เขาไม่คิดฝันเลยว่าบอดี้การ์ดที่แข็งแกร่งทั้งสองคนของเขา จะพ่ายแพ้ให้กับฉินหมิงด้วยกระบวนท่าเดียว!ถ้าเขาไม่เห็นฉากนี้ด้วยตาตัวเอง เขาจะไม่มีวันเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง!“ร้าย...ร้ายกาจมาก!หยางจิงตกตะลึงถ้าไม่นับความคับข้องใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อสักครู่นี้ที่ฉินหมิงมีต่อรองประธานหลี่ นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นทักษะวรยุทธที่แท้จริงของฉินหมิง แม้แต่บอดี้การ์ดมืออาชีพสองคนก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอได้พบกับฉินหมิง เธอก็เข้าใจมาโดยตลอดว่าฉินหมิงเป็นเด็กยากจนคนหนึ่งถึงได้ขับรถมอเตอร์ไซค์พัง ๆ แต่ตอนนี้ ฉินหมิงไม่เพียงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคุณชายใหญ่ตระกูลโจว เขายังมีทักษะการต่อสู้ที่เป็นเลิศอีกด้วยสิ่งนี้จึงล้มล้างความคิดและภาพลักษณ์ในใจของเธอที่มีต่อฉินหมิงก่อนหน้านี้ไปโดยสิ้นเชิง!เธอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ชักอยากจะรู้แล้วว่าฉินหมิงเป็นใครกันแน่!“ตาแก่ ถึงตาของคุณแล้ว!”ฉินหมิงยิ้มอย่างเย็นชา เขารับสัญญามากจากหยางจิง จากนั้นก็เดินเข้าไปหาประธานคังทีละก้าว ๆ“แก...แกคิดจะทำอะไร?”“ฉันขอเตือนแกก่อนเลยนะ อย่าเข้ามาใกล้ฉัน...”ประธานคังตกใจกลัวจนถอ
“ถ้าทำแบบนี้ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้ว” “ดันให้ตัวเองต้องถูกทุบตีก่อนถึงจะยอม ช่างน่าเสียดาย!”ฉินหมิงยิ้มอย่างดูถูกแล้วหยุดประธานคังหวาดกลัวบรรยากาศรอบตัวและความกดดันที่แผ่ออกมาจากตัวของฉินหมิง แม้ว่าเขาจะเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองใจและต้องการที่จะสับฉินหมิงเป็นชิ้น ๆ แต่เขาก็ไม่กล้าแสดงออกมา“ตาแก่ ฉันจะให้โอกาสเป็นครั้งสุดท้าย ขอโทษคุณหยางซะ!”ฉินหมิงพูดอย่างเย็นชา“ได้ ๆ…”ประธานคังคลานพื้นไปหยุดต่อหน้าหยางจิง จากนั้นก็คุกเข่าลงและร้องขอความเมตตาว่า “คุณหยาง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่กี้นี้ทั้งหมดของความผิดของฉันเอง ฉันขอโทษ ได้โปรดยกโทษให้กับฉันในครั้งนี้ด้วย…”"ฉัน..."หยางจิงตกตะลึงเธอรู้ว่าสถานะของเธอนั้นแตกต่างกับของประธานคังมาก เธอจึงได้อดทนต่อความอัปยศอดสูและไม่กล้าที่จะคาดหวังถึงคำขอโทษจากปากของประธานคังแต่ตอนนี้ฉินหมิงช่วยให้เธอได้รับความยุติธรรมแล้วจริง ๆ!ประธานคังไม่เพียงแต่ขอโทษเธอเท่านั้น เขายังคุกเข่าลงเพื่อขอโทษเธอด้วย เพียงแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับการลบล้างความอัปยศอดสูที่เธอเพิ่งได้รับ“ลืมมันไปซะเถอะค่ะ คุณลุกขึ้นเถอะ...”หลังจากที่พูดจบ สายตาของหยาง
เขาเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของโอวเย่าเฟิง การทำลายฉินหมิงไม่ใช่เรื่องยาก!เขาแอบสวดภาวนาในใจว่าทางที่ดีที่สุดคือให้โอวเย่าเฟิงหักแขนหักขาให้ฉินหมิงพิการไปซะ ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะขจัดความเกลียดชังในใจของเขาไปได้!“แย่แล้ว รองประธานหลี่เรียกคนของตระกูลโอวมาเพื่อแก้แค้นแล้ว!”ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าของหยางจิงและหลี่เจียฮุ่ยก็เปลี่ยนไป พวกเธอจดจำตัวตนของโอวเย่าเฟิงและคนไม่กี่คนนี้ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยางจิง เธอมักจะติดต่อกับกลุ่มธุรกิจโอลการกรุ๊ป ดังนั้นย่อมเคยพบปะกับโอวเย่าเฟิงหลายครั้ง เธอรู้ว่าเขาเป็นคุณชายรองของตระกูลโอว สถานะของเขานั้นสูงส่งมากและไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองใจได้!“จบสิ้นแล้ว มันจบสิ้นแล้ว...”“ฉินหมิง ฉันเตือนคุณก่อนหน้านี้แล้วว่าให้รีบออกไปจากที่นี่ แต่คุณก็ไม่ฟัง!”“ตอนนี้คนจากตระกูลโอวมาที่นี่แล้ว เราคงไม่สามารถออกไปได้แม้ว่าจะต้องการก็ตาม…”สีหน้าของหยางจิงดูน่าเกลียดเธอคาดเดาไว้แล้วว่ารองประธานหลี่จะไม่มีวันยอมรามือง่าย ๆ แต่สิ่งที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนก็คือรองประธานหลี่จะเรียกโอวเย่าเฟิง คุณชายรองของตระกูลโอวมาที่นี่ด้วยตัวเอง!สถานะของโอวเย่าเฟิงนั้นเกือบ
“อาศัยแก?”“ช่างตลกอะไรขนาดนี้!”ฉินหมิงเยาะเย้ย สีหน้าเขาดูถูกเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด“ไอ้หนู แกยังกล้ามาพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าฉันอีก แกมันเย่อหยิ่งมาก!”ใบหน้าของโอวเย่าเฟิงเปลี่ยนเป็นเย็นชา ดวงตาของเขาที่จับจ้องไปที่ฉินหมิงทวีความร้ายกาจยิ่งขึ้น“ทำไม คุณชายรองโอวคิดที่จะออกหน้าจัดการกับฉันแทนเขาเหรอ?”ฉินหมิงหันความสนใจไปที่โอวเย่าเฟิง“ถูกต้อง!”“ดังคำพูดที่ว่า จะตีสุนัขก็ต้องดูเจ้าของของมัน!”“รองประธานหลี่เป็นคนของกลุ่มธุรกิจโอลการกรุ๊ปของเรา ในเมื่อแกลงมือทำร้ายเขา นั่นก็เท่ากับว่าแกประกาศตัวเป็นศัตรูกับตระกูลโอวของเราแล้ว!”“ยังไงวันนี้ฉันก็จะทวงความยุติธรรมแทนเขา!”โอวเย่าเฟิงพูดด้วยท่าทางเย็นชาและเย่อหยิ่ง“ประธานโอวพูดได้ถูกต้องแล้วครับ”รองประธานหลี่พยักหน้าและสำทับตามหนึ่งประโยค แม้ว่าโอวเย่าเฟิงจะพูดว่าเขาเป็นสุนัข แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความไม่พอใจแต่อย่างใด กลับกันยังคงยิ้มกว้างแล้วประจบประแจงอีกฝ่าย“คุณชายรองโอว รองประธานหลี่คนนี้ถือโอกาสในการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างสองบริษัทพยายามรังแกเพื่อนของฉัน!”“ฉันหักแขนของเขาข้างหนึ่งและลงโทษเขาเพียงเล็กน
ฉินหมิงโกรธจัดจนหัวเราะออกมาแม้ว่าเขาไม่อยากจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลโอวโดยไม่มีเหตุผล แต่ถ้าโอวเย่าเฟิงรั้นที่จะใช้อำนาจของเขามากดหัวเขาให้ได้ เขาก็ไม่ใช่คนที่จะยอมให้ใครรังแกได้ง่าย ๆ!นอกจากนี้ แม้แต่ตระกูลเหลิ่งหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่และราชาแดนเหนือลี่ตั๋วไห่เขายังไม่เกรงกลัว แล้วจะเห็นตระกูลโอวเล็ก ๆ นี้อยู่ในสายตาได้อย่างไร!“ไอ้หนู แกร้องขอสิ่งนี้เองนะ!”“ในเมื่อแกรนหาที่ตาย ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะช่วยสนองให้!”โอวเย่าเฟิงยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นก็โบกมือสั่งชายที่อยู่ข้างหลังเขา “โอวติง ไปสั่งสอนบทเรียนให้กับไอ้เด็กนี่หน่อย ให้เขารู้ผลที่ตามมาจากการต่อต้านตระกูลโอวของเรา!"“ครับ”โอวติงรับคำสั่ง จากนั้นก็เดินออกมาจากฝูงชน“ไอ้หนู แกบอกฉันมาสิว่าแกอยากตายยังไง?”โอวติงส่งสายตาเย็นชาไปทางฉินหมิง ออร่ารอบตัวของเขาช่างแข็งแกร่ง เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าชายคนนี้เป็นผู้ฝึกยุทธ“อาศัยแก?”“แกยังไม่มีคุณสมบัตินั้น!”ฉินหมิงหัวเราะเยาะและมองโอวติงราวกับว่าเขากำลังมองมดปลวก!ยกเว้นเค่อรุ่ย ในบรรดาคนรุ่นใหม่ของเมืองเจียงเฉิงยังไม่มีใครสักคนที่บุกทะลวงเข้าสู่ระดับปรมาจารย์ได้ด้วยตัวเอ
ในอาณาเขตเล็ก ๆ อย่างเมืองเจียงเฉิง ตราบเท่าที่ผู้อาวุโสรุ่นแรก ๆ ไม่ลงมาจัดการด้วยตัวเอง การจะจัดการกับฉินหมิงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย!“โจวเจี้ยน ไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้ชายคนนี้กล้าทำร้ายคนของกลุ่มธุรกิจโอลการกรุ๊ปของเรา กระทั่งกล้าที่จะเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลโอวของเราอย่างเปิดเผย!”“ที่แท้เขาก็ถูกแกสั่งมา!”เมื่อเห็นว่าฉินหมิงและโจวเจี้ยนนั้นดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน โอวเย่าเฟิงก็ตระหนักอะไรบางอย่างได้เขาเข้าใจไปอย่างผิด ๆ ว่าโจวเจี้ยนจงใจสั่งให้ฉินหมิงมาทำลายความร่วมมือระหว่างบริษัทคังกรุ๊ปและกลุ่มธุรกิจโอลการกรุ๊ป จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ทำกำไรจากมันทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็น่าเกลียดยิ่งขึ้น!“โอวเย่าเฟิง ฉันไม่มีปัญญาสั่งคุณฉินได้หรอกนะ!”“แกอย่ามาตัดสินสุภาพบุรุษด้วยหัวใจของคนต่ำช้า!”โจวเจี้ยนพูดอย่างเย็นชาแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็พอเดาได้อย่างคลุมเครือว่าเรื่องนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความร่วมมือเมื่อสักครู่นี้“แกโกหกผีอยู่เหรอ?”“คิดว่าฉันหลอกง่ายเหมือนกับเด็กสามขวบจริง ๆ?”โอวเย่าเฟิงเยาะเย้ยเขาเชื่อไปหมดใจแล้วว่าฉินหมิงเป็นคนของโจ
คนไม่กี่คนนี้ สามารถก้าวเข้ามาสร้างมิตรภาพที่ดีกับโจวเจี้ยนได้ โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาทั้งหมดล้วนเพียบพร้อมไปด้วยสถานะและทรัพย์สิน เป็นทายาทสายตรงของตระกูลใหญ่ที่อยู่ในระดับเดียวกันอย่างไรก็ตาม ตระกูลโจวและตระกูลโอวนั้นเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ แม้ว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับโจวเจี้ยน แต่ก็ไม่สะดวกใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขุ่นเคืองระหว่างทั้งสองตระกูล จึงทำได้เพียงพูดสักหลายคำเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมแทนโจวเจี้ยน“รังแกเด็กแล้วจะยังไง?”“ฉันเคยเตือนโจวเจี้ยนไปก่อนหน้านี้แล้ว บอกให้เขาออกไปแต่เขาก็รั้นที่จะอยู่ต่อ!”“เขายืนกรานที่จะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ด้วยตัวเอง จะตำหนิฉันได้ยังไง!”โอวเย่าเฟิงยิ้มอย่างเย็นชาเขารู้ว่ามีกฎที่ไม่ได้ระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในหมู่กองกำลังของตระกูลใหญ่ ๆ ว่าห้ามไม่ให้ผู้อาวุโสกว่ารังแกคนรุ่นเยาว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งทายาทสายตรงของตระกูลใหญ่แต่ครั้งนี้เป็นโจวเจี้ยนที่ยืนกรานจะเข้ามาแทรกแซงความบาดหมางระหว่างเขากับฉินหมิงเอง และเขาก็อธิบายกับอีกฝ่ายด้วยความอดทนไปแล้ว ดังนั้นกฎที่ไม่ได้ระบุไว้เป็นลายลักษณ์อักษรนั้นจึงนับว่าเป็นโมฆะ!นอกจากนี้ เขาเพ
“ปากคุณนี่มันเหม็นจริง ๆ!”ดวงตาของฉินหมิงเปลี่ยนเป็นเย็นชาเขาไม่ชอบใจที่โอวเย่าเฟิงใช้อำนาจรังแกคนมานานแล้ว ตอนนี้อีกฝ่ายทั้งด่าทั้งว่าเขาเป็นสุนัขตัวหนึ่ง เขาจะทนมันได้อย่างไรกัน เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเล็งตบไปที่โอวเย่าเฟิงเพียะ!เสียงตบดังขึ้น โอวเย่าเฟิงไม่ทันระวังจึงถูกตบจัง ๆ หนึ่งฉาด ความเจ็บปวดและแสบร้อนลามไปทั่วใบหน้าของเขา เขาเกือบจะล้มคะมำกับพื้นเพราะการตบของฉินหมิง“แกกำลังรนหาที่ตาย!”หลังจากที่โอวเย่าเฟิงตอบสนองกลับมาได้ เขาก็โกรธมาก ยกกำปั้นขึ้นเตรียมจะชกไปที่หน้าของฉินหมิงตูม!ฉินหมิงยกเท้าเตะอีกครั้ง จากนั้นก็ชิงลงมือก่อนแล้วยกเท้าถีบไปที่หน้าอกของโอวเย่าเฟิงทำให้ร่างของโอวเย่าเฟิงลอยกระเด็นออกไป“บังอาจ!”โอวฟู่ที่ยืนอยู่ข้างหลังโกรธจัด เขาไม่มีเวลามาคิดมากอีกแล้วจึงปล่อยหมัดที่เต็มไปด้วยพลังออกไป มุ่งโจมตีไปที่กลางแผ่นหลังของฉินหมิงฉินหมิงไม่ได้มองเขาด้วยซ้ำ เพียงหมุนตัวแล้วต่อยออกไป เผชิญหน้ากับการโจมตีของโอวฟู่ตรง ๆ!“ไอ้หนู ไปลงนรกซะ!”โอวฟู่มีสีหน้าเย็นชามาก เขาลอบเคียดแค้นฉินหมิงที่ตบหน้าโอวเย่าเฟิงเมื่อสักครู่นี้ ดังนั้นเขาจึงไม่แสดงค