหนดนางก็ต้องจากไป ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก แต่ทำไมถึงรู้สึกอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาเสียอย่างนั้น คงเป็นเพราะนางเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาทั้งวัน และยังถูกบุรุษผู้นั้นรังแกจึงทำให้เป็นเช่นนี้กระมัง เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนรถม้า ใบหน้างามก็ร้อนผ่าวขึ้นมา นางลืมไปได้อย่างไรกันว่าความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นจะนำพามาซึ่งความยุ่งยากใจในภายหลัง ซึ่งหากนางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมาคงจะไม่ดีแน่"ถึงแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินน้อย"เสียงของบ่าวรับใช้ใบหน้ากลมจิ้มลิ้มดูน่าเอ็นดู เอ่ยขึ้น เมื่อพานางมายังเรือนเรือนหนึ่งที่ดูใหญ่โตและสวยงาม รู้เพียงว่าเรือนหลังนี้อยู่ทางปีกตะวันออกของเรือนใหญ่ เพราะมัวแต่คิดเรื่องสตรีนางนั้น จึงทำให้มิรู้ตัวเลยว่านางเดินมาถึงเรือนแห่งนี้ได้อย่างไร แล้วจะหาแม่ทัพโม่เหยียนได้ที่ไหนล่ะทีนี้"เรือนตะวันออกนี้ เป็นเรือนพักของท่านแม่ทัพเจ้าค่ะฮูหยินน้อย"เสียงแจ้วๆ ของบ่าวรับใช้ตัวกลมที่พานางเดินดูรอบๆ เรือนยังคงดังขึ้นเป็นระยะอย่างน่าฟัง สายตากลมโตที่ก
เมื่อเจ้านายทุกคนเข้ามากันพร้อมหน้าพร้อมตา บ่าวไพร่ต่างก็พร้อมใจยกสำรับอาหารที่หน้าตาน่ารับประทานเข้ามาเรียงรายจนเต็มโต๊ะ อาหารแต่ละจานล้วนถูกปรุงขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน บ่งบอกถึงความใส่ใจของผู้ลงมือทำได้เป็นอย่างดี "วันนี้พี่สะใภ้ของเจ้าตั้งใจทำอาหารทุกจานด้วยตนเองเพื่อต้อนรับเจ้าทั้งสองเชียวนะ"ฮูหยินผู้เฒ่าที่ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มกล่าวขึ้น เมื่อนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย ด้านขวามือฮูหยินผู้เฒ่าคือคุณชายใหญ่หยางโม่ชาง ผู้เป็นนายท่านใหญ่ของจวน ตามด้วยสะใภ้ใหญ่ จางฮุ่ยหนิง"หลิงหลิง มานั่งข้างๆ มารดานี่"มือเหยี่ยวย่นที่ตบลงเบาๆ บนเก้าอี้ข้างตัวอีกด้าน จากหญิงชราที่ในตอนแรกใบหน้านั้นดูนิ่งขรึมเรียบเฉย แต่ตอนนี้กลับมีรอยยิ้มอบอุ่นแต่งแต้ม จนคนที่เกร็งตัวอยู่ตลอดเริ่มผ่อนคลายลงนางมิใช่สตรีแก่ชราที่ดวงตาฝ้าฟาง ล้วนมองออกว่าสิ่งใดล้ำค่า สิ่งใดคือกรวดทรายเจ้าของชื่อที่ได้รับความเมตตาโดยไม่คาดคิด หันไปมองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีอย่างขอความเห็น เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าให้ จึงก้าวไปนั่งลงด้านข้างหญิงชรา ตามด้วยแม่ทัพหยางโม่เหยียนที่ตามมานั่งลงด้านข้าง"รู้สึกเหมือนตัวเองโดนแย่งชิงความรักเสี