กลิ่นหอมโชยมาแต่ไกล นี่มันกลิ่นอาหารชนิดไหนกัน
“กงกงกวงซุนท่านได้กลิ่นอะไรไหม”
ขันทีกวงซุนใช้จมูกสูดดมหากลิ่นที่ว่า หันซ้ายหันขวามองหาที่มา
“ไม่ได้กลิ่นพ่ะย่ะค่ะ”
“กงกงท่านคงต้องไปพบหมอหลวงแล้วหากเป็นเช่นนี้ ข้าจะตามกลิ่นหอมนั่นไป”
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ นั่นอาจเป็นปีศาจที่ใช้อุบายล่อหลอกให้ฝ่าบาทไปติดกับพวกมัน” หยางลี่ส่ายหน้าไปมากับความคิดพิเรนทร์ของขันทีกวงซุน ปีศาจหรือจะมีได้อย่างไรกันในเมื่อท้องร้องเพียงนี้กลิ่นหอมนั่นได้กลิ่นแล้วยั่วน้ำลายไม่น้อย
“ไม่ไปก็อยู่รอที่นี่ ข้าไปเพียงลำพัง”
ด้านหลังเนินเขาที่หมู่บ้านใหญ่เร้นกายมีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นคหบดีที่ยิ่งใหญ่อย่างโจหลิวเยว่ ทั้งยังมีฮูหยินน้อยใหญ่อีกถึง12คน แต่มีบุตรีเพียงสองจากฮูหยินใหญ่และอนุคนโปรด
“เสี่ยวหนี่ดูเจ้าสิ ทำอะไรกินกลิ่นถึงได้โชยไปจนข้าคลื่นเหียน” จี้เหยากับจี้เหวินแม่เลี้ยงและพี่สาวต่างมารดาของเสี่ยวหนี่ พาตัวเองเข้ามาหยุดยืนเอามืออุดจมูกเมื่อได้กลิ่นอาหารของเสี่ยวหนี่ที่มีหน้าที่ทำเป็นประจำ
“อาหารชนิดนี้เรียกว่าอะไร ทำไมกลิ่นเหม็นสิ้นดี”
“แกงสมุนไพรหรือแกงแค หรือจะเรียกแกงอ่อมไม่สิแกงใส่ผักน้อยกว่า ข้าไม่ได้ทำให้พวกท่านกินนี่ อาหารชนิดนี้ทำเพื่อท่านพ่อที่ร่างกายอ่อนเพลีย สมุนไพรและผักที่ใส่ไปในแกงแคกระต่ายป่านี้จะทำให้เลือดลมไหลสะดวก หลับสบายและขับถ่ายได้คล่อง”
เสี่ยวจี้เดินฮัมเพลงเข้ามาพร้อมกับตะกร้าสานที่เต็มไปด้วยเห็ดหอมสดๆ เมื่อเห็นสองแม่ลูกตระกูลข้าวจี่ก็ผงะเล็กน้อยรีบเดินชิดริมไปหาเสี่ยวหนี่
“คุณหนูรองเจ้าขา เห็ดก็ใส่ในน้ำแกงชนิดนี้ได้หรือเจ้าคะ”
“ได้สิ เจ้ามีผักชนิดไหนอยากจะใส่ก็ใส่ลงไป ขั้นตอนแรกจะต้องคั่วเนื้อสัตว์ที่เจ้าใส่ลงไปก่อนพร้อมกับพริกแกงให้หอมเสียก่อนปล่อยให้น้ำเดือดเคี้ยวสักพักแล้วค่อยใส่ผักที่ชอบและมีกลิ่นหอม”
“เจ้าใส่อะไรลงไป แล้วพริกแกงที่เจ้าว่าคืออะไร” ฮูหยินใหญ่ถามเพราะสงสัยสิ่งที่เสี่ยวหนี่พูดมาไม่เคยได้ยินหรือรับรู้มาก่อนเลย
“ก็คือพริก กระเทียม ตะไคร้ ผิวมะกรูด และข่า”
“ปวดหัวกับนาง ตั้งแต่บาดเจ็บคราวนั้นก็ไม่ควรคุยกับนางให้มากความ ราวกับว่าพูดกันคนละภาษา นางทำอาหารที่ไม่เคยมีใครทำแปลกประหลาดพิลึกพิลั่น” สองแม่ลูกตระกูลข้าวจี่ส่ายหน้าไปมาอย่างระอา
“เพราะบิดาเจ้ากลับมาหรอกนะ ข้าถึงปล่อยเจ้าไป” เหมือนจะเป็นบุญคุณนะไม่ปล่อยก็ใครเคยว่า
“คงต้องล่วงเกินท่านแล้ว (ก็มาดิคร้าบบบ) ”
เสี่ยวหนี่ยิ้ม หากไม่เพราะโจวหลิวเยว่คาดโทษ สองคนนี้คงยังรังแกเสี่ยวหนี่เหมือนเดิม ก็เสี่ยวหนี่คนนั้นอ่อนแอมาตลอดแต่มาตอนนี้ถึงจะเห็นว่าเป็นเสี่ยวหนี่แต่ข้างในคือข้าวนึ่ง กว่าจะปรับตัวกับที่นี่ต้องใช้เวลาเกือบอาทิตย์ถึงจะได้ปลงว่า ดีที่ไม่ตายถึงจะย้อนอดีตมาเจอแม่เลี้ยงกับพี่สาวใจร้ายและบิดาที่ป่วยกระเสาะกระแสะ แต่ก็ดีอย่างน้อยโจหลิวเยว่ก็มาคอยปรามสองคนแม่ลูก
“แล้วเจ้าทำอะไรให้ข้ากับท่านแม่กินเที่ยงวันนี้” เสี่ยวหนี่ยิ้มส่ายหน้าไปมาของดีดสำหรับคนดีดีเท่านั้นพวกเจ้าไม่คู่ควร
“อยากกินอะไรเล่า ข้าให้เสี่ยวอี้ทำก๋วยเตี๊ยวให้ท่านทั้งสอง วันนี้ข้าจะออกไปตกปลาที่ลำธาร ข้าเดินผ่านเมื่อวานปลาเยอะมาก ได้เบ็ดดีดีสักคันคงได้กินปลาตัวโต”
เสี่ยวหนี่ตักแกงแคใส่ถ้วยแล้วยกหม้อลงมาวาง เสี่ยวอี้รีบเอาถาดที่มีข้าวสุกอีกถ้วยมารับเอาแกงแคที่หอมกลิ่นสมุนไพรทั้งผักชะอม ผักคราดหัวแหวน ผักชีใบเลื่อย ผักชีลาว มะเขืออ่อน ถั่วฝักยาวและเห็ดหอม เนื้อกระต่ายเปื่อยนุ่มดับกลิ่นด้วยสมุนไพร แค่กลิ่นก็ทำน้ำลายสอ ข้าวสวยร้อนๆ เถอะ
จี้เหวินกลืนน้ำลายลงคอด้วยความหิว เสี่ยวหนี่เดินไปที่ผนังห้องหยิบเบ็ดมากำไว้ไม่สนใจสองแม่ลูกอีกต่อไป
“เจ้า ทำไมเจ้าถึงได้ไม่เจียมตัวแบบนี้ปกติเจ้าจะต้องเป็นคนยกสำรับให้ข้ากับคุณหนูใหญ่” เสี่ยวหนี่ส่ายหน้าแล้วเดินจากไป
“เสี่ยวอี้ยกข้าวไปให้ท่านพ่อแล้วตามข้าไปที่ลำธาร ข้าหยิบเกลือมาแล้วเราสอง
คนย่างปลากินที่ลำธาร”
ไม่สนใจว่าจี้เหยาจะโมโหแค่ไหน ในเมื่อโจหลิวเยว่อยู่บ้านคำสั่งของนางจึงไร้ผล นึกเสียดายว่าบิดาของเสี่ยวหนี่กลับมาช้าไป ไม่อย่างนั้นก็อาจช่วยเสี่ยวหนี่ได้นางจึงอาจไม่ต้องตายและบางทีข้าวนึ่งก็จะได้ไม่ต้องมาที่นี่
“เจ้าค่ะ คุณหนูรอง” เสี่ยวอี้รับคำส่วนสองคนแม่ลูกยืนกัดฟันอยู่ตรงนั้น
“มันเหิมเกริมค่ะท่านแม่” จี้เหวินหันกลับมาชี้มือฟ้องตามตูดเสี่ยวหนี่
“ปล่อยไปก่อน ท่านพ่อไม่อยู่เมื่อไหร่ นั่นคือเวลาของเรา”
“ยังคิดว่าจะจัดการกับนางลูกอนุนั่นได้อีกหรือ หลายวันนี้ข้ามองเสี่ยวหนี่นางเหมือนไม่ใช่เสี่ยวหนี่คนเดิม สายตาของนางไม่ได้หวาดกลัวเราเหมือนเดิม”
“อาจจะเพราะท่านพ่อของเจ้ากลับมานางเลยได้ใจ เอาแบบนี้เราสงบศึกกับนางสักพัก รอให้ไม่มีท่านพ่อเสียก่อน” จี้เหยาหรี่ตาลงเหยียดยิ้มมุมปาก
“ท่านแม่ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“ก็หมายความว่าปล่อยให้นางพองขนไปก่อน ท่านพ่อเจ้าป่วยจนต้องกลับมาพักที่บ้านเช่นนี้ เกรงว่าอีกหน่อยจะไม่มีใครคุ้มกะลาหัวนางลูกอนุนั่น ถึงตอนนั้นก็เป็นเวลาของเรา”
“ท่านแม่มันช้าเกินไป ข้าอยากจัดการนางเสียตอนนี้ นางขวางหูขวางตายิ่งช่วงนี้ยิ่งทำตัวเหิมเกริม”
“ใจเย็นลูกแม่สวรรค์จะต้องมีตาและเปิดโอกาสให้เราสักวันแน่ๆ”
“นายหญิงเจ้าขามีคนผู้หนึ่ง ท่าทีราวกับ ราวกับ…เอ่อ” โจวจี้เหยาพยักขมวดคิ้วจนไฝกระตุก“รีบพูดมาเอาแต่อ้ำอึ้งเจ้ายังอยากจะได้เบี้ยหวัดของเดือนนี้ไหม” โจวจี้เหวินตวาดดังๆ มารยาทยามโมโหช่างไม่ต่างจากโจวจี้เหยามารดาของนาง“จะจะเจ้าค่ะ บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งองอาจหล่อเหลา อีกผู้หนึ่งเดินตามราวกับขันที” จี้เหวินยิ้มมุมปาก“จะต้องเป็นคหบดีที่ร่ำรวยแน่ แล้วเขาพูดอะไรกับเจ้าหรือต้องการอะไรกับบ้านโจวของเรา” จี้เหยาพูดขึ้นยิ้มๆ“เอ่อ เอ่อเขาบอกว่ากำลังหิวพอดี เดินตามกลิ่นอาหารที่หอมกระจายออกไปรอบๆ บริเวณ เขาถามข้าว่าพอจะให้เขาได้อิ่มท้องสักมื้อไหม ทั้งสองท่านยังมอบทองให้ข้าน้อยเพื่อมาขออนุญาตท่านเจ้าบ้าน”“ทองจริงหรือไม่เอามานี่ โง่อย่างเจ้าดูไม่ออกหรอกว่าจริงหรือปลอม ในป่าเขาเช่นนี้ใครจะมีทอง” จี้เหวินคว้าทองจากมือคนรับใช้ไปพิศดู“ทองจริงๆ ด้วยท่านแม่ ไปเชิญเขาเข้ามา เขาต้องการอะไรถึงนำเอาทองมาแลก ท่านแม่ท่านให้ข้าไปรับแขกดีไหม”“ได้เลยลูกแม่แล้วอย่าลืมท่าทีอ่อนหวานงดงามที่เจ้าฝึกฝนมาเสียล่ะ ว่าแต่เขาอยากได้อะไรเจ้าได้ยินเขาบอกว่าอย่างไร”“เอ่อ เอ่อ…ข้าน้อยได้ยินเขาพูดถึงกลิ่นอาหารที่คุณหนูรองหนี่ฮวาท
“ขอให้ท่านทั้งสองเดินทางราบรื่น”ฮูหยินจี้เหยากล่าวคำลากวงซุนขันทียื่นถุงเงินให้กับฮูหยินโจวอีกครั้งจี้เหวินที่ย่อการลงงดงามอย่างที่สุดหยางลี่กับกวงซุนขันทีจากไปแล้ว จี้เหวินถอนหายใจ ปล่อยมือที่ยกขึ้นมาระดับเอวให้ดูมีกิริยาดีลงข้างตัวพูดด้วยเสียงอันดังไม่สะกดกลั้นความรู้สึกแม้แต่น้อย“ข้าแทบจะกระอักเลือดตายกับการที่ต้องวางท่าให้ดูสง่างามราวกับหญิงสาวชาววัง”“ทนเอาหน่อย เจ้าปีนี้20แล้วยังไม่ได้ออกเรือนแขกไปใครมาเจ้าวางท่าตามอย่างที่แม่สอน ไม่นานจะต้องมีคนมาตกหลุมพลางที่เราขุดขึ้นมากับมือ”“ท่านแม่แล้วคนเขาจะไม่รู้หรือว่าเราหลอกลวง”“จะรู้ก็ต่อเมื่อเราได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้วถึงเวลานั้นก็ช่างมันเถอะ”ฮูหยินโจวยิ้ม มุมปาก“นายหญิงเจ้าขา นายท่านเรียกนายหญิงกับคุณหนูใหญ่เข้าพบเจ้าค่ะ”“น่าเบื่อจริงข้านะน่ะไม่อยากต้องมาหาคำแก้ตัว”โจวจี้เหยาบ่นงึมงำ“ก็พูดความจริงไปสิเจ้าค่ะท่านแม่ท่านพ่อไร้เรี่ยวแรง แม้กระทั่งแรงจามยังไม่มีจะทำอะไรพวกเราได้”โจวจี้เหยาเดินนำจีเหวินเข้าไปข้างในห้องนอนของดจวหลิ่วเยว่ ยังไม่ทันจะถึงตัวด้วยซ้ำเสียงเข้มก็พูดดังๆขึ้นมา“พวกเจ้ากำลังทำอะไร พวกเจ้าคิดว่าจะหลอกลวง
ใบหน้าหล่อเหลาของหยางลี่ที่ตอนนี้ดูมีราศีสดชื่นมากกว่าเก่าเลิกคิ้วขึ้นมองซ้ายมองซ้ายมองขวาหาที่มาของกลิ่นหอมของปลาย่างที่ลอยมาตามลม หันไปทางกวงซุนที่กระตุกม้าตามมาข้างๆ พูดอย่างอารมณ์ดีว่า“เดิมที่นึกว่าได้ออกมาข้างนอกจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ที่ไหนได้เขาลูกนี้คงเป็นแหล่งรวมอาหารหรือว่าหอโอชารส ไม่รู้ว่ากลิ่นหอมที่ลอยมาเป็นทหารของเราแอบออกมาย่างปลากินรึป่าว”หยางลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พาม้าเหยาะย่างลัดเลาะตามกลิ่นหอม เมื่อเข้าใกล้ริมน้ำก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเสี่ยวหนี่กระชากปลาตัวใหญ่ขึ้นมาจากน้ำ เป็นคุณหนูจากที่ไหนสักแห่งกำลังจับปลาอย่างเมามันไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกปอน ท่าทางทะมัดทะแมง ภาพที่หยางลี่เห็นจึงชวนขัดตาขบขันไม่น้อย หยางลี่ลงจากหลังม้า กวนซุนขันทีที่รีบตามมากำลังจะกล่าวทักแต่เสี่ยวหนี่หันขวับมองเสี่ยวอี้ทำปากพูดอย่างไร้เสียงว่า “ใครวะ?” เสี่ยวอี้รีบส่ายหัวทันทีทำปากขมุบขมิบว่า “ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนี่หันกลับมาฉีกยิ้มหวานยกมือขึ้นประสานตรงหน้า“เป็นท่านนี่เองเลื่อมใสมานาน นับถือๆ วันนี้ได้พบหน้าช่างเป็นโชควาสนาอย่างยิ่ง มิคาดว่าฟ้าลิขิตให้เราได้มาพบกันในวันนี้”
“ปลาชนิดนี้ปกติแล้วในวังหลวงจะไม่นิยมกินเพราะมีก้างมาก แต่ข้าจำได้ว่าปลาตะเพียนมีรสหวานหอมต่างจากปลาชนิดอื่น แม้จะคาวน้อยกว่าแต่ก็ยังถือว่ามีก้างมากจึงเป็นจุดด้อยของปลาชนิดนี้ ไม่ได้จัดอยู่ในหมู่ของปลาเนื้อแน่นเช่นนั้นการนำมาประกอบอาหารจึงรู้สึกด้อยลงไปไม่เหมือนปลาชนิดอื่นแต่ในวันนี้แม่นางน้อย นำพริกเสฉวนมาปรุงรสทำให้เนื้อปลามีความโดดเด่นแม้ปลาจะกินยากไปหน่อย แต่ความยากของการเลาะเอาก้างออกเพื่อที่จะได้ชิมรสชาติของปลาสดๆ ทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่านี่เองคือหัวใจของอาหารอร่อย “หยางลี่พยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วยคำพูดของขันทีกวงซุน เสี่ยวหนี่ตะลึงตาค้างตบมือดังๆ ให้กับคำพูดของขันทีกวงซุน“โห่ หลักการสุดๆ เป็นกรรมการมาสเตอร์เชฟป่าวนี่ นับถือๆ แบบนี้เชิญกินได้ตามสบายข้าละชอบจริงๆ คนที่รู้คุณค่าของอาหารและสามารถพูดชมได้อย่างมีศิลปะ ““จริงๆ นะเจ้าค่ะคุณหนู หือปลานี่อร่อยจริงๆ เสี่ยวอี้ไม่เคยกินปลาที่ไหนอร่อยเท่ากับปลาย่างฝีมือคุณหนูมาก่อน”“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เท่าไหร่ๆ พูดแบบนี้ข้าก็เขินสิ “คนทั้งหมดล้อมวงกินปลาย่างอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่หยางลี่จะขอตัวกลับเสี่ยวหนี่ยังแบ่งปลาตะเพียนตัวใหญ่ เสี่ยวหนี่ดึงปลาอ
“ก็ได้ หากแม่นางมีน้ำใจเพียงนี้ข้าก็ไม่ขัด”“วีระบุรุษช่วยสาวงามอันนี้เข้าใจได้ (ใครไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะ เคลมว่าตัวเองสวยเถอะ) ท่านช่วยข้าก็ควรตอบแทน” เสี่ยวหนี่เดินนำตงเจี้ยนไปที่ประตูทางเข้าสกุลโจว ไม่รู้ว่าฮูหยินโจวจี้เหยานางหูตาไวหรือว่านางว่างกันแน่จึงมาคอยจ้องตามหาเสี่ยวหนี่พอรู้ว่าออกไปข้างนอกก็มารอต้อนรับกลับรอบ่นรอแซะ รอบนี้เห็นเสี่ยวหนี่มีตงเจี้ยนเดินตามมาด้วยก็ปากยื่นปากยาวเสียงแหลมมาทันที“อีกแล้วหรือ หญิงเช่นเจ้าที่ชอบนำพาบุรุษ เข้าบ้านต้องเป็นหญิงเช่นไรกันนะ”“วาจาลื่นไหลไร้แก่นสารจริงๆ ท่านแม่ใหญ่ ท่านไม่พูดเสียบ้างคนที่เขามาใหม่ก็ไม่คิดว่าท่านเป็นใบ้หรอกนะ”“นี่เจ้า เสี่ยวหนี่!”“ข้ารู้แล้วว่าข้าชื่อเสี่ยวหนี่ ถึงก่อนหน้านั้นจะชื่อข้าวนึ่งก็เถอะท่านก็ไม่ต้องเรียกบ่อยๆ ราวกับกลัวว่าข้าจะลืมชื่อตัวเองก็ได้” จี้เหยาเชิดหน้า“ท่านป้า” ตงเจี้ยนประสานมือ“ท่านป้าหรือ ข้าเคยเป็นญาติเจ้าหรือไร”คนผู้นี้มองคนภายนอกให้การแต่งกายด้วยอาภรณ์สีทึมไม่มีป้ายหยกเนื้อดีห้อยที่ข้างกายก็ไม่อยากจะเสวนาด้วย ฮูหยินโจวจี้เหยาเชิดหน้าขึ้นสูงไม่แม้แต่จะมองให้นานกว่านี้ “อย่างไร ไม่ให้เรียกท
” หากบิดาเจ้ารู้ว่าเจ้าขโมยสุราจะไม่ถูกตำหนิหรือไร “” แค่สุราร้อยปี ที่บ้านโจวของเรามีสุราพันปี หมื่นปีมากมายเหลือคณานับ อีกอย่างข้าหยิบมาแค่ไหเดียวไม่มีใครรู้หรอกฮ่าฮ่าฮ่า “เสี่ยวอี้ถือไหสุราเข้ามาในครัวส่งให้เสี่ยวหนี่หมักปลาด้วยสุราร้อยปี เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย"ปลาต้องทอดให้ผิวนอกกรอบ เนื้อในยังนุ่ม" เสี่ยวหนี่กล่าวเสี่ยวหนี่ใช้ผ้าป่านซับปลาให้แห้ง ก่อนคลุกแป้งที่ทำจากข้าวสาลีบาง ๆ แล้วนำลงทอดในน้ำมันร้อนจัด เสียงน้ำมันแตกดัง "ฉ่า"อีกครั้ง ไม่นานต่อจากนั้น ปลาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง กลิ่นหอมลอยเตะจมูก เมื่อเสี่ยวหนี่ตักปลาขึ้นมาพักไว้ ผิวนอกกรอบกรุบ แต่เนื้อข้างในยังดูฉ่ำขาวคราวนี้เสี่ยวอี้ถึงกลับลอบกลืนน้ำลายและสองคนแม่ลูกข้าวจี่พากันย้ายก้นเข้ามาในครัวคงได้กลิ่นหอมของปลาทอด“ปลาทอดหรอกรึ วันนี้เจ้าทำปลาทอดหรอกรึ” ฮูหยินโจวพูดขึ้น“ไม่ใช่สำหรับพวกท่านและนี่คือปลาสามรสแบบโบราณ และข้าไม่ได้ทำเพื่อท่านนี้สำรับท่านพ่อและข้ากับเสี่ยวอี้ที่ไปตกปลามาเท่านั้น” จี้เหวินกัดฟันแน่นเสี่ยวหนียิ้มของดีดีเหมาะกับคนที่ควรคู่เท่านั้น และคนที่ควรคู่หรือไมเสี่ยวหนี่เป็นคนคัดสรร“เจ้าไม่ใ
"มื้อนี้ก็เป็นเจ้าเป็นคนทำเองหรือ? หนี่เอ่อร์" ท่านพ่อถามขึ้น เสี่ยวหนี่หัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า"จะว่าคนเดียวก็ไม่ถูกนักมีเสี่ยวอี้ช่วยเป็นลูกมือข้าเจ้าค่ะ ข้าไปตกปลากับเสี่ยวอี้ได้ปลาตะเพียนตัวใหญ่เพื่อให้ท่านพ่อได้กินอาหารอร่อยๆ และดีต่อสุขภาพด้วย “เมื่อโจวหลิวเยว่ได้จ้วงช้อนลงไปตักเต้าหู้ขึ้นมาพร้อมน้ำซุปร้อนๆ เนื้อเต้าหู้อ่อนนุ่มจนแทบจะละลายในปาก เมื่อได้ซดน้ำซุปข้นๆ ที่หอมขิงอ่อนๆ ตามไปคิ้วที่ขมวดกลับคลายออก "น้ำซุปข้นกำลังดี เนื้อเต้าหู้อ่อนนุ่มข้างในยังเข้มด้วยรสชาติหวานหอมไร้กลิ่นคาว “รสหวานนั้นได้มาจากการเคี่ยวหัวปลาและดึงความหอมหวานส่งต่อเข้าไปในเนื้อเต้าหู้ รสชาติเต้าหู้จึงหอมหวานกลมกล่อม ขิงช่วยทำให้กลิ่นคาวหายไปส่วนปลาสามรส เมื่อโจวหลิวเยว่ใช้ตะเกียบฉีกเนื้อปลาออก กลิ่นหอมยิ่งแตะจมูกเนื้อข้างในฟูขาวแต่ข้างนอกกรอบเหลืองสวยกำลังดี เพียงกัดไปคำเดียวก็พยักหน้าซอสรสหวานเปรี้ยวและเค็มและเผ็ดนิดๆ ที่ซึมเข้าสู่เนื้อปลาทุกอณู กลายเป็นรสชาติที่ผสานกันอย่างลงตัว"รสชาตินี้ยากจะมีใครเหมือน"เสี่ยวหนี่ยิ้มกว้าง แม้ว่าจะยังไม่ได้เป็นแม่ครัวที่เก่งกาจนัก แต่การได้เห็นคนสำคัญของตนมีค
กระทั่งฟ้ามืดหัวหน้าองครักษ์ตงเจี้ยนกลับมาถึงค่ายพักช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ร่างสูงในชุดดำเดินผ่านแนวทหารเวรยามอย่างเงียบขรึม ในมือยังถือกล่องไม้ชั้นเดียวสำหรับใส่อาหาร หากกลิ่นหอมของข้าวและปลาสามรสภายในกลับลอยแตะจมูกแม้ผ่านกล่องไม้หยางลี่ก็นั่งอยู่ใต้ต้นดอกเหมยข้างกระโจมใหญ่เหมือนกันกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ดวงตาคู่คมทอดมองตงเจี้ยนที่เดินเข้ามาหาเงียบๆ โดยไม่กล่าวทักทาย “ถวายพระพรฝ่าบาท”หยางลี่เลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะตัวตงเจี้ยนหากแต่เป็นกล่องไม้ในมือของตงเจี้ยน มองย่างพินิจพิเคราะห์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เจ้าไปเจออะไรน่าสนใจมาหรือ” น้ำเสียงเรียบเย็นของหยางลี่เอ่ยถามขึ้นขณะมองตรงไปยังกล่องอาหารตงเจี้ยนประสานมือ “ของฝากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท… แม่นางน้อยผู้หนึ่งจากตระกูลโจวให้ข้ามา นางกลัวว่าข้าจะหิวระหว่างทาง”คำตอบนั้นทำให้หยางลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาคล้ายมีรอยครุ่นคิด หยางลี่หลุบตาลงช้าๆ คิดถึงเสี่ยวหนี่ขึ้นมาคำพูดของเสี่ยวหนี่ที่กลัวว่าเขาจะหิวระหว่างทาง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะและถ้อยคำแปลกหูของจอมยุทธน้อยที่ยังรู้สึกประทับใจ แต่กลับเป็นอีกคนที่แนะนำตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นบุ
“ไปที่ลานฝึกเถอะ มีนางในฝึกหัดเช่นเดียวกับพวกเจ้ารออยู่ด้านในจะได้ทำความรู้จักเพราะต่อไปข้างหน้าพวกเจ้าจะได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน”เมื่อก้าวเข้าสู่เรือน เสียงจอแจและกลิ่นของอาหารหลากชนิดก็ประดังเข้ามาทันที อบเชย ขิงสด และผักสดหลากชนิดลอยอบอวลในอากาศ บรรยากาศภายในเรือนนั้นคึกคัก เต็มไปด้วยหญิงสาวในชุดผ้ากันเปื้อนหลากสี ต่างกำลังสับเนื้อ ล้างผัก บดเครื่อง หรือจดสูตรลงสมุดกันอย่างขะมักเขม้น“พวกเจ้ามากันใหม่สินะ” สาวร่างสูงหน้าคมนามว่า “หลิงเชียว” ท่าทางมั่นใจจนเกือบดูอวดดี กล่าวขึ้นก่อนใครเพื่อน“ข้า หลิงเชียว ถนัดอาหารทะเลจากชายฝั่งตะวันออก ไม่ได้โม้นะ แต่ข้าเคยเป็นแม่ครัวงานเลี้ยงระดับอ๋องมาแล้ว”“คนนี้ชื่อ ‘เฟิ่งหราน’ มาจากแคว้นใต้ ถนัดทำอาหารเผ็ดแรง พริกแห้งสามกำมือยังถือว่าน้อย” หลิงเชียวแนะนำหญิงสาวหน้าตาโฉบเฉี่ยวที่กำลังสับพริกเสียงดังอีกมุมหนึ่ง หญิงสาวร่างเล็ก ผิวขาวซีด กำลังนั่งบดเมล็ดงาเงียบๆ เหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง ส่งเสียงแผ่วเบา“ข้า...ชื่อเซี่ยหยาเจ้าค่ะ ข้าถนัดทำของหวานนิดหน่อย..อาจจะไม่ดีที่สุดแต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่ข้าพอทำได้.”“เซี่ยหยา ท่าทางเจ้าดูอ่อนโยนนุ่มนวลเห
วังหลวงเดือนเมษายนปีถังเจี้ยนที่24เสี่ยวหนี่ในชุดนางในใหม่เอี่ยมยืนยืดอกตรงหน้าประตูวังหลวงที่สูงตระหง่านเงยหน้ามองประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าแลดูขึงขังเหมือนจะเข้าไปลุยสนามรบกระนั้น“นี่คือสถาน~ แห่งบ้านทรายทอง~ โห ยิ่งใหญ่ไปไหมอ่า ““คุณหนู!เบาๆ หน่อยเพคะ คุณหนู...ไม่กลัวหรือเพคะ”เสี้ยวอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมอง เสี่ยวหนี่หัวเราะเบาๆ พลางแกล้งสะบัดชายเสื้อ“กลัวไปก็เท่านั้น เรามาแล้วก็แค่ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”เสียงฝีเท้าของขันทีน้อยคนหนึ่งขัดจังหวะบทสนทนา “เรียนคุณหนูทั้งสาม เชิญทางนี้ขอรับ ข้าน้อยจะนำไปยังตำหนักฝึกหัดฝ่ายห้องเครื่อง ซึ่งในด่านแรกจะต้องพบกันเรือนพักพวกท่าน ของใช้ส่วนตัวที่นำมาไปเก็บๆ ไว้ที่นั่นได้เลย”เสี่ยวหนี่พยักหน้าเบาๆ พลางเดินออกหน้าตามขันทีไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยมีจี้เหวินเดินตามหลังมาเงียบๆ แม้สีหน้าจะไม่พอใจที่ต้องมาร่วมทางด้วยกัน แต่ก็ไม่กล้าก่อความวุ่นวายกลางวังหลวงเส้นทางเดินปูหินเรียบทอดยาวผ่านสวนไผ่และแปลงสมุนไพร กลิ่นหอมของใบมินต์และขิงลอยอ่อนๆ ตามสายลม เรือนไม้ที่ประดับกระดิ่งลมขนาดเล็กตั้งเรียงรายดูอบอุ่นเป็นกันเอง จนไม่รู้สึกว่ากำลังเดิน
เสี่ยวหนี่หรือ "ข้าวนึ่ง"ของเรา ที่ข้ามภพมาไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ กับบทสนทนาวุ่นวายเมื่อครู่ทำเพียงแค่หยิบเมล็ดฟักทองขึ้นมาอีกเม็ด แกะเปลือกอย่างใจเย็นแล้วส่งเข้าปากเคี้ยวงับๆ“เอ๊ะ…นี่มันเข้าวังจริงเหรอ? ไม่ใช่ไปขายขนมหน้าวังใช่มั้ย จริงสินะ หากเป็นแค่การขาย….ทุกการขายรวมทั้งขายหน้าคุณหนูใหญ่จี้เหวินทำได้ดีอยู่แล้ว” เสี่ยวหนี่พูดขำๆ แววตายังระยิบระยับอย่างขี้เล่น ไม่ต้องเล่าซ้ำเพราะเสี่ยวหนี่ตะแคงหูฟังจนหูหางได้ยินชัดทุกคำ ว่าแต่มีฮ่องเต้มาบ้านทำไม่เสี่ยวหนี่ไม่รู้ หน้าตาจะเป็นแบบไหนนะฮ่องเต้คนนั้น“ข้าเห็นในละครเวลาใครเข้าวังแล้วมักไม่ได้กลับออกมาแบบครบสามสิบสองอะไรงี้... แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็มีของกินทุกวันเนอะ แล้วอย่าลืมไปขาย….หน้าเอาผ้ารอดเอ๊ยขายผ้าเอาหน้ารอดเอ๊ย ขายหน้าเอ๊ยถูกแล้ว”“เสี่ยวหนี่…” ท่านโจวพูดเบาๆ เสียงเขาแผ่วลงราวกับลมผ่านต้นชาบนไหล่เขา “ข้ารู้ว่าข้า... ผิด ข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้าถูกเข้าใจผิด ไม่ควรให้ใครแย่งความดีความชอบไปจากเจ้า และไม่ควรให้เจ้าเข้าไปพัวพันกับเรื่องในวังเลย”เขาหยุดไปชั่วครู่ ลมหายใจหนักหน่วงสะท้อนถึงความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ภายใน“แต่ข้ากลัว…ข้
เมืองโจวเมืองโจวในหุบเขาตะวันตกเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ไร้ชื่อเสียงในแผนที่ของแคว้น แต่กลับมีเสน่ห์เกินใคร ผืนไร่ชาที่ไล่เรียงลดหลั่นตามแนวเนินเขา กลิ่นหอมของใบชาที่เพิ่งเด็ดสด ๆ คลุ้งไปกับลมเย็นจากป่าเขาที่โอบล้อมอยู่รอบเมืองลำธารใสไหลผ่านกลางหมู่บ้าน เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วแว่วอยู่เหนือยอดไม้ และทุกยามเช้า ชาวบ้านก็จะสวมหมวกฟาง เดินเข้าสวนชา หรือออกไปเก็บสมุนไพรและเครื่องเทศตามฤดูกาล บรรยากาศสงบสุข ราวกับโลกภายนอกไม่เคยแตะต้องณ กลางเมืองนั้นเอง คือคฤหาสน์ตระกูลโจว เรือนไม้หลังใหญ่ราวกับจวนอ๋องกระนั้นที่ทอดยาวลึกเข้าไปจนสุดเนินเขา ล้อมรอบด้วยสวนหิน ธารน้ำพุร้อนไหลผ่าน และซุ้มดอกไม้ กลิ่นหอมของบุปผาและเครื่องเทศอบอวลในอากาศไม่เคยจางในสวนหลังบ้าน ตรงเรือนพักกลางที่ล้อมด้วยเถาองุ่น จ้าวบ้านใหญ่ของเมือง—โจวหลิวเยว่ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดื่มน้ำชาร้อนจากถ้วยแก้วบาง แม้สีหน้าจะอ่อนล้า แต่ดวงตาของเขากลับอ่อนโยนขณะมองดูบุตรสาวคนเล็กที่กำลังรดน้ำผักริมรั้วไม้เตี้ยๆ ร้องเพลงดังของลิซ่าแบล็กพิงค์อย่างสนุกสนานหลายวันมานี่โจวหลินเยว่กลับรู้สึกว่าบุตรีคนรองที่เคยเงียบขรึมอาจจะเพราะนางถูก
กระทั่งฟ้ามืดหัวหน้าองครักษ์ตงเจี้ยนกลับมาถึงค่ายพักช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ร่างสูงในชุดดำเดินผ่านแนวทหารเวรยามอย่างเงียบขรึม ในมือยังถือกล่องไม้ชั้นเดียวสำหรับใส่อาหาร หากกลิ่นหอมของข้าวและปลาสามรสภายในกลับลอยแตะจมูกแม้ผ่านกล่องไม้หยางลี่ก็นั่งอยู่ใต้ต้นดอกเหมยข้างกระโจมใหญ่เหมือนกันกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ดวงตาคู่คมทอดมองตงเจี้ยนที่เดินเข้ามาหาเงียบๆ โดยไม่กล่าวทักทาย “ถวายพระพรฝ่าบาท”หยางลี่เลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะตัวตงเจี้ยนหากแต่เป็นกล่องไม้ในมือของตงเจี้ยน มองย่างพินิจพิเคราะห์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เจ้าไปเจออะไรน่าสนใจมาหรือ” น้ำเสียงเรียบเย็นของหยางลี่เอ่ยถามขึ้นขณะมองตรงไปยังกล่องอาหารตงเจี้ยนประสานมือ “ของฝากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท… แม่นางน้อยผู้หนึ่งจากตระกูลโจวให้ข้ามา นางกลัวว่าข้าจะหิวระหว่างทาง”คำตอบนั้นทำให้หยางลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาคล้ายมีรอยครุ่นคิด หยางลี่หลุบตาลงช้าๆ คิดถึงเสี่ยวหนี่ขึ้นมาคำพูดของเสี่ยวหนี่ที่กลัวว่าเขาจะหิวระหว่างทาง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะและถ้อยคำแปลกหูของจอมยุทธน้อยที่ยังรู้สึกประทับใจ แต่กลับเป็นอีกคนที่แนะนำตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นบุ
"มื้อนี้ก็เป็นเจ้าเป็นคนทำเองหรือ? หนี่เอ่อร์" ท่านพ่อถามขึ้น เสี่ยวหนี่หัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า"จะว่าคนเดียวก็ไม่ถูกนักมีเสี่ยวอี้ช่วยเป็นลูกมือข้าเจ้าค่ะ ข้าไปตกปลากับเสี่ยวอี้ได้ปลาตะเพียนตัวใหญ่เพื่อให้ท่านพ่อได้กินอาหารอร่อยๆ และดีต่อสุขภาพด้วย “เมื่อโจวหลิวเยว่ได้จ้วงช้อนลงไปตักเต้าหู้ขึ้นมาพร้อมน้ำซุปร้อนๆ เนื้อเต้าหู้อ่อนนุ่มจนแทบจะละลายในปาก เมื่อได้ซดน้ำซุปข้นๆ ที่หอมขิงอ่อนๆ ตามไปคิ้วที่ขมวดกลับคลายออก "น้ำซุปข้นกำลังดี เนื้อเต้าหู้อ่อนนุ่มข้างในยังเข้มด้วยรสชาติหวานหอมไร้กลิ่นคาว “รสหวานนั้นได้มาจากการเคี่ยวหัวปลาและดึงความหอมหวานส่งต่อเข้าไปในเนื้อเต้าหู้ รสชาติเต้าหู้จึงหอมหวานกลมกล่อม ขิงช่วยทำให้กลิ่นคาวหายไปส่วนปลาสามรส เมื่อโจวหลิวเยว่ใช้ตะเกียบฉีกเนื้อปลาออก กลิ่นหอมยิ่งแตะจมูกเนื้อข้างในฟูขาวแต่ข้างนอกกรอบเหลืองสวยกำลังดี เพียงกัดไปคำเดียวก็พยักหน้าซอสรสหวานเปรี้ยวและเค็มและเผ็ดนิดๆ ที่ซึมเข้าสู่เนื้อปลาทุกอณู กลายเป็นรสชาติที่ผสานกันอย่างลงตัว"รสชาตินี้ยากจะมีใครเหมือน"เสี่ยวหนี่ยิ้มกว้าง แม้ว่าจะยังไม่ได้เป็นแม่ครัวที่เก่งกาจนัก แต่การได้เห็นคนสำคัญของตนมีค
” หากบิดาเจ้ารู้ว่าเจ้าขโมยสุราจะไม่ถูกตำหนิหรือไร “” แค่สุราร้อยปี ที่บ้านโจวของเรามีสุราพันปี หมื่นปีมากมายเหลือคณานับ อีกอย่างข้าหยิบมาแค่ไหเดียวไม่มีใครรู้หรอกฮ่าฮ่าฮ่า “เสี่ยวอี้ถือไหสุราเข้ามาในครัวส่งให้เสี่ยวหนี่หมักปลาด้วยสุราร้อยปี เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย"ปลาต้องทอดให้ผิวนอกกรอบ เนื้อในยังนุ่ม" เสี่ยวหนี่กล่าวเสี่ยวหนี่ใช้ผ้าป่านซับปลาให้แห้ง ก่อนคลุกแป้งที่ทำจากข้าวสาลีบาง ๆ แล้วนำลงทอดในน้ำมันร้อนจัด เสียงน้ำมันแตกดัง "ฉ่า"อีกครั้ง ไม่นานต่อจากนั้น ปลาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง กลิ่นหอมลอยเตะจมูก เมื่อเสี่ยวหนี่ตักปลาขึ้นมาพักไว้ ผิวนอกกรอบกรุบ แต่เนื้อข้างในยังดูฉ่ำขาวคราวนี้เสี่ยวอี้ถึงกลับลอบกลืนน้ำลายและสองคนแม่ลูกข้าวจี่พากันย้ายก้นเข้ามาในครัวคงได้กลิ่นหอมของปลาทอด“ปลาทอดหรอกรึ วันนี้เจ้าทำปลาทอดหรอกรึ” ฮูหยินโจวพูดขึ้น“ไม่ใช่สำหรับพวกท่านและนี่คือปลาสามรสแบบโบราณ และข้าไม่ได้ทำเพื่อท่านนี้สำรับท่านพ่อและข้ากับเสี่ยวอี้ที่ไปตกปลามาเท่านั้น” จี้เหวินกัดฟันแน่นเสี่ยวหนียิ้มของดีดีเหมาะกับคนที่ควรคู่เท่านั้น และคนที่ควรคู่หรือไมเสี่ยวหนี่เป็นคนคัดสรร“เจ้าไม่ใ
“ก็ได้ หากแม่นางมีน้ำใจเพียงนี้ข้าก็ไม่ขัด”“วีระบุรุษช่วยสาวงามอันนี้เข้าใจได้ (ใครไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะ เคลมว่าตัวเองสวยเถอะ) ท่านช่วยข้าก็ควรตอบแทน” เสี่ยวหนี่เดินนำตงเจี้ยนไปที่ประตูทางเข้าสกุลโจว ไม่รู้ว่าฮูหยินโจวจี้เหยานางหูตาไวหรือว่านางว่างกันแน่จึงมาคอยจ้องตามหาเสี่ยวหนี่พอรู้ว่าออกไปข้างนอกก็มารอต้อนรับกลับรอบ่นรอแซะ รอบนี้เห็นเสี่ยวหนี่มีตงเจี้ยนเดินตามมาด้วยก็ปากยื่นปากยาวเสียงแหลมมาทันที“อีกแล้วหรือ หญิงเช่นเจ้าที่ชอบนำพาบุรุษ เข้าบ้านต้องเป็นหญิงเช่นไรกันนะ”“วาจาลื่นไหลไร้แก่นสารจริงๆ ท่านแม่ใหญ่ ท่านไม่พูดเสียบ้างคนที่เขามาใหม่ก็ไม่คิดว่าท่านเป็นใบ้หรอกนะ”“นี่เจ้า เสี่ยวหนี่!”“ข้ารู้แล้วว่าข้าชื่อเสี่ยวหนี่ ถึงก่อนหน้านั้นจะชื่อข้าวนึ่งก็เถอะท่านก็ไม่ต้องเรียกบ่อยๆ ราวกับกลัวว่าข้าจะลืมชื่อตัวเองก็ได้” จี้เหยาเชิดหน้า“ท่านป้า” ตงเจี้ยนประสานมือ“ท่านป้าหรือ ข้าเคยเป็นญาติเจ้าหรือไร”คนผู้นี้มองคนภายนอกให้การแต่งกายด้วยอาภรณ์สีทึมไม่มีป้ายหยกเนื้อดีห้อยที่ข้างกายก็ไม่อยากจะเสวนาด้วย ฮูหยินโจวจี้เหยาเชิดหน้าขึ้นสูงไม่แม้แต่จะมองให้นานกว่านี้ “อย่างไร ไม่ให้เรียกท
“ปลาชนิดนี้ปกติแล้วในวังหลวงจะไม่นิยมกินเพราะมีก้างมาก แต่ข้าจำได้ว่าปลาตะเพียนมีรสหวานหอมต่างจากปลาชนิดอื่น แม้จะคาวน้อยกว่าแต่ก็ยังถือว่ามีก้างมากจึงเป็นจุดด้อยของปลาชนิดนี้ ไม่ได้จัดอยู่ในหมู่ของปลาเนื้อแน่นเช่นนั้นการนำมาประกอบอาหารจึงรู้สึกด้อยลงไปไม่เหมือนปลาชนิดอื่นแต่ในวันนี้แม่นางน้อย นำพริกเสฉวนมาปรุงรสทำให้เนื้อปลามีความโดดเด่นแม้ปลาจะกินยากไปหน่อย แต่ความยากของการเลาะเอาก้างออกเพื่อที่จะได้ชิมรสชาติของปลาสดๆ ทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่านี่เองคือหัวใจของอาหารอร่อย “หยางลี่พยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วยคำพูดของขันทีกวงซุน เสี่ยวหนี่ตะลึงตาค้างตบมือดังๆ ให้กับคำพูดของขันทีกวงซุน“โห่ หลักการสุดๆ เป็นกรรมการมาสเตอร์เชฟป่าวนี่ นับถือๆ แบบนี้เชิญกินได้ตามสบายข้าละชอบจริงๆ คนที่รู้คุณค่าของอาหารและสามารถพูดชมได้อย่างมีศิลปะ ““จริงๆ นะเจ้าค่ะคุณหนู หือปลานี่อร่อยจริงๆ เสี่ยวอี้ไม่เคยกินปลาที่ไหนอร่อยเท่ากับปลาย่างฝีมือคุณหนูมาก่อน”“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เท่าไหร่ๆ พูดแบบนี้ข้าก็เขินสิ “คนทั้งหมดล้อมวงกินปลาย่างอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่หยางลี่จะขอตัวกลับเสี่ยวหนี่ยังแบ่งปลาตะเพียนตัวใหญ่ เสี่ยวหนี่ดึงปลาอ