เจี่ยนอันอันนั่งลง ไม่รู้ว่าฟางอิ๋งท้ายที่สุดแล้วอยากจะพูดอะไรกับนางฟางอิ๋งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “อันอันคิดดีแล้วหรือที่จะแต่งงานกับจวินสิง?”ในที่สุดเจี่ยนอันอันก็เข้าใจแล้ว ที่แท้ทุกคนกำลังพูดคุยกันเรื่องที่พวกนางกำลังจะแต่งงานกันอยู่ในลานเรือนนางพยักหน้าอย่างเขินอาย “คิดดีแล้วเจ้าค่ะ”ฟางอิ๋งดึงมือของเจี่ยนอันอันมา อย่างรู้สึกตื่นเต้น“อันอันเป็นคนจิตใจดีมาก ไม่เพียงแต่ไม่รังเกียจที่ครอบครัวเราตอนนี้เปลี่ยนมาตกต่ำยากจน แล้วยังช่วยกำจัดพิษในร่างกายของข้าอีก”“ข้าที่เป็นพี่สะใภ้ใหญ่ เดิมทีควรจะมอบเครื่องประดับอะไรให้เจ้าเพื่อเป็นสินสอดของเจ้า”“ทว่าเมื่อออกมาจากจวนเยียนอ๋อง พวกเราไม่ได้นำอะไรติดตัวออกมาด้วย ข้าช่างรู้สึกละอายใจจริงๆ”ฟางอิ๋งพูดก็รู้สึกละอายใจ น้ำตาก็ไหลคลอขึ้นมาเจี่ยนอันอันเมื่อเห็น ก็รีบพูดปลอบโยนออกมา “พี่สะใภ้ใหญ่อย่าพูดคำพูดเห็นเป็นคนนอกเช่นนี้”“เรื่องสินสอดข้ามีวิธีการ ท่านเพียงแต่รอดื่มเหล้ามงคลก็พอ”ในตอนที่ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่นั้น ฉู่จวินหลุนก็บังคับรถเข็นเข้ามาเขามายังเบื้องหน้าของทั้งสองคน สายตาจ้องมองไปยังเจี่ยนอันอันอย่างลึกซึ้งเจี่ยนอัน
“จวินสิงเคยพูดว่าเขาเคยมอบถุงเฉียนคุนที่สามารถใส่ทุกอย่างได้ให้กับเจ้า”“บนโลกนี้มีของล้ำค่าเช่นนี้อยู่จริงอย่างนั้นหรือ?”“และต่อให้มี เกรงว่าก็คงไม่มีทางที่จะมอบถุงเฉียนคุนนี้ให้กับเจ้าก่อนหรอกกระมัง”เจี่ยนอันอันตกตะลึงไปอย่างสิ้นเชิงนางไม่คิดเลยว่า ฉู่จวินหลุนจะไม่เชื่อในเรื่องของถุงเฉียนคุนมาโดยตลอดนางคิดว่าเรื่องนี้สามารถหลอกทุกคนได้แล้วเพราะอย่างไรแล้วในตอนนั้นฉู่จวินหลุนเองก็ไม่เคยตั้งคำถามมาก่อนเมื่อเห็นว่าเจี่ยนอันอันตกตะลึงไปฉู่จวินหลุนก็พูดออกมาต่อว่า “จากที่ข้าเข้าใจจวินสิงแล้ว เขาไม่ชอบเข้าใกล้ผู้หญิงมาก่อน”“แม้แต่งานแต่งงานนี้ก็เป็นฮ่องแต้ที่ประทานงานอภิเษกนี้ให้ ในตอนนั้นหลังจากที่ฉู่จวินสิงรู้เรื่องนี้แล้วเขาก็คัดค้านอย่างรุนแรง”“แล้วเขาจะไปพบกับเจ้าก่อนแต่งงานได้อย่างไรกัน?”เจี่ยนอันอันถูกคำพูดนี้ทำจนพูดไม่ออกในใจนางลอบคิดว่า ไม่มีเรื่องอะไรที่จะปิดบังฉู่จวินหลุนได้จริงๆและก็เป็นในตอนนี้ที่ฉู่จวินสิงเดินเข้ามาเขาลอบฟังคำพูดของฉู่จวินหลุนอยู่ด้านนอกประตูแล้วในใจรู้ว่าเจี่ยนอันอันตอนนี้จะต้องลำบากเป็นอย่างมากฉู่จวินสิงดึงมือของเจี่ยนอันอันมา ส
ฉู่จวินหลุนมองไปยังทั้งสองคนที่ประตู คิ้วที่ขมวดขึ้นเล็กน้อยของเขาก็ค่อยๆ คลายลงถึงแม้ว่าเจี่ยนอันอันจะไม่ใช่คนจากโลกใบนี้ แต่นางก็ไม่เคยทำเรื่องที่ทำร้ายครอบครัวของเขามาก่อนนอกจากนี้แล้วทั้งสองคนในตอนนี้ก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อีกสองวันก็จะกราบไหว้ฟ้าดินแต่งงานกันแล้วและด้วยฉู่จวินสิงที่ไม่เคยเข้าใกล้ผู้หญิงมาก่อน ยังรักใคร่เจี่ยนอันอันได้เช่นนี้นั่นก็แสดงว่าเจี่ยนอันอันเป็นคนที่น่าเชื่อถือได้เมื่อคิดมาจนถึงจุดนี้ ในที่สุดฉู่จวินหลุนก็พุดออกมา “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าก็ยอมรับเจ้าเป็นน้องสะใภ้แล้ว”ในใจของเจี่ยนอันอันยินดีขึ้นมา เช่นนี้ก็หมายความว่าฉู่จวินหลุนยอมรับตัวตนของนางแล้วนางเผยยิ้มยิงฟันให้ฉู่จวินหลุน “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ยอมรับข้า”ฉู่จวินหลุนพยักหน้า แล้วถามออกมาอีก “เรื่องนี้ยังมีใครที่รู้อีกบ้าง?”เจี่ยนอันอันคิดก็ยังไม่ทันได้คิด ก็หลุดพูดออกมา “ยังมีฉู่อันเจ๋อที่รู้เรื่องนี้”ฉู่จวินหลุนเข้าใจขึ้นมาทันที ไม่น่าแปลกที่เมื่อวันนั้นที่ซ่างชิวทำประตูเรือนเสร็จแล้วนั้น ฉู่อันเจ๋อถึงได้ช่วยพวกเขาโกหกปิดบังที่แท้ก็เป็นเพราะว่าในตอนนั้นเขาก็รู้เรื่องแล้วและก็เ
ทั้งสองคนเดินออกมาจากห้องครัว เดินก้าวใหญ่มุ่งไปยังห้องของฉู่จื่อซีเหล่าสาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นว่าร่างของทั้งสองคนไม่แยกห่างกันเลยพวกนางต่างก็พากับปิดปากลอบยิ้มออกมาพวกนางยังไม่เคยพบฉู่จวินสิงที่ชอบแนบชิดกับใครสักคนมาก่อนเลยจริงๆหลังจากที่ฉู่จื่อซีดื่มยาไปแล้ว เจี่ยนอันอันก็มอบลูกกวาดให้เขาเม็ดหนึ่งหลังจากที่ฉู่จื่อซีกินลูกกวาดไปแล้ว เขาก็ยิ้มให้เจี่ยนอันอันอย่างอ่อนหวานในใจของเจี่ยนอันอันรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยหากไม่ใช่เพราะว่าสองวันมานี้ทำการรักษาล่าช้าไป เกรงว่าตอนนี้ฉู่จื่อซีก็คงจะพูดได้นานแล้วเด็กคนนี้อายุยังน้อยๆ ยังต้องดื่มยาขมอีกสามวันเจี่ยนอันอันพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด “สองวันมานี้ต้องโทษข้าที่วุ่นวายอยู่กับเรื่องอื่น ทำให้ปรุงยาให้จื่อซีล่าช้าไป”“แล้วยังทำให้จื่อซีต้องทนทรมานดื่มยาขมๆ อีกสามวัน พิษในร่างกายของเขาถึงจะถูกกำจัดออกไปจนหมด”ฟางอิ๋งเมื่อได้ยินคำนี้แล้ว ก็รีบพูดปลอบโยนออกมา “อันอันอย่าพูดเช่นนี้ ขอเพียงแค่สามารถทำให้จื่อซีพูดออกมาได้”“อย่าได้พูดถึงว่าจะดื่มยาขมๆ อีกสามวัน ต่อให้จะต้องดื่มอีกสามปีพวกเราก็รอได้”เจี่ยนอันอันยิ้มให้ฟาง
ทั้งสองคนเดินออกไป ก็มองเห็นเหล่าชาวบ้านที่กำลังเดินมุ่งตรงไปยังบ้านของจางต้าซ่างชิวและซ่างตงเยว่เองก็ได้รับแจ้งจากท่านปู่เฉินเรื่องการแจกจ่ายอาหารแล้วในมือของทั้งสองคนเองก็ถือถุงผ้าไปเช่นกันเหล่าชาวบ้านเมื่อเห็นว่าเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงออกมา พวกเขาต่างก็หยุดฝีเท้าลงพวกเขาเห็นในมือของทั้งสองคน ไม่ได้หยิบอะไรออกมาเลยในเมื่อจะแจกจ่ายอาหาร ทำไมพวกเขาไม่นำถุงผ้าออกมากัน?เจี่ยนอันอันพูดกับชาวบ้าน “พวกเจ้าอย่ามัวแต่ยืนนิ่งอึ้งกัน อาหารจะถูกแจกจ่ายหมดแล้ว”เหล่าชาวบ้านถึงได้สติขึ้นมา ต่างก็รีบทยอยเดินไปยังบ้านของจางต้าเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงมายังด้านหน้าประตูบ้านของจางต้า ก็พบว่าในลานบ้านนั้นมีชาวบ้านยืนอยู่เต็มแล้วลานบ้านของจางต้านั้น ยังใหญ่โตกว่าลานบ้านที่เจี่ยนอันอันพักอยู่กว่าเท่าตัวในตอนที่ทั้งสองคนเดินไปนั้น ชาวบ้านก็พากันหลบออกเป็นทางเดินเล็กๆ ขึ้นเองโดยที่ไม่รู้ตัวหัวหน้าหมู่บ้านท่านปู่เฉินเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนมา ใบหน้าก็เผยรอยยิ้มขึ้นมาทันทีเขาร้องตะโกนกับชาวบ้านขึ้นว่า “เรื่องการแจกจ่ายอาหาร จะต้องขอบคุณแม่นางที่จิตใจดีท่านนี้ เป็นนางที่ให้ข้าแจกจ่ายอาหา
เจี่ยนอันอันยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ท่านปู่เฉินไม่จำต้องเป็นกังวลไป นี่เป็นสิ่งที่ท่านสมควรได้รับแล้ว รีบรับไปเถอะ”ท่านปู่เฉินมองยังเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิง ที่ไม่ได้รับแจกจ่ายอาหารเขาก็พูดออกมาอย่างสงสัย “พวกท่านทั้งสองไม่ต้องการอย่างนั้นหรือ?”เจี่ยนอันอันเมื่อเห็นว่าท่านปู่เฉินยังคงจดจำถึงพวกเขา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็กว้างยิ่งขึ้น“บ้านพวกเรามีอาหารอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมาแบ่งกับทุกคน”ชาวบ้านไม่กี่คนที่ยังไม่กลับไปนั้น ต่างก็พากันมองสบตากันพวกเขายังคิดว่าเจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงเองก็เพื่อรับแจกจ่ายอาหารทว่าเขากลับไม่ต้องการข้าวแม้แต่เมล็ดเดียวชาวบ้านทั้งหลายรีบเปลี่ยนความคิดไม่ดีเดิมๆ ที่มีกับทั้งสองทันทีพวกเขาไม่ได้มีความเป็นศัตรูกับทั้งสองอีก แต่เปลี่ยนเป็นชื่นชมพวกเขาจากก้นบึ้งหัวใจทันทีชาวบ้านทั้งหลายต่างก็เกลี้ยกล่อมท่านปู่เฉิน ให้เขาแบกอาหารถุงนั้นกลับบ้านไปท่านปู่เฉินเมื่อเห็นว่าชาวบ้านทั้งหลายต่างก็พูดออกมาเช่นนี้ เขาเองก็ไม่เกรงใจอีกต่อไปแล้วทุกคนพากันเดินออกมาจากบ้านของจางต้า ประตูเรือนเองก็ถูกคนปิดเอาไว้เจี่ยนอันอันและฉู่จวินสิงไปยังบ้านของ
บวกกับที่ดินของซ่างชิว ยังมีผงปูนขาวอยู่จำนวนมากเจี่ยนอันอันรู้สึกว่าที่ดินของซ่างชิวเองก็จำต้องได้รับการขุดพลิกดินอีกครั้งถึงจะใช้ได้มิฉะนั้นแล้วภายหน้าเขาก็ยังไม่อาจเพาะปลูกอาหารขึ้นมาได้อย่างไรก็ตามการขุดพลิกดินจะต้องใช้แรงคนและจอบนางสามารถให้คนรับใช้มาขุดพลิกดินได้ เพียงแต่จอบนั้นนางจะต้องซื้อมันมาจากร้านค้าหากว่าจู่ๆ ก็มีจอบโผล่ขึ้นมา จะต้องทำให้พวกเขาสงสัยเป็นแน่และก็เป็นในตอนนี้ ที่ชาวบ้านวัยหนุ่มที่ช่วยปูอิฐหินเหล่านั้นเดินเข้ามาพวกเขาเมื่อเห็นว่าเจี่ยนอันอันยืนอยู่ตรงที่ดินของบ้านซ่างชิว ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจพวกเขาก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าที่ดินของซ่างชิวถูกครอบครัวของจางต้าฝังปูนขาวเอาไว้มีชาวบ้านวัยเยาว์คนหนึ่งแนะนำออกมา “พวกเรามาช่วยซ่างชิวขุดพลิกดิน เอาปูนขาวทั้งหมดที่อยู่ในนั้นออกมาเถอะ”คนอื่นๆ ก็รีบส่งเสียงตอบรับทันทีซ่างชิวเห็นว่าชาวบ้านพากันช่วยเหลือเขาอย่างขันแข็งเช่นนี้ ในใจก็อบอุ่นขึ้นมาเขาพูดกับชาวบ้านทั้งหลาย “ขอบคุณทุกคนมากที่ช่วยเหลือ เพียงแต่ข้าไม่มีเงินจำนวนมากพอที่จะแบ่งให้พวกเจ้า”ซ่างชิวพูดออกมาพร้อมกับมองไปยังเงินสิบตำลึงนั้นในม
เมื่อกินอาหารเที่ยงแล้ว เจี่ยนอันอันก็ไปปรุงยาให้ฉู่จื่อซีหลังจากที่ฉู่จื่อซีดื่มยาขมไปแล้ว ใบหน้าเล็กก็ย่นจนกลายเป็นลูกบอลเจี่ยนอันอันหยิบอมยิ้มให้ฉู่จื่อซี ก่อนจะบอกว่าที่เป็นไม้ๆ นั้นไม่อาจกินเข้าไปได้ฉู่จื่อซีถืออมยิ้มเอาไว้ ในตอนที่เจี่ยนอันอันพูดออกมานั้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นมาเขาได้ยินเสียงของเจี่ยนอันอันพูดอย่างไม่ชัดเจน ถึงแม้ว่าเสียงจะเบา แต่ก็ยังลอยดังเข้ามาในหูเขาฉู่จื่อซีอ้าปาก ลองให้ตัวเองส่งเสียงออกมาทว่าเขาก็ผิดหวังอย่างรวดเร็วปากของเขายังคงไม่อาจส่งเสียงใดออกมาได้เจี่ยนอันอันมองเห็นความแปลกประหลาดของฉู่จื่อซี นางคุกเข่าลงถามขึ้น “จื่อซีได้ยินเสียงของข้าแล้วใช่หรือไม่?”ฉู่จื่อซีตั้งใจเงี่ยหูฟังท่ามกลางความไม่ชัดเจน เสียงไพเราะเสียงหนึ่งลอยเข้ามาในหูของเขาเขาพยักหน้าอย่างแรง ก่อนจะชี้ไปที่ลำคอของตนเอง แล้วโบกไม้โบกมือเจี่ยนอันอันยิ้มแล้วลูบหัวเล็กๆ ของฉู่จื่อซี“จื่อซีไม่ต้องกังวลไป ตอนนี้เจ้าสามารถได้ยินเสียงแล้ว ก็หมายความว่าอาการป่วยของเจ้าดีขึ้นกว่าครึ่งแล้ว”“ดื่มยาขมไปอีกสองวัน เจ้าก็สามารถพูดได้แล้ว”ฉู่จื่อซีเอียงใบหูฟังเสียงของเจ
เจี่ยนอันอันไม่อยากเสียเวลาอีกแล้วจึงก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอกคนทั้งสี่ขึ้นไปนั่งบนรถม้าแล้วตรงไปยังจวนผู้ว่าการมณฑลจงโจวจวนผู้ว่าการมณฑลจงโจวไม่ได้อยู่ในอำเภอไถหยาง แต่อยู่ในเมืองหลักระหว่างทางพวกเจี่ยนอันอันรู้สึกหิว แต่ตอนนี้พวกนางไม่มีกะจิตกะใจจะไปกินข้าวในร้านอาหารเลยสักนิดเจี่ยนอันอันซื้อขนมปังกับน้ำจากร้านค้าในมิติแล้วแจกจ่ายให้พวกฉู่จวินสิงสามคนพวกเขาไม่เคยเห็นขนมปังมาก่อน ต่างมองห่อขนมปังอย่างอึ้งงัน ไม่รู้ว่าควรกินอย่างไรเจี่ยนอันอันบอกพวกเขาว่าต้องฉีกซองออกเสียก่อนจึงจะสามารถกินอาหารที่อยู่ข้างในได้คนทั้งสามฉีกซองขนมปังโดยเลียนแบบท่าทางของเจี่ยนอันอันกลิ่นหอมของขนมปังลอยเข้าจมูก ประกอบกับคนทั้งสี่กำลังหิวจึงรีบกัดกินคำโตเซิ่งฟางกินพลางถามว่า “อันอัน นี่คืออะไรหรือ เหตุใดจึงนุ่มอร่อยเช่นนี้?”เจี่ยนอันอันดื่มน้ำคำหนึ่ง กลืนขนมปังในปากลงไป“นี่คือของว่างที่ข้าทำขึ้นมาในบ้าน ข้าตั้งชื่อให้มันว่าขนมปัง”“ที่ข้ายังมีอีกเยอะ พวกท่านกินให้เต็มที่”“ขนมปังค่อนข้างติดคอ พวกท่านกินน้ำตามไปด้วย”ฉู่จวินสิงเคยเห็นน้ำแร่มาก่อน เขารู้ว่าควรเปิดของสิ่งนี้อย่างไรเขาหมุน
ในปีนั้นตอนที่เกิดการสังหารหมู่ขึ้น คนในครอบครัวของจงซิ่นเองก็ไม่รอดลูกชายลูกสะใภ้ของเขา ล้วนแต่ตายในน้ำมือของศัตรูจงซิ่นเพื่อที่จะแก้แค้นให้คนในครอบครัว ก็โวยวายที่จะไปฆ่าคนในราชวงศ์ในตอนนั้นเวินอี๋พยายามห้ามเอาไว้อย่างเต็มที่ แล้วยังบอกเขาว่าด้านนอกนั้นวุ่นวายเป็นอย่างมากถึงแม้ว่าเขาจะมีแรงพละกำลังเต็มที่ ทว่าเพียงแค่สองหมัดยากจะเอาชนะสี่มือได้เขาอยากจะแก้แค้นก็ไม่ควรจะรีบร้อนในตอนนี้รอจนเมื่อดึกสงัดผู้คนเงียบสงบลง ค่อยไปแก้แค้นก็ยังไม่สายทว่าจงซิ่นในตอนนั้นถูกความแค้นท่วมท้นทำให้ตาบอดไป เขายืนกรานจะไปแก้แค้นคนที่สังหารครอบครัวเขาจงซิ่นไม่ได้ฟังคำเกลี้ยกล่อมของเวินอี๋ หยิบมีดเล่นยาวแล้วเดินออกไปเวินอี๋กังวลในความปลอดภัยของจงซิ่น แต่ก็ไม่อยากทิ้งจงหลานเอาไว้ที่บ้านเพียงลำพัง พ่อแม่ของจงหลานเพื่อที่จะปกป้องนางแล้ว ถึงได้ตายไปภายใต้คมมีดของศัตรูหากว่านางถูกฆ่า เกรงว่าจงซิ่นคงไม่อาจใช้ชีวิตได้อย่างปกติไปตลอดเพื่อที่จะปกป้องจงหลาน เวินอี๋จึงรออยู่ที่บ้านรอจนเมื่อจงซิ่นกลับมาพร้อมกับบาดแผลทั่วร่างกาย ก็มองเห็นเวินอี๋นอนอยู่กลางลานบ้านแล้วจงหลานอายุสองขวบนั่งร้อ
และในตอนที่จงซิ่นกำลังสงสัยอยู่นั้น เซิ่งฟางก็เดินเข้ามาในตอนที่รู้ว่าจะไปบ้านของจงซิ่นเพื่อช่วยคน เซิ่งฟางเองก็ไม่ได้คัดค้านฉู่จวินสิงให้จงซิ่นขึ้นมานั่งบนรถม้า ไม่นานนักก็พากันเดินทางไปยังบ้านของจงซิ่นตลอดทาง จงซิ่นอดที่จะมองไปยังเจี่ยนอันอันเป็นระยะๆ ไม่ได้เขาพบว่าเจี่ยนอันอันเต็มไปด้วยความสงบนิ่ง เหมือนว่าจะมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ที่จะช่วยเวินอี๋เอาไว้ทว่าไม่ว่าเขาจะมองอย่างไรก็รู้สึกว่าเจี่ยนอันอันอายุยังน้อย ไม่เหมือนกับคนที่มีทักษะทางการแพทย์เจี่ยนอันอันรู้ว่าจงซิ่นกำลังสงสัยในความสามารถขอองตน แต่นางไม่ใส่ใจนางแน่ใจว่าจะรักษาร่างกายเวินอี๋ได้ระหว่างทางไปยังบ้านของจงซิ่น จงซิ่นก็ได้รู้ว่าเจี่ยนอันอันเป็นภรรยาของฉู่จวินสิงรถม้าไม่นานนักก็มาถึงประตูบ้านจงซิ่น จงซิ่นลงมาจากรถม้าก่อน เคาะประตูดังขึ้นประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว เด็กน้อยอายุราวเจ็ดแปดขวบคนหนึ่งโผล่หัวออกมาเมื่อนางเห็นว่าจงซิ่นกลับมาแล้ว ก็รีบเปิดประตูเรือนขึ้น“ท่านปู่ ท่านรีบไปดูเข้า ท่านลุงเวินไม่สบายอีกแล้ว”จงซิ่นได้ยินคำนี้เข้า ก็รีบเดินเข้าไปทว่าเขาเพิ่งจะเดินไปได้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ก็ค
จงซิ่นจ้องมองฉู่จวินสิงขึ้นๆ ลงๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น“ท่านคือเยียนอ๋องคนนั้นที่ถูกเนรเทศมายังเมืองอินเป่ยหรือ?”ฉู่จวินสิงเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจำตนเองได้ ก็พยักหน้าออกมา “เป็นข้าเอง”จงซิ่นที่เดิมขมวดคิ้วอยู่ก็ผ่อนคลายลงทันทีเขาเคยได้ยินเวินอี๋พูดออกมา เยียนอ๋องจากแคว้นไท่ยวนทั้งกล้าหาญและเก่งการสู้รบ ทำความดีความชอบให้แคว้นไท่ยวนมาไม่น้อย ส่วนวิชาลูกเตะทลายเมฆานั้น ก็เป็นเยียนอ๋องที่สร้างขึ้นมาจงซิ่นอยากจะพบกับเยียนอ๋องมานานแล้ว กลับไม่คิดเลยว่าจะมาพบกับเขาได้ที่นี่จงซิ่นรีบกำหมัดโค้งกายทำความเคารพฉู่จวินสิง“ข้าน้อยจงซิ่น คารวะเยียนอ๋อง”ฉู่จวินสิงรีบพูดขึ้น “มาตอนนี้ข้าไม่ใช่เยียนอ๋องอะไรนั่นอีกแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องทำความเคารพอะไรเช่นนี้อีก”จงซิ่นยืดตัวขึ้น ใบหน้าค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้มยินดีขึ้นมา“ข้าอยางจะพบกับเยียนอ๋องมานานแล้ว กลับไม่คิดเลยว่า จะมาพบกับท่านที่นี่ได้”จงซิ่นตื่นเต้นมากเช่นนี้ ทำให้ฉู่จวินสิงประหลาดใจเล็กน้อย“ผู้เฒ่าจงไปเรียนลูกเตะทลายเมฆามาจากที่ใดกัน?”วิชาเตะนี้เขาเคยสอนไปเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น และคนคนนั้นก็ตายไปในสนามรบเมื
จ้าวลิ่วกอดความทะเยอทะยานมายังเมืองหลวง แต่ก็พบว่าที่นี้หาเงินได้ไม่ง่ายเหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้เดิมทีเขาก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร ในตอนที่อยู่ที่บ้านก็ไม่เคยไปทำงานที่ทุ่งนาอะไรเลยหลังจากที่มาในเมืองแล้ว เขาถึงกับอึ้งตะลึงไปโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสันสวยงาม แตกต่างไปจากความสงบสุขของหมู่บ้านชิงสุ่ยอย่างสิ้นเชิงจ้าวลิ่วคลุกคลีอยู่ด้านนอกมาสองปี แต่กลับคลุกคลีจนกลายเป็นคนที่ไม่มีคุณธรรมหากว่าถูกครอบครัวจางต้าเห็นเข้า ไม่รู้ว่าจะดุด่าเขาว่าอย่างไรแต่ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงก็คือ หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขาจะรู้จักกับพี่ห้าของเขาได้ไม่นานจ้าวลิ่วก็โพล่งออกมา “ข้าไม่รู้จักจ้าวอู่”เขาเพิ่งจะพูดคำนี้ออกมาจบ ก็เสียใจเสียจนอยากจะกัดลิ้นของตนเองทิ้งเสียเมื่อครู่นี้เจี่ยนอันอันไม่ได้พูดถึงชื่อของจ้าวอู่ แต่ตอนนี้เหมือนว่าเขาจะสารภาพมันออกไปเองแล้วเจี่ยนอันอันกลอกตาไปมาให้จ้าวลิ่ว นางไม่ได้เปิดโปงเขา แต่พูดกับเซิ่งฟางออกมา“พี่เซิ่ง ท่านนำตัวเขากลับไปขังที่ว่าการอำเภอเสียก่อน”“รอจนเมื่อเรื่องของพวกเราจัดการกันเรียบร้อยแล้ว ข้าจะกลับมาสั่งสอนเขาให้ดีๆ”เซิ่งฟางพยักหน้า แล้วจ้อง
ผู้คนที่ผ่านไปมาจดจำเซิ่งฟางได้นานแล้ว แต่พวกเขาเพียงแต่ยืนอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครช่วยพูดให้จ้าวลิ่วถึงแม้ว่าพวกเขาจะยังโกรธแค้นอยู่ในใจเพราะเรื่องสังหารหมู่ในปีนั้นแต่พวกเขาก็ไม่ล่วงเกินเจ้าหน้าที่ทางการ ต่างก็พากันคอยเป็นผู้รับชมอยู่ด้านข้างจ้าวลิ่วเมื่อเห็นว่าไม่มีใครคอยช่วยพูดแทนเขา ก็โมโหเป็นอย่างมาก คิดที่จะดิ้นรนให้หลุดรอดออกมาจากมือของจงซิ่นทว่ามือของจงซิ่นที่จับเขาเอาไว้ก็ยิ่งออกแรงมากยิ่งขึ้นจ้าวลิ่วเจ็บเสียจนต้องกัดฟัน ทั่วทั้งกายอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขึ้นมาข้อมือของเขาแทบจะหัก ชายชราผู้นี้ทำไมถึงไม่ยอมปล่อยเขาไปเซิ่งฟางยกมือขึ้น แล้วเหวี่ยงไปยังใบหน้าอีกด้านหนึ่งของจ้าวลิ่วสองฝ่ามือนี้ ทำเสียจนใบหน้าของจ้าวลิ่วบวมจนกลายเป็นหมูมุมปากของจ้าวลิ่วมีเลือดไหลซึมออกมาผู้คนที่ผ่านไปมาคอยดูอยู่ด้านข้าง ก็ตกใจเสียจนต้องก้าวถอยหลังไปพวกเขาต่างก็ลอบยินดีที่ตนเองไม่ได้ปากมากช่วยพูดให้กับจ้าวลิ่วมิฉะนั้นแล้วฝ่ามือนี้ เกรงว่าคงจะตกลงบนใบหน้าของพวกเขาแทนจ้าวลิ่วถูกตบเสียจนวิงเวียนดวงตาพร่ามัว ในตอนนี้เขารู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้วจริงๆเขาควรจะหยิบเอาถุงเงินนั่น ไปร้านอาห
เมื่อเห็นว่ากีบม้ากำลังจะตกลงบนกายของขอทาน ท่ามกลางกลุ่มคนนั้นจู่ๆ ก็มีเสียงคนร้องดังขึ้น“จ้าวลิ่ว เจ้าบ้านี่ไม่ต้องการชีวิตแล้วอย่างนั้นหรือ!”คนนั้นเมื่อพูดจบ ก็รีบพุ่งเข้ามาเตะลงบนกายของจ้าวลิ่วจ้าวลิ่วที่เดิมทีผอมบางอ่อนแรง เมื่อถูกเตะเข้าก็กลิ้งไปริมถนนกีบม้าตกลงบนถนนอย่างแรง ม้าส่งเสียงร้องดังขึ้น หลังจากที่กีบม้าเหยียบลงบนพื้นอย่างแรงเพียงไม่กี่ครั้ง ถึงได้หยุดลง ในตอนที่เจี่ยนอันอันได้ยินคนผู้นั้นเรียกขอทานว่าจ้าวลิ่วนั้น ก็อดที่จะขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้นางจำที่จ้าวอู่พูดได้ว่า เขามีน้องหกอยู่คนหนึ่งเข้ามาในเมืองเมื่อสองปีก่อนเขาตามหาน้องหกคนนั้นมาสองปีกว่า ก็ตามหาไม่พบส่วนน้องหกคนนั้นของเขา ชื่อว่าจ้าวลิ่วเจี่ยนอันอันมองไปยังจ้าวลิ่วด้วยความสงสัย พบเพียงใบหน้าของเขาสกปรกอย่างมากไม่มีทางที่จะมองรูปลักษณ์เดิมได้ชัดเจนจ้าวลิ่วลุกขึ้นมา แล้วรีบไปยังเบื้องหน้าของคนที่เตะเขาอย่างไม่ยินยอม“ตาเฒ่านี่ เตะข้าทำอะไรกัน?”“เจ้ารู้หรือไม่ที่เจ้าเพิ่งจะทำไปเมื่อครู่นี้ มาทำลายเรื่องดีๆ ของข้าไปอย่างสิ้นเชิง”เจี่ยนอันอันมองไปยังคนที่เตะจ้าวลิ่ว ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นชา
“หวังว่าท่านจะรักษาคำพูด” เจี่ยนอันอันพูดจบ ก็โบกมือขึ้น “ท่านไปได้แล้ว เรื่องที่ท่านมายังที่ว่าการอำเภอ ห้ามบอกผู้อื่น”เจ้าเมืองตานรีบตอบรับออกมา เขาหันไปมองยังเซิ่งฟาง ก็พบว่าอีกฝ่ายพยักหน้าให้กับเขาหลังจากที่เจ้าเมืองตานโค้งคำนับให้กับทั้งสี่คนแล้ว ก็รีบเดินออกไปในตอนที่เขามายังที่ว่าการอำเภอนั้น ไม่ได้นั่งเกี้ยว และก็ไม่ได้สวมเครื่องแบบทางการมา เพียงแต่สวมเสื้อผ้าธรรมดาเท่านั้นเขาเองก็กลัวว่าตนเองจะสะดุดตาจนเกินไป แล้วถูกคนของผู้ว่ามณฑลจงโจวจดจำได้เข้าหลังจากที่เดินออกจากที่ว่าการอำเภอแล้วนั้น เจ้าเมืองตานก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังจวนของตนเองเขาก้มหน้าเดินอย่างเร่งรีบ จนชนเข้ากับคนผู้หนึ่งเจ้าเมืองตานเงยหน้าขึ้น ก็พบกับขอทานที่ทั่วทั้งเนื้อตัวสกปรกมอมแมม ถูกเขาชนจนล้มลงกับพื้นขอทานล้มลงร้อง “โอ๊ย” ออกมา ใบหน้าที่สกปรกนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเจ้าเมืองตานรีบร้อนกลับไปยังจวน จึงไม่ได้สนใจขอทานนั่น เขาส่งเสียงเย็นชา ก่อนจะรีบจากไปที่เขาไม่รู้ก็คือ ในตอนที่เขาชนเข้ากับขอทานเมื่อครู่นี้นั้น ถุงเงินตรงเอวของเขา ได้ตกไปอยู่ในมือของขอทานนั่นแล้วขอทานส่งเสียงร้องดัง “โอ๊ย”
สายตาของเจี่ยนอันอันจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของเจ้าเมืองตาน อย่างจะคิดมองหาท่าทีโกหกจากสีหน้าของเขาในตอนที่เจ้าเมืองพูดออกมานั้น สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม สายตาเผยให้เห็นความโกรธแค้นออกมาดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พูดโกหก สายตาของเจี่ยนอันอันดูเย็นชา จนทำให้ในใจของเจ้าเมืองตานที่มองดูเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาเขาไม่กล้าที่จะสบสายตากับเจี่ยนอันอัน จึงทำได้เพียงมองไปยังทิศทางอื่นเจี่ยนอันอันพูดออกมาอย่างเย็นชา “ท่านเพิ่งจะพูดออกมาว่า ท่านสนิทชิดเชื้อกันท่านผู้ว่ามณฑลจงโจว”“แล้วทำไมท่านยังจะนำเรื่องนี้มาบอกพวกเราอีก”“ท่านไม่กลัวหรือว่าคำที่ท่านพูดออกมาเหล่านี้ จะลอยเข้าหูผู้ว่ามณฑลจงโจวเข้า?”แน่นอกว่าเจ้าเมืองตานย่อมหวาดกลัว เพียงแต่ว่าเขาไม่อยากสมคบคิดกับคนชั่วอีกในตอนแรกที่เขามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ว่ามณฑลจงโจวนั้น ทั้งหมดก็เป็นเพียงเพราะว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นคนบ้านเกิดเดียวกัน เขาถือว่าผู้ว่ามณฑลเป็นคนสนิท ไม่ว่าเรื่องอะไรก็จะหารือกับอีกฝ่ายมาโดยตลอดเพียงแต่ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงนั้น ผู้ว่ามณฑลจงโจวจะเข้าร่วมสมคบคิดกับคนที่มาเพื่อทำการสังหารหมู่ในปีนั้นไม่เพียงแต่เท่านี้ เขาเพื่