“ไอ้หนู แกรู้หรือเปล่าว่านายน้อยคังคือใคร? เขาคือคุณชายใหญ่ของบริษัทคังกรุ๊ป!”“แกที่เป็นแค่ไอ้ขยะ ถึงกับกล้ามาต่อกรกับนายน้อยคัง ช่างรนหาที่ตายโดยแท้!”เถ้าแก่เกาตอบสนองรวดเร็วมาก เขามองไปที่ฉินหมิงด้วยสายตาดูถูกโอ้!ทันทีที่ประโยคนี้ถูกพูดออกมา ก็เกิดความโกลาหลในหมู่ลูกค้าโดยรอบ“ที่แท้นายน้อยคังคนนี้ก็คือคุณชายใหญ่ของบริษัทคังกรุ๊ป!”“บริษัทคังกรุ๊ปเป็นขุมอำนาจชั้นนำในบรรดาตระกูลอันดับสองของเมืองเจียงเฉิงของเรา ทรัพย์สินโดยรวมของพวกเขามีมากถึงหมื่นล้าน ทั้งรวยและก็มีอำนาจ นี่ไม่ใช่ตัวตนที่คนธรรมดา ๆ จะสามารถยั่วยุได้!”“นั่นสิ เจ้าเด็กนั่นทำให้ใครขุ่นเคืองใจไม่ทำ ดันไปยั่วยุคุณชายใหญ่คัง คราวนี้เขาต้องตายแน่ ๆ…”……ทุกคนสูดลมหายใจเข้าและกระซิบกระซาบ หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองฉินหมิงด้วยความเห็นอกเห็นใจและสงสารหลายคนแอบดีใจที่พวกเขาไม่ได้บังคับตัวเองให้ออกหน้าช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นถ้าไปทำให้คังเหวยขุ่นเคืองใจ พวกเขาคงได้จบไม่สวยอย่างแน่นอน!“บริษัทคังกรุ๊ป?”ฉินหมิงชะงัก เขารู้สึกอย่างคลุมเครือว่าชื่อนี้คุ้นหู จากนั้นเขาก็คิดขึ้นได้ จดจำได้อย่างรวดเร็วหลี่เจียฮุ่ยและหยางจ
พูดจบ คังเหวยก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรหาใครสักคน“แย่ล่ะ…”เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของหานซีก็เปลี่ยนไปบริษัทคังกรุ๊ปเป็นที่รู้จักกันดีในโลกธุรกิจ เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับบริษัทคังกรุ๊ปมาก่อนจึงรู้ว่าบริษัทนี้ไม่ใช่อะไรที่จะไปล้อเล่นด้วยได้ถึงแม้ตระกูลหานของพวกเธอจะถือได้ว่าเป็นตระกูลนักวิชาการ และทรัพย์สินของตระกูลก็มีมากถึงหลายร้อยล้าน แต่เมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัทคังกรุ๊ปที่สูงถึงหมื่นล้านแล้ว ตระกูลหานยังตามหลังอยู่มากโข!สำหรับฉินหมิง เธอรู้ว่าฉินหมิงรู้กังฟูอยู่บ้าง แต่เธอก็รู้ด้วยเช่นกันว่าฉินหมิงเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไร้ภูมิหลังและไม่มีอำนาจอะไรทั้งเธอและฉินหมิงล้วนไม่สามารถเผชิญหน้ากับขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทคังกรุ๊ปตรง ๆ ได้!“ฉินหมิง พวกเราไปกันเถอะ!”หานซีดึงแขนของฉินหมิงอย่างรวดเร็ว โดยหวังว่าจะออกไปก่อนที่คนของคังเหวยจะมาถึง แบบนี้เธอและฉินหมิงอาจจะสามารถหลีกเลี่ยงการแก้แค้นของอีกฝ่ายได้“จะไปทำไม?”ฉินหมิงแปลกใจช่วยคนก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ส่งพระก็ต้องส่งไปให้ถึงแดนสุขาวดีตอนนี้เรื่องของพนักงานเสิร์ฟหลิวเสวี่ยยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ เขาไม่
“ฉิน...ฉินหมิง!”หัวหน้าเฝิงเงยหน้าขึ้นและมองตามนิ้วที่คังเหวยชี้ไป จากนั้นเขาก็ตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่างเหตุการณ์เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ประธานคังและฉินหมิงเกิดความขัดแย้งกันนั้น เขาเองก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ซึ่งเป็นหนึ่งในสองบอดี้การ์ดที่ประธานคังพาไปด้วยในวันนั้นตอนนั้นเขาได้ลงมือและต่อสู้กับฉินหมิง ด้วยระดับการบ่มเพาะขั้นสูงสุดระดับมานะสร้างของเขา เขาถูกฉินหมิงซัดกระเด็นออกไปอย่างง่ายดายด้วยกระบวนท่าเดียวแต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดต่อมาคนตระกูลโอวได้ส่งยอดฝีมือขั้นกลางระดับปรมาจารย์คนหนึ่งออกไป แต่ผลลัพธ์ก็คือเขารับแม้แต่กระบวนท่าเดียวของฉินหมิงยังไม่ได้ด้วยซ้ำ สุดท้ายคุณชายรองโอวคุกเข่าลงและร้องขอความเมตตาจากอีกฝ่าย แถมยังหักแขนของตัวเองข้างหนึ่ง ถึงโชคดีพอเก็บชีวิตน้อย ๆ กลับไปได้เขาเห็นทั้งหมดทั้งมวลนี้ด้วยตาของตัวเอง จึงไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขาว่าฉินหมิงนั้นทรงพลังและน่ากลัวเพียงใด!ตอนนี้คังเหวยยั่วยุใครไม่ยั่วยุ ดันไปยั่วยุฉินหมิงบุคคลยิ่งใหญ่ที่น่าสะพรึงกลัวคนนี้ใครก็ยากที่จะจินตนาการถึงความหวาดกลัวในใจของเขาได้!“หัวหน้าเฝิง มัวยืนบื้อทำอะไรอยู่อีก?”“พวกคุณลงมื
“เหวยเอ๋อร์ ก่อนหน้านี้พ่อเคยพบกับฉินหมิงมาครั้งหนึ่ง เขาไม่ใช่คนที่โหดเหี้ยม แกรีบคุกเข่าลงและขอโทษเขาซะ!”“ตราบเท่าที่การแสดงออกของแกจริงใจมากพอ บุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างเขาก็จะไม่ถือสาหาความกับแก…”ประธานคังแสร้งทำเป็นสงบ แต่ในใจเขานั้นยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย“ได้ครับ”หลังจากที่คังเหวยวางสายโทรศัพท์แล้ว ขาของเขาก็สั่น เขาไม่หลงเหลือความจองหองและเย่อหยิ่งเช่นเมื่อสักครู่นี้อีกต่อไปเมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนรอบตัวก็สับสน“แปลกจริง ทำไมคุณชายใหญ่คังถึงไม่สั่งให้คนลงมือสักที?”“ใครจะรู้ คงไม่ใช่ว่าเขากำลังโทรหาคนสำคัญในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยากที่จะทำให้เด็กคนนั้นพิการโดยสมบูรณ์ก็เป็นได้!”“อืม ก็เป็นไปได้!”…….ทุกคนดูประหลาดใจและสงสัย พวกเขาทั้งหมดคาดเดาว่าคังเหวยอาจโทรหาตำรวจหรือหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อแจ้งให้พวกเขาทราบ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่จำเป็นหลังจากเล่นงานฉินหมิงจนพิการโดยถาวรคังเหวยไม่ได้มองโลกในแง่ดีอย่างที่ใคร ๆ คิด ใบหน้าของเขาซีดเผือด เขาเดินเข้าไปหาฉินหมิงทีละก้าว ๆจากนั้นท่ามกลางสายตาที่ตกใจและไม่เชื่อของทุกคน เขาก็งอขาและคุกเข่าลงต่อหน้าฉินหมิงดังปึก“
“คุณฉิน เมื่อสักครู่นี้เป็นผมที่มีตาแต่หามีแววไม่ ทำให้คุณขุ่นเคืองใจแล้ว…”“ขอคุณได้โปรดเมตตา ยกโทษให้ผมด้วย”คังเหวยรีบโขกศีรษะและร้องขอความเมตตา“ทำไม เมื่อสักครู่นี้คุณเพิ่งจะพูดปาว ๆ ว่าจะจัดการผมอยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”“ตอนนี้ไม่คิดจะใช้กำลังจัดการกับผมแล้ว?”ฉินหมิงเลิกคิ้ว ในใจครุ่นคิดและคาดเดาอย่างคลุมเครือว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะรู้ตัวตนของเขาแล้ว ท่าทีของอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างกะทันหันเช่นนี้“ไม่กล้า ผมไม่กล้าครับ...”“เมื่อสักครู่นี้ผมแค่พูดพล่าม ผมสมควรตาย นายท่านได้โปรดเมตตาด้วย…”เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนหน้าผากของคังเหวย เขากัดฟันและตบตัวเองซ้ำ ๆ หลายครั้งพร้อมกับพูดขอโทษอย่างจริงใจเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ผู้ที่ยืนมุงดูก็พากันแตกตื่น!“นี่…ชายหนุ่มคนนี้เป็นใครกันแน่?”“คุณชายใหญ่คังถึงกับยอมคุกเข่าลงและร้องขอความเมตตาจากเขา กระทั่งตบหน้าตัวเองด้วย!”“หรือว่าเขาจะเป็นคนใหญ่คนโตของเมืองเจียงเฉิงของเราที่มีอำนาจมากกว่าตระกูลคัง?”“อืม น่าจะใช่ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้พวกเราประเมินเขาต่ำเกินไปแล้ว!”......ทุกคนมองไปที่ฉินหมิงด้วยความตกตะลึงพรึงเพร
ฉินหมิงพูดอย่างเย็นชา“ขอบคุณนายท่านที่เมตตาพวกเราครับ พวกเราสัญญาว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีกแล้ว…”พวกคังเหวยเหมือนได้รับการนิรโทษกรรม ตอนนี้พวกเขาถึงกล้าลุกขึ้น เสื้อผ้าบนแผ่นหลังของพวกเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ซึ่งไม่รู้ว่าเริ่มเปียกตั้งแต่ตอนไหนโดยเฉพาะคังเหวย เขาเพิ่งรู้จากพ่อของเขาเมื่อสักครู่นี้ว่า ครั้งก่อนคุณชายรองโอวทำให้ฉินหมิงขุ่นเคือง เขาไม่เพียงแต่ต้องคุกเข่าร้องขอความเมตตา แต่ยังต้องหักแขนของตัวเองหนึ่งข้างเพื่อแสดงความขอโทษอีกด้วยฉินหมิงไม่ทำลายแขนของเขา อีกทั้งยังไว้ชีวิตเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้สึกมีความสุขมากที่รอดชีวิตจากภัยพิบัตินี้!แน่นอนว่าเขาไม่รู้เรื่องหนึ่ง เนื่องจากเขาเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ กอปรกับเขาขอโทษและยอมรับความผิดทันเวลา ฉินหมิงในฐานะยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ย่อมไม่ต้องการใช้กำลังรังแกผู้อื่น ครั้งนี้จึงเขาปล่อยพวกเขาไปอย่างง่ายดาย“นอกจากนี้ จ่ายเงินเดือนให้กับสาวน้อยหลิวเสวี่ยด้วย แล้วก็เธอถูกตบโดยไม่มีเหตุผล ชดเชยค่าเสียหายทางจิตใจให้สาวน้อยคนนี้ด้วย!”ฉินหมิงพูดอย่างเย็นชา“ได้ครับ ๆ โปรดรอสักครู่”เถ้าแก่เการับคำ จากนั้นก็กระวีกระวาดรีบ
หลิวเสวี่ยพูดด้วยสีหน้าตื้นตัน เธอโค้งคำนับฉินหมิงและหานซีตามลำดับเพื่อแสดงความขอบคุณ“ไม่เป็นไรหรอก แค่การช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เอง”ฉินหมิงยิ้ม เขาคาดไม่ถึงว่าหลิวเสวี่ยจะไล่ตามเขาเพื่อมาพูดขอบคุณโดยเฉพาะ“พี่ชายคะ พี่สาวคะ ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณสองคนสำหรับความมีน้ำใจนี้ได้ ฉันอยากเชิญพวกคุณไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน ไม่ทราบว่าตอนนี้พวกคุณว่างหรือเปล่าคะ”หลิวเสวี่ยพูดอย่างเขินอาย ใบหน้าของเธอดูคาดหวังเล็กน้อย“ไม่ต้องหรอก...”ฉินหมิงส่ายหัวและปฏิเสธน้ำใจของหลิวเสวี่ยเขาดูออกว่าหลิวเสวี่ยเป็นนักศึกษาหญิงที่ตั้งใจเรียนอย่างหนัก และฐานะทางครอบครัวของเธอเองก็น่าจะไม่ค่อยดีนัก เขาย่อมไม่อยากให้หลิวเสวี่ยต้องเปลืองเงินเพื่อการนี้“แต่ว่า...”หลิวเสวี่ยไม่ยอมแพ้“เสี่ยวเสวี่ย มันไม่จำเป็นจริง ๆ จ้ะ เราสองคนยังมีธุระที่ต้องไปทำ เรื่องกินข้าว ไว้ค่อยว่ากันอีกทีนะ”หานซีพูดด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตรตอนนี้เธอประทับใจในความซื่อสัตย์และนิสัยของหลิวเสวี่ยมาก เธอชอบหลิวเสวี่ยที่เรียบง่ายและจริงใจแบบนี้จริง ๆ“งั้น...ก็ได้ค่ะ”หลิวเสวี่ยรู้สึกผิดหวัง“เสี่ยวเสวี่ย นี่คือนามบัตรของฉัน ถ้าในอน
“ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ว่าคุณเอาแต่พูดว่าอยากจะซื้อกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ปหรอกเหรอ? ถ้าคุณมีความสามารถจริง ๆ ก็เอาเงินมา!”“ฉันอยากจะเห็นเหมือนกันว่าคุณกำลังคุยโวอยู่หรือเปล่า!”หานซีกลอกตาไปที่ฉินหมิงและพูดเธอรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของฉินหมิงเป็นอย่างดี เธอจึงไม่คิดว่าฉินหมิงจะมีความสามารถมากพอที่จะควักเงินห้าถึงหกพันล้านออกมาได้จริง ๆ!นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย!“เรื่องนี้ผมจะทำอย่างสุดความสามารถ และจะให้คำตอบที่ชัดเจนกับคุณอย่างช้าที่สุดในวันพรุ่งนี้”ฉินหมิงถอนออกหายใจและพูด“ก็ได้ งั้นฉันจะรอ!”“เพียงแต่ฉันขอพูดคำที่ไม่น่าฟังไว้ก่อนนะ ถ้าคุณไม่สามารถหาเงินมาซื้อกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ปได้ คุณต้องตกลงที่จะช่วยฉันโน้มน้าวใจหว่านชิง พยายามให้เธอเปลี่ยนการตัดสินใจของตัวเองให้ได้!”หานซีพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เธอไม่คิดว่าฉินหมิงจะสามารถเข้าซื้อกลุ่มธุรกิจอานิวสทรี กรุ๊ปได้แต่แรกอยู่แล้ว เธอเพียงแค่หวังว่าฉินหมิงจะช่วยโน้มน้าวใจหลินหว่านชิง ส่วนฉินหมิงจะโน้มน้าวเธอได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิตแล้ว!หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ออกจากร้านกาแฟและแยกย้ายกลับบ้านคฤหาสน์ตระกูลซู