ฉู่จวินสิงยิ้ม เดินไปที่เตียงอย่างเงียบเชียบและทำการห่มผ้าให้ทั้งคู่เขากอดเจี่ยนอันอันแล้วหลับไปอย่างสงบเมื่อเจี่ยนอันอันตื่นขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่จวินสิงก็ยังหลับอยู่นางสวมเสื้ออย่างเบามือก่อนจะลุกจากเตียง ไม่ได้รีบร้อนไปขายผักที่ตลาดแต่อย่างใด แต่เลือกไปหาเสิ่นจือเจิ้งก่อนจังหวะที่เจี่ยนอันอันสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อย ฉู่จวินสิงก็ตื่นพอดีเขาเห็นเจี่ยนอันอันเร่งรีบไปขายผักที่ตลาดแบบนี้ก็รีบลุกขึ้นตามเมื่อเห็นเจี่ยนอันอันออกจากห้อง ฉู่จวินสิงก็รีบสวมเสื้อผ้าตามออกไปแต่แล้วเมื่อออกจากห้อง เขากลับพบว่าเจี่ยนอันอันไม่ได้เดินไปจูงรถม้า แต่เดินไปอีกทางหนึ่งฉู่จวินสิงตามออกจากลานบ้าน เห็นว่าเจี่ยนอันอันเดินไปทางบ้านของกวนซินเขาตามเข้าไปดึงตัวเจี่ยนอันอัน“เจ้าจะไปหาพี่ใหญ่หรือ เหตุใดไม่เรียกให้ข้าไปด้วยกัน”เจี่ยนอันอันไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของฉู่จวินสิง ขณะที่ถูกเขาดึงตัวไว้ก็ยังคงมีอาการใจลอยเล็กน้อย“เหตุใดท่านไม่นอนต่ออีกสักหน่อย ข้าไปหาพี่ใหญ่เดี๋ยวเดียวก็กลับ”ฉู่จวินสิงจูงมือเจี่ยนอันอันพูดว่า “ข้าตื่นแล้ว ย่อมต้องตามเจ้าไปด้วยกัน”เขาไม่วางใจให้เจี่ยนอันอันไปเ
ครานี้ดีเลย ในที่สุดพวกเขาก็จะมีที่อยู่เป็นของตัวเองแล้วทั้งสี่คนไม่ได้ไปรบกวนกวนซิน ทำการเก็บสัมภาระของตัวเองอย่างเงียบเชียบแล้วย้ายออกจากที่นี่เมื่อมาถึงบ้านที่สร้างขึ้นใหม่ เจี่ยนอันอันก็ประคองเสิ่นจือเจิ้งไปที่ห้องของเขาเสิ่นจือเจิ้งมองการประดับตกแต่งภายในห้อง มันเป็นระเบียบเรียบร้อยและเรียบง่าย พร้อมทั้งมีกลิ่นน้ำหอมจางๆเขาหันไปมองเจี่ยนอันอัน “เจ้าฉีดน้ำหอมหรือ?”เจี่ยนอันอันพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ฉีดน้ำหอมเพื่อช่วยดับกลิ่น”นางไม่ได้บอกเรื่องที่เจียงหว่านเอ๋อร์เคยอยู่ห้องนี้อย่างไรตอนนี้เจียงหว่านเอ๋อร์ก็ไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องบอกมากขนาดนั้น“พี่ใหญ่พึงพอใจหรือไม่?” เจี่ยนอันอันหันไปถามเสิ่นจือเจิ้งพยักหน้า “บ้านที่อันอันสร้างให้ ข้าต้องพึงพอใจอยู่แล้ว”เจี่ยนอันอันประคองเสิ่นจือเจิ้งไปนั่งหน้าเตียง“พี่ใหญ่ ท่านพักผ่อนที่นี่ไปก่อน ข้าจะนำผักกับธัญญาหารที่ปลูกเมื่อวันก่อนไปเก็บที่โรงเก็บของ”“ต่อไปท่านกับเสิ่นจืออวี้จะได้ทำอาหารกินเองได้”เสิ่นจือเจิ้งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเผยรอยยิ้มปลื้มใจเขานึกไม่ถึงว่าเจี่ยนอันอันมาอยู่ที่นี่แล้วจะเรียนรู้ที
หากเจียงหว่านเอ๋อร์ต้องการมาสร้างปัญหาให้เสิ่นจือเจิ้ง เช่นนั้นแค่เซียงเสวี่ยคนเดียวก็รับมือได้แล้วเซียงเสวี่ยไม่ได้คัดค้านอะไร นางรู้ว่าฐานะตัวเองต้อยต่ำ การได้รับมอบหมายให้ไปรับใช้คนก็สื่อความเชื่อมั่นที่เจี่ยนอันอันมีต่อนางเซียงเสวี่ยย่อมตั้งใจปรนนิบัติรับใช้อย่างสุดความสามารถเจี่ยนอันอันใช้ช่วงที่เสิ่นจืออวี้ยังตามมาไม่ถึงมาย้ายผักในห้วงมิติไปไว้บนรถม้าเมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เสิ่นจืออวี้ก็เดินสืบเท้าเข้ามาทั้งสามคนขึ้นนั่งรถม้าเดินทางสู่อำเภอไถหยางโดยมีฉู่จวินสิงเป็นคนขับเซียงเสวี่ยที่ถูกเจี่ยนอันอันส่งตัวไปไม่ทำให้นางผิดหวังแต่อย่างใดเซียงเสวี่ยมาถึงบ้านหลังแรกที่สร้างใหม่ เห็นเสิ่นจือเจิ้งนั่งอยู่ในลานบ้านเสิ่นจือเจิ้งเงยหน้าขึ้นมาเห็นเซียงเสวี่ย จังหวะที่กำลังจะถามว่านางเป็นผู้ใดก็ได้ยินเซียงเสวี่ยแนะนำตัว“สวัสดีเจ้าค่ะคุณชายเสิ่น ข้ามีนามว่าเซียงเสวี่ย เป็นสาวใช้ของตระกูลฉู่ เจี่ยนอันอันส่งข้ามาปรนนิบัติท่าน”เสิ่นจือเจิ้งได้ยินมาเจี่ยนอันอันเป็นคนส่งมาก็พยักหน้าเขารู้อยู่แล้วว่าเจี่ยนอันอันไม่วางใจที่จะให้เขาอยู่บ้านคนเดียวสำหรับเสิ่นจือเจิ้งแล้ว เซียง
มีความเป็นไปได้สูงมากที่สาวใช้นางนี้จะถูกเจี่ยนอันอันส่งมาภายในใจเจียงหว่านเอ๋อร์ไม่พอใจมาก ทว่าสีหน้าที่แสดงออกมากลับดูอ่อนแอ“น้องสาวผู้นี้ ข้าไม่เคยพบเจ้ามาก่อน ไม่ทราบว่าเป็นลูกบ้านใดหรือ”“ข้าดูแล้วพวกเราสองคนถูกชะตากันไม่น้อยเลย ไปนั่งเล่นที่บ้านข้าสักหน่อยดีหรือไม่?”เจียงหว่านเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ก็จะเข้ามาจับมือเซียงเสวี่ยแต่กลับถูกเซียงเสวี่ยสะบัดออก“มีอันใดก็พูดมา ไม่ต้องจับไม้จับมือ”นางไม่หลงกลเจียงหว่านเอ๋อร์นางเคยพบเคยเห็นผู้หญิงที่ต่อหน้าอย่างหนึ่งลับหลังอีกอย่างหนึ่งประเภทนี้มาเยอะแล้วเจียงหว่านเอ๋อร์ถูกปฏิเสธแบบนี้ก็ยิ่งโกรธแค้นเจี่ยนอันอันหนักกว่าเดิมเจี่ยนอันอันผู้นี้ กระทั่งสาวใช้ที่ถูกนางส่งมาก็ยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดีเหมือนกันเจียงหว่านเอ๋อร์ยิ้มแล้วหดมือกลับนางยังไม่มีท่าทีจะจากไป พูดกับเจียงเสวี่ยว่า “ข้าดูแล้วเจ้าคงกำลังทำอาหารสินะ ให้ข้าช่วยดีกว่า”“จือเจิ้งยังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เช้า พวกเราสองคนช่วยกันทำจะได้เสร็จเร็วขึ้น”เซียงเสวี่ยเห็นเจียงหว่านเอ๋อร์แสร้งทำตัวแสนดีก็ยิ้มเยาะ“หากว่าเมื่อครู่นี้ข้าไม่ได้ฟังผิดแล้วล่ะก็ คุณชายเสิ่นกับท่านหย่
นางไม่ได้ลับฝีปากกับใครมานานแล้วหากต่อไปเจียงหว่านเอ๋อร์กล้ามาอีก นางจะต้องด่าให้หลาบจำทางฝั่งเจี่ยนอันอัน รถม้าของนางเดินทางมาครึ่งชั่วยาม จนมาถึงตลาดในอำเภอไถหยางการมาของทั้งสามคน ทำให้เจ้าของแผงลอยคนอื่นในตลาดรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน พวกเขาไม่มีใครกล้าหาเรื่องเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงอีกกุ้ยเหมยเมื่อเห็นเจี่ยนอันอัน นางถึงกับตัวสั่นอย่างห้ามไม่ได้เมื่อวานนางถูกเจี่ยนอันอันเย็บปากจนเจ็บปวดถึงขั้นสลบไปเมื่อนางฟื้นขึ้นมา ตลาดก็วายไปแล้วพวกเจ้าของแผงลอยในตลาด ไม่มีใครช่วยนางเลยสักเลยหรือแม้แต่จะช่วยไปตามหมอให้นางก็ไม่มีกุ้ยเหมยหารู้ไม่ว่าสาเหตุที่ไม่มีใครช่วยเหลือนาง เป็นเพราะนิสัยหยิ่งยโสและก้าวร้าวที่นางแสดงออกมาตลอด เจ้าของแผงลอยคนอื่นในตลาดล้วนเคยถูกนางด่ามาก่อนนางจ่ายเงินค่าคุ้มครองให้กับพวกเจ้าหน้าที่ปลอมมากที่สุด ด้วยเหตุนี้ นางจึงวางอำนาจไม่เห็นหัวเจ้าของแผงลอยคนอื่นนางมักจะยุยงลูกค้าไม่ให้ซื้อผักกาดของเจ้าของแผงลอยรายอื่น และให้มาซื้อเฉพาะผักกาดของนางนางยังกล่าวหาว่าผักกาดของคนอื่นมีหนอน มีแค่ผักของร้านนางที่ไม่มีหนอนเมื่
ไม่นาน ผักบนแผงก็ถูกขายไปกว่าครึ่งหนึ่งแล้วเสิ่นจืออวี้รู้สึกภูมิใจในตัวเองมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาขายผัก และเป็นครั้งแรกที่มาตลาดด้วย เขาไม่คิดว่าจะสนุกถึงเพียงนี้ขณะที่ทั้งสามคนกำลังยุ่งอยู่กับการขายผัก พลันมีเสียงตะโกนดังลั่นขึ้นมา“พี่ใหญ่ พวกเขานี่แหละ เมื่อวานไม่เพียงแต่ไม่จ่ายค่าคุ้มครอง ยังอัดพวกเราอีกสามคนจนเละ!”ชายที่นำกลุ่มคนมาหรี่ตามองพวกของเจี่ยนอันอันทั้งสามคน“พวกเรา วันนี้ถ้าพวกเจ้าไม่ทำให้พวกมันพิการ พวกเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้กลับไปกินข้าว!”จูกังเลี่ยผู้ที่เป็นหัวหน้าตะโกนลั่นด้วยความโกรธ พร้อมกับเดินตรงมาที่แผงผักของเจี่ยนอันอันเขาเตะลูกค้าคนหนึ่งที่กำลังซื้อผักจนกระเด็น พร้อมกับตวาดเสียงเกรี้ยว “ไสหัวไปให้พ้นทางข้าเดี๋ยวนี้!”“ตอนนี้เจ้าหน้าที่มาทำคดี หากใครยังกล้าซื้อผักจากแผงนี้ ก็เท่ากับเป็นศัตรูกับทางการ!”คำพูดของจูกังเลี่ยทำให้เหล่าลูกค้าที่กำลังซื้อผักต่างรีบถอยห่างออกไปเจี่ยนอันอันเหลือบมองจูกังเลี่ย ก็เห็นว่าใบหน้าของเขาคล้ายกับพื้นรองเท้า เวลาพูดปากก็บิดเบี้ยวไปด้วย“พวกเจ้าคือคนที่ไม่จ่ายค่าคุ้มครอง แล้วยังอัดพี่น้องข้าจนเจ็บใช่หรือไม
เสิ่นจืออวี้ไม่อยากให้เจี่ยนอันอันเข้ามายุ่งเกี่ยว เขากลัวว่านางจะได้รับบาดเจ็บอย่างไรเสียมีเขากับฉู่จวินสิงอยู่ ก็เพียงพอแล้วแต่เจี่ยนอันอันกลับคิดต่าง นางต้องการเลื่อนขั้นคลังอาวุธของตนเอง และนางต้องแก้แค้นแทนเหยียนซวงการต่อสู้ครั้งนี้นางต้องเข้าร่วม!ในมือของเจี่ยนอันอันปรากฏกริชเล่มหนึ่ง นางกล่าวกับฉู่จวินสิงว่า “ท่านพี่ ท่านอยู่ขายผักต่อ ข้าไปจัดการคนพวกนี้เอง”ขณะที่เจี่ยนอันอันพูดอยู่ มีคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหมายจะชกหน้านางแต่เจี่ยนอันอันไม่แม้แต่จะหันไปมอง นางยกมือขึ้นและใช้กริชกรีดที่ข้อมือของคนผู้นั้นคนผู้นั้นเจ็บปวดจนต้องกลั้นหายใจ รีบยกมือกุมแผลพลางถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างรวดเร็วฉู่จวินสิงกังวลว่าเจี่ยนอันอันอาจได้รับอันตราย จึงไม่อยากให้นางเข้าร่วมการต่อสู้แต่คำพูดต่อมาของเจี่ยนอันอันทำให้เขาจำต้องยอม“ท่านพี่ วันนี้ข้ารู้สึกคันไม้คันมือ ถ้าไม่ได้อัดพวกมัน ข้าคงรู้สึกไม่สบายใจ”หลังจากเตะคนหนึ่งกระเด็นออกไป ฉู่จวินสิงจึงกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ระวังตัวด้วย!”เจี่ยนอันอันยิ้มเผยฟันเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีกหลังจากที่นางฟันข้อมือชายคนหนึ่ง นางก็เห็นข้อความภาร
เมื่อคนกลุ่มนั้นคิดจะเข้าไปช่วยจูกังเลี่ย พวกเขาก็ถูกเจี่ยนอันอันขวางไว้“ใครกล้าข้ามา ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้เห็นดวงตะวันในวันพรุ่งนี้”เจี่ยนอันอันพูดพลางแทงมีดสั้นในมือเข้าไปที่ท้องของหนึ่งในพวกนั้นทันใดนั้น ภารกิจของห้วงมิติก็แสดงข้อความขึ้นอีกครั้ง[ระดับคลังอาวุธ +0.5]เจี่ยนอันอันเข้าใจทันทีว่า หากเพียงแค่ทำร้ายพวกลูกสมุน ระดับของคลังอาวุธจะเพิ่มขึ้นช้าเหมือนเต่าคลานดูเหมือนนางจะต้องจัดการกับหัวหน้ากลุ่มนี้ในขณะนั้นเอง คนที่ยังไม่ถูกแทงก็พุ่งเข้ามารุมโจมตีเจี่ยนอันอันพร้อมกันพวกเขาเหวี่ยงดาบใหญ่ในมือ ฟันตรงมาที่เจี่ยนอันอันเจี่ยนอันอันกลับไม่มีทีท่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย ใบหน้าของนางยังคงประดับด้วยรอยยิ้มเหี้ยมโหดนางหยิบผงสลายศพออกมาจากมิติ แล้วโปรยใส่ดาบใหญ่ในมือของคนพวกนั้นทันทีที่ผงสลายศพสัมผัสดาบ ดาบสิบกว่าด้ามก็ละลายกลายเป็นน้ำในพริบตาพวกนั้นต่างยืนอึ้งอยู่กับที่ มองมือของตัวเองสลับกับแอ่งน้ำบนพื้นเกิดอะไรขึ้น ดาบของพวกเขาหายไปไหน?ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง เจี่ยนอันอันก็หยิบเข็มเงินชุบยาพิษออกมาจากมิติแล้วปาเข็มเงินพุ่งไปบนร่างของคนเหล่านั้นเมื่อคนพวกนั้นโด
เรือนผมที่เคยยาวดกดำ ภายในคืนเดียวมลายหายไปสิ้นเห็นเพียงศีรษะที่โกร๋นโล่งเตียนไม่เหลือแม้แต่ผมเส้นเดียว!เจียงหวยตกใจจนหน้าซีดเผือด พลางทรุดร่างลง ‘โครม’ ที่หน้าพระแท่นมังกรฉู่ชางเหยีนมองดูสีหน้าตกตะลึงของเจียงหวย พลันยิ่งบันดาลโทสะมากขึ้น“เจ้าถูกผีหลอกเข้าหรือไร?”เจียงหวยกลัวจนตัวสั่นงันงก พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฝ่า...ฝ่าบาท เส้นพระเกศา...”ทันใดนั้นเอง ฉู่ชางเหยียนเพิ่งตระหนักว่าศีรษะเย็นผิดปกติจึงรีบเอามือลูบศีรษะตนเองโดยพลันไม่ลูบยังพอว่า ลูบไปเจอแต่ศีรษะโล้นเลี่ยนนี่สิ!“เกิดเรื่องอันใดขึ้น ผมของข้าเล่า? บังอาจนัก ผู้ใดมาโกนผมของข้าไปหมด?”“ทหาร รีบไปจับคนที่เมื่อคืนแอบเข้ามาในตำหนักข้า ข้าจะจับมากุดหัวเสีย แล้วถลกหนังมันด้วย”เจียงหวยหัวใจหล่นไปถึงตาตุ่ม เคราะห์ดีเมื่อคืนเขาไม่ได้ถวายงานอยู่ในตำหนักหลงเหอแต่ไปเลี้ยงอาหารนกแร้งสองตัวนั้น กว่าจะป้อนจนอิ่มหนำก็ค่ำมืดเต็มทีเขาเห็นว่าดึกมากแล้ว จึงมิได้กลับเข้าตำหนักหลงเหออีก ด้วยเกรงว่าจะรบกวนการบรรทมของฮ่องเต้ปรากฏว่าเพียงคืนเดียวที่เขาไม่ได้อยู่ถวายงาน กลับเกิดเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นเขากลัวว่าถ้าฮ
เมื่อเจี่ยนอันอันดูถึงตรงนี้ มุมปากได้เหยียดขึ้นนานแล้วนางเห็นเจี่ยนกั๋วกงหน้าไม่อายผู้นั้น เมื่อถูกฮ่องเต้ตวาดเข้า ก็ทำตัวหงอ หดคอราวกับลูกเต่าตัวหนึ่งเป็นสิ่งที่นางรู้สึกสะใจยิ่ง!เจี่ยนกั๋วกงยังคิดเอาหน้าต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ คิดจะให้ส่งคนไปสืบสวนครอบครัวฉู่จวินสิงที่อยู่ในเมืองอินเป่ยอีกสุดท้ายลูกคิดรางแก้วของเขาก็พังทลาย ซ้ำยังถูกฮ่องเต้ชั่วด่าใส่หน้าอีก!เจี่ยนอันอันยังคิดว่าเจี่ยนกั๋วกงถูกด่าเบาไปด้วยซ้ำ ฮ่องเต้ชั่วน่าจะลงโทษฐานสร้างความวุ่นวายใจแก่เบื้องบนอีกกระทงหนึ่งเพราะอย่างไรก็ล้วนมิใช่คนดีทั้งคู่ ตายคนหนึ่งแผ่นดินจะได้สูงขึ้นบ้างแต่เสียดายฮ่องเต้ชั่วกลับมิได้ทำเช่นนั้น ข้อนี้ทำให้เจี่ยนอันอันอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าและถอนหายใจ“หากตอนนี้ข้าเป็นฮ่องเต้ชั่วนั่น คงไม่ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่ต่อไปแน่”หลังจากเจี่ยนอันอันแอบแช่งชักหักกระดูกในใจ พลันนึกไปถึงนกแร้งสองตัวนั้นตอนที่นางกับฉู่จวินสิงสังหารอิ่นเจียงนั้น ก็เคยเห็นนกแร้งสองตัวนี้แต่ไม่คิดว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของฉู่ชางเหยียนที่อยู่ในวังหลวงคราวก่อนที่ๆ พวกมันปรากฏตัว คงถูกฉู่ชางเหยียนส่งให้ไปสังเกตความเค
ฉู่ชางเหยียนหันมาทางเจี่ยนกั๋วกงต่อ น้ำเสียงเย็นชา “ท่านบอกว่าฉู่จวินสิงยังไม่ตาย แล้วนี่จะอธิบายอย่างไร?”เจี่ยนกั๋วกงรู้ดีว่า ฉู่ชางเหยียนได้เลี้ยงนกแร้งไว้สองตัวเมื่อครู่ขณะเห็นนก เขายังนึกว่าพวกมันคงหิวในเวลาค่ำคืน จึงออกมาหากินที่ไหนได้ แท้จริงแล้วพวกมันถูกฉู่ชางเหยียนส่งไปเมืองอินเป่ยต่างหากแม้แต่นกแร้งสองตัวนี้ยังยืนยันว่าครอบครัวฉู่จวินสิงได้เสียชีวิต แล้วเขาก็ไม่มีหลักฐานที่จะพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตนเองจึงหวาดกลัวจนรู้สึกขนหัวลุกชัน พร้อมรีบคุกเข่าลง“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเพียงสงสัยว่าฉู่จวินสิงและครอบครัวยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยัน ขอฝ่าบาททรงอภัยด้วย”ฉู่ชางเหยียนทำเสียงฮึในลำคอ พลางตะโกนไปยังด้านนอก “ใครก็ได้!”ไม่นานจึงมีองครักษ์ผู้หนึ่งเข้ามา“ไปตามอิ่นเจียงมาพบข้า ข้าจะถามเขาให้รู้”องครักษ์รับบัญชา พร้อมรีบถอยออกไปเจี่ยนกั๋วกงยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม ในใจไม่สู้สบายนักถ้าอิ่นเจียงมาถึง พร้อมกล่าวยืนยันอีกครั้งว่าตนได้สังหารฉู่จวินสิงและครอบครัวไปแล้วจริงๆแล้วเขาจะทำอย่างไรให้ฮ่องเต้ทรงเชื่อในคำสันนิษฐานของเขาได้?ซ้ำยังมีความรู้สึกว่า เรื่องนี้อ
เขารู้ว่าขุนนางกลุ่มนี้มิได้เห็นตนถูกปลดเป็นสามัญชน ซ้ำยังถูกเนรเทศไปอยู่เมืองอินเป่ย จนเลือกที่จะสวามิภักดิ์ต่อฉู่ชางเหยียนแต่กลับวางแผนเงียบๆ ว่าจะล้างมลทินให้ตนได้อย่างไร เพื่อให้กลับมาเมืองจิงโจวอีกครั้ง ครองตำแหน่งเยียนอ๋องตามเดิมฉู่จวินสิงรู้สึกปลื้มใจยิ่ง เขาคิดว่าตนดูคนไม่ผิด ขุนนางเหล่านี้มีความภักดีที่จะอยู่กับเขาอย่างจริงใจเพียงแต่ฐานะเขาตอนนี้ยังไม่เหมาะจะเผยตัว จึงมิได้ปรากฏตัวให้เหล่าขุนนางได้เห็นฉู่จวินสิงด้านหนึ่งเป็นห่วงเจี่ยนอันอัน อีกด้านก็นึกถึงอนาคตว่าจะบุกเข้าเมืองจิงโจวได้อย่างไรและขุนนางเหล่านั้นต่างก็มีกำลังทหารอยู่ในมือรอจนเขากลับไปจิงโจวเมื่อใด จะเป็นเวลาที่จะได้ชิงอำนาจกลับคืนมาอีกครั้ง......เจี่ยนอันอันมองดูยาในหม้อที่ต้มเสร็จแล้ว จึงรินเอาน้ำออกมา ส่วนกากยาถูกเททิ้งไปยาสองชามนี้เพียงพอที่จะขจัดพิษในตัวซางหมิงได้หมดนางนำยาไปเก็บไว้ในห้วงมิติ รอเพียงพรุ่งนี้เช้าซางหมิงตื่นมา ก็จะให้เขาดื่มเจี่ยนอันอันกลับเข้าห้องนอน พร้อมนำแว่นตาล่องหนออกมาใส่ไม่นานจึงมองเห็นฉู่ชางเหยียนนั่งอยู่ในห้องทรงอักษรและในห้องนั้นไม่เพียงมีฉู่ชางเหยียนกับมหา
เป็นครั้งแรกที่ฮวาหลานเอ๋อร์ได้เห็นโจ๊กแปดสมบัติ นางมองดูกระป๋องนั้นด้วยความแปลกใจ ไม่รู้ว่าควรจะเปิดอย่างไรดีเจี่ยนอันอันตบหน้าผากตนเอง พลันฝากระป๋องจึงเปิดออกง่ายดาย นำช้อนที่อยู่ข้างในกางออกเรียบร้อย พร้อมส่งให้ฮวาหลานเอ๋อร์“นี่ก็คือโจ๊กแปดสมบัติ รสชาติหอมหวาน แม้จะเย็นชืดไปบ้าง แต่กินไม่ยาก”เจี่ยนอันอันกล่าวพลาง ยื่นโจ๊กให้แก่ฮวาหลานเอ๋อร์ฮวาหลานเอ๋อร์ได้กลิ่นหอมของโจ๊กมาเตะจมูก จึงรีบตักเข้าปากเร็วพลันรสชาติหอมหวานและเนียนนุ่ม อบอวลอยู่ในปากนางทันที“พี่เจี่ยน โจ๊กแปดสมบัตินี้ช่างอร่อยจริง”ฮวาหลานเอ๋อร์กล่าวพลาง รีบอ้าปากกินแล้วกินอีกไม่นานโจ๊กแปดสมบัติทั้งกระป๋องก็ถูกนางกินหมดเกลี้ยงนางมิได้ถามเจี่ยนอันอันเอาโจ๊กชนิดนี้มาจากที่ใด คิดแต่ว่าเจี่ยนอันอันคงจะทำเอง“อิ่มแล้วก็กลับไปพักผ่อนเสีย ข้าอยู่ทางนี้ยังต้องต้มยาอีกสักพัก”เจี่ยนอันอันไม่ต้องการให้ฮวาหวานเอ๋อร์มาอยู่ข้างกาย เพราะเป็นเด็กอายุยังน้อย ต้องการการพักผ่อนอย่างเต็มที่ฮวาหลานเอ๋อร์ยิ้มให้เจี่ยนอันอันอย่างมีความสุข พลางยืนขึ้นแล้วกระโดดโลดเต้นเดินจากไปเจี่ยนอันอันอยู่ในครัวต้มยาต่อไปอีก จากนั้นจึงร
แน่นอนว่าซางหมิงไม่เชื่อคำพูดของเจี่ยนอันอันเพราะสมัยก่อนกู้มั่วหลีได้วางยาพิษในร่างของเขาไม่น้อย แต่กลับไม่ต้องการให้เขาถูกพิษจนเสียชีวิตทุกครั้งที่เห็นเขาทุกข์ทรมานด้วยยาพิษ มักบอกว่าพิษนั้นยังไม่เพียงพอกู้มั่วหลีคล้ายคนเสียสติ แทนที่จะใช้ร่างกายเขาหาวิธีถอนพิษ กลับใช้เป็นที่ลองยามากขึ้นอีกซึ่งทำให้ซางหมิงถูกทรมานไม่หยุดหย่อนบัดนี้เจี่ยนอันอันกลับบอกว่าพิษในตัวเขาสามารถถอนได้ เพียงแค่ลมปากลอยๆ เขาย่อมไม่เชื่อแน่นอนแม้ว่านางจะมีความกล้าเหนือผู้อื่น ถึงขั้นติดตามฉู่จวินสิงกลับมาเมืองจิงโจวอีกครั้งแต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่า นางจะสามารถขจัดพิษในร่างกายของเขาได้อีกทั้งเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ว่าพระชายาเยียนอ๋องรู้วิชาแพทย์ด้วย“ข้าว่าพระชายาเชิญกลับไปเสียดีกว่า ข้าต้องการพักผ่อน” ซางหมิงกล่าวพร้อมกับเอนกายลง “ก่อนออกไปอย่าลืมเป่าเทียนให้ดับด้วย”เจี่ยนอันอันเบะปากเล็กน้อย ถ้าตอนนี้เป็นผู้อื่น นางไม่สนใจนานแล้วแต่หลายวันนี้ซางหมิงสอนให้นางได้เรียนรู้หลายอย่าง จึงไม่อยากจากไปง่ายๆ เช่นนี้เจี่ยนอันอันกล่าวตอบเสียงเบา “ถ้าเช่นนั้นท่านพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ข้าจะถอนพิษในตัวให้”เจ
ซางหมิงได้ยินดังนี้กลับทำเสียงฮึในลำคอ สองมือกำเป็นหมัดแน่น“หากข้าเป็นพี่น้องกับกู้มั่วหลีจริง คนแรกที่จะเอาชีวิตก็คือมัน!”เจี่ยนอันอันขมวดคิ้วมุ่น เห็นทีซางหมิงก็น่าจะรู้จักกู้มั่วหลีเช่นกันและระหว่างเขากับกู้มั่วหลี ก็น่าจะมีเรื่องบาดหมางด้วยแต่ถ้าเขาไม่ใช่กู้มั่วหลี ก็อาจพูดง่ายขึ้นสักหน่อยซางหมิงเห็นเจี่ยนอันอันยังคงยืนเฉยอยู่ที่เดิม จึงกล่าวด้วยสีหน้าบึ้งตึง “ยังไม่รีบไปอีก จะให้ข้าเฉดหัวเจ้าหรืออย่างไร?”เจี่ยนอันอันแม้จะรู้สึกขัดแย้งในใจ แต่นางยังไม่ต้องการไปจากที่นี่เร็วนักจึงรีบร้อนกล่าวอธิบาย “ท่านผู้วิเศษซาง ที่ข้าพบว่าท่านผ่านการแปลงโฉมมา ก็ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ต้องการดูใบหน้าที่แท้จริงของท่าน”“แต่มิคาดฝันว่าท่านจะมีใบหน้าคล้ายคลึงกับศัตรูของข้ากู้มั่วหลี่ถึงเพียงนี้”“เมื่อครู่ที่ล่วงเกินไป ต้องขออภัยด้วย”เจี่ยนอันอันกล่าวพลางโค้งคำนับให้แก่ซางหมิงซางหมิงจึงเพิ่งเข้าใจว่าที่แท้เจี่ยนอันอันก็เหมือนเขา มีความแค้นกับกู้มั่วหลีเขากล่าวพร้อมกัดฟันกรอด “เจ้ากู้มั่วหลียังมีชีวิตอยู่ สวรรค์ช่างลำเอียงโดยแท้!”เมื่อเจี่ยงอันอันเห็นซางหมิงโกรธแค้นต่อกู้มั่ว
เจี่ยนอันอันจึงเพิ่งเข้าใจ มิน่าฮวาหลานเอ๋อร์ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเช่นนี้ ซางหมิงก็หาได้โกรธเคืองสักนิดไม่ที่แท้ก็เพราะเป็นบุตรของสหายรักนี่เองทั้งคู่หลังจากกินข้าวเสร็จ ฮวาหลานเอ๋อร์จึงนำจานชามและตะเกียบไปล้างในห้องครัวแม้ปกตินางจะชอบตีฝีปากกับซางหมิง แต่เวลาทำงานกลับไม่เคยเกียจคร้านแม้แต่น้อยวันนี้หากไม่เพราะนางไปห้องปลดทุกข์กะทันหัน ก็คงไม่ทำให้ห้องครัวเกิดไฟลุกรุนแรงเช่นนั้นสองวันนี้เจี่ยนอันอันพักอยู่บ้านซางหมิง กลางวันนางอยู่กับเขาคอยเรียนรู้วิธีทำหน้ากากและวิชาการแปลงโฉมส่วนกลางคืนถูกจัดให้พักผ่อนอยู่ในห้องเดี่ยวห้องหนึ่งอาหารวันละสามมื้อ นางเป็นคนรับผิดชอบทั้งสิ้นฮวาหลานเอ๋อร์รู้ว่าเจี่ยนอันอันเป็นสตรี จึงเรียกนางว่าพี่สาวนางมักชมเชยเจี่ยนอันอันว่าทำอาหารได้รสชาติดี ผลงานที่ออกมาอร่อยกว่าอาจารย์อุปโลกน์ของนางมากนักเพียงไม่นานเจี่ยนอันอันก็พอเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน แต่นางรู้สึกว่าความรู้นางยังตื้นเขินนักเพื่อให้รู้ถึงแก่นแท้ของวิชาแปลงโฉมโดยเร็ว นางจึงไม่รีบร้อนไปตามหาฉู่จวินสิงและจากการอยู่ร่วมมาหลายวัน ทำให้เจี่ยนอันอันจับสังเกตได้ว่า ซางหมิงก็น่าจะผ่านการแปลง
ซางหมิงกำลังผลิตหน้ากากอีกอันอยู่ เมื่อได้ยินว่าอาหารทำเสร็จแล้ว จึงรีบทิ้งหน้ากากแล้วเดินออกจากห้องมาพร้อมแผดเสียงดังลั่น “หลานเอ๋อร์ ไปยกอาหารมาเร็ว”เพียงไม่นาน ฮวาหลานเอ๋อร์จึงรีบวิ่งไปห้องครัว ยกอาหารไปห้องกินข้าวซางหมิงหาสนใจเจี่ยนอันอันไม่ มีแต่รีบก้าวเท้าไปทางห้องกินข้าวเจี่ยนอันอันรีบตามไปเช่นกัน เมื่อทั้งคู่มาถึงห้องกินข้าว จึงเห็นฮวาหลานเอ๋อร์ได้จัดวางอาหารบนโต๊ะแล้วนางยังถือตะเกียบคีบเนื้อชิ้นหนึ่งส่งเข้าปากเรียบร้อย“อาจารย์ อาหารเหล่านี้ท่านเป็นคนทำหรือ? เหตุใดจึงต่างจากของจืดชืดที่ข้าเคยกินมาตลอด?”ซางหมิงแอบเคาะกะโหลกฮวาหลานเอ๋อร์เบาๆ ไปหนึ่งที“เหอะ นังเด็กจอมแสบ เจ้ากินอาหารที่ข้าทำมาปีกว่า ไม่เคยได้ยินว่าเจ้าจะติเช่นนี้”“วันนี้พอข้าไม่ได้แสดงฝีมือเอง เจ้ากลับมาติโน่นตินี่กระนั้นรึ?”ฮวาหลานเอ๋อร์เอามือลูบศีรษะ พลางเบ้ปากทำเสียงฮึดฮัด “อาจารย์ มือท่านหนักมากเลย”“เกิดทุบตีข้าจนปัญญาอ่อนแล้วจะทำอย่างไร ต่อไปใครจะเรียกท่านว่าอาจารย์อีก”ซางหมิงนั่งข้างฮวาหลานเอ๋อร์ พลางกล่าวยิ้มๆ “อาจารย์นวดให้เจ้าจะได้หายเจ็บนะ”ซางหมิงกล่าวพลาง ยื่นมือจะไปนวดศีรษะให้