ฉู่จวินหลุนยิ้มเศร้าออกมา หัวลูกธนูนี้อยู่ในร่างกายของเขามานาน ในที่สุดก็ถูกนำออกมาแล้วดูเหมือนว่าในที่สุด ก็จะมีวันที่เขาจะสามารถลุกขึ้นยืนได้ ไม่ต้องนั่งเคลื่อนไหวไปมาอยู่บนเก้าอี้รถเข็นแล้วเวินอี๋และเหยียนเซ่ากำลังสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับพวกจ้าวอู่ทั้งสามคนอยู่ในลานบ้านพวกเขาเรียนรู้อย่างรวดเร็ว เสียงเตะต่อยของพวกเขาลอยดังเข้ามาในหูของฉู่จวินหลุนเขาอยากจะลุกขึ้นให้ได้ในเร็ววัน แล้วไปฝึกซ้อมศิลปะการต่อสู้เช่นเดียวกับพวกเขาเพียงแต่สองขาเป็นอัมพาตมานานหลายปี และก็ไม่รู้ว่าจะสามารถเป็นเหมือนกับก่อนหน้านั้นได้หรือไม่ ที่แต่ละกระบวนท่าล้วนแต่เตะเข้าเป้าฉู่จวินสิงมองความคิดของพี่ใหญ่ออก เขาตบลงไปบนไหล่ของฉู่จวินหลุน“พี่ใหญ่พักผ่อนให้สบายใจเถิด วันหน้าท่านจะต้องเป็นเหมือนกับก่อนหน้านั้นที่แข็งแกร่งเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังได้แน่”ฉู่จวินหลุนยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมาตอนนี้เขากำลังอดทนต่อความเจ็บปวดของร่างกาย และไม่คิดที่จะพูดอะไรมากความฉู่จวินสิงมองไปยังหน้าผากของพี่ใหญ่ที่เต็มไปด้วยเหงื่อเขารู้ว่าพี่ใหญ่กำลังอดทนต่อความเจ็บปวด เขาจึงรีบลุกขึ้นเดินออกมาเขาเรียกเจี่ยนอันอัน
นอกจากนี้แล้ว ขนมไหว้พระจันทร์มากขนาดนี้ จะอบอย่างไรกัน?นางคิดอยากจะซื้อเตาอบมาจากร้านค้าทว่าเตาอบยังต้องการเสียบปลั๊กถึงจะใช้ได้ยุคโบราณเช่นนี้ไม่มีไฟฟ้า ของสิ่งนั้นซื้อมาก็ไม่อาจใช้ได้นางมองไปยังขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำออกมาเสร็จแล้วบนโต๊ะ ก็ถามออกมาอย่างประหลาดใจ “ขนมไหว้พระจันทร์ที่จวนเยียนอ๋องของพวกเจ้ากิน คงไม่ใช่ว่าไม่มีลวดลายหรอกกระมัง”สี่เอ๋อร์หัวเราะ “คิกๆ” ออกมา แล้วนำแม่พิมพ์ไม้ออกมาจากด้านล่างโต๊ะบนนั้นสลักลวดลายงดงามเอาไว้มากมายเจี่ยนอันอันเองก็ยินดี แล้วลอบตำหนิตนเองที่เมื่อครู่ถามคำถามโง่ๆ ออกไป“สี่เอ๋อร์ แม่พิมพ์พวกนี้เจ้าเอามาจากที่ใดกัน?”คงจะไม่ใช่สี่เอ๋อร์ที่สลักออกมาเองหรอกกระมังสี่เอ๋อร์มองไปยังซ่างชิวที่อยู่ด้านนอก แล้วพูด “ข้าขอให้พี่ซ่างชิวช่วยแกะสลักให้เจ้าค่ะ”เจี่ยนอันอันรู้ว่าฝีมืองานของซ่างชิวนั้นดีมาก ประตูเรือนที่เคยอยู่อาศัยก่อนหน้านั้นก็ล้วนเป็นเขาที่ช่วยติดตั้งให้ซ่างชิวเป็นช่างฝีมือที่มีทักษะจริงๆ ไม่แน่ว่างานฝีมือของเขา ในภายหน้ายังคงจะมีประโยชน์ให้ได้ใช้สี่เอ๋อร์นำขนมไหว้พระจันทร์ที่ทำเสร็จแล้ว วางใส่ในแม่พิมพ์แล้วกดลงไปไม่น
ฉู่จวินสิงเมื่อเห็นเจี่ยนอันอันจะออกไป ก็รีบเดินเข้ามาเขารู้ว่าเจี่ยนอันอันจะนำขนมไหว้พระจันทร์ไปส่งให้เสิ่นจือเจิ้งในตอนที่ทั้งสองคนมาถึงยังด้านนอกเรือนของเสิ่นจือเจิ้ง ก็ได้ยินเสียงของเซียงเสวี่ยพูดดังลอยมาจากด้านใน“ทำไมเจ้าถึงยังไม่ไปอีก หรือต้องให้ข้าใช้ไม้กวาดไล่พวกเจ้าออกไป?”เสิ่นจืออวี้เองก็พูดขึ้น “พี่สะใภ้ ท่านไปเสียเถอะ อย่ามาที่นี่อีกเลย”ตามมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาของเสิ่นจือเจิ้ง “ตอนนี้นางไม่ใช่พี่สะใภ้ของเจ้าแล้ว หากว่าเจ้ายังคงคิดถึงนาง เจ้าก็ออกไปพร้อมกับนางเสียเถอะ”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินมาถึงตรงนี้ ก็รู้ว่าด้านในเกิดอะไรขึ้นนางยกมือขึ้นไปเคาะประตูเรือน ไม่นานนักก็มีเสียงฝีเท้าลอยดังออกมาเซียงเสวี่ยเปิดประตู ก็เห็นว่าเจี่ยนอันอันมาพร้อมกับฉู่จวินสิง ในที่สุดใบหน้าของนางก็เผยรอยยิ้มออกมา“นายน้อยรอง ฮูหยินน้อยรอง ในที่สุดพวกท่านก็มาแล้ว”เจี่ยนอันอันเดินเข้ามา ก็มองเห็นเจียงหว่านเอ๋อร์จับมือเสิ่นคัง ยืนอยู่ในลานเรือนใบหน้าของเจียงหว่านเอ๋อร์ยังเปื้อนไปด้วยน้ำตาในตอนที่เจียงหว่านเอ๋อร์เห็นเจี่ยนอันอัน นางก็กัดริมฝีปากอย่างแรงคนที่นางเกลียดมากที่สุดมาไ
เขาเม้มริมฝีปากน้อยๆ ท่าทีดูโกรธเคืองท่านพ่อเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไปแม้แต่เขาก็จะตีในที่สุดเสิ่นคังก็ทนต่อไปไม่ไหว ขาเตะเข้าใส่เจี่ยนอันอันเจี่ยนอันอันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หลบเท้าน้อยๆ ของเสิ่นคังไปเสิ่นคังเตะไม่โดนคน ยิ่งทำให้เขาโกรธจัดและเกลียดเจี่ยนอันอันสุดใจเขายกขาน้อยๆ ขึ้น แล้วเตะไปยังเจี่ยนอันอันติดต่อกันทว่าเขายังไม่ทันเตะโดนเจี่ยนอันอัน คนก็ถูกเสิ่นจือเจิ้งหิ้วปีกขึ้น“ข้าว่าหากข้าไม่ลงโทษเจ้าสักที สักวันหนึ่งเจ้าก็คงจะลุกขึ้นมาพังบ้านเป็นแน่!”เสิ่นจือเจิ้งพูด มือข้างหนึ่งหิ้วคอเสื้อของเสิ่นคัง มืออีกข้างหนึ่งก็ตีก้นเขาอย่างแรงเสิ่นคังเจ็บเสียจนร้องออกมาเสียงดัง จนเจียงหว่านเอ๋อร์ที่มองอยู่ด้านข้างรู้สึกปวดใจ ทั้งยังรู้สึกโกรธเกลียดฉู่จวินสิงที่เดิมคิดจะสั่งสอนเด็กคนนี้ กลับไม่คิดเลยว่าจะถูกเสิ่นจือเจิ้งแย่งไปเสียก่อนเขาเหลือบมองเสิ่นจือเจิ้ง ก็เห็นว่าอีกฝ่ายทำหน้าเย็นชา ในตอนที่ตีลูกนั้นไม่ได้เบามือเลยแม้แต่น้อยฉู่จวินสิงพูดขึ้นอย่างเย็นชา “กล้าตีเจี่ยนอันอันของข้า เด็กนี่จะต้องสั่งสอนให้ดีๆ มิฉะนั้นแล้วต่อไปจะต้องกลายเป็นคนไม่ดีแน่!”หลังจากที่เสิ่นจือ
ท่านปู่เฉินพูด “ทั้งสองท่านรีบไปจากหมู่บ้านชิงสุ่ยเสียเถอะ อย่าได้มาปรากฏตัวในหมู่บ้านชิงสุ่ยอีก”เจียงหว่านเอ๋อร์คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่หัวหน้าหมู่บ้านก็ยังไล่พวกนางแม่ลูกจากไปนางจูงมือน้อยของเสิ่นคังแล้วถลึงตามองทุกคนบริเวณนั้น“คังเอ๋อร์ พวกเราไปกันเถอะ” เจียงหว่านเอ๋อร์ว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ จากไป จนกระทั่งถึงหน้าประตูเรือน นางค่อยหันกลับมามองเจี่ยนอันอัน “ระหว่างเจ้ากับข้าไม่จบแค่นี้แน่ เจ้ารอดูไปเถอะ!”เจียงหว่านเอ๋อร์พูดจบก็จูงมือเสิ่นคังก้าวยาวๆ จากไปเสียงเสิ่นคังดังมาจากนอกเรือน “ท่านแม่ ต่อไปพวกเราจะไปไหนขอรับ?”“พวกเราไปที่ไหนก็เอาตัวรอดได้ทั้งนั้น ข้าไม่เชื่อหรอกว่าไปจากที่นี่แล้วพวกเราจะใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้”“แต่ว่านะท่านแม่ พวกเราไปแล้ว ท่านพ่อก็จะอยู่กับนางปีศาจจิ้งจอกนั่นน่ะสิ ข้าไม่อยากให้นางปีศาจจิ้งจอกนั่นอยู่กับท่านพ่อ”เสิ่นคังคำก็นางปีศาจจิ้งจอกสองคำก็นางปีศาจจิ้งจอก ทำเอาเจี่ยนอันอันโมโหจนอยากเดินออกไปอัดเสิ่นคังสักยกเลยทีเดียวแต่นางไม่ได้ทำเช่นนั้น นางก้าวยาวๆ ออกจากเรือนมาจนถึงตรงหน้าเสิ่นคังรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้านาง ในมือมีขวดยาขนาดเล็กหนึ่งขวดเพิ่มมา
ยามนี้ขับไล่เจียงหว่านเอ๋อร์และเสิ่นคังไปแล้ว ก็ทำให้เซียงเสวี่ยสามารถสงบใจปรนนิบัติเสิ่นจือเจิ้งได้เสียทีเจี่ยนอันอันเรียกเสิ่นจือเจิ้งมากินขนมไหว้พระจันทร์“พี่ใหญ่ วันนี้ถึงวันที่สิบห้าเดือนแปดตามปฏิทินการเกษตรแล้ว ข้ากับสาวใช้ในบ้านทำขนมไหว้พระจันทร์จำนวนหนึ่ง พวกท่านรีบมากินเร็วเข้า”เจี่ยนอันอันกล่าวพลางให้เซียงเสวี่ยยกขนมไหว้พระจันทร์ขึ้นโต๊ะเสิ่นจือเจิ้งเพิ่งทะลุมิติมาได้ไม่นานจึงไม่รู้ว่าเป็นวันใดเวลาใดแล้วได้ยินเจี่ยนอันอันกล่าวเช่นนี้ถึงรู้ว่าวันนี้เป็นวันที่สิบห้าเดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติเขาเห็นว่าขนมไหว้พระจันทร์จานนั้นเจี่ยนอันอันเป็นคนทำ จึงตรงเข้าไปหยิบหนึ่งชิ้นขึ้นมาเข้าปากเคี้ยวทันทีขนมไหว้พระจันทร์เพิ่งเข้าปากก็ส่งกลิ่นหอมหวานนุ่มละมุน ไส้ที่อยู่ในนั้นคืองาและถั่วลิสงเขาชูนิ้วโป้งให้เจี่ยนอันอัน “ฝีมือพัฒนาขึ้นนี่”ได้ยินพี่ใหญ่ชมตัวเองแล้ว เจี่ยนอันอันรู้สึกสุขใจมากจริงๆเสิ่นจืออวี้ก็เดินเข้ามาหยิบขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นหนึ่งไปกินและชมเชยไม่ขาดปากเช่นกันเซียงเสวี่ยมองดูจนน้ำลายไหล นางอยากกินสักชิ้นเหมือนกัน แต่ก็กลัวว่าจะถูกเจี่ยนอันอันตำหนิเจี่ยนอ
นำหม้อต้มยาออกมา ใส่ฟืนไว้ใต้หม้อแล้วจุดไฟเริ่มต้มยาขณะที่เจี่ยนอันอันกำลังตั้งใจปรุงยาพิษอยู่ กลิ่นหอมประหลาดระลอกหนึ่งก็โชยมาเข้าจมูกเมื่อเจี่ยนอันอันได้กลิ่นหอมนี้ก็ลอบอุทานในใจว่า “แย่แล้ว!”นางรู้สึกเพียงว่าทั่วร่างชาวาบไร้กำลังจึงรีบปิดจมูกเอาไว้ มือสั่นเทิ้มหยิบยาถอนพิษจากในมิติออกมากินหนึ่งเม็ดความรู้สึกชาวาบไร้กำลังพลันสลายไปเจี่ยนอันอันมองไปรอบๆ ด้วยแววตาขุ่นขึ้งก็เห็นฉู่จวินสิงก้าวยาวๆ เข้ามาหานางนางรีบร้องว่า “รีบกลั้นหายใจ!”ฉู่จวินสิงหัวใจหนักอึ้ง ทราบว่าเจี่ยนอันอันคงค้นพบอะไรบางอย่างเป็นแน่เขารีบกลั้นหายใจแล้วเดินมาถึงข้างกายเจี่ยนอันอันหลังจากเจี่ยนอันอันให้ฉู่จวินสิงกินยาถอนพิษไปหนึ่งเม็ด ฉู่จวินสิงค่อยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”เจี่ยนอันอันมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าตื่นตัว แต่ก็ยังคงไม่เห็นเงาร่างของกู้มั่วหลีนางจำได้ว่าเคยได้กลิ่นหอมประหลาดนี้ในห้องลับแห่งนั้นครั้นกลิ่นหอมนี้เข้าไปในร่างกายก็จะทำให้เป็นอัมพาตทั้งตัว สมองยังไม่ฟังคำสั่งโชคดีที่ตอนนั้นนางสังเกตพบจึงแอบกินยาถอนพิษ ทำให้ตนเองไม่ตกอยู่ในเงื้อมมืออีกฝ่ายในไม่ช้ากลิ่นหอมนั้นก็ถูกลมพัดกระจายห
ฉู่จวินสิงมองเจี่ยนอันอันอย่างรักใคร่เอ็นดูเจี่ยนอันอันทำยาพิษอยู่หนึ่งชั่วยามกว่า ในที่สุดก็ทำยาพิษที่จำเป็นทั้งหมดเสร็จสิ้นนางเก็บหม้อต้มยาแล้วจัดการกับกองไฟนางหยัดร่างขึ้นปัดไม้ปัดมือ“ยาพิษทำเสร็จแล้ว ต่อไปถ้าคนบ้าผู้นั้นปรากฏตัวอีก ข้าจะต้องลองใช้กับเขาให้ได้เลย”เมื่อคนทั้งสองไปจากท้ายเรือนก็เห็นพวกจ้าวอู่สามคนมาเรียนวรยุทธ์อวี๋ว่านก็มากับพวกเขาด้วยเช่นกันอวี๋ว่านเห็นซ่างชิวมาที่เรือนตระกูลฉู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าเขามาทำอะไรอยู่ได้ทุกวันวันนี้เมื่อเขาเห็นซ่างชิวมาที่เรือนตระกูลฉู่อีกครั้งก็รีบร้องบอกให้อีกฝ่ายหยุดเมื่อได้รู้จากปากซ่างชิวว่าอีกฝ่ายมาเรียนวรยุทธ์ อวี๋ว่านก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมากหนนี้เขาจึงตามคนทั้งสามมาด้วยเพราะอยากเรียนวรยุทธ์ด้วยเหมือนกันเมื่ออวี๋ว่านเห็นซ่างชิวกับจ้าวอู่ซ้อมเตะอยู่ในลานเรือนขาของคนทั้งสองเตะได้สูงยิ่งนัก ลูกเตะแต่ละครั้งล้วนมีเสียงลมขวับเขวียวส่วนจ้าวลิ่วก็ยิ่งเรียนรู้ได้เร็วยิ่งกว่า เขากำลังซ้อมวรยุทธ์ระดับพื้นฐานอยู่อวี๋ว่านยิ่งอยากเรียนรู้ใจแทบขาดเขาเดินมาถึงตรงหน้าเจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิง ประสานมือกล่าวกับทั้งสองว่า “ข
พวกเขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรญาติที่เป็นขุนนางของลูกพี่เป็นผู้มีอิทธิพลนัก ดูแลทุกอย่างในอำเภอไถหยางก็ว่าได้เจี่ยนอันอันกล่าวเสียงเย็น “คุยมาตั้งนาน ยังไม่เห็นบอกชื่อว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ข้าว่าคงจะแต่งเรื่องส่งเดชมากกว่า”เฝิงซานกวงถูกเจี่ยนอันอันยุยงอีกครั้ง เดิมทีเขาก็ไม่อยากเอ่ยชื่อเจ้าเมืองออกมาแต่ครั้งนี้เห็นทีไม่พูดก็ไม่ได้เสียแล้ว“ฮึ่ม พูดแล้วพวกเจ้าจะตกใจ ท่านอารองของข้าเป็นเจ้าเมืองแห่งอำเภอไถหยาง”“หากพวกเจ้ากล้าแตะต้องกิจการในเหมืองของข้า ข้าจะให้ท่านอาส่งคนมาจับพวกเจ้าไปขังคุกเสีย!”เมื่อเจี่ยนอันอันได้ยินว่าอารองของเฝิงซานกวงก็คือเจ้าเมืองตานนั่นเอง นางจึงเริ่มมีแผนการในใจ“อ้อ หมายถึงเจ้าเมืองตานผู้นั้นหรอกรึ? ยังนึกว่าเป็นคนใหญ่คนโตที่ใดเสียอีก”“เชิญไปเรียกตัวมาได้เลย แล้วเรามายันกันซึ่งหน้า ให้รู้ไปว่าเขาจะเข้าข้างเจ้า หรือเห็นด้วยกับเรามากกว่า”เฝิงซานกวงมองดูท่าทีของเจี่ยนอันอัน คล้ายไม่กลัวกระทั่งคนเป็นเจ้าเมือง จึงให้ตกใจซ้ำอีกเขาแอบคิดในใจ หรือว่าท่านอารองจะรู้จักกับคนสองคนนี้?จึงหันไปกระซิบกระซาบต่อลูกน้องข้างกาย “รีบไปเชิญอารองข้ามาเดี๋ยวนี้”
เหล่าคนงานที่เข้าออกเหมืองแร่เห็นเหตุการณ์เข้า ต่างก็ตกใจเป็นอย่างมากเพราะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นลูกน้องของนายจ้างถูกผู้อื่นทำร้ายเช่นนี้แม้แต่ละคนจะมีความตกใจ แต่ลึกๆ กลับรู้สึกสะใจมากกว่าเพราะบริวารของเฝิงซานกวงเหล่านี้ ปกติมักจะใช้กำลังกับพวกเขาบ่อยๆทุกครั้งที่พวกเขาขุดหาแร่ออกมาไม่ได้ปริมาณตามที่ต้องการ ลูกน้องเฝิงซานกวงก็พากันมารุมซ้อมพวกเขาอย่างหนัก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าไปบอกใครบางคนเคยคิดหนีไปจากที่นี่ แต่ครั้งใดที่มีผู้หลบหนี มักถูกจับกลับมาแล้วซ้อมหนักยิ่งกว่าเดิมอีกที่สำคัญพวกเขาแทบจำไม่ได้ว่าตนคือใคร บ้านช่องอยู่ที่ใดจึงได้แต่ใช้แรงกายแลกกับเงินน้อยนิดเพียงสองอีแปะในแต่ละวัน อดทนทำงานอยู่ที่นี่ต่อไปเมื่อชายสองคนถูกทำร้ายเข้า จึงมีลูกน้องเฝิงซานกวงตามออกมาอีกทุกคนเมื่อเห็นว่ามีคนมาก่อเรื่อง จึงกรูกันเข้าหาฉู่จวินสิงทันทีแต่มิต้องรอให้พวกเขามาเข้าใกล้ ฉู่จวินสิงใช้กำลังภายในซัดออกไปก่อนแล้วทุกคนต่างทยอยล้มลง พลางกลิ้งไปมา ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดทันใดนั้นเอง มีเสียงหนึ่งตะคอกดังขึ้น “ผู้ใดกล้าบังอาจมาก่อเรื่องในเหมืองของข้า อยากตายหรืออย่างไร?”ใบ
แต่บัดนี้นางเปิดร้านมาสิบกว่าวัน ขายได้เพียงรูปสัตว์โลหะไม่กี่ตัวเท่านั้นเฉียวซื่อบอกเล่าสิ่งที่พบเจอให้เจี่ยนอันอันฟัง ทำให้นางเกิดความเข้าใจขึ้นทันทีที่แท้เฉียวซื่อถูกเฝิงซานกวงหลอกลวงมาแต่แรกเจี่ยนอันอันเพียงคิดว่าต่อให้นางซื้อของตกแต่งเหล่านี้กลับไป ก็มิได้ใช้ประโยชน์นักจึงนำหนูโลหะตัวเล็กในมือวางกลับที่เดิมเฉียวซื่อเห็นเจี่ยนอันอันทำเช่นเดียวกับลูกค้าอื่นในร้าน เพียงเข้ามาหยิบดูเล็กน้อย จากนั้นจึงวางของตกแต่งลงไว้ที่เดิมดูแล้วคล้ายไม่สู้ถูกใจผลงานที่นางสร้างสรรค์ออกมาเท่าใดนัก พลันเกิดความรู้สึกท้อแท้ นางคงไม่เหมาะจะทำอาชีพนี้จริงๆ กระมังหากตอนนี้สามียังอยู่ก็คงดี นางจะได้ฝึกวิชาการตีเหล็กจากเขาให้ออกมาเป็นงานอื่นบ้างและเมื่อครู่เจี่ยนอันอันรู้จากปากเฉียวซื่อ ว่าเฝิงซานกวงได้เปิดกิจการเหมืองแร่แห่งหนึ่งทุกวันจะมีคนงานไปด้านหลังภูเขาที่อยู่ห่างไกล ขุดเอาแร่เหล็กและหยกออกมา เพื่อนำกลับมาถลุงเป็นเครื่องหยกและของใช้ที่ทำจากเหล็กนางเห็นเฉียวซื่อคล้ายมีอาการท้อใจ จึงกล่าวยิ้มแย้ม “พี่เฉียว ท่านพาข้าไปดูที่เหมืองของเฝิงซานกวงก่อน ข้ามีสิ่งของบางอย่างต้องการจะซื้อ”
เจี่ยนอันอันหยิบมากวาดตาดูก็มองความผิดปกติบนนั้นออกได้ในทันที“เงื่อนไขในนี้เข้มงวดเกินไปแล้ว ถ้าฝ่ายไหนยุติสัญญาจะต้องชดเชยให้อีกฝ่ายเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึง”“เจ้าหมอนี่ช่างกล้าเขียน สัญญานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเงื่อนไขแบบมัดมือชกกันชัดๆ”“ข้าว่าท่านไม่ร่วมงานกับเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”คำพูดของเจี่ยนอันอันทำให้เฉียวซื่อใจหายวูบนางรู้จักตัวหนังสือแค่ไม่กี่ตัว นอกจากเขียนชื่อตัวเองเป็นแล้ว เงื่อนไขในนั้นนางอ่านไม่เข้าใจเลยสักนิดเฝินซานกวงเป็นคนอ่านให้นางฟัง นางรู้สึกว่าเงื่อนไขสมเหตุสมผลมากจึงลงนามในสัญญากับอีกฝ่ายแต่คิดไม่ถึงเลยว่า เฝิงซานกวงจะกล้าเล่นเล่ห์กับนางแบบนี้เดิมนั้นนางอยากยกเลิกสัญญากับอีกฝ่าย แต่กลับได้ยินเฝิงซานกวงพูดว่า ถ้านางกล้าเป็นฝ่ายยกเลิกสัญญาก็จะต้องชดเชยเงินให้เฝิงซานกวงเป็นเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงตอนนั้นเฉียวซื่อตกใจยิ่งนักนางเคยไปถามเถ้าแก่ร้านข้างเคียง ฝ่ายตรงข้ามก็บอกว่าเงื่อนไขนี้เขียนไว้อย่างชัดเจน ต้องจ่ายเงินชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งแสนตำลึงจริงๆเงินจำนวนมหาศาลเช่นนี้ นางจะไปหาเงินมากมายขนาดนี้มาจากที่ไหนถึงตอนนี้เฉียวซื่อจึงตระหนักว่
ตอนนี้เขาทำได้เพียงอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวด ยอมรับการทุบตีจากเฉียวอี้บริเวณรอบๆ มีคนล้อมเข้ามามุงดูจำนวนมาก พวกเขาต่างชี้ไม้ชี้มือมาทางชายผู้นั้น“คนคนนี้แค่เห็นก็รู้แล้วว่าต้องไม่ใช่คนดีแน่ ดูหน้าตาทรงโจรของเขาสิ แปดส่วนคงเป็นเพราะไปหาเรื่องคนอื่นก่อน ถึงได้ถูกเด็กคนนั้นซ้อมเอาแบบนี้”“เมื่อครู่ข้าได้ยินแล้ว เขาไปลงไม้ลงมือกับแม่ของเด็กคนนั้น ข้าว่าตีเขายังน้อยไป ควรแจ้งความมากกว่า”คนมุงบริเวณรอบๆ ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆ นานาเฉียวอี้ควงหมัดทักทายใบหน้าของชายผู้นั้นหนักกว่าเดิมในไม่ช้า เฉียวอี้ก็ตีจนรู้สึกเจ็บกำปั้น แต่เขาก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนกระทั่งอัดศีรษะชายผู้นั้นจนบวมเป่งเหมือนหมู เฉียวอี้ถึงได้หยุดมือพร้อมหอบหายใจแม้ว่ากำปั้นของเฉียวอี้จะไม่ใหญ่ แต่ครั้นทุบตีคนก็ร้ายกาจยิ่งนักเห็นใบหน้าชายผู้นั้นเขียวช้ำไปหมด เฉียวอี้ก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากเจี่ยนอันอันกล่าวกับชายผู้นั้นว่า “หากวันหน้าเจ้ายังกล้ามาคุกคามแม่ลูกตระกูลเฉียวอีก ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าสบายแบบนี้แน่ ยังไม่รีบไสหัวไปอีก!”ชายผู้นั้นไม่กล้าพูดมาก ลุกขึ้นมากุมศีรษะแล้วเผ่นหนีไปคนมุงบริเวณรอบๆ เ
เจี่ยนอันอันกับฉู่จวินสิงสบตากัน“พวกเจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้” ฉู่จวินสิงว่าแล้วก็ก้าวยาวๆ ตรงไปทางตรอกน้อยชายผู้นั้นเห็นว่าฉู่จวินสิงตรงมาทางเขาก็หันหลังเตรียมวิ่งหนีแต่เขาวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกถีบเข้าที่เอวเสียแล้วชายผู้นั้นถูกถีบกระเด็นไปไกล คว่ำหน้าอยู่บนพื้นร้องโอดโอยออกมาอย่างทนไม่ไหวฉู่จวินสิงย่างสามขุมตรงเข้าไปหาแล้วหิ้วคอเสื้อของชายผู้นั้นขึ้นมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย“ไปกับข้า!”ฉู่จวินสิงกล่าวพลางผลักชายผู้นั้นตรงออกไปนอกตรอกชายผู้นั้นได้ลิ้มรสความร้ายกาจของฉู่จวินสิงแล้วย่อมไม่กล้าวิ่งหนีส่งเดชเขาไม่อยากถูกถีบอีกหรอกนะ จนถึงตอนนี้เอวยังระบมอยู่เลยฉู่จวินสิงผลักชายผู้นั้นมาถึงตรงหน้าเจี่ยนอันอันกับเฉียวอี้แล้วกล่าวเสียงเข้ม “บอกมา ระหว่างเจ้ากับเด็กคนนี้เป็นเรื่องอะไรกันแน่?”ชายผู้นั้นมองเฉียวอี้ แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นแค้น“คุณชายท่านนี้ ข้าไม่รู้จักเขาเสียหน่อย เขาวิ่งออกมาถนนใหญ่เอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยนะ”ขณะที่ชายผู้นั้นพูดก็ถลึงตาใส่เฉียวอี้อย่างดุร้ายเฉียวอี้เห็นฝ่ายตรงข้ามไม่ยอมรับ เขาเงยหน้าขึ้นมาด้วยความโมโห แล้วตวาดใส่ชายผู้นั้นว่า“ท่านโก
เจี่ยนอันอันเห็นว่าฉู่จวินสิงก่อสร้างเป็น นางก็วางใจไปได้มากนางยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ใช่กระโจม แต่เป็นโรงเรือนสำหรับเพาะปลูกแบบหนึ่ง”นางมีความคิดคร่าวๆ ในใจแล้วจึงรีบกลับบ้านไปกับฉู่จวินสิงนางหยิบกระดาษและปากกาออกมาจากในมิติ แล้ววาดภาพร่างบนโต๊ะฉู่จวินสิงนั่งอยู่ข้างๆ ตั้งใจดูภาพร่างโรงเรือนที่เจี่ยนอันอันวาดที่นี่ไม่มีเหล็กเส้น เจี่ยนอันอันยังไม่อยากใช้เงินจำนวนมากไปซื้อจากในร้านค้านางต้องการสร้างโรงเรือนสำหรับคนในหมู่บ้านทุกคน เหล็กเส้นที่ต้องใช้จึงมีไม่น้อยหากใช้เงินไปซื้อมา นั่นไม่ใช่จำนวนเงินน้อยๆ เลยนางไม่อยากใช้เงินพวกนั้นในมิติมากเกินไป นางยังรอที่จะสนับสนุนฉู่จวินสิงขึ้นนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้หลังจากการทำสงครามกลับเมืองจิงโจวในวันหน้าเมื่อถึงตอนนั้น เงินทองของล้ำค่าเหล่านั้นในมิติก็จะได้นำไปใช้แล้วฮ่องเต้จนกรอบคนหนึ่งที่ไม่สามารถจ่ายเบี้ยหวัดให้เหล่าขุนนางได้ ทั้งยังไม่สามารถทำให้ชาวบ้านอยู่ดีมีสุข กับฮ่องเต้ที่มั่งคั่งร่ำรวยคนหนึ่ง เงินในมือสามารถซื้อเมืองทั้งเมืองได้ชาวบ้านกับเหล่าขุนนางจะเอนเอียงไปทางคนไหนมากกว่า นั่นไม่ต้องพูดก็สามารถรู้ได้แล้วในไม่ช้า เจี่ยน
เมื่อมีชาวบ้านผ่านมาที่นี่แล้วเห็นลูกปลาในสระน้ำเข้าเขาก็ส่งเสียงด้วยความประหลาดใจทันทีว่า “แม่นางเจี่ยน เจ้าเป็นคนนำลูกปลาพวกนี้มาปล่อยไว้ในนี้หรือ?”เจี่ยนอันอันพยักหน้าพร้อมยิ้มบาง ชาวบ้านผู้นั้นเรียกคนอื่นๆ มาด้วยความดีใจทุกคนล้วนรู้สึกซาบซึ้งในความเอาใจใส่ของเจี่ยนอันอัน แบบนี้ต่อไปพวกเขาก็จะสามารถกินเนื้อปลาสดใหม่ได้แล้วชาวบ้านจำนวนมากล้วนรู้สึกยินดีเพราะเรื่องนี้ แต่มีชาวบ้านคนหนึ่งที่นิ่วหน้าคิ้วขมวดเขาอดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “สระน้ำนี่ก็ดีอยู่หรอก แต่อากาศค่อยๆ เย็นลงแล้ว กลัวจริงๆ ว่าเมื่อถึงฤดูหนาว สระน้ำนี่ก็จะจับตัวเป็นน้ำแข็ง”“พอถึงยามนั้น อย่าว่าแต่พวกเราจะไม่ได้กินเนื้อปลา เกรงว่าแม้แต่พืชผักก็คงปลูกไม่ได้เหมือนกัน”วาจาประโยคเดียวของชาวบ้านทำให้คนอื่นๆ กลัดกลุ้มตามไปด้วยหลายวันมานี้อากาศค่อยๆ เย็นลง พวกเขาล้วนแต่เพิ่งปลูกผักทั้งยังได้รับเงินสามสิบตำลึงมาแล้วหากถึงฤดูหนาวจริงๆ พวกเขาก็ไม่สามารถปลูกผักพวกนี้ได้อีกแล้วเมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็จะได้กลับไปมีชีวิตที่ยากลำบากเหมือนที่ผ่านมาอีกครั้งพวกเขาเกี่ยวข้าวไว้มากแล้ว แต่ผักพวกนี้ควรทำอย่างไรดีเล่า?หาก
เซียงเสวี่ยเห็นลูกเป็ดและลูกไก่ตัวน้อยที่อยู่ในกรง นางดีใจจนรีบมารับไป“ฮูหยินน้อยรอง อีกหน่อยเมื่อเลี้ยงเป็ดและไก่เหล่านี้จนโต พวกเราก็จะมีเนื้อเป็ดเนื้อไก่กินแล้ว”เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อย พลางมองไปยังเสิ่นจือเจิ้ง“พี่ใหญ่ เป็ดไก่เหล่านี้เพียงพอให้พวกท่านกินหลายวันสินะ”เสิ่นจือเจิ้งยิ้มตอบ “เด็กโง่ พี่ใหญ่กลับไม่คิดเช่นนั้น”เจี่ยนอันอันเลิกคิ้วเล็กน้อย “ความหมายของท่านคือ?”เสิ่นจือเจิ้งบอกเล่าความคิดของตนให้ฟังเขาตั้งใจว่าจะเลี้ยงเป็ดไก่เหล่านี้ให้โต พร้อมทำการเพาะพันธุ์ต่อจากนั้นก็ทยอยนำเป็ดไก่ไปขาย เชื่อว่าน่าจะได้เงินเป็นจำนวนมากเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ไม่ต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้นดั่งเช่นทุกวันนี้อีกเจี่ยนอันอันเห็นว่าวิธีนี้พอใช้ได้ ปกติพี่ใหญ่มองการณ์ไกลมากกว่านางอยู่แล้ว“ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่ท่าน”เจี่ยนอันอันกล่าวจบ จึงคิดจากไปนางยังคิดจะไปดูแอ่งน้ำเสียหน่อย เผื่อจะปล่อยพันธุ์ปลาลงไปในน้ำบ้างเผื่อวันหน้าปลาโตขึ้น ชาวหมู่บ้านชิงสุ่ยก็จะมีเนื้อปลากินอีกขณะที่เจี่ยนอันอันเตรียมตัวจะออกไป กลับถูกเสิ่นจือเจิ้งเรียกตัวไว้“เมื่อคืนที่บ้านเจ้าได้เกิดเรื่อ