เจี่ยนอันอันเมื่อเห็นว่าฟางอิ๋งมีท่าทีลังเล ก็ถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “พี่สะใภ้ใหญ่มีอะไรจะพูดอย่างนั้นหรือ?”ฟางอิ๋งเหลือบมองไปยังฉู่จวินหลุน แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “อันอัน ตระกูลในตอนนี้ล้วนแต่ต้องอาศัยเจ้าเพียงแค่คนเดียวคอยจัดการ ข้าที่เป็นพี่สะใภ้ใหญ่รู้สึกผิดจริงๆ”เจี่ยนอันอันโบกมืออย่างเร่งรีบ “ไม่เป็นไรเลย ข้าเองก็หวังว่าทุกคนจะสามารถอยู่ดีกินดีก็เท่านั้นเองเจ้าค่ะ”ฟางอิ๋งมองไปยังฉู่จื่อซีที่กำลังกินลูกกวาดอยู่ นางก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง“จื่อซีเด็กคนนี้ช่างมีชะตาที่น่าสงสารเสียจริง อายุยังน้องก็ต้องมาทนลำบากกับพวกเรา” “หากไม่ใช่เพราะว่ามีเจ้ารู้ว่าที่เขาเป็นเช่นนี้เพราะว่ามีพิษอยู่ในร่างกายแล้ว” “เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ของพวกเราก็คงจะต้องอยู่ในความมืดมิดไปตลอดชีวิต”เจี่ยนอันอันเข้าใจแล้ว ฟางอิ๋งกำลังจะพูดคำขอบคุณกับนางนางรีบพูดออกมา “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราตอนนี้เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว คำพูดที่เกรงใจกันเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงแล้ว” “นอกจากนี้ ข้าเองก็คงจะไม่ให้วันเวลาอันยากลำบากเช่นนี้ดำเนินต่อไปอีก ข้าจะต้องคิดหาวิธี ให้พวกท่านได้หวนกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้งหนึ่งแน่”
ฉู่จวินหลุนก้มลงมองสองขาของตนเองที่ไร้ความรู้สึกเขาไม่อยากให้เจี่ยนอันอันรักษา เพราะอย่างไรบาดแผลของเขาอยู่ที่กระดูกสันหลังช่วงล่างการจะให้หญิงสาวคนหนึ่งมารักษาให้เขานั้น เขาเอ่ยปากไม่ออกจริง ๆขณะที่เขากำลังจะปฏิเสธ กลับได้ยินเสียงร้องไห้ของฟางอิ๋งดังขึ้นฟางอิ๋งสะอื้นพลางเอ่ยขึ้นว่า “จวินหลุน หรือท่านคิดจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดชีวิตจริงหรือ ท่านไม่ปรารถนาว่าสักวันหนึ่งจะลุกขึ้นมายืนได้อีกเลยหรือ?”ฉู่จื่อซีที่กำลังกินลูกกวาดกระตายขาว พอเห็นฟางอิ๋งร้องไห้ขึ้นมาเขาก็รีบโยนลูกกวาดในมือทิ้ง แล้ววิ่งเข้ามาเช็ดน้ำตาให้ฟางอิ๋งใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาขมวดคิ้วตาม เหมือนจะร้องไห้ตามไปด้วยเจี่ยนอันอันพอฟังเข้าใจก็รู้ว่าขาของฉู่จวินหลุนยังมีโอกาสรักษาให้หายได้เพียงแต่ตลอดทางที่ผ่านมา ไม่มีใครกล่าวถึงเรื่องนี้กับนางนางเองก็ยังไม่ได้จับชีพจรของฉู่จวินหลุน และไม่รู้เลยว่าอาการบาดเจ็บของเขาเป็นเช่นไรนางเคยคิดมาตลอดว่า ขาทั้งสองข้างของฉู่จวินหลุนนั้นพิการถาวรไปแล้วจากผลของการรักษาครั้งก่อนเจี่ยนอันอันเอื้อมมือไปลูบหลังของฟางอิ๋งเบา ๆ พลางปลอบโยนว่า “พี่สะใภ้อย่าเพิ่งร้องไห้ ข้าจะหาวิธีรักษ
ฉู่จวินสิงมองไปที่สายรัดทรวงอกที่เจี่ยนอันอันหยิบออกมา เขาเอ่ยถามด้วยความสงสัย “สิ่งนี้คืออะไร?”เจี่ยนอันอันอธิบายว่า “กระดูกซี่โครงของท่านหักไปหลายแห่ง สายรัดนี้ใช้เพื่อช่วยยึดร่างกายท่านให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง”ฉู่จวินสิงไม่ได้เอ่ยอะไรเพิ่มเติม เขาให้ความร่วมมือกับเจี่ยนอันอันด้วยการถอดเสื้อตัวนอกออกเมื่อเสื้อถูกถอดออก กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอกและหน้าท้องของฉู่จวินสิงก็ปรากฏชัดเจนต่อสายตาของเจี่ยนอันอันรูปร่างของเขางดงามอยู่แล้ว ยิ่งมีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง ยิ่งทำให้เจี่ยนอันอันละสายตาไม่ได้แต่รอยแผลเป็นที่ปรากฏอยู่บนนั้นกลับทำให้นางใจหายเล็กน้อยทว่าดีที่บาดแผลภายนอกของฉู่จวินสิงเริ่มตกสะเก็ดแล้วแม้จะใส่สายรัดทรวงอก ก็จะไม่ทำให้แผลติดเชื้อเมื่อเห็นเจี่ยนอันอันจ้องมองร่างกายของตนโดยไม่ละสายตา ฉู่จวินสิงก็อดเอ่ยเย้าขึ้นไม่ได้ “เจ้าจะมองอีกนานเท่าไร?”เจี่ยนอันอันรีบดึงสติตัวเองกลับมา ก็เห็นฉู่จวินสิงมองมาที่ตัวนางด้วยสายตาแฝงความขบขันนางจึงกระแอมไอเบา ๆ เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกกระอักกระอ่วนในใจ“เอ่อ... ข้าจะใส่สายรัดทรวงอกให้ท่าน โปรดอย่าขยับ”เจี่ยนอันอันกล่าวด้ว
ซ่างชิวไม่เคยดื่มน้ำที่ชื่นใจและหวานล้ำเช่นนี้มาก่อนน้ำจากบ่อน้ำในหมู่บ้านชิงสุ่ยมักมีกลิ่นและรสชาติประหลาดที่ยากจะอธิบายพวกเขาในฐานะชาวบ้านชิงสุ่ยก็ชินกับการดื่มน้ำที่มีกลิ่นนี้ไปนานแล้วทว่าชามน้ำนี้กลับไม่มีกลิ่นแปลก ๆ นั่นเลย อีกทั้งยังใสสะอาดหวานล้ำชวนให้ดื่มเป็นอย่างยิ่งคนอีกสี่คนที่เหลือเมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงของซ่างชิว พวกเขาก็พากันสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นเจี่ยนอันอันรู้ดีว่าซ่างชิวตกตะลึงกับอะไร นางจึงหันไปบอกกับคนอีกสี่คนว่า “พวกท่านยังยืนงงอยู่ทำไม รีบดื่มเร็วเข้าสิ”ทั้งสี่คนรีบยกชามขึ้นดื่มน้ำ ทันทีที่เข้าปากน้ำในชามเย็นสดชื่น แถมยังมีรสหวานนิด ๆพวกเขาทั้งสี่คนก็ไม่ต่างจากซ่างชิว มองเจี่ยนอันอันด้วยความตื่นตะลึง แล้วก้มมองน้ำในชามอีกครั้งพวกเขาไม่เคยดื่มน้ำที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลยพวกเขาจึงรีบยกชามดื่มน้ำจนหมดในรวดเดียวพวกเขาเช็ดมุมปาก ก่อนจะส่งรอยยิ้มซื่อ ๆ ให้เจี่ยนอันอัน“แม่นาง น้ำนี้ไยจึงเย็นสดชื่นและหวานเช่นนี้?”ในที่สุดซ่างชิวก็เอ่ยถามความสงสัยที่ค้างคาอยู่ในใจเจี่ยนอันอันยิ้มพลางตอบอย่างอารมณ์ดี “นี่คือน้ำที่ข้าตักมาจากบ่อน้ำ พวกท่านดื่มได้ตามสบาย”
เจี่ยนอันอันเดินมาที่หน้าห้องครัว แล้วชะโงกหน้าเข้าไปดูเห็นสาวใช้หน้าตาสะสวยคนหนึ่งกำลังสับเนื้อไก่อย่างขะมักเขม้นอย่าได้มองรูปลักษณ์ที่บอบบางของนาง พละกำลังนั้นกลับไม่ธรรมดาเลยเจี่ยนอันอันเดินเข้าไปใกล้แล้วถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?”สาวใช้วางมือจากงานตรงหน้า แล้วตอบอย่างนอบน้อมว่า “เรียนคุณฮูหยินน้อยรอง บ่าวชื่อสี่เอ๋อร์เจ้าค่ะ”เจี่ยนอันอันยิ้มเล็กน้อยให้กับสี่เอ๋อร์ แล้วกล่าวว่า “สี่เอ๋อร์ เจ้าตามข้ามาหน่อยสิ”สี่เอ๋อร์รีบเช็ดมือของนางให้สะอาด แล้วเดินตามเจี่ยนอันอันออกจากครัวเจี่ยนอันอันชี้ไปที่เนื้อเหล่านั้นและสั่งว่า “เจ้าช่วยเอาเนื้อหมูพวกนี้ไปหมักเกลือ จากนั้นนำไปรมควันบนเตาไฟ”“ส่วนเนื้อวัวกับเนื้อแกะก็เอาไปหมักด้วยเช่นกัน”เมื่อสี่เอ๋อร์เห็นเนื้อที่เพิ่มเข้ามา ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความยินดีแม้นางจะไม่รู้ว่าเนื้อเหล่านี้มาจากที่ใดแต่นางคาดเดาได้ว่านี่คงเป็นเนื้อที่เจี่ยนอันอันนำติดตัวมาจากจวนก่อนออกเรือนอย่างแน่นอนคุณชายรองเคยบอกแล้วมิใช่หรือ ว่าเขาได้ถุงเฉียนคุนมาจากผู้มีวิชาเจี่ยนอันอันคงเก็บเนื้อเหล่านี้ไว้ในถุงเฉียนคุน แล้วนำติดตัวมาด้วยแต่ระหว่างการเ
ทั้งสี่คนต่างมองหน้ากัน แล้วถอนหายใจอย่างหนักใจหนึ่งในนั้นกล่าวว่า “ตอนแรกในหมู่บ้านชิงสุ่ยของพวกเรายังมีหมออยู่ เด็กคนนี้ก็ได้รับการรักษาจากหมอคนนั้น”“แต่หมอท่านนั้นแก่ชรามากแล้ว และเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน”“คนในหมู่บ้านชิงสุ่ยก็ไม่มีหมอคอยรักษาอีก ถ้าอยากจะไปรักษาที่ตำบล แต่ก็ไม่มีเงิน ทุกคนก็เลยได้แต่ทนเอาเช่นนี้แหละขอรับ”อีกคนกล่าวเสริมว่า “พวกเราถ้าแค่ป่วยเล็กน้อยก็ทนเอาแบบนี้ล่ะ”“แต่ถ้าใครป่วยหนักจริง ๆ ก็ต้องเอาข้าวของเพียงน้อยนิดไปแลกเงินที่ตำบลเพื่อรักษา”เจี่ยนอันอันเข้าใจแล้วว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร นางจึงวางชามข้าวลง แล้วหันไปพูดกับคนหนึ่งในนั้นว่า “เจ้าพาข้าไปดูที่บ้านของซ่างชิวหน่อย”นางยังบอกให้คนที่เหลือสามคนกลับไปนั่งกินข้าวกลางวัน แล้วนางก็เดินตามชาวบ้านคนนั้นไปที่บ้านของซ่างชิวฉู่จวินสิงเห็นว่าเจี่ยนอันอันยังไม่ได้กินข้าวก็ออกไป เขาจึงสั่งให้บ่าวรับใช้เก็บอาหารไว้รอให้เจี่ยนอันอันและซ่างชิวกลับมากินเมื่อเจี่ยนอันอันและชาวบ้านคนนั้นมาถึงหน้าบ้านของซ่างชิว ก็เห็นบ้านที่ทรุดโทรมและมีชาวบ้านหลายคนยืนอยู่เมื่อพวกเขาเห็นเจี่ยนอันอันเดินเข้ามา ใบหน้าก็ฉา
เจี่ยนอันอันหยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาจากในคลังวัสดุยาอีกครั้งนางเปิดประตูไปกล่าวกับซ่างชิวว่า “ท่านนำสมุนไพรพวกนี้ไปต้ม จำไว้ว่าต้องต้มโดยใช้ไฟอ่อน”ซ่างชิวมองสมุนไพรในมือแล้ววิ่งไปต้มยาในครัวโดยไม่ลังเลชาวบ้านที่ยืนอออยู่ในลานเรือนเห็นเจี่ยนอันอันเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งพวกเขาอยากชะโงกหน้าเข้าไปดูว่ายามนี้ในห้องเป็นอย่างไรบ้างแต่พวกเขายังไม่ทันเห็นอะไร เจี่ยนอันอันก็ปิดประตูลงเสียแล้วเจี่ยนอันอันจับชีพจรให้ตงเยว่อีกครั้งยามนี้ชีพจรของตงเยว่เป็นปกติแล้วผ่านไปไม่นาน ตงเยว่ก็ลืมตาขึ้นมานางเห็นว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือหญิงแปลกหน้าคนหนึ่ง ขณะที่บิดาของตนไม่อยู่ในห้องตงเยว่ทำท่าจะกระถดหนีไปด้านในของเตียงอุ่นด้วยสีหน้าแตกตื่นแต่ร่างกายนางอ่อนแอเกินไป ครู่ก่อนอาการป่วยยังกำเริบตอนนี้กระทั่งนางจะพลิกตัวก็ยังยากเย็นแสนเข็ญซ่างตงเยว่เห็นว่าตนเองไม่อาจขยับตัวได้ก็ตกใจจนไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีเจี่ยนอันอันยิ้มเอ่ยกับซ่างตงเยว่ “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าไม่ใช่คนร้าย พ่อเจ้าเป็นคนเรียกข้ามารักษาอาการป่วยของเจ้า”ซ่างตงเยว่ไม่เชื่อคำพูดของเจี่ยนอันอัน นางเผยอปากถามเสียงอ่อนแร
ครั้นซ่างชิวได้ยินว่าอาการป่วยของลูกสาวเขาสามารถรักษาให้หายดีได้ หัวใจที่เครียดเขม็งก็ผ่อนคลายลงหลายส่วน“ได้ๆ ๆ ขอเพียงแม่นางสามารถรักษาอาการป่วยของตงเยว่ลูกข้าให้หายดีได้ อย่าว่าแต่หนึ่งปี ต่อให้สิบปีข้าก็รอไหว”เจี่ยนอันอันยิ้มบางพลางโบกมือ “ไม่นานถึงหนึ่งปีหรอก ท่านให้เวลาข้าสักอาทิตย์ ข้าก็สามารถรักษาตงเยว่ให้หายดีได้แล้ว”ชาวบ้านบริเวณนั้นล้วนคิดว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลยซ่างตงเยว่ป่วยเช่นนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วนางไม่สามารถกระโดดโลดเต้นวิ่งเล่นไปทั่วเหมือนเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้านชิงสุ่ยในอดีตหมอชราของหมู่บ้านชิงสุ่ยยังบอกว่าอย่างมากซ่างตงเยว่มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินอายุแปดขวบหมอชราของหมู่บ้านชิงสุ่ยรักษาคนมาหลายสิบปีแล้วเขาได้รับความนับหน้าถือตาอย่างสูงในหมู่บ้านแม้แต่เขายังพูดว่าโรคของซ่างชิวไร้ยารักษาแม่นางน้อยผู้นี้จะรักษาโรคของซ่างตงเยว่ให้หายดีภายในเวลาสั้นๆ แค่อาทิตย์เดียวได้อย่างไรนางคงไม่ได้คุยโวหลอกลวงพวกเขากระมังแต่ซ่างชิวกลับเชื่อถือคำพูดของเจี่ยนอันอันอย่างมากเขารู้สึกว่าเจี่ยนอันอันไม่เหมือนคนที่จะคุยโวโอ้อวดยาแก้พิษที่เจี่ยนอันอันให้เขามาก่อนหน้านี