ใบหน้าหล่อเหลาของหยางลี่ที่ตอนนี้ดูมีราศีสดชื่นมากกว่าเก่าเลิกคิ้วขึ้นมองซ้ายมองซ้ายมองขวาหาที่มาของกลิ่นหอมของปลาย่างที่ลอยมาตามลม หันไปทางกวงซุนที่กระตุกม้าตามมาข้างๆ พูดอย่างอารมณ์ดีว่า
“เดิมที่นึกว่าได้ออกมาข้างนอกจะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ที่ไหนได้เขาลูกนี้คงเป็นแหล่งรวมอาหารหรือว่าหอโอชารส ไม่รู้ว่ากลิ่นหอมที่ลอยมาเป็นทหารของเราแอบออกมาย่างปลากินรึป่าว”
หยางลี่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี พาม้าเหยาะย่างลัดเลาะตามกลิ่นหอม เมื่อเข้าใกล้ริมน้ำก็ต้องประหลาดใจเมื่อเห็นเสี่ยวหนี่กระชากปลาตัวใหญ่ขึ้นมาจากน้ำ เป็นคุณหนูจากที่ไหนสักแห่งกำลังจับปลาอย่างเมามันไม่สนใจว่าตัวเองจะเปียกปอน ท่าทางทะมัดทะแมง ภาพที่หยางลี่เห็นจึงชวนขัดตาขบขันไม่น้อย
หยางลี่ลงจากหลังม้า กวนซุนขันทีที่รีบตามมากำลังจะกล่าวทักแต่เสี่ยวหนี่หันขวับมองเสี่ยวอี้ทำปากพูดอย่างไร้เสียงว่า
“ใครวะ?” เสี่ยวอี้รีบส่ายหัวทันทีทำปากขมุบขมิบว่า
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนี่หันกลับมาฉีกยิ้มหวานยกมือขึ้นประสานตรงหน้า
“เป็นท่านนี่เองเลื่อมใสมานาน นับถือๆ วันนี้ได้พบหน้าช่างเป็นโชควาสนาอย่างยิ่ง มิคาดว่าฟ้าลิขิตให้เราได้มาพบกันในวันนี้”
หยางลี่หันสบตากับกวงซุนด้วยความประหลาดใจ กวงชุนเปล่งเสียงพูดเบาๆ ไม่กล้าขยับปากกลัวว่าเสี่ยวหนี่จะเห็นว่ากำลังนินทาก็นินทานั่นแหละ
“ฝ่าบาท ภาษาพูดเช่นนี้เราเลิกกันใช้กันไปนานแล้วมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ปล่อยนาง นางคงอยู่ในป่าเขาจนไม่รู้ว่าวังหลวงเขาใช้ภาษาเช่นไร”
ขันทีกวงซุนกระแอมเบาๆ อย่างลำบากใจปั้นหน้าใหม่ หยางลี่ทำหน้านิ่งให้เสี่ยวหนี่กลั้นขำเต็มที่
“เจ้ารู้จักข้าหรือ จอมยุทธน้อย”
“รู้จักสิ! ว่าแต่ท่านชื่ออะไรนะ ชื่อท่านติดๆ อยู่ที่ริมฝีปาก ชื่ออะไรน้า”
“ช่างเถอะ ข้าเชื่อว่าจอมยุทธน้อยผู้นี้รู้จักข้าแล้ว “
“ใช่ๆ คนกันเองทั้งนั้น”
” แม่นางน้อยผู้นี้เป็นนางสวรรค์หรือผีสางเหตุใดถึงมาอยู่กลางป่าเขาเช่นนี้” ขันทีกวงซุนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ข้ามาจับปลาหาวัตถุดิบทำอาหารให้ท่านพ่อ บ้านข้าอยู่ใกล้ๆ นี่เองพวกท่านไม่ต้องห่วงแถวนี้ไม่มีอันตรายหรอก”
เสี่ยวหนี่ยิ้มร่าอย่างเป็นกันเอง สรุปเอาเองว่าเขาเป็นห่วงสาวน้อยกลางป่าเขา แต่ดูแล้วคนคนนี้คงเป็นคนรับใช้และข้างๆ ก็คงเป็นคุณชาย ดูจากการแต่งตัวแล้วคงมีอันจะกินไม่น้อยแต่ใบหน้ากลับดูอิดโรยเหมือนคนไดเอ็จเลย
“พวกท่านสองคนหลงทางรึป่าว ได้กินอะไรครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ มาๆ ข้ามีปลาย่างหลายตัว แบ่งพวกท่านกินแล้วกัน ปลาพวกนี้มาจากธรรมชาติสดๆ เมื่อครู่ มีสารอาหารไม่น้อยเลย ดีต่อพวกท่านแน่นอน”
เสี่ยวหนี่ หยางลี่ขยับตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ขันทีกวงซุนรีบขว้างไว้กระซิบเบาๆ ได้กันเพียงสองคน
” จะดีหรือพะย่ะค่ะ เมื่อครู่เราก็กินจนอิ่มหนำฝ่าบาทยังจะมีกะใจกินได้อีกหรือ “
หยางลี่แค่นั่งลงข้างๆ เสี่ยวหนี่ไม่ได้รู้สึกว่าสำคัญอะไรกับที่ต้องนั่งลงบนก้อนหินบนหาด
“เนื้อปลาของจอมยุทธน้อยเหตุใดจึงต่างออกไป”
“อันนี้คือเนื้อปลา ราดซอสเสฉวนที่จะมีรสเผ็ดและหอมจากเครื่องเทศที่เสี่ยวอี้ผสมไว้ในซอสปรุงรส”
“เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าซอสปรุงรส แปลกจริง ข้าเพิ่งเคยได้ยินคำนี้ครั้งแรก “
“ข้าเรียกน้ำราดก็ได้”
เสี่ยวหนี่เลือกหยิบเอาเนื้อปลานุ่มฟูสีขาวมีน้ำซอสสีเหลืองส่งให้หยางลี่
“ล่วงเกินท่านแล้ว ชิมดูก่อน”
“เจ้าไม่ใช้ตะเกียบหรือ”
“มันมีไหมล่ะตรงนี้ เอาน่าอย่าเรื่องมากเสือยังไม่ต้องใช้ตะเกียบเลย”
” เช่นนั้นข้าไม่มากพิธี “
หยางลี่รู้สึกว่าตัวเองมีความอยากอาหารมากกว่าปกติทั้งๆ ที่พึ่งกินมาจากบ้านตระกูลโจว หารู้ไม่ว่าเป็นเพราะผักคาดหัวแหวน (ผัดเผ็ด) ที่ช่วยเปิดต่อมรับรสที่ลิ้นทำให้รู้สึกอยากอาหารและรสชาติของอาหารดีกว่าปกติ หยิบเนื้อปลาเข้าปาก กลิ่นหอมละมุมของเครื่องเทศโชยเข้าจมูก เนื้อปลารสหวานตัดกับความเผ็ดและรสเค็มจากซอสปรุงรส ความคาวของเนื้อปลาไม่เหลืออยู่ กลิ่นและรสชาติไปในแนวทางเดียวกันนั้นคือรสกลมกล่อม
“อร่อยจัง”
“เห็นไหมข้าบอกแล้ว ท่านลุงท่านไม่ลองชิมด้วยกันหรือ”
ขันทีกวงซุนหยิบเนื้อปลาอย่างเขินๆ เพราะเป็นคนถือตัวแต่ต้องใช้มือในการกินอาหารจึงลำบากใจไม่น้อย
“เอาน่าท่านลุง ข้าไม่บอกใครหรอกว่าท่านเปิบมือ”
ขุนทีกวงซุนเหลือบตามองหยางลี่ที่อมยิ้มพร้อมกับพูดว่า
“ข้าก็จะไม่บอกความลับนี้กับใครเหมือนกัน”
เสี่ยวหนี่ยิ้มสดใส ขันทีกวงซุนหยิบเนื้อปลาใส่ปาก
“ปลาชนิดนี้ปกติแล้วในวังหลวงจะไม่นิยมกินเพราะมีก้างมาก แต่ข้าจำได้ว่าปลาตะเพียนมีรสหวานหอมต่างจากปลาชนิดอื่น แม้จะคาวน้อยกว่าแต่ก็ยังถือว่ามีก้างมากจึงเป็นจุดด้อยของปลาชนิดนี้ ไม่ได้จัดอยู่ในหมู่ของปลาเนื้อแน่นเช่นนั้นการนำมาประกอบอาหารจึงรู้สึกด้อยลงไปไม่เหมือนปลาชนิดอื่นแต่ในวันนี้แม่นางน้อย นำพริกเสฉวนมาปรุงรสทำให้เนื้อปลามีความโดดเด่นแม้ปลาจะกินยากไปหน่อย แต่ความยากของการเลาะเอาก้างออกเพื่อที่จะได้ชิมรสชาติของปลาสดๆ ทำให้รู้สึกว่าคุ้มค่านี่เองคือหัวใจของอาหารอร่อย “หยางลี่พยักหน้าขึ้นลงเห็นด้วยคำพูดของขันทีกวงซุน เสี่ยวหนี่ตะลึงตาค้างตบมือดังๆ ให้กับคำพูดของขันทีกวงซุน“โห่ หลักการสุดๆ เป็นกรรมการมาสเตอร์เชฟป่าวนี่ นับถือๆ แบบนี้เชิญกินได้ตามสบายข้าละชอบจริงๆ คนที่รู้คุณค่าของอาหารและสามารถพูดชมได้อย่างมีศิลปะ ““จริงๆ นะเจ้าค่ะคุณหนู หือปลานี่อร่อยจริงๆ เสี่ยวอี้ไม่เคยกินปลาที่ไหนอร่อยเท่ากับปลาย่างฝีมือคุณหนูมาก่อน”“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่เท่าไหร่ๆ พูดแบบนี้ข้าก็เขินสิ “คนทั้งหมดล้อมวงกินปลาย่างอย่างเอร็ดอร่อยก่อนที่หยางลี่จะขอตัวกลับเสี่ยวหนี่ยังแบ่งปลาตะเพียนตัวใหญ่ เสี่ยวหนี่ดึงปลาอ
“ก็ได้ หากแม่นางมีน้ำใจเพียงนี้ข้าก็ไม่ขัด”“วีระบุรุษช่วยสาวงามอันนี้เข้าใจได้ (ใครไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะ เคลมว่าตัวเองสวยเถอะ) ท่านช่วยข้าก็ควรตอบแทน” เสี่ยวหนี่เดินนำตงเจี้ยนไปที่ประตูทางเข้าสกุลโจว ไม่รู้ว่าฮูหยินโจวจี้เหยานางหูตาไวหรือว่านางว่างกันแน่จึงมาคอยจ้องตามหาเสี่ยวหนี่พอรู้ว่าออกไปข้างนอกก็มารอต้อนรับกลับรอบ่นรอแซะ รอบนี้เห็นเสี่ยวหนี่มีตงเจี้ยนเดินตามมาด้วยก็ปากยื่นปากยาวเสียงแหลมมาทันที“อีกแล้วหรือ หญิงเช่นเจ้าที่ชอบนำพาบุรุษ เข้าบ้านต้องเป็นหญิงเช่นไรกันนะ”“วาจาลื่นไหลไร้แก่นสารจริงๆ ท่านแม่ใหญ่ ท่านไม่พูดเสียบ้างคนที่เขามาใหม่ก็ไม่คิดว่าท่านเป็นใบ้หรอกนะ”“นี่เจ้า เสี่ยวหนี่!”“ข้ารู้แล้วว่าข้าชื่อเสี่ยวหนี่ ถึงก่อนหน้านั้นจะชื่อข้าวนึ่งก็เถอะท่านก็ไม่ต้องเรียกบ่อยๆ ราวกับกลัวว่าข้าจะลืมชื่อตัวเองก็ได้” จี้เหยาเชิดหน้า“ท่านป้า” ตงเจี้ยนประสานมือ“ท่านป้าหรือ ข้าเคยเป็นญาติเจ้าหรือไร”คนผู้นี้มองคนภายนอกให้การแต่งกายด้วยอาภรณ์สีทึมไม่มีป้ายหยกเนื้อดีห้อยที่ข้างกายก็ไม่อยากจะเสวนาด้วย ฮูหยินโจวจี้เหยาเชิดหน้าขึ้นสูงไม่แม้แต่จะมองให้นานกว่านี้ “อย่างไร ไม่ให้เรียกท
” หากบิดาเจ้ารู้ว่าเจ้าขโมยสุราจะไม่ถูกตำหนิหรือไร “” แค่สุราร้อยปี ที่บ้านโจวของเรามีสุราพันปี หมื่นปีมากมายเหลือคณานับ อีกอย่างข้าหยิบมาแค่ไหเดียวไม่มีใครรู้หรอกฮ่าฮ่าฮ่า “เสี่ยวอี้ถือไหสุราเข้ามาในครัวส่งให้เสี่ยวหนี่หมักปลาด้วยสุราร้อยปี เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย"ปลาต้องทอดให้ผิวนอกกรอบ เนื้อในยังนุ่ม" เสี่ยวหนี่กล่าวเสี่ยวหนี่ใช้ผ้าป่านซับปลาให้แห้ง ก่อนคลุกแป้งที่ทำจากข้าวสาลีบาง ๆ แล้วนำลงทอดในน้ำมันร้อนจัด เสียงน้ำมันแตกดัง "ฉ่า"อีกครั้ง ไม่นานต่อจากนั้น ปลาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง กลิ่นหอมลอยเตะจมูก เมื่อเสี่ยวหนี่ตักปลาขึ้นมาพักไว้ ผิวนอกกรอบกรุบ แต่เนื้อข้างในยังดูฉ่ำขาวคราวนี้เสี่ยวอี้ถึงกลับลอบกลืนน้ำลายและสองคนแม่ลูกข้าวจี่พากันย้ายก้นเข้ามาในครัวคงได้กลิ่นหอมของปลาทอด“ปลาทอดหรอกรึ วันนี้เจ้าทำปลาทอดหรอกรึ” ฮูหยินโจวพูดขึ้น“ไม่ใช่สำหรับพวกท่านและนี่คือปลาสามรสแบบโบราณ และข้าไม่ได้ทำเพื่อท่านนี้สำรับท่านพ่อและข้ากับเสี่ยวอี้ที่ไปตกปลามาเท่านั้น” จี้เหวินกัดฟันแน่นเสี่ยวหนียิ้มของดีดีเหมาะกับคนที่ควรคู่เท่านั้น และคนที่ควรคู่หรือไมเสี่ยวหนี่เป็นคนคัดสรร“เจ้าไม่ใ
"มื้อนี้ก็เป็นเจ้าเป็นคนทำเองหรือ? หนี่เอ่อร์" ท่านพ่อถามขึ้น เสี่ยวหนี่หัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า"จะว่าคนเดียวก็ไม่ถูกนักมีเสี่ยวอี้ช่วยเป็นลูกมือข้าเจ้าค่ะ ข้าไปตกปลากับเสี่ยวอี้ได้ปลาตะเพียนตัวใหญ่เพื่อให้ท่านพ่อได้กินอาหารอร่อยๆ และดีต่อสุขภาพด้วย “เมื่อโจวหลิวเยว่ได้จ้วงช้อนลงไปตักเต้าหู้ขึ้นมาพร้อมน้ำซุปร้อนๆ เนื้อเต้าหู้อ่อนนุ่มจนแทบจะละลายในปาก เมื่อได้ซดน้ำซุปข้นๆ ที่หอมขิงอ่อนๆ ตามไปคิ้วที่ขมวดกลับคลายออก "น้ำซุปข้นกำลังดี เนื้อเต้าหู้อ่อนนุ่มข้างในยังเข้มด้วยรสชาติหวานหอมไร้กลิ่นคาว “รสหวานนั้นได้มาจากการเคี่ยวหัวปลาและดึงความหอมหวานส่งต่อเข้าไปในเนื้อเต้าหู้ รสชาติเต้าหู้จึงหอมหวานกลมกล่อม ขิงช่วยทำให้กลิ่นคาวหายไปส่วนปลาสามรส เมื่อโจวหลิวเยว่ใช้ตะเกียบฉีกเนื้อปลาออก กลิ่นหอมยิ่งแตะจมูกเนื้อข้างในฟูขาวแต่ข้างนอกกรอบเหลืองสวยกำลังดี เพียงกัดไปคำเดียวก็พยักหน้าซอสรสหวานเปรี้ยวและเค็มและเผ็ดนิดๆ ที่ซึมเข้าสู่เนื้อปลาทุกอณู กลายเป็นรสชาติที่ผสานกันอย่างลงตัว"รสชาตินี้ยากจะมีใครเหมือน"เสี่ยวหนี่ยิ้มกว้าง แม้ว่าจะยังไม่ได้เป็นแม่ครัวที่เก่งกาจนัก แต่การได้เห็นคนสำคัญของตนมีค
กระทั่งฟ้ามืดหัวหน้าองครักษ์ตงเจี้ยนกลับมาถึงค่ายพักช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ร่างสูงในชุดดำเดินผ่านแนวทหารเวรยามอย่างเงียบขรึม ในมือยังถือกล่องไม้ชั้นเดียวสำหรับใส่อาหาร หากกลิ่นหอมของข้าวและปลาสามรสภายในกลับลอยแตะจมูกแม้ผ่านกล่องไม้หยางลี่ก็นั่งอยู่ใต้ต้นดอกเหมยข้างกระโจมใหญ่เหมือนกันกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ดวงตาคู่คมทอดมองตงเจี้ยนที่เดินเข้ามาหาเงียบๆ โดยไม่กล่าวทักทาย “ถวายพระพรฝ่าบาท”หยางลี่เลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะตัวตงเจี้ยนหากแต่เป็นกล่องไม้ในมือของตงเจี้ยน มองย่างพินิจพิเคราะห์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เจ้าไปเจออะไรน่าสนใจมาหรือ” น้ำเสียงเรียบเย็นของหยางลี่เอ่ยถามขึ้นขณะมองตรงไปยังกล่องอาหารตงเจี้ยนประสานมือ “ของฝากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท… แม่นางน้อยผู้หนึ่งจากตระกูลโจวให้ข้ามา นางกลัวว่าข้าจะหิวระหว่างทาง”คำตอบนั้นทำให้หยางลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาคล้ายมีรอยครุ่นคิด หยางลี่หลุบตาลงช้าๆ คิดถึงเสี่ยวหนี่ขึ้นมาคำพูดของเสี่ยวหนี่ที่กลัวว่าเขาจะหิวระหว่างทาง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะและถ้อยคำแปลกหูของจอมยุทธน้อยที่ยังรู้สึกประทับใจ แต่กลับเป็นอีกคนที่แนะนำตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นบุ
เมืองโจวเมืองโจวในหุบเขาตะวันตกเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ไร้ชื่อเสียงในแผนที่ของแคว้น แต่กลับมีเสน่ห์เกินใคร ผืนไร่ชาที่ไล่เรียงลดหลั่นตามแนวเนินเขา กลิ่นหอมของใบชาที่เพิ่งเด็ดสด ๆ คลุ้งไปกับลมเย็นจากป่าเขาที่โอบล้อมอยู่รอบเมืองลำธารใสไหลผ่านกลางหมู่บ้าน เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วแว่วอยู่เหนือยอดไม้ และทุกยามเช้า ชาวบ้านก็จะสวมหมวกฟาง เดินเข้าสวนชา หรือออกไปเก็บสมุนไพรและเครื่องเทศตามฤดูกาล บรรยากาศสงบสุข ราวกับโลกภายนอกไม่เคยแตะต้องณ กลางเมืองนั้นเอง คือคฤหาสน์ตระกูลโจว เรือนไม้หลังใหญ่ราวกับจวนอ๋องกระนั้นที่ทอดยาวลึกเข้าไปจนสุดเนินเขา ล้อมรอบด้วยสวนหิน ธารน้ำพุร้อนไหลผ่าน และซุ้มดอกไม้ กลิ่นหอมของบุปผาและเครื่องเทศอบอวลในอากาศไม่เคยจางในสวนหลังบ้าน ตรงเรือนพักกลางที่ล้อมด้วยเถาองุ่น จ้าวบ้านใหญ่ของเมือง—โจวหลิวเยว่ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดื่มน้ำชาร้อนจากถ้วยแก้วบาง แม้สีหน้าจะอ่อนล้า แต่ดวงตาของเขากลับอ่อนโยนขณะมองดูบุตรสาวคนเล็กที่กำลังรดน้ำผักริมรั้วไม้เตี้ยๆ ร้องเพลงดังของลิซ่าแบล็กพิงค์อย่างสนุกสนานหลายวันมานี่โจวหลินเยว่กลับรู้สึกว่าบุตรีคนรองที่เคยเงียบขรึมอาจจะเพราะนางถูก
เสี่ยวหนี่หรือ "ข้าวนึ่ง"ของเรา ที่ข้ามภพมาไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ กับบทสนทนาวุ่นวายเมื่อครู่ทำเพียงแค่หยิบเมล็ดฟักทองขึ้นมาอีกเม็ด แกะเปลือกอย่างใจเย็นแล้วส่งเข้าปากเคี้ยวงับๆ“เอ๊ะ…นี่มันเข้าวังจริงเหรอ? ไม่ใช่ไปขายขนมหน้าวังใช่มั้ย จริงสินะ หากเป็นแค่การขาย….ทุกการขายรวมทั้งขายหน้าคุณหนูใหญ่จี้เหวินทำได้ดีอยู่แล้ว” เสี่ยวหนี่พูดขำๆ แววตายังระยิบระยับอย่างขี้เล่น ไม่ต้องเล่าซ้ำเพราะเสี่ยวหนี่ตะแคงหูฟังจนหูหางได้ยินชัดทุกคำ ว่าแต่มีฮ่องเต้มาบ้านทำไม่เสี่ยวหนี่ไม่รู้ หน้าตาจะเป็นแบบไหนนะฮ่องเต้คนนั้น“ข้าเห็นในละครเวลาใครเข้าวังแล้วมักไม่ได้กลับออกมาแบบครบสามสิบสองอะไรงี้... แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็มีของกินทุกวันเนอะ แล้วอย่าลืมไปขาย….หน้าเอาผ้ารอดเอ๊ยขายผ้าเอาหน้ารอดเอ๊ย ขายหน้าเอ๊ยถูกแล้ว”“เสี่ยวหนี่…” ท่านโจวพูดเบาๆ เสียงเขาแผ่วลงราวกับลมผ่านต้นชาบนไหล่เขา “ข้ารู้ว่าข้า... ผิด ข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้าถูกเข้าใจผิด ไม่ควรให้ใครแย่งความดีความชอบไปจากเจ้า และไม่ควรให้เจ้าเข้าไปพัวพันกับเรื่องในวังเลย”เขาหยุดไปชั่วครู่ ลมหายใจหนักหน่วงสะท้อนถึงความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ภายใน“แต่ข้ากลัว…ข้
วังหลวงเดือนเมษายนปีถังเจี้ยนที่24เสี่ยวหนี่ในชุดนางในใหม่เอี่ยมยืนยืดอกตรงหน้าประตูวังหลวงที่สูงตระหง่านเงยหน้ามองประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าแลดูขึงขังเหมือนจะเข้าไปลุยสนามรบกระนั้น“นี่คือสถาน~ แห่งบ้านทรายทอง~ โห ยิ่งใหญ่ไปไหมอ่า ““คุณหนู!เบาๆ หน่อยเพคะ คุณหนู...ไม่กลัวหรือเพคะ”เสี้ยวอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมอง เสี่ยวหนี่หัวเราะเบาๆ พลางแกล้งสะบัดชายเสื้อ“กลัวไปก็เท่านั้น เรามาแล้วก็แค่ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”เสียงฝีเท้าของขันทีน้อยคนหนึ่งขัดจังหวะบทสนทนา “เรียนคุณหนูทั้งสาม เชิญทางนี้ขอรับ ข้าน้อยจะนำไปยังตำหนักฝึกหัดฝ่ายห้องเครื่อง ซึ่งในด่านแรกจะต้องพบกันเรือนพักพวกท่าน ของใช้ส่วนตัวที่นำมาไปเก็บๆ ไว้ที่นั่นได้เลย”เสี่ยวหนี่พยักหน้าเบาๆ พลางเดินออกหน้าตามขันทีไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยมีจี้เหวินเดินตามหลังมาเงียบๆ แม้สีหน้าจะไม่พอใจที่ต้องมาร่วมทางด้วยกัน แต่ก็ไม่กล้าก่อความวุ่นวายกลางวังหลวงเส้นทางเดินปูหินเรียบทอดยาวผ่านสวนไผ่และแปลงสมุนไพร กลิ่นหอมของใบมินต์และขิงลอยอ่อนๆ ตามสายลม เรือนไม้ที่ประดับกระดิ่งลมขนาดเล็กตั้งเรียงรายดูอบอุ่นเป็นกันเอง จนไม่รู้สึกว่ากำลังเดิน
หลิงเชียว ยืนอย่างองอาจขณะกำลังย่างกุ้งแม่น้ำราดน้ำพริกเหล้าบ๊วยลงบนกุ้ง ตัวกุ้งสดเด้งเป็นเงาสีส้มพริบพราย โปะด้วยน้ำพริกที่มีขิงซอย กระเทียมบด และเหล้าบ๊วยจนหอมฉุย เสียงเปลวไฟแตะเปลือกกุ้งดังฉ่าๆ ท่ามกลางคำพูดที่แสดงออกถึงการเป็นคนที่ชอบโอ้อวด เสี่ยวหนี่เกิดอาการตัวชาเพราะตัวเองต้องมาที่นี่เพราะขนมจีบกุ้ง“ข้าจับกุ้งพวกนี้เองกับมือครานั้นที่อ่าวป๋อไห่ กุ้งชนิดนี้หากไม่รู้วิธีปรุงก็จะไม่สามารถดึงเอารสชาติที่แท้จริงออกมาได้ พวกเจ้าเองก็คงไม่รู้สินะ”“ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะข้าไม่ชอบกินกุ้ง แต่หากจะทำให้ผู้อื่นข้าก็ต้องอาศัยหลักการเลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ซึ่งเป็นเรื่องง่ายที่ใครก็รู้กัน”หลิงเชียวผงะเล็กน้อยไม่คิดว่าเคล็ดความลับนี้เสี่ยวหนี่ก็รู้ นึกว่าไม่มีใครรู้นอกจากคนที่อยู่ในแถบทะเลตะวันออกเท่านั้นเฟิงหรานใช้เวลาน้อยแต่ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ด้อยใคร ไก่ผัดพริกสดสไตล์ใต้ พริกสดเขียวแดงบดหยาบ ผัดกับกระเทียมและไก่หั่นเต๋า เคลือบด้วยซอสถั่วหมักจนหอมฉุย ยิ่งผัดยิ่งหอมแรงจนทุกคนต้องแอบเหลียวมองว่ากลิ่นหอมนี้มาจากเตาของใคร“กลิ่นมันเผ็ดถึงใจ...” หลิงเชียวพึมพำเฟิงหรานเพียงยักไหล่ ไม่พูดตอบใดๆ
ครั้นเมื่อแสงตะวันเอียงคล้อยหลบลับหลังแนวเขาทางทิศตะวันตก เงาร่มไม้ทอดยาวลงยังลานกว้างเบื้องหน้าห้องเครื่อง แสงสีทองของอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องกระทบหม้อน้ำและกระทะเหล็กให้แวววาวดั่งหยกเปล่งประกายนั่นคือผลงานจากการทำงานหนักของเหล่านางในฝึกหัดที่ต้องช่วยกันขัดกระทะให้ไร้คราบเคราจนกระทะขึ้นเงาสะท้อนแสงจึงจะเป็นที่พอใจของผู้ฝึกสอนอย่างเหม่ยซู่ที่ละเอียดรอบคอบและทุกอย่างต้องเนี๊ยบที่สุด เสียงฟืนลั่นเปรี๊ยะในเตา คลอเคล้าไปกับกลิ่นอาหารหอมฉุยที่เริ่มโชยลอยออกจากหลายมุม บรรยากาศคึกคักอบอวลไปด้วยกลิ่นพริกหอม น้ำซุปเดือดพล่าน และน้ำมันร้อนที่ร้อนฉ่าในกระทะเหล่านางในห้องเครื่องฝึกหัดที่เหน็ดเหนื่อยจากการสอบในช่วงเช้า ตอนนี้ถึงเวลาได้ร่วมมือร่วมแรงกันทำอาหารอีกคนละจานตามแบบที่ตัวเองถนัด เพื่อแบ่งกินกันในมื้อเย็น นี่ถือเป็นธรรมเนียมเล็กๆ ที่เป็นทั้งการพักผ่อนและฝึกปรือฝีมือไปพร้อมกันของเหล่านางในห้องเครื่องฝึกหัดเสี่ยวหนี่ มีท่าทีสุขุมหากแต่ตาใสจะเรียกว่าดื้อตาใสได้ไหมนะ ใส่ผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อน พลางมัดผมขึ้นลวกๆ ช่วยเสี่ยวอี้ หั่นผักอยู่ข้างเตา เตรียมทำอาหารสามจานในคราวเดียว หนึ่งสำหรับเสี่ยวหนี่
จ้าวหลานเจียวถอยหลังไปเงียบๆ ขันทีกวงซุนเป็นคนจัดเรียงจานด้วยตัวเอง ลงมือทดสอบพิษและเลื่อนจานไปตรงหน้าหยางลี่ ตาคมเหลือบตามองจานไก่ผัดพริกหอมกับน้ำมันงาและไข่เจียวหมูสับที่กลิ่นหอมโชยแตะจมูก ส่วนของหยางซินอวี้ที่เป็นเต้าหู้ทอดผัดกับซอสเผ็ดวางอยู่ตรงหน้า หยางลี่ฮ่องเต้ก็ชะงักเพียงนิดสนใจในไก่ผัดผริกหอมกับน้ำมันงาเพราะกลิ่นหอมของพริกและน้ำมันงาที่ปนกันโชยออกมา“จานนี้…ฝีมือของใคร?”“สองจานนี้มาจากคุณหนูโจวเพคะ” จ้าวหลานเจียวตอบ “คุณหนูโจว?นางมาถึงก็ลงมือปรุงอาหารเลยหรือ”น้ำเสียงแสดงความประหลาดใจ“เพคะ”จ้าวหลานเจียวเพียงแค่ตอบรับ“ตระกูลโจวส่งบุตรีมาฝึกงานในห้องเครื่องสองคนพ่ะย่ะค่ะ ทั้งสองล้วนเป็นธิดาของเจ้าเมืองโจวที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องเทศจากทางใต้” กวงซุนเสริมด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อืม...” หยางลี่หยิบตะเกียบขึ้นโดยไม่พูดอะไรต่อ ก่อนจะคีบไก่ผัดเข้าปากคำหนึ่ง...แล้วชะงักกลิ่นเผ็ดหอมของพริกแห้งปนกระเทียมเจียวและรสกลมกล่อมจากซอสหมักที่แทรกซึมเข้าไปในเนื้อไก่นุ่มกำลังดี กลิ่นน้ำมันงาที่ขึ้นจมูกยามที่เคีัยวเนื้อไก่ก็หอมละมุนทำให้คิ้วเข้มขมวดแน่นค่อยๆคลายออกช้าๆ“นี่มัน...” แม้จะบอกว่าร
แม่ครัวเหม่ยซูเดินผ่านแต่ละโต๊ะอย่างตั้งใจ ให้คำแนะนำและหยุดชิมเล็กน้อย พยักหน้าให้บางคนเพื่อกำลังใจ เมื่อมาถึงโต๊ะของเสี่ยวหนี่ นางชะงักนิดหน่อยมองจานทั้งสอง“อาหารสองชนิดนี้เหมาะจะกินร่วมกัน”“เราสองคนถนัดในด้านนี้ อยู่ที่บ้านข้ามักจะปรุงจานหลักส่วนนางก็เป็นลูกมือปรุงจานรองเพื่อท่านพ่อ ครั้งนี้เราสองพี่น้องจึงอยากแสดงความตั้งใจเจ้าค่ะ เลยช่วยกันทำคนละจานเพื่อให้ท่านพิจารณา” จี้เหวินรีบพูดพร้อมกับยิ้มหวาน ก็มารดานางสั่งสอนมาให้รู้จักเลือกว่าจะเอาใจใครและคนฐานะใดที่ควรจะได้รับการปฏิบัติที่ดีจากจี้เหวินเสี่ยวหนี่ยิ้มมุมปากไม่พูดอะไร แม่ครัวเหม่ยซูเพียงพยักหน้า ไม่แสดงความเห็นก่อนตักไข่เจียวหมูสับขึ้นมาชิมเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนไปลองไก่ผัดพริก ริมฝีปากขยับเบาๆ ราวกับรับรสอย่างละเอียด“รสมือมั่นคง...เข้าใจอุณหภูมิไฟดี” นางกล่าวเรียบๆ แล้วเดินผ่านไปยังโต๊ะถัดไปเสี่ยวหนี่เพียงก้มหน้าหลบคำชมโดยไม่แสดงท่าทีมากนัก ส่วนเซี่ยหยาก็แอบส่งสายตาให้กำลังใจเล็กๆ จากอีกโต๊ะ ยิ้มดีใจด้วยที่เสี่ยวหนี่ได้รับคำชม“ขอบคุณอีกครั้งนะ เซี่ยหยา”เสี่ยวหนี่ขยับตัวเข้าหาเซี่ยหยากล่าวขอบคุณยิ้มๆ เซี่ยหยาหน้าแดงเล
“ไปที่ลานฝึกเถอะ มีนางในฝึกหัดเช่นเดียวกับพวกเจ้ารออยู่ด้านในจะได้ทำความรู้จักเพราะต่อไปข้างหน้าพวกเจ้าจะได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน”เมื่อก้าวเข้าสู่เรือน เสียงจอแจและกลิ่นของอาหารหลากชนิดก็ประดังเข้ามาทันที อบเชย ขิงสด และผักสดหลากชนิดลอยอบอวลในอากาศ บรรยากาศภายในเรือนนั้นคึกคัก เต็มไปด้วยหญิงสาวในชุดผ้ากันเปื้อนหลากสี ต่างกำลังสับเนื้อ ล้างผัก บดเครื่อง หรือจดสูตรลงสมุดกันอย่างขะมักเขม้น“พวกเจ้ามากันใหม่สินะ” สาวร่างสูงหน้าคมนามว่า “หลิงเชียว” ท่าทางมั่นใจจนเกือบดูอวดดี กล่าวขึ้นก่อนใครเพื่อน“ข้า หลิงเชียว ถนัดอาหารทะเลจากชายฝั่งตะวันออก ไม่ได้โม้นะ แต่ข้าเคยเป็นแม่ครัวงานเลี้ยงระดับอ๋องมาแล้ว”“คนนี้ชื่อ ‘เฟิ่งหราน’ มาจากแคว้นใต้ ถนัดทำอาหารเผ็ดแรง พริกแห้งสามกำมือยังถือว่าน้อย” หลิงเชียวแนะนำหญิงสาวหน้าตาโฉบเฉี่ยวที่กำลังสับพริกเสียงดังอีกมุมหนึ่ง หญิงสาวร่างเล็ก ผิวขาวซีด กำลังนั่งบดเมล็ดงาเงียบๆ เหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง ส่งเสียงแผ่วเบา“ข้า...ชื่อเซี่ยหยาเจ้าค่ะ ข้าถนัดทำของหวานนิดหน่อย..อาจจะไม่ดีที่สุดแต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่ข้าพอทำได้.”“เซี่ยหยา ท่าทางเจ้าดูอ่อนโยนนุ่มนวลเห
วังหลวงเดือนเมษายนปีถังเจี้ยนที่24เสี่ยวหนี่ในชุดนางในใหม่เอี่ยมยืนยืดอกตรงหน้าประตูวังหลวงที่สูงตระหง่านเงยหน้ามองประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าแลดูขึงขังเหมือนจะเข้าไปลุยสนามรบกระนั้น“นี่คือสถาน~ แห่งบ้านทรายทอง~ โห ยิ่งใหญ่ไปไหมอ่า ““คุณหนู!เบาๆ หน่อยเพคะ คุณหนู...ไม่กลัวหรือเพคะ”เสี้ยวอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมอง เสี่ยวหนี่หัวเราะเบาๆ พลางแกล้งสะบัดชายเสื้อ“กลัวไปก็เท่านั้น เรามาแล้วก็แค่ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”เสียงฝีเท้าของขันทีน้อยคนหนึ่งขัดจังหวะบทสนทนา “เรียนคุณหนูทั้งสาม เชิญทางนี้ขอรับ ข้าน้อยจะนำไปยังตำหนักฝึกหัดฝ่ายห้องเครื่อง ซึ่งในด่านแรกจะต้องพบกันเรือนพักพวกท่าน ของใช้ส่วนตัวที่นำมาไปเก็บๆ ไว้ที่นั่นได้เลย”เสี่ยวหนี่พยักหน้าเบาๆ พลางเดินออกหน้าตามขันทีไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยมีจี้เหวินเดินตามหลังมาเงียบๆ แม้สีหน้าจะไม่พอใจที่ต้องมาร่วมทางด้วยกัน แต่ก็ไม่กล้าก่อความวุ่นวายกลางวังหลวงเส้นทางเดินปูหินเรียบทอดยาวผ่านสวนไผ่และแปลงสมุนไพร กลิ่นหอมของใบมินต์และขิงลอยอ่อนๆ ตามสายลม เรือนไม้ที่ประดับกระดิ่งลมขนาดเล็กตั้งเรียงรายดูอบอุ่นเป็นกันเอง จนไม่รู้สึกว่ากำลังเดิน
เสี่ยวหนี่หรือ "ข้าวนึ่ง"ของเรา ที่ข้ามภพมาไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ กับบทสนทนาวุ่นวายเมื่อครู่ทำเพียงแค่หยิบเมล็ดฟักทองขึ้นมาอีกเม็ด แกะเปลือกอย่างใจเย็นแล้วส่งเข้าปากเคี้ยวงับๆ“เอ๊ะ…นี่มันเข้าวังจริงเหรอ? ไม่ใช่ไปขายขนมหน้าวังใช่มั้ย จริงสินะ หากเป็นแค่การขาย….ทุกการขายรวมทั้งขายหน้าคุณหนูใหญ่จี้เหวินทำได้ดีอยู่แล้ว” เสี่ยวหนี่พูดขำๆ แววตายังระยิบระยับอย่างขี้เล่น ไม่ต้องเล่าซ้ำเพราะเสี่ยวหนี่ตะแคงหูฟังจนหูหางได้ยินชัดทุกคำ ว่าแต่มีฮ่องเต้มาบ้านทำไม่เสี่ยวหนี่ไม่รู้ หน้าตาจะเป็นแบบไหนนะฮ่องเต้คนนั้น“ข้าเห็นในละครเวลาใครเข้าวังแล้วมักไม่ได้กลับออกมาแบบครบสามสิบสองอะไรงี้... แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็มีของกินทุกวันเนอะ แล้วอย่าลืมไปขาย….หน้าเอาผ้ารอดเอ๊ยขายผ้าเอาหน้ารอดเอ๊ย ขายหน้าเอ๊ยถูกแล้ว”“เสี่ยวหนี่…” ท่านโจวพูดเบาๆ เสียงเขาแผ่วลงราวกับลมผ่านต้นชาบนไหล่เขา “ข้ารู้ว่าข้า... ผิด ข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้าถูกเข้าใจผิด ไม่ควรให้ใครแย่งความดีความชอบไปจากเจ้า และไม่ควรให้เจ้าเข้าไปพัวพันกับเรื่องในวังเลย”เขาหยุดไปชั่วครู่ ลมหายใจหนักหน่วงสะท้อนถึงความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ภายใน“แต่ข้ากลัว…ข้
เมืองโจวเมืองโจวในหุบเขาตะวันตกเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ไร้ชื่อเสียงในแผนที่ของแคว้น แต่กลับมีเสน่ห์เกินใคร ผืนไร่ชาที่ไล่เรียงลดหลั่นตามแนวเนินเขา กลิ่นหอมของใบชาที่เพิ่งเด็ดสด ๆ คลุ้งไปกับลมเย็นจากป่าเขาที่โอบล้อมอยู่รอบเมืองลำธารใสไหลผ่านกลางหมู่บ้าน เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วแว่วอยู่เหนือยอดไม้ และทุกยามเช้า ชาวบ้านก็จะสวมหมวกฟาง เดินเข้าสวนชา หรือออกไปเก็บสมุนไพรและเครื่องเทศตามฤดูกาล บรรยากาศสงบสุข ราวกับโลกภายนอกไม่เคยแตะต้องณ กลางเมืองนั้นเอง คือคฤหาสน์ตระกูลโจว เรือนไม้หลังใหญ่ราวกับจวนอ๋องกระนั้นที่ทอดยาวลึกเข้าไปจนสุดเนินเขา ล้อมรอบด้วยสวนหิน ธารน้ำพุร้อนไหลผ่าน และซุ้มดอกไม้ กลิ่นหอมของบุปผาและเครื่องเทศอบอวลในอากาศไม่เคยจางในสวนหลังบ้าน ตรงเรือนพักกลางที่ล้อมด้วยเถาองุ่น จ้าวบ้านใหญ่ของเมือง—โจวหลิวเยว่ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดื่มน้ำชาร้อนจากถ้วยแก้วบาง แม้สีหน้าจะอ่อนล้า แต่ดวงตาของเขากลับอ่อนโยนขณะมองดูบุตรสาวคนเล็กที่กำลังรดน้ำผักริมรั้วไม้เตี้ยๆ ร้องเพลงดังของลิซ่าแบล็กพิงค์อย่างสนุกสนานหลายวันมานี่โจวหลินเยว่กลับรู้สึกว่าบุตรีคนรองที่เคยเงียบขรึมอาจจะเพราะนางถูก
กระทั่งฟ้ามืดหัวหน้าองครักษ์ตงเจี้ยนกลับมาถึงค่ายพักช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ร่างสูงในชุดดำเดินผ่านแนวทหารเวรยามอย่างเงียบขรึม ในมือยังถือกล่องไม้ชั้นเดียวสำหรับใส่อาหาร หากกลิ่นหอมของข้าวและปลาสามรสภายในกลับลอยแตะจมูกแม้ผ่านกล่องไม้หยางลี่ก็นั่งอยู่ใต้ต้นดอกเหมยข้างกระโจมใหญ่เหมือนกันกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ดวงตาคู่คมทอดมองตงเจี้ยนที่เดินเข้ามาหาเงียบๆ โดยไม่กล่าวทักทาย “ถวายพระพรฝ่าบาท”หยางลี่เลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะตัวตงเจี้ยนหากแต่เป็นกล่องไม้ในมือของตงเจี้ยน มองย่างพินิจพิเคราะห์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เจ้าไปเจออะไรน่าสนใจมาหรือ” น้ำเสียงเรียบเย็นของหยางลี่เอ่ยถามขึ้นขณะมองตรงไปยังกล่องอาหารตงเจี้ยนประสานมือ “ของฝากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท… แม่นางน้อยผู้หนึ่งจากตระกูลโจวให้ข้ามา นางกลัวว่าข้าจะหิวระหว่างทาง”คำตอบนั้นทำให้หยางลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาคล้ายมีรอยครุ่นคิด หยางลี่หลุบตาลงช้าๆ คิดถึงเสี่ยวหนี่ขึ้นมาคำพูดของเสี่ยวหนี่ที่กลัวว่าเขาจะหิวระหว่างทาง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะและถ้อยคำแปลกหูของจอมยุทธน้อยที่ยังรู้สึกประทับใจ แต่กลับเป็นอีกคนที่แนะนำตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นบุ