ส่วนเจี่ยนกั๋วกงนั้น ฉู่จวินสิงหาได้คิดจะกำจัดเขาในทันทีไม่ปล่อยให้เจี่ยนกั๋วกงมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักระยะก่อนหากเจี่ยนกั๋วกงกล้ามาหาเรื่องถึงตัวเขาเมื่อใด เขาย่อมไม่มีทางปรานีต่ออีกฝ่ายแน่ทั้งสองสนทนากันอีกครู่หนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายกันนอนพักผ่อนยามค่ำคืน เจี่ยนอันอันนอนไม่ค่อยหลับเพราะไม่คุ้นชินกับที่นอน หลังจากล้มตัวลงนอนเพียงไม่นาน นางก็เริ่มพลิกตัวไปมาเตียงนี้แคบเกินไป ไม่เหมือนตอนนอนบนเตียงกว้างในบ้านของนางที่สบายยิ่งกว่าไม่นานนักเจี่ยนอันอันก็กลิ้งตกจากเตียงสู่พื้นเจี่ยนอันอันตื่นขึ้นมาในสภาพงัวเงีย เจ็บจนร้องโอดโอยฉู่จวินสิงได้ยินเสียงผิดปกติ ก็ลืมตาขึ้นโดยพลันแล้วเขาก็เห็นเจี่ยนอันอันกำลังคลำทางลุกขึ้นจากพื้นนางคลำหาทางด้วยอาการงัวเงียเพื่อจะกลับไปยังเตียงของตนและนอนลงอีกครั้งฉู่จวินสิงกำลังจะลุกไปช่วยเจี่ยนอันอัน ก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นจากนอกห้องเขารีบตรงไปที่ประตูห้องทันที จากนั้นก็มีคนเคาะประตูฉู่จวินสิงกดเสียงต่ำ “ผู้ใด?”“นายท่าน ข้าเอง เฉินเช่อ”ฉู่จวินสิงได้ยินเสียงของเฉินเช่อก็เปิดประตูออกไปทันทีเมื่อออกมานอกประตู ก็พบว่าเฉินเช่อและหม่าลู
เมื่อฉู่จวินสิงกลับเข้ามาในห้อง เขาก็เห็นเจี่ยนอันอันนั่งอยู่บนเตียง“ท่านไปที่ใดมา ข้าตื่นมาแล้วไม่เจอเจ้า หรือว่าจะมีทหารไล่ตามมาจับอีกแล้ว?”เจี่ยนอันอันเห็นฉู่จวินสิงกลับมา สภาพจิตใจที่ตึงเครียดเป็นกังวลของนางถึงได้ค่อยคลายลงฉู่จวินสิงเล่าเรื่องที่สังหารทหารไล่ล่าร่วมกับเฉินเช่อและหม่าลู่เมื่อครู่ให้นางฟังเจี่ยนอันอันมองว่าหากปล่อยให้ศพของทหารกลุ่มนั้นไว้ในบ้านร้างทั้งอย่างนี้คงไม่ดีนักเมื่อเวลาผ่านไปนานวัน ศพของพวกเขาก็จะถูกพบนางลุกจากเตียงทันที จับมือฉู่จวินสิงเดินออกไปด้านนอก“ตอนนี้คนพวกนั้นอยู่ที่ใด ท่านช่วยพาข้าไปดูหน่อย ข้าจะได้กำจัดศพให้เรียบร้อย”ฉู่จวินสิงพาเจี่ยนอันอันเข้าไปในบ้านร้างเจี่ยนอันอันเห็นศพของทหารไล่ล่าเหล่านั้นนอนกองกันอยู่หลังจากที่นางเก็บอาวุธของคนกลุ่มนี้เข้าสู่ห้วงมิติ ก็นำผงสลายศพออกมาทำให้ศพของพวกเขากลายเป็นน้ำหนองหลังจากที่ทั้งสองคนออกจากบ้านร้างก็กลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมต่อเช้าวันรุ่งขึ้น ภายในโรงเตี๊ยมก็มีบรรยากาศคึกคักเมื่อเจี่ยนอันอันตื่นนอน สิ่งแรกที่นางทำคือลูบหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าเคราะห์ดีที่หน้ากากหนังมนุษย์นี้ติดแ
จวนเป่าเซวียนอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก ทั้งสองคนเดินเพียงไม่นานก็มาถึงหน้าจวนองครักษ์สองคนที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าเห็นทั้งสองคนจะเดินเข้าไปก็ชักดาบข้างเอวออกมาขวางทันที“บังอาจ รู้หรือไม่ว่าที่นี่คือที่ใด นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าเข้าได้ตามใจชอบ”เพิ่งจะสิ้นเสียงขององครักษ์ ใบหน้าก็ถูกต่อยหมัดเข้าใส่ความเร็วของฉู่จวินสิงว่องไวมาก องครักษ์ยังไม่ทันจะได้ตั้งตัวก็ถูกต่อยเข้าที่ใบหน้าองครักษ์ที่เป็นคนพูดถูกต่อยให้เซถอยไปหลายก้าว ร่างกายกระแทกเข้ากับวงกบประตูก่อนจะหยุดลงองครักษ์อีกคนเห็นดังนี้ก็แกว่งดาบฟันใส่ฉู่จวินสิงแต่ดาบของเขายังไม่ทันสัมผัสถูกฉู่จวินสิงก็ถูกคลื่นพลังไร้รูปกลุ่มหนึ่งผลักใส่องครักษ์คนนั้นกระเด็นล้มลงกับพื้นโดยพลันองครักษ์รู้สึกอึดอัดในทรวงอก โลหิตพรั่งพรูออกมาทางลำคอเขาอดที่จะกระอักโลหิตคำโตออกมาไม่ได้ครานี้องครักษ์ทั้งสองไม่กล้าลงมือต่อฉู่จวินสิงอีก พวกเขามองออกว่าฉู่จวินสิงไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆองครักษ์ที่ถูกต่อยหน้ารีบหันตัววิ่งเข้าไปในจวนเป่าเซวียนไม่ช้า พ่อบ้านก็พาคนกลุ่มหนึ่งออกมาเมื่อเขาเห็นฉู่จวินสิงกับเจี่ยนอันอัน ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออก
นายน้อยรองได้ยินคนอื่นด่าตัวเองว่าโง่ก็เบะปากร้องไห้อีกครั้งในมือเจี่ยนอันอันปรากฏยาพิษเม็ดหนึ่งจังหวะที่กำลังจะโยนยาพิษเม็ดนี้เข้าปากนายน้อยรอง นางก็เห็นเจ้าเมืองข่งสืบเท้าเดินมาทางนี้เขาได้ยินถ้อยคำทั้งหมดที่เจี่ยนอันอันด่าลูกชายคนรองของเขาภายในใจเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟลูกชายคนรองของเขาเคยป่วยหนักเมื่อครั้งเยาว์วัย หลังจากหายดีก็กลายเป็นคนที่สติไม่สมประกอบเช่นนี้ภายในจวนมีเพียงเขาที่สามารถด่าลูกชายคนรองว่าโง่ คนอื่นห้ามว่าร้ายแม้แต่นิดเดียวทว่าบุรุษตัวเตี้ยคนนี้กลับกล้าใช้ถ้อยคำหยาบคายเช่นนี้กับลูกชายคนรองของเขาแม้ว่าเจ้าเมืองข่งจะไม่พอใจ แต่เขากลับไม่กล้าล่วงเกินคนจากราชสำนักสองคนนี้เขาเดินมาที่เบื้องหน้าคนทั้งสอง จากนั้นพูดกับสาวใช้ด้วยความโมโห “มัวทำอะไรอยู่ รีบพานายน้อยกลับไปพักผ่อนสิ”“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ทั้งสองขานรับแล้วประคองนายน้อยรองออกจากที่นี่นายน้อยรองเดินร้องไห้ไปตลอดทาง เสียงร้องไห้เหมือนเสียงลานี้ แม้อยู่ห่างออกไปไกลก็ยังได้ยินเจ้าเมืองข่งทำความเคารพต่อคนทั้งสอง “ใต้เท้า กรุณาตามข้าเข้าไปนั่งด้านในห้องโถง”ฉู่จวินสิงปล่อยตัวเจี่ยนอันอัน ทั้งสองคนเดิน
ไม่ช้า พ่อบ้านก็เดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกับกระบี่ที่เปล่งประกายแวววาวเมื่อเห็นว่าฉู่จวินสิงกำลังพาดดาบไว้ที่คอของใต้เท้าตัวเองเขาก็ตกใจกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงเจ้าเมืองข่งเห็นพ่อบ้านเดินเข้ามาก็รีบพูดว่า “รีบมอบกระบี่เฝินเทียนเล่มนี้ให้ใต้เท้า!”พ่อบ้านก้าวออกไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกขนหัวลุก มอบกระบี่เฝินเทียนให้กับฉู่จวินสิงด้วยมือทั้งสองข้างเจ้าเมืองข่งพูดขึ้นอีกครั้ง “ใต้เท้า วันนี้ข้าขอมอบกระบี่เฝินเทียนให้แก่ท่าน หวังว่าท่านจะไม่กราบทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท”ฉู่จวินสิงรับกระบี่เฝินเทียน เมื่อชักกระบี่ออกจากฝัก เขาก็ต้องถูกไอเย็นจากกระบี่ปะทะใส่ทันทีฉู่จวินสิงกุมกระบี่เฝินเทียนไว้ในมือ ไอเย็นบนนั้นถูกกำลังภายในของเขาขับไล่อย่างรวดเร็วฉู่จวินสิงเอ่ยว่า “เป็นกระบี่ที่ดี!”ตอนนี้ความเย็นชาบนใบหน้าของฉู่จวินสิงค่อยๆ ลดลงเช่นกันเขาถือกระบี่เฝินเทียน มอบดาบยาวในมือให้เจี่ยนอันอัน“ในเมื่อเจ้ารู้จักอ่านสถานการณ์เช่นนี้ ข้าก็จะยอมปล่อยเจ้าไปสักครั้ง”“แต่หากเจ้ากล้าทำเรื่องที่ผิดต่อฟ้าดินเช่นนี้อีก วันใดข้ารู้ ข้าจะสังหารครอบครัวทั้งหมดของเจ้าอย่างแน่นอน”ถ้อยคำของฉู่
หลังจากที่ฉู่จวินสิงเล่าเรื่องที่ตัวเองกับเจี่ยนอันอันไปสั่งสอนเจ้าเมืองข่งให้ฟังก็ได้รับการตอบสนองจากเฉินเช่อและหม่าลู่ทันที“นายท่าน ท่านช่างปราดเปรื่องปรีชายิ่งนัก”หม่าลู่อดชมไม่ได้เฉินเช่อกระทุ้งหม่าลู่ “เรื่องนี้ยังต้องให้เจ้าพูดอีกหรือ นายท่านของพวกเราก็ปราดเปรื่องปรีชามาโดยตลอดอยู่แล้ว”หม่าลู่รู้ว่าเฉินเช่อเป็นพวกไม่คิดก่อนพูด เขาจึงไม่ได้โกรธเคืองต่อคำพูดของอีกฝ่ายแต่อย่างใด“นายท่านของพวกเราสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นขนาดนี้ จะได้รับกระบี่ล้ำค่าก็สมควรแล้ว”เฉินเช่อหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพูดความคิดในใจออกมาหม่าลู่ชมอย่างไม่ยอมตามหลัง “นายท่านของพวกเราไม่เพียงมีศิลปะการต่อสู้กล้าแกร่ง แม้แต่สมองก็ยังดีกว่าพวกเรา”“มิเช่นนั้นคงไม่อาจนำทัพอันใหญ่โตของพวกเราให้ชนะศึกมากมายขนาดนั้น”คำชมยกใหญ่ต่อฉู่จวินสิงของสองคนนี้ทำให้เจี่ยนอันอันที่ฟังอยู่ด้านข้างต้องยกยิ้มผู้ใต้บังคับบัญชาของฉู่จวินสิงพูดเก่งแบบนี้กันหมดเลยหรือ ฝีปากดีกันทุกคนเลย“พวกเจ้าสองกลายเป็นคนช่างพูดช่างเจรจาแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร”“ที่ผ่านมาคงเอาแต่ฝึกปรือฝีปากสินะ ได้พัฒนาศิลปะการต่อสู้ของตัวเองบ
เจี่ยนอันอันไม่ได้สนใจเฉินเช่อ นางโยนกระโปรงสีเหลืองอ่อนอีกชุดให้หม่าลู่“เจ้าเองก็รีบเปลี่ยนชุด พวกเราจะมามัวเสียเวลาไม่ได้”หม่าลู่มองกระโปรงสีเหลืองอ่อนในมือ ร้องขนขื่นในใจนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!เพื่อหลบหนีจากการไล่สังหารของทหารไล่ล่าแล้ว เขาไม่เพียงต้องปลอมตัวเป็นสตรีร่วมกับเฉินเฉิง แต่ยังต้องสวมชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อนนี่ด้วยเฉินเช่อลูบหนวดเคราบนหน้าตัวเอง พูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “ฮูหยิน ท่านอย่าทำให้พวกข้าลำบากใจเลยขอรับ”“ข้ามีหนวดเคราเต็มหน้า หากสวมกระโปรงสีเหลืองอ่อน ท่านไม่คิดว่าออกไปแล้วจะถูกมองเป็นตัวประหลาดหรือ”หม่าลู่พูดอย่างสุภาพ เขาหันไปมองฉู่จวินสิงด้วยสีหน้าขมขื่นอยากให้ฉู่จวินสิงช่วยพูดให้พวกเขา ฮูหยินจะได้ไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจอีกแต่ฉู่จวินสิงกลับรู้สึกว่าความคิดของเจี่ยนอันอันไม่เลวเขาพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “อันอันบอกให้พวกเจ้าใส่ พวกเจ้าก็ใส่ เลิกพูดจาไร้สาระ”“นายท่าน!”“ท่านอ๋อง!”เฉินเช่อกับหม่าลู่มีสีหน้าขมขื่น เมื่อครู่นี้ทั้งสองคนฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ฉู่จวินสิงนึกไม่ถึงว่าฉู่จวินสิงจะตามใจภรรยาตัวเองขนาดนั้นไม่ว่านางจะพูดอะไร เขาก็จะให้พว
เขารู้สึกผิดต่อพระคุณที่พ่อแม่เลี้ยงดูมา หากท่านทั้งสองมาเห็นสภาพอันดูไม่ได้ของเขาในตอนนี้คิดว่าคงได้ปีนขึ้นมาจากหลุมและทุบให้เขากลับไปเกิดใหม่ในท้อง!เจี่ยนอันอันเห็นทั้งสองคนตกใจกับหน้าตาของตัวเองก็หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งนางจงใจแต่งหน้าทั้งสองคนแบบเข้มๆ สามารถช่วยปกปิดตอหนวดสีเขียวบนใบหน้าได้เป็นอย่างดีฉู่จวินสิงมองผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเองถูกเจี่ยนอันอันแต่งหน้าให้มีสภาพเช่นนี้เขามองนางด้วยความรักใคร่เอ็นดู คิดในใจว่าหญิงสาวนางนี้ชอบทำอะไรที่คาดไม่ถึงทั้งยังเสนอความคิดที่เหลวไหลเช่นนี้เพื่อให้ทั้งสองคนสามารถออกจากห้องแล้ว เจี่ยนอันอันนำผ้าคลุมหน้าสองผืนจากในห้วงมิติออกมาสวมให้ทั้งสอง“เอาล่ะ เท่านี้ก็ไม่มีผู้ใดจำพวกเจ้าสองคนได้แล้ว”เจี่ยนอันอันว่าจบก็ปรบมือให้กับความคิดอันบรรเจิดของตัวเอง“นายท่าน พวกข้าต้องออกไปทั้งอย่างนี้หรือขอรับ?”เฉินเช่อไม่กล้าก้าวเท้าออกจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียวจริงๆหม่าลู่มองฉู่จวินสิงด้วยสายตาขอร้องอ้อนวอนเช่นกันท่านอ๋องมองเขากับเฉินเช่อแต่งตัวเป็นสตรีโดยไม่พูดไม่จาไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินคิดหาวิธีที่ดีกว่านี้แม้เพียงคำเดียว
เจี่ยนอันอันขมวดคิ้วมุ่น นางมองไปทางซ่งไหล “ท่านเล่า จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร บ้านอยู่ที่ไหนด้วยเหมือนกันรึ?”ซ่งไหลส่ายหน้าเบาๆ “จำไม่ได้”เจี่ยนอันอันคว้าข้อมือซ่งไหลขึ้นมาจับชีพจรให้เขาในไม่ช้านางก็ได้ข้อสรุปคนเหล่านี้ทุกคนล้วนถูกพิษ ขณะที่พิษประเภทนี้จะทำให้คนที่ถูกพิษสูญเสียความทรงจำไปในชั่วพริบตาหลังจากที่นางปล่อยมือซ่งไหลก็สุ่มหยิบแร่ก้อนหนึ่งบนพื้นขึ้นมานางนำมาจ่อใต้จมูกดมดูก็ได้กลิ่นสกปรกจางๆ ที่แผ่ซ่านออกมาจากก้อนแร่ได้ในทันทีนางกล่าวกับฉู่จวินสิง “ถ้าข้าเดาไม่ผิด แร่ในเหมืองนี้ล้วนแต่มีพิษ”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้ทุกคนบริเวณนั้นล้วนสัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวจากก้นบึ้งหัวใจที่พวกเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นใคร เป็นเพราะต้องพิษจากแร่พวกนี้อย่างนั้นหรือ?“พวกข้าควรทำอย่างไรดี ข้าไม่อยากตาย!”“ข้าก็ไม่อยากตายเหมือนกัน ข้าอยากไปจากที่นี่”“แม่นางได้โปรดปล่อยพวกข้าไปเถอะ ให้พวกข้าไปจากที่นี่เถอะนะ”คนงานเหมืองเหล่านั้นขอร้องเจี่ยนอันอันเสียงระงม หวังว่านางจะสามารถปล่อยพวกเขาไปซ่งไหลก็หวาดกลัวมากเช่นกัน เขาอยากไปจากที่นี่ ไม่อยากตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้เจี่ยนอันอัน
ฉู่จวินสิงและซ่งไหลที่รออยู่ด้านนอกล้วนร้อนใจอย่างยิ่งโชคดีที่เจี่ยนอันอันออกมาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังพาเด็กชายหนึ่งคนออกมาด้วยซ่งไหลรีบอุ้มเด็กชายออกมาข้างนอกเขากระซิบเรียกชื่อเด็กชายเบาๆ “หวายหมิง เจ้าฟื้นเร็วเข้า”เจี่ยนอันอันเห็นว่าซ่งไหลมีท่าทางเป็นกังวลอย่างมาก นางจึงบอกเสียงเบาว่า “เขาแค่สลบไปเท่านั้น ไม่ได้เป็นอันใดมาก”หลังจากที่นางพูดจบก็มุดเข้าไปในถ้ำอีกครั้งรอจนถึงตอนที่นางพาเด็กชายคนที่สองออกมาก็ถอดแว่นสายตากลางคืนออกแล้วนางกล่าวกับฉู่จวินสิงว่า “พวกเราออกไปจากที่นี่ก่อนค่อยคุยกัน”ฉู่จวินสิงพยักหน้าน้อยๆ แล้วอุ้มเด็กชายอีกคนขึ้นมาซ่งไหลอุ้มหวายหมิงตามเจี่ยนอันอันออกไปจากในเหมืองด้วยเช่นกันคนที่รออยู่ด้านนอกล้วนแต่ร้อนใจเป็นที่ยิ่งไม่รู้ว่าข้างในเป็นอย่างไรบ้างแล้วเมื่อพวกเขาเห็นพวกเจี่ยนอันอันออกมาก็พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเจี่ยนอันอันให้พวกเขาวางเด็กชายทั้งสองลงบนพื้นที่ว่าง นางหยิบถุงเข็มเงินออกมาจากในมิติแล้วฝังเข็มให้เด็กชายสองคนนั้นผ่านไปไม่นาน ในที่สุดเด็กชายทั้งสองก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาซ่งไหลเห็นว่าน้องชายทั้งสองของตนเองฟื้นแล้วก็คุกเข่าล
แต่ไม่ว่าเขาออกแรงมากเท่าไรก็ไม่อาจผลักหินยักษ์ออกไปได้ก่อนหน้านี้ที่นี่ก็เคยเกิดการถล่มมาก่อน แต่ไม่ได้หนักหนาเท่าครั้งนี้หากยังไม่ช่วยคนข้างในออกมา เกรงว่าเด็กสองคนนั้นคงต้องจบชีวิตลงที่นี่จริงๆ แล้วเจี่ยนอันอันขมวดคิ้วมุ่น นางพลันก้าวออกมาบริเวณหน้าถ้ำแล้วออกแรงผลักหินยักษ์ก้อนนั้นแต่หินยักษ์หนักเกินไป นางผลักอยู่หลายทีแต่ก็ไม่สามารถทำให้หินยักษ์นั้นขยับเขยื้อนได้เลยฉู่จวินสิงก็รีบเดินเข้ามาหา เขาให้เจี่ยนอันอันถอยออกไปแล้วรวบรวมกำลังภายในฟาดฝ่ามือใส่หินยักษ์ก้อนนั้นอย่างหนักหน่วงครั้นฝ่ามือนั้นฟาดลงไป หินยักษ์ก้อนนั้นเพียงสั่นคลอนไม่กี่ที แต่ก็ไม่ได้ถูกกำลังภายในทะลวงไปได้ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีนั่นเอง เจี่ยนอันอันพลันกวาดตามองคลังอาวุธในมิติครุ่นคิดว่าสามารถหยิบระเบิดออกมาจากในนั้นสักลูกได้หรือไม่โชคดีที่ตอนที่นางช่วยสองแม่ลูกสกุลเฉียวต่อกรกับเฝิงซานกวงก่อนหน้านี้ คลังอาวุธได้เลื่อนขั้นอย่างเงียบๆคำประกาศปรากฏขึ้นในมิติ : [ระดับคลังอาวุธ 50 สามารถหยิบอาวุธได้สองชนิด]เจี่ยนอันอันนึกยินดี นางรีบบอกให้ทุกคนหลบไปนอกเหมือง แม้แต่ฉู่จวินสิงก็ให้ออกไปจากตร
เจ้าเมืองตานประสานมือต่อเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิง “เรื่องราวได้จบลงแล้ว ข้าน้อยคงต้องขอกลับจวนไปไต่สวนเรื่องนี้ต่อ ขอลาแต่เพียงเท่านี้”เจี่ยนอันอันประสานมือตอบเช่นกัน “ท่านค่อยๆ เดิน ไม่ส่งแล้ว อย่างไรคงต้องรบกวนท่านให้ความเป็นธรรมแก่เรื่องนี้”“ข้าน้อยทราบดี” เจ้าเมืองตานกล่าวพลางขึ้นรถม้าไปพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วงอีกครั้งเหตุใดเขาจึงมีหลานชายที่ชอบก่อเรื่องนี้เช่นนี้หนอ? ช่างไม่ยอมปล่อยให้เขาได้อยู่สบายบ้างเลยรอจนเจ้าเมืองตานจากไปแล้ว เจี่ยนอันอันจึงหันมามองเหล่าบริวารของเฝิงซานกวงอีกครั้งซึ่งทุกคนต่างก็รู้ว่า ยามนี้ในเหมืองได้เปลี่ยนเจ้าของใหม่แล้วพวกเขาจึงไม่กล้าทำส่งเดชอีก ได้แต่ก้มหน้าก้มตายืนนิ่งอยู่เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็นชา “พวกเจ้ามัวยืนเซ่อหาอันใดอีก ที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเฝิงซานกวงอีกแล้ว แต่ละคนจงรีบไสหัวไปให้พ้น”“หากวันหน้าข้าได้รู้ว่า พวกเจ้ากลับมาก่อเรื่องที่นี่อีก ข้าจะให้มีจุดจบเช่นเดียวกับเฝิงซานกวง”บรรดาลูกน้องเฝิงซานกวงเห็นว่าบัดนี้คงได้ตกงานเป็นแน่แท้ต่อไปจะรับเงินใต้โต๊ะคงไม่มี ยิ่งอย่าหมายว่าคิดลักขโมยแร่หินในเหมืองออกไปขายบ้างจึงต่างพากัน
แต่เรื่องนี้หากจะว่าไป ก็ล้วนเป็นความผิดของเฝิงซานกวงหากเขามิได้แอบใช้แรงงานเด็ก เจี่ยนอันอันก็ไม่อาจใช้เพียงหนึ่งร้อยตำลึง มาซื้อเหมืองแร่แห่งนี้ได้ไม่ทันรอให้เจ้าเมืองตานได้กล่าวตอบ เฝิงซานกวงกลับโมโหขึ้นก่อน “นังตัวดี อย่าถือว่าเคยเป็นอดีตชายาเยียนอ๋องมาก่อน ก็จะใช้เงินเพียงหนึ่งร้อยตำลึงมาซื้อเหมืองของข้าได้”“ขอบอกให้รู้ เหมืองแห่งนี้ข้าเป็นคนขุดขึ้นเอง จะไม่มีวันยอมขายให้เจ้าเด็ดขาด”เจี่ยนอันอันมองหน้าเฝิงซานกวงด้วยแววตาดูหมิ่น สีหน้าเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน“ฟังนะเฝิงซานกวง บัดนี้เจ้ากลายเป็นนักโทษแล้ว มีสิทธิ์อันใดมาเพ้อเจ้อไร้สาระกับข้าอีก”เฝิงซานกวงโกรธจนสุดจะทนไหว พลันกระอักโลหิตออกจากปากทันทีพร้อมพาเอาฟันหน้าสองซี่ที่ถูกต่อยร่วงเมื่อครู่นี้ออกมาด้วยเจ้าเมืองตานรู้ดีว่าไม่อาจสู้เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงได้ อีกทั้งเรื่องนี้ก็เป็นความผิดของเฝิงซานกวงจริงว่าตามกฎหมายแล้ว เมื่อเฝิงซานกวงทำผิดเช่นนี้ เหมืองของเขาก็ควรจะถูกทางการยึดคืนดังนั้นเจี่ยนอันอันจึงได้มาพูดกับเขา ว่าจะขอซื้อเหมืองแห่งนี้ไว้เองอีกทั้งเฝิงซานกวงก็ไม่มีสิทธิ์ชอบธรรม ที่จะยับยั้งการซื้อขายของ
“นี่คือสัญญาฉบับใหม่ที่ข้าเพิ่งเขียนขึ้นมา ทั้งเฝิงซานกวงและเฉียวซื่อต่างได้ลงชื่อเรียบร้อย”“จึงอยากให้ท่านเจ้าเมืองได้ลงชื่ออีกคน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว วันหน้าเฝิงซานกวงจะได้ไม่กล้าบิดพลิ้วไปล่วงเกินเฉียวซื่ออีก”เจ้าเมืองตานมองดูข้อความในสัญญาฉบับใหม่ เห็นเนื้อหาล้วนสมเหตุสมผลดีอีกทั้งเรื่องนี้ก็ถือเป็นความผิดของเฝิงซานกวงก่อน จึงยอมรับพู่กันมา พร้อมทั้งเขียนชื่อตนเองลงไปเจี่ยนอันอันยิ้มๆ พร้อมนำแป้นประทับตรา มอบให้เจ้าเมืองตานได้ประทับลายนิ้วอีกซ้ำอีกสัญญาชุดเดียวกันแต่มีสองแผ่น เจี่ยนอันอันจึงแบ่งให้เจ้าเมืองตานและเฝิงซานกวงต่างถือไว้คนละแผ่น“มีเจ้าเมืองตานเป็นพยานอีกคน หากวันหน้าเฝิงซานกวงกล้าไปล่วงเกินเฉียวซื่อสองแม่ลูกอีก ให้ข้ารู้เข้า ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้”เฝิงซานกวงแค้นจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นึกอยากหักคอเจี่ยนอันอันให้ตายคามือไปเสียเยียนอ๋องพระชายาบ้าบออันใดกัน ยามนี้ล้วนถูกฮ่องเต้ปลดเป็นสามัญชนทั้งสิ้น ซ้ำยังถูกเนรเทศมาอยู่เมืองอินเป่ยต่างหากบัดนี้ฐานะของพวกเขา จะต่างจากเขาที่ตรงไหน?แต่พอมาอยู่นี่แล้ว ยังกล้ามาทำเหิมเกริมอีกรอให้เรื่องนี้จบสิ้นเมื่อใด ต้องหาวิ
แต่หากเป็นความผิดของอีกฝ่ายหนึ่ง เขาในฐานะอารอง ก็จะไม่ละเว้นผู้ทำร้ายเฝิงซานกวงเช่นกันแต่ไม่คาดคิดว่า เพียงลงจากรถม้า ก็ได้เห็นเยียนอ๋องและพระชายาอยู่ที่นี่ด้วยเจ้าเมืองตานนึกหวั่นใจขึ้น คงไม่ใช่เพราะเฝิงซานกวงไปทำความผิดอันใดเข้าอีกหรอกนะเจี่ยนอันอันใบหน้าแฝงรอยยิ้ม พร้อมนำสัญญาเผด็จการที่เฝิงซานกวงและเฉียวซื่อทำไว้ฉบับแรกให้เจ้าเมืองตานได้ดูเจ้าเมืองตานดูแล้วจึงเกิดความสงสัย “ในสัญญาได้ลงชื่อทั้งสองฝ่ายไว้ แสดงว่าอีกฝ่ายก็ยินยอมพร้อมใจ แล้วจะผิดอย่างไร?”แม้ว่าเงื่อนไขที่ระบุไว้จะมีแต่ความเอารัดเอาเปรียบ แต่ก็มิได้บ่งบอกถึงสิ่งใดไฉนจึงต้องบาดหมางจนให้เขามาด้วยตนเอง?และเจ้าเมืองตานก็เห็นลูกน้องของเฝิงซานกวง ต่างถูกทำร้ายจนสะบักสะบอมเขามองหน้าเจี่ยนอันอันด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางกับฉู่จวินสิงจึงต้องทำร้ายลูกน้องเฝิงซานกวงเช่นนี้เจี่ยนอันอันดึงตัวแม่ลูกตระกูลเฉียวมาเข้าใกล้ พลางกล่าวต่อเจ้าเมืองตาน “เจ้าเมืองตาน คนนี้ก็คือผู้ทำสัญญากับเฝิงซานกวง”“นางไม่รู้หนังสือ ข้อความในสัญญาล้วนเป็นเฝิงซานกวงอ่านให้ฟังทั้งสิ้น”“แต่เท่าที่ข้ารู้ เฝิงซานกวงมิได้อ่านเนื้อ
เจี่ยนอันอันแม้ถูกด่าว่าก็หาโกรธเคืองไม่ กลับกลายเป็นฉู่จวินสิงที่เดินขึ้นหน้า พลางต่อยเข้าที่ปากเฝิงซานกวงหนึ่งหมัด“เจ้ากล้าด่าเหนียงจื่อของข้า เห็นทีอยากถูกเลาะฟันออกจากปากเสียแล้ว”หมัดนี้ของฉู่จวินสิงหนักหน่วงยิ่ง ถึงขั้นทำให้ฟันหน้าของเฝิงซานกวงร่วงสองซี่ในบัดดลแต่เพราะเฝิงซานกวงถูกผ้าพันแผลปิดหน้าไว้หมด ฟันหน้าจึงค้างอยู่ในปาก จะบ้วนทิ้งก็ไม่ได้ กลืนลงคอก็ไม่กล้าอีกฟันหน้าถูกค่อยจนร่วง ริมฝีปากก็ยังแตกซ้ำความเจ็บปวดในปากนั้น แทบทำให้เฝิงซานกวงอยากด่าไปถึงบุพการีแต่ภายหลังได้ลิ้มลองหมัดของฉู่จวินสิง เขากลับไม่กล้าใช้คำพูดดุเดือดออกมาอีกแม้แต่คำเดียวทันใดนั้นเอง มีเสียงรถม้าแว่วมาแต่ไกลทุกคนหันมองไปตามเสียงนั้น จึงเห็นรถม้าของทางการวิ่งตรงมาคันหนึ่งและผู้ที่ไปส่งข่าวยังจวนเจ้าเมืองตาน ก็วิ่งตามหลังรถม้ามาเจี่ยนอันอันผุดรอยยิ้มที่มุมปาก ดูท่าเจ้าเมืองตานมาได้รวดเร็วดีแท้รถม้ามาหยุดที่เบื้องหน้าทุกคนเร็วพลัน โดยมีเจ้าเมืองตานเปิดผ้าม่านแล้วก้าวเดินลงมาทันทีที่เห็นเฝิงซานกวงใบหน้าห่อด้วยผ้าพันแผลหนาเตอะ ซ้ำมุมปากยังมีคราบโลหิตซึมออกมา“เจ้าไปก่อกรรมทำเข็ญเรื่อง
เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย “พี่เฉียว อย่ามัวยืนเฉย รีบลงชื่อก่อนเถิด”“ประเดี๋ยวเมื่อเจ้าเมืองตานมาถึง ยังต้องให้เขาดูด้วย”เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเบามาก จงใจมิให้เฝิงซานกวงกับลูกน้องเขาได้ยินแต่แม่ลูกตระกูลเฉียวและฉู่จวินสิงกลับได้ยินชัดเจนฉู่จวินสิงมุมปากเชิดขึ้น คิดในใจว่าการจะสั่งสอนคนเช่นเฝิงซานกวง ต้องใช้วิธีนี้จึงจะสาสมเฝิงซานกวงได้ยินไม่ชัดว่าเจี่ยนอันอันพูดเรื่องใด แต่มั่นใจว่าคงมิใช่เรื่องดีแน่นอนเฉียวซื่อรับเอากระดาษและพู่กันไป พลางเขียนชื่อตนเองบนกระดาษด้วยลายมือโย้เย้นางกำลังคิดอยู่ว่าต้องกัดนิ้วตนให้ขาดดีหรือไม่ พลันเห็นเจี่ยนอันอันไม่รู้ไปหยิบแป้นประทับตราจากที่ใดออกมาหนึ่งอันเจี่ยนอันอันกล่าวยิ้มๆ “พี่เฉียว การประทับตราของเราไม่ต้องเสียโลหิต”เฉียวซื่อยิ้มตามเช่นกัน พลางกดนิ้วมือลงบนแป้นนั้น แล้วประทับลายนิ้วลงไปบนสัญญาอีกทีเมื่อต่างลงนามในสัญญาฉบับใหม่เรียบร้อย ฉบับเก่าก็นับว่าเป็นโมฆะไปแต่เจี่ยนอันอันกลับไม่คิดฉีกสัญญาฉบับเก่าทิ้งไป นางจะรอให้เจ้าเมืองตานมาถึง และให้เขาดูเงื่อนไขเอาเปรียบที่อยู่ในนั้นนางใช้วิธีเดียวกันนี้ เขียนสัญญาใหม่ขึ้นมาอีกฉบับ