ข้างหน้านั้น ไก่ผัดพริกสดสไตล์ใต้ของเฟิงหราน เมื่อเสี่ยวหนี่ใช้ตะเกียบในมือคีบเนื้อไก่ขึ้นมาเคี้ยว เสี่ยวหนี่ก็ต้องซดน้ำซุปตามทันทีด้วยความเผ็ดร้อนของพริกแกงจากแดนใต้“โอ๊ย! เผ็ดแสบปลายลิ้น!”“นี่ข้ายังใช้พริกแค่ครึ่งกำมือเองนะ ถ้ากินที่บ้านข้า ต้องเหงื่อตกตลอดมื้อ นี่ข้าลดจำนวนพริกลงไปบ้างเพราะรู้ว่าพวงเจ้าอ่อนหัดยังไงล่ะ” เฟิงหรานหัวเราะเบาๆ “รสจัดจ้านจริงๆ! แต่ก็อร่อยแบบแปลกใหม่… มีกลิ่นหอมของอะไรบางอย่างที่ไม่คุ้น”“พริกเขียวดองกับถั่วหมัก ข้าใส่ผสมเข้าไปด้วย” เฟิงหรานตอบเรียบๆ ขณะตักข้าวเข้าปากไม่หยุดหยางชินอวี้ยื่นชามเล็กใส่ เต้าหู้สอดไส้หมูสับกับเห็ดหอม มาให้อย่างมีมารยาท เสี่ยวหนี่รับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลองชิมอย่างช้าๆ เพื่อซึมซับเอารสชาติให้ได้มากที่สุดเพราะเป็นอาหารรสอ่อนเนื้อเต้าหู้เนียนนุ่มละลายในปากจริงอย่างนางว่าเลย กลิ่นหมูสับละเอียดผสมเห็ดหอม เมื่อกินพร้อมซอสราดบางๆ ที่มีกลิ่นน้ำมันงา กลับให้รสหรูหรานุ่มนวล “เหมือนกินอาหารเปิดงานในงานเลี้ยงเลย… มีกลิ่นแบบพิเศษที่อบอุ่นดี”“เต้าหู้ชั้นยอดก็ต้องอร่อยเป็นธรรมดา วัตถุดิบพวกนี้ข้านำมาจากบ้านหยางเป็นมรดกตกทอดของเรา หากไม่ใช
ใต้ต้นหลิวอีกฝั่งหนึ่ง ไม่ไกลจากแสงไฟนัก เงาร่างระหงของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนสงบเงียบเหม่ยซู หัวหน้าผู้ฝึกสอนประจำตำหนักห้องเครื่อง สวมชุดคลุมผ้าสีทึบทาบทับด้วยผ้าคลุมไหล่สีเดียวกัน นางยืนพิงต้นหลิวแสงจันทร์ยามค่ำเสียงลมเย็นพัดผ่าน.สายตาของเหม่ยซูทอดมองไปยังโต๊ะอาหารใต้แสงไฟตรงกลางลาน หญิงงามวัยแรกรุ่นเจ็ดคนล้อมวงอย่างอบอุ่น เสียงหัวเราะสลับกับเสียงตะเกียบกระทบชามดังเป็นจังหวะเบา ๆ ปะปนไปกับกลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาเป็นระยะ เมื่อสายตาของเหม่ยซู่ตกมายังร่างเล็กที่กำลังยิ้มกว้างขณะคีบข้าวให้เพื่อน คือ เสี่ยวหนี่ เหม่ยซูก็เผลอยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเรือนอารักขาตงเจี้ยนนั่งจิบชาเดินหมากกับองค์หญิงสิบสี่ถังเจี้ยนอันหรู ที่สวมอาภรณ์ราวกับบุรุษ อีกทั้งผมที่รวบเหล้าไว้กลางหัวก็ยังเกล้าจนสูงข้างกายมีกระบี่ที่ประทานให้ด้วยมือของหยางลี่ฮ่องเต้“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชนะแล้ว องค์หญิงเลิกกวนใจข้าได้แล้ว ท่านต้องไปเสียที ข้าชนะถึงสามตารวดตามที่สัญญาแล้วข้ามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการฝึกขี่ม้าให้ทำมากมายไม่มีเวลาเล่นสนุกกับท่านหรอก” อันหรูทำหน้าเง้าดวงตากลมโตมีแววตาสลดลง“ท่านขี้โกงนี่ คนเช่นไรจึงเดินหม
เสี่ยวอี้ยิ้มแห้งๆ“ไปก็ไป แต่คุณหนูสัญญานะเจ้าค่ะว่าจะรีบกลับและจะไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย” เสี่ยวหนี่เขย่ามือเสี่ยวอี้อย่างแรง“ข้าสัญญา”ไม่นานนัก ร่างสองร่างก็แอบลอบลอดเงาไม้อาศัยเงามืดพรางตัว พ้นจากเรือนฝึกหัดออกมาได้อย่างคล่องแคล่วประหนึ่งมืออาชีพวังหลวงกลางคืนแม้จะสงบ แต่ตรอกเล็กข้างนอกก็ยังมีแสงไฟสลัว ๆ ลอดออกมาจากร้านรวง พ่อค้าบางเจ้ายังไม่ยอมเก็บร้าน กลิ่นหอมของหมูย่าง น้ำซุปเคี่ยว เครื่องเทศอบอวลผสมกลิ่นสุราอุ่น ๆ ลอยเข้าจมูก“อือหือ… กลิ่นนี้! สวรรค์บนดินชัด ๆ” เสี่ยวหนี่ทำตาโต“คุณหนูเจ้าขามื้อเย็นก็กินไม่น้อยมาถึงตอนนี้ยังกินได้อีกหรือเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้อดบ่นไม่ได้ เสี่ยวหนี่ถอนหายใจปกติแล้วยามเลิกงานจากร้านอาหารเสี่ยวหนี่มักจะออกมาหาอะไรกินกับเพื่อนและพี่ที่ทำงานจนกลายเป็นเคยตัวทั้งกินทั้งดื่มแล้วกลับไปนอนทั้งสองเดินดุ่มเข้าไปในร้านแผงลอยที่ตั้งเรียงกันใกล้ทางสี่แยกเล็ก ๆ มีทั้งซาลาเปาสอดไส้หอมกรุ่นไอร้อนยังลอยวน บะหมี่สดต้มในน้ำซุปกระดูกไก่ใส่หัวไช้เท้า ต้มจนน้ำใสเส้นบะหมี่เองก็ใสแจ๋ว ข้าวต้มปลา และขาหมูทอดราดน้ำซอสปรุงหวานเค็มแต่ก่อนที่เสี่ยวหนี่จะทันนั่งลง ร่างของคนสอง
“วันนี้ข้าจะเลี้ยงนางเอง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีได้พกเงินปกติทุกครั้งไปไหนจะมีขันทีกวงซุนคอยจ่ายให้ เจ้าพกเงินมาไหม เอาเงินของเจ้าเลี้ยงนางแต่บอกว่าข้าเลี้ยงจะได้หรือเปล่า”ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆจะบอกว่าไม่ได้ก็จะได้หรือบัญชาฝ่าบาท“พ่ะย่ะค่ะ”“พาไปที่ร้านประจำของข้าที่เมืองหลวง… เจ้ารู้ใช่ไหม ร้านที่อยู่ฝั่งทิศใต้ตรงข้ามโรงเตี๊ยมสกุลหลิน”“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ตงเจี้ยนยิ้มมุมปาก“เจ้าสองคนนี่แปลกจริง ๆ หายไปทีเดียวสองคน นึกว่าจะลุกไปหนีหนี้เสียแล้วหรือว่าแอบไปนินทาข้า” เสี่ยวหนี่ว่าพลางกระดกถ้วยสุรา สองข้างแก้มแดงระเรื่อจากแอลกอฮอล์อ่อน ๆ หยางลี่เดินเข้ามาพลางส่งสายตาขำ ๆ“ถ้าเราจะหนีหนี้ คงไม่ชวนเจ้าไปกินอาหารที่แพงกว่านี้หรอก”ทั้งสองคนอมยิ้มพร้อมกัน“พวกท่านจะเลี้ยงข้าหรือแหมลาภปากใจดีที่สุดสหายร้ากกกกก” เสี่ยวหนี่ทำตาโต “คืนนี้…ร้านที่เราจะไป เป็นร้านที่คนธรรมดายังต้องจองล่วงหน้าหลายวันนะ” ตงเจี้ยนยิ้ม “จริงรึ อย่างนั้นเราก็คนพิเศษสินะ ข้าไป! สุราดี ๆ กับอาหารเลิศรส ข้าไม่เคยปฏิเสธหรอก” เสี่ยวหนี่แทบลุกพรวดทันที “คุณหนูเจ้าขาไหนบอกว่าออกมาไม่นานเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้ท้วง“น่าไม่เป็นไรหรอก ข้าด
“ข้าขอตัว” เดินลงมาด้านล่างสั่งคนลากรถให้กลับไปที่จวนอารักขานำเงินจาก อวี้เฉิงมาเพิ่ม สองคนนั้นกินเหมือนงานเลี้ยงฉลองรับตำแหน่งใหม่ทั้งๆ ที่ผ่านมื้อเย็นมาแล้วไม่ใช่เหรอทำราวกับล้างท้องมากระนั้น…ท่านน้าเหม่ยซูเข้มงวดจนพวกนางต้องอดอยากเพียงนี้เชียวหรือมองภาพฝ่าบาทที่ยกสุราให้เสี่ยวหนี่ตรงหน้า แล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ตงเจี้ยนก็ได้แต่ถอนใจเงียบ ๆ อีกครั้ง ฝ่าบาทผู้ไม่พกเงินพรุ่งนี้เขาจะกล้าไปทวงเงินที่ต้องจ่ายวันนี้ไหม คงต้องคุยกับกรมคลังขอเบิกงบสำหรับสนับสนุนด้านนันทนาการกับฝ่าบาทเสียแล้วอาหารทยอยมาเสิร์ฟบนโต๊ะในถาดไม้ กลิ่นหอมของอาหารจาง ๆ ลอยมาพร้อมกับไอร้อนจากซุปกระดูกไก่ ขนมจีบเป๋าฮื้อถูกวางลงในเข่งไม้ไผ่ร้อน ๆ ด้านบนมีน้ำซุปรสกลมกล่อมซึมซาบถึงใจปลาหิมะย่างใบเก๋ากี้มีกลิ่นหอมของชาไหม้จางๆ จากถ่านชา เนื้อปลาสีขาวนวลทาเคลือบด้วยซอสใสหวานเค็ม เนื้อวัวตุ๋นถูกวางบนถาดเหล็กร้อนฉ่า กลิ่นพริกหอมผสมพุทราเคี่ยวส่งกลิ่นหอมจนน้ำลายสอ ทำให้จินตนาการรสชาติว่าคงหวานหอมเนื้อวัวตุ๋นก็คงนุ่มจนละลายในปากเสี่ยวหนี่กัดคำแรกของเกี๊ยวทอดไส้ปู แล้วตาโต“อืมมม! ไส้แน่นมากกกก กลิ่นปูชัด ซอสไข่เค็มเค
“ท่านรู้ไหม…” เสี่ยวหนี่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยแต่ร่าเริง “บ้านเกิดของข้า… มีร้านขนมตั้งหลายร้าน! เดินไปนิดเดียวก็เจอร้านบะหมี่ ร้านข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่! แล้วข้างบ้านข้าก็มีร้านขายชาไข่มุก…เจ้าเคยกินไหม?”“ชา…ไข่มุก? คงเป็นอาหารที่สูงส่งสินะไข่มุกนำมาทำชาน่าทึ่งจริงๆ” ตงเจี้ยนทวนเสียงเบา ๆ พลางขมวดคิ้วงุนงง“ใช่! เป็นชาใส่นม แล้วก็มีลูกกลม ๆ ดำ ๆ อยู่ข้างใน มันเด้ง ๆ เคี้ยวเพลินมากเลยล่ะ!ไม่ใช่ไข่มุกจริงๆ หรอกน่าเขาแค่เปรียบเปรย” เสี่ยวหนี่อธิบายเสียงดังฟังชัด มือก็วาดภาพกลางอากาศประกอบ“มีร้านชื่ออะไรน้า… โอ้! ใช่แล้ว! มีร้านชื่อเสี่ยวฉุนอวี้ อร่อยสุดๆ แต่เชื่อไหมร้านนั้นนะน่ะชื่อเป็นจีนแต่เมนูส้มตำอร่อยสุดยอดไปเลย ถ้าข้าได้กลับไปนะ จะพาท่านสองคนไปกิน!ทั้งส้มตำและชาไข่มุก”หยางลี่ยิ้มบาง ๆ เขายกจอกสุราขึ้นจิบอีกครั้ง “เจ้าคงคิดถึงบ้านมากเลยสินะ”“ใช่…คิดถึงชาไข่มุกด้วย” เสียงของเสี่ยวหนี่เบาลงชั่วขณะ ดวงตาวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มกว้างอีกครั้ง “แต่ตอนนี้…ข้ามีพวกท่านแล้วนี่! ข้ามีเพื่อน!ไม่สิสหายจอมยุทธ์ แน่จริงก็เข้ามา คารวะท่านผู้อาวุโส เว่ยเส้าเทียนคือพ่อของเจ้า ซ
ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่ก็ต้องให้อวี้เฉิงเป็นคนจัดการเรื่องค่าอาหารและเครื่องดื่มหากมาบ่อยๆ เขาคงตัวเบาลงเพราะจน “ถ้ายังจะกลับไปเรือนห้องเครื่องตอนนี้ คงลำบากมากแน่” หยางลี่เอ่ยเรียบ ๆตงเจี้ยนพยักหน้าขึ้นลง“ใกล้สุดน่าจะเป็นเรือนอารักขาของข้าน้อย พักได้สะดวกกว่า อีกอย่าง... ขืนพาไปวังในตอนนี้ คงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม”"ไม่หรอกน่าท่านป้าเหม่ยซูใจดีที่สุด"หยางลี่หันมาทางเสี่ยวอี้ที่ประคองเสี่ยวหนี่อยู่ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา“ให้พวกเจ้าพักที่เรือนอารักขาก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”“เรือน...อารักขา เรือนอารักขา เรือนอารัก ….ขาเหมือนขาหมูไหมฮ่าาาาา” เสี่ยวอี้ถอนหายใจกับเสียงเจื้อยแจ้วของหนี่ฮวา ตงเจี้ยนเองถอนใจเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ข้าทำหน้าที่องครักษ์ถวายอารักขาโดยตรง พอดีช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราความสงบในเมือง...”“แอบหนีไปเที่ยวยังกล้าบอกว่าตรวจตราฮ่าาาา” เสี่ยวหนี่ที่เพิ่งเงยหน้าจากอาการมึนงงเบิกตากว้าง “เงียบๆ ไว้อย่าแพร่งพรายเชียว ข้าจะไม่ได้ออกไปร่ำสุรากับเจ้าอีกหากมีคนรู้ความลับนี้”“โอเคๆๆ” เสี่ยวหนี่ตอบพร้อมกับยิ้มตาหยี“แล้วท่านล่ะ? อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ทัพ เป็นทูต
ตำหนักพระพันปีที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับสามรองจากตำหนักชิงหนิงกงของฮองเฮาบัดนี้พระพันปีหรือไทเฮาฟู่ฉีนั่งบนบัลลังก์ทองใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าความรู้สึกภายในใจเมื่อพบหน้าชวีหยา ชวีหยาตำแหน่งกุ้ยเฟยผู้งดงามอ่อนหวานแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่สายตาที่ถอดมองผู้อื่นอ่อนโยนอบอุ่นเหมือนมารดากระนั้น อาภรณ์สีมุกขลิบลวดลายสีทองด้านหลังปักรูปหงส์สยายปีกพร้อมโบยบินแม้จะไม่ได้สะกดสายตาผู้พบเห็นแต่ก็ทำให้ผู้ที่พบเจออดที่จะหันมองซ้ำไม่ได้ ฝีเท้าที่ก้าวเดินราวกับวิ่งแต่ทว่าในใจอยากจะมีเวทมนตร์พาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าไทเฮาในทันที ชวีหยาไม่ลืมที่จะย่อกายลงอย่างงดงามแม้จะร้อนใจเพียงใด นั้นยิ่งทำให้ชวีหยามีกิริยาน่ามอง นางงดงามเกินกว่าจะนั่งในตำแหน่งอื่นใดคงเกิดมาเพื่อตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้นแต่เสียดายที่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังนั่งแค่ตำแหน่งกุ้ยเฟย“ทรงประชวรว่าด้วยไม่อยากอาหารมาหลายวันแล้ว จะทำอย่างไรดีเพคะไทเฮา”ด้วยความกังวลใจที่เก็บสะสมไว้จึงกลั่นออกมาเป็นคำพูดในทันทีโดยที่ไม่ได้เกริ่นนำ“อย่าเรียกว่าอาการประชวรเลย คงแค่ไม่มีของที่ชอบ ปกติหยางหยางมักจะกินแต่ของโปรดมาตั้งแต่เด็กๆ” ไทเฮาฟู่ฉีหยิบกำไลหยกขึ้นมาพิ
ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่ก็ต้องให้อวี้เฉิงเป็นคนจัดการเรื่องค่าอาหารและเครื่องดื่มหากมาบ่อยๆ เขาคงตัวเบาลงเพราะจน “ถ้ายังจะกลับไปเรือนห้องเครื่องตอนนี้ คงลำบากมากแน่” หยางลี่เอ่ยเรียบ ๆตงเจี้ยนพยักหน้าขึ้นลง“ใกล้สุดน่าจะเป็นเรือนอารักขาของข้าน้อย พักได้สะดวกกว่า อีกอย่าง... ขืนพาไปวังในตอนนี้ คงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม”"ไม่หรอกน่าท่านป้าเหม่ยซูใจดีที่สุด"หยางลี่หันมาทางเสี่ยวอี้ที่ประคองเสี่ยวหนี่อยู่ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา“ให้พวกเจ้าพักที่เรือนอารักขาก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”“เรือน...อารักขา เรือนอารักขา เรือนอารัก ….ขาเหมือนขาหมูไหมฮ่าาาาา” เสี่ยวอี้ถอนหายใจกับเสียงเจื้อยแจ้วของหนี่ฮวา ตงเจี้ยนเองถอนใจเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ข้าทำหน้าที่องครักษ์ถวายอารักขาโดยตรง พอดีช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราความสงบในเมือง...”“แอบหนีไปเที่ยวยังกล้าบอกว่าตรวจตราฮ่าาาา” เสี่ยวหนี่ที่เพิ่งเงยหน้าจากอาการมึนงงเบิกตากว้าง “เงียบๆ ไว้อย่าแพร่งพรายเชียว ข้าจะไม่ได้ออกไปร่ำสุรากับเจ้าอีกหากมีคนรู้ความลับนี้”“โอเคๆๆ” เสี่ยวหนี่ตอบพร้อมกับยิ้มตาหยี“แล้วท่านล่ะ? อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ทัพ เป็นทูต
“ท่านรู้ไหม…” เสี่ยวหนี่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยแต่ร่าเริง “บ้านเกิดของข้า… มีร้านขนมตั้งหลายร้าน! เดินไปนิดเดียวก็เจอร้านบะหมี่ ร้านข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่! แล้วข้างบ้านข้าก็มีร้านขายชาไข่มุก…เจ้าเคยกินไหม?”“ชา…ไข่มุก? คงเป็นอาหารที่สูงส่งสินะไข่มุกนำมาทำชาน่าทึ่งจริงๆ” ตงเจี้ยนทวนเสียงเบา ๆ พลางขมวดคิ้วงุนงง“ใช่! เป็นชาใส่นม แล้วก็มีลูกกลม ๆ ดำ ๆ อยู่ข้างใน มันเด้ง ๆ เคี้ยวเพลินมากเลยล่ะ!ไม่ใช่ไข่มุกจริงๆ หรอกน่าเขาแค่เปรียบเปรย” เสี่ยวหนี่อธิบายเสียงดังฟังชัด มือก็วาดภาพกลางอากาศประกอบ“มีร้านชื่ออะไรน้า… โอ้! ใช่แล้ว! มีร้านชื่อเสี่ยวฉุนอวี้ อร่อยสุดๆ แต่เชื่อไหมร้านนั้นนะน่ะชื่อเป็นจีนแต่เมนูส้มตำอร่อยสุดยอดไปเลย ถ้าข้าได้กลับไปนะ จะพาท่านสองคนไปกิน!ทั้งส้มตำและชาไข่มุก”หยางลี่ยิ้มบาง ๆ เขายกจอกสุราขึ้นจิบอีกครั้ง “เจ้าคงคิดถึงบ้านมากเลยสินะ”“ใช่…คิดถึงชาไข่มุกด้วย” เสียงของเสี่ยวหนี่เบาลงชั่วขณะ ดวงตาวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มกว้างอีกครั้ง “แต่ตอนนี้…ข้ามีพวกท่านแล้วนี่! ข้ามีเพื่อน!ไม่สิสหายจอมยุทธ์ แน่จริงก็เข้ามา คารวะท่านผู้อาวุโส เว่ยเส้าเทียนคือพ่อของเจ้า ซ
“ข้าขอตัว” เดินลงมาด้านล่างสั่งคนลากรถให้กลับไปที่จวนอารักขานำเงินจาก อวี้เฉิงมาเพิ่ม สองคนนั้นกินเหมือนงานเลี้ยงฉลองรับตำแหน่งใหม่ทั้งๆ ที่ผ่านมื้อเย็นมาแล้วไม่ใช่เหรอทำราวกับล้างท้องมากระนั้น…ท่านน้าเหม่ยซูเข้มงวดจนพวกนางต้องอดอยากเพียงนี้เชียวหรือมองภาพฝ่าบาทที่ยกสุราให้เสี่ยวหนี่ตรงหน้า แล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ตงเจี้ยนก็ได้แต่ถอนใจเงียบ ๆ อีกครั้ง ฝ่าบาทผู้ไม่พกเงินพรุ่งนี้เขาจะกล้าไปทวงเงินที่ต้องจ่ายวันนี้ไหม คงต้องคุยกับกรมคลังขอเบิกงบสำหรับสนับสนุนด้านนันทนาการกับฝ่าบาทเสียแล้วอาหารทยอยมาเสิร์ฟบนโต๊ะในถาดไม้ กลิ่นหอมของอาหารจาง ๆ ลอยมาพร้อมกับไอร้อนจากซุปกระดูกไก่ ขนมจีบเป๋าฮื้อถูกวางลงในเข่งไม้ไผ่ร้อน ๆ ด้านบนมีน้ำซุปรสกลมกล่อมซึมซาบถึงใจปลาหิมะย่างใบเก๋ากี้มีกลิ่นหอมของชาไหม้จางๆ จากถ่านชา เนื้อปลาสีขาวนวลทาเคลือบด้วยซอสใสหวานเค็ม เนื้อวัวตุ๋นถูกวางบนถาดเหล็กร้อนฉ่า กลิ่นพริกหอมผสมพุทราเคี่ยวส่งกลิ่นหอมจนน้ำลายสอ ทำให้จินตนาการรสชาติว่าคงหวานหอมเนื้อวัวตุ๋นก็คงนุ่มจนละลายในปากเสี่ยวหนี่กัดคำแรกของเกี๊ยวทอดไส้ปู แล้วตาโต“อืมมม! ไส้แน่นมากกกก กลิ่นปูชัด ซอสไข่เค็มเค
“วันนี้ข้าจะเลี้ยงนางเอง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีได้พกเงินปกติทุกครั้งไปไหนจะมีขันทีกวงซุนคอยจ่ายให้ เจ้าพกเงินมาไหม เอาเงินของเจ้าเลี้ยงนางแต่บอกว่าข้าเลี้ยงจะได้หรือเปล่า”ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆจะบอกว่าไม่ได้ก็จะได้หรือบัญชาฝ่าบาท“พ่ะย่ะค่ะ”“พาไปที่ร้านประจำของข้าที่เมืองหลวง… เจ้ารู้ใช่ไหม ร้านที่อยู่ฝั่งทิศใต้ตรงข้ามโรงเตี๊ยมสกุลหลิน”“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ตงเจี้ยนยิ้มมุมปาก“เจ้าสองคนนี่แปลกจริง ๆ หายไปทีเดียวสองคน นึกว่าจะลุกไปหนีหนี้เสียแล้วหรือว่าแอบไปนินทาข้า” เสี่ยวหนี่ว่าพลางกระดกถ้วยสุรา สองข้างแก้มแดงระเรื่อจากแอลกอฮอล์อ่อน ๆ หยางลี่เดินเข้ามาพลางส่งสายตาขำ ๆ“ถ้าเราจะหนีหนี้ คงไม่ชวนเจ้าไปกินอาหารที่แพงกว่านี้หรอก”ทั้งสองคนอมยิ้มพร้อมกัน“พวกท่านจะเลี้ยงข้าหรือแหมลาภปากใจดีที่สุดสหายร้ากกกกก” เสี่ยวหนี่ทำตาโต “คืนนี้…ร้านที่เราจะไป เป็นร้านที่คนธรรมดายังต้องจองล่วงหน้าหลายวันนะ” ตงเจี้ยนยิ้ม “จริงรึ อย่างนั้นเราก็คนพิเศษสินะ ข้าไป! สุราดี ๆ กับอาหารเลิศรส ข้าไม่เคยปฏิเสธหรอก” เสี่ยวหนี่แทบลุกพรวดทันที “คุณหนูเจ้าขาไหนบอกว่าออกมาไม่นานเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้ท้วง“น่าไม่เป็นไรหรอก ข้าด
เสี่ยวอี้ยิ้มแห้งๆ“ไปก็ไป แต่คุณหนูสัญญานะเจ้าค่ะว่าจะรีบกลับและจะไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย” เสี่ยวหนี่เขย่ามือเสี่ยวอี้อย่างแรง“ข้าสัญญา”ไม่นานนัก ร่างสองร่างก็แอบลอบลอดเงาไม้อาศัยเงามืดพรางตัว พ้นจากเรือนฝึกหัดออกมาได้อย่างคล่องแคล่วประหนึ่งมืออาชีพวังหลวงกลางคืนแม้จะสงบ แต่ตรอกเล็กข้างนอกก็ยังมีแสงไฟสลัว ๆ ลอดออกมาจากร้านรวง พ่อค้าบางเจ้ายังไม่ยอมเก็บร้าน กลิ่นหอมของหมูย่าง น้ำซุปเคี่ยว เครื่องเทศอบอวลผสมกลิ่นสุราอุ่น ๆ ลอยเข้าจมูก“อือหือ… กลิ่นนี้! สวรรค์บนดินชัด ๆ” เสี่ยวหนี่ทำตาโต“คุณหนูเจ้าขามื้อเย็นก็กินไม่น้อยมาถึงตอนนี้ยังกินได้อีกหรือเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้อดบ่นไม่ได้ เสี่ยวหนี่ถอนหายใจปกติแล้วยามเลิกงานจากร้านอาหารเสี่ยวหนี่มักจะออกมาหาอะไรกินกับเพื่อนและพี่ที่ทำงานจนกลายเป็นเคยตัวทั้งกินทั้งดื่มแล้วกลับไปนอนทั้งสองเดินดุ่มเข้าไปในร้านแผงลอยที่ตั้งเรียงกันใกล้ทางสี่แยกเล็ก ๆ มีทั้งซาลาเปาสอดไส้หอมกรุ่นไอร้อนยังลอยวน บะหมี่สดต้มในน้ำซุปกระดูกไก่ใส่หัวไช้เท้า ต้มจนน้ำใสเส้นบะหมี่เองก็ใสแจ๋ว ข้าวต้มปลา และขาหมูทอดราดน้ำซอสปรุงหวานเค็มแต่ก่อนที่เสี่ยวหนี่จะทันนั่งลง ร่างของคนสอง
ใต้ต้นหลิวอีกฝั่งหนึ่ง ไม่ไกลจากแสงไฟนัก เงาร่างระหงของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนสงบเงียบเหม่ยซู หัวหน้าผู้ฝึกสอนประจำตำหนักห้องเครื่อง สวมชุดคลุมผ้าสีทึบทาบทับด้วยผ้าคลุมไหล่สีเดียวกัน นางยืนพิงต้นหลิวแสงจันทร์ยามค่ำเสียงลมเย็นพัดผ่าน.สายตาของเหม่ยซูทอดมองไปยังโต๊ะอาหารใต้แสงไฟตรงกลางลาน หญิงงามวัยแรกรุ่นเจ็ดคนล้อมวงอย่างอบอุ่น เสียงหัวเราะสลับกับเสียงตะเกียบกระทบชามดังเป็นจังหวะเบา ๆ ปะปนไปกับกลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาเป็นระยะ เมื่อสายตาของเหม่ยซู่ตกมายังร่างเล็กที่กำลังยิ้มกว้างขณะคีบข้าวให้เพื่อน คือ เสี่ยวหนี่ เหม่ยซูก็เผลอยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเรือนอารักขาตงเจี้ยนนั่งจิบชาเดินหมากกับองค์หญิงสิบสี่ถังเจี้ยนอันหรู ที่สวมอาภรณ์ราวกับบุรุษ อีกทั้งผมที่รวบเหล้าไว้กลางหัวก็ยังเกล้าจนสูงข้างกายมีกระบี่ที่ประทานให้ด้วยมือของหยางลี่ฮ่องเต้“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชนะแล้ว องค์หญิงเลิกกวนใจข้าได้แล้ว ท่านต้องไปเสียที ข้าชนะถึงสามตารวดตามที่สัญญาแล้วข้ามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการฝึกขี่ม้าให้ทำมากมายไม่มีเวลาเล่นสนุกกับท่านหรอก” อันหรูทำหน้าเง้าดวงตากลมโตมีแววตาสลดลง“ท่านขี้โกงนี่ คนเช่นไรจึงเดินหม
ข้างหน้านั้น ไก่ผัดพริกสดสไตล์ใต้ของเฟิงหราน เมื่อเสี่ยวหนี่ใช้ตะเกียบในมือคีบเนื้อไก่ขึ้นมาเคี้ยว เสี่ยวหนี่ก็ต้องซดน้ำซุปตามทันทีด้วยความเผ็ดร้อนของพริกแกงจากแดนใต้“โอ๊ย! เผ็ดแสบปลายลิ้น!”“นี่ข้ายังใช้พริกแค่ครึ่งกำมือเองนะ ถ้ากินที่บ้านข้า ต้องเหงื่อตกตลอดมื้อ นี่ข้าลดจำนวนพริกลงไปบ้างเพราะรู้ว่าพวงเจ้าอ่อนหัดยังไงล่ะ” เฟิงหรานหัวเราะเบาๆ “รสจัดจ้านจริงๆ! แต่ก็อร่อยแบบแปลกใหม่… มีกลิ่นหอมของอะไรบางอย่างที่ไม่คุ้น”“พริกเขียวดองกับถั่วหมัก ข้าใส่ผสมเข้าไปด้วย” เฟิงหรานตอบเรียบๆ ขณะตักข้าวเข้าปากไม่หยุดหยางชินอวี้ยื่นชามเล็กใส่ เต้าหู้สอดไส้หมูสับกับเห็ดหอม มาให้อย่างมีมารยาท เสี่ยวหนี่รับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลองชิมอย่างช้าๆ เพื่อซึมซับเอารสชาติให้ได้มากที่สุดเพราะเป็นอาหารรสอ่อนเนื้อเต้าหู้เนียนนุ่มละลายในปากจริงอย่างนางว่าเลย กลิ่นหมูสับละเอียดผสมเห็ดหอม เมื่อกินพร้อมซอสราดบางๆ ที่มีกลิ่นน้ำมันงา กลับให้รสหรูหรานุ่มนวล “เหมือนกินอาหารเปิดงานในงานเลี้ยงเลย… มีกลิ่นแบบพิเศษที่อบอุ่นดี”“เต้าหู้ชั้นยอดก็ต้องอร่อยเป็นธรรมดา วัตถุดิบพวกนี้ข้านำมาจากบ้านหยางเป็นมรดกตกทอดของเรา หากไม่ใช
หลิงเชียว ยืนอย่างองอาจขณะกำลังย่างกุ้งแม่น้ำราดน้ำพริกเหล้าบ๊วยลงบนกุ้ง ตัวกุ้งสดเด้งเป็นเงาสีส้มพริบพราย โปะด้วยน้ำพริกที่มีขิงซอย กระเทียมบด และเหล้าบ๊วยจนหอมฉุย เสียงเปลวไฟแตะเปลือกกุ้งดังฉ่าๆ ท่ามกลางคำพูดที่แสดงออกถึงการเป็นคนที่ชอบโอ้อวด เสี่ยวหนี่เกิดอาการตัวชาเพราะตัวเองต้องมาที่นี่เพราะขนมจีบกุ้ง“ข้าจับกุ้งพวกนี้เองกับมือครานั้นที่อ่าวป๋อไห่ กุ้งชนิดนี้หากไม่รู้วิธีปรุงก็จะไม่สามารถดึงเอารสชาติที่แท้จริงออกมาได้ พวกเจ้าเองก็คงไม่รู้สินะ”“ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะข้าไม่ชอบกินกุ้ง แต่หากจะทำให้ผู้อื่นข้าก็ต้องอาศัยหลักการเลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ซึ่งเป็นเรื่องง่ายที่ใครก็รู้กัน”หลิงเชียวผงะเล็กน้อยไม่คิดว่าเคล็ดความลับนี้เสี่ยวหนี่ก็รู้ นึกว่าไม่มีใครรู้นอกจากคนที่อยู่ในแถบทะเลตะวันออกเท่านั้นเฟิงหรานใช้เวลาน้อยแต่ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ด้อยใคร ไก่ผัดพริกสดสไตล์ใต้ พริกสดเขียวแดงบดหยาบ ผัดกับกระเทียมและไก่หั่นเต๋า เคลือบด้วยซอสถั่วหมักจนหอมฉุย ยิ่งผัดยิ่งหอมแรงจนทุกคนต้องแอบเหลียวมองว่ากลิ่นหอมนี้มาจากเตาของใคร“กลิ่นมันเผ็ดถึงใจ...” หลิงเชียวพึมพำเฟิงหรานเพียงยักไหล่ ไม่พูดตอบใดๆ
ครั้นเมื่อแสงตะวันเอียงคล้อยหลบลับหลังแนวเขาทางทิศตะวันตก เงาร่มไม้ทอดยาวลงยังลานกว้างเบื้องหน้าห้องเครื่อง แสงสีทองของอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องกระทบหม้อน้ำและกระทะเหล็กให้แวววาวดั่งหยกเปล่งประกายนั่นคือผลงานจากการทำงานหนักของเหล่านางในฝึกหัดที่ต้องช่วยกันขัดกระทะให้ไร้คราบเคราจนกระทะขึ้นเงาสะท้อนแสงจึงจะเป็นที่พอใจของผู้ฝึกสอนอย่างเหม่ยซู่ที่ละเอียดรอบคอบและทุกอย่างต้องเนี๊ยบที่สุด เสียงฟืนลั่นเปรี๊ยะในเตา คลอเคล้าไปกับกลิ่นอาหารหอมฉุยที่เริ่มโชยลอยออกจากหลายมุม บรรยากาศคึกคักอบอวลไปด้วยกลิ่นพริกหอม น้ำซุปเดือดพล่าน และน้ำมันร้อนที่ร้อนฉ่าในกระทะเหล่านางในห้องเครื่องฝึกหัดที่เหน็ดเหนื่อยจากการสอบในช่วงเช้า ตอนนี้ถึงเวลาได้ร่วมมือร่วมแรงกันทำอาหารอีกคนละจานตามแบบที่ตัวเองถนัด เพื่อแบ่งกินกันในมื้อเย็น นี่ถือเป็นธรรมเนียมเล็กๆ ที่เป็นทั้งการพักผ่อนและฝึกปรือฝีมือไปพร้อมกันของเหล่านางในห้องเครื่องฝึกหัดเสี่ยวหนี่ มีท่าทีสุขุมหากแต่ตาใสจะเรียกว่าดื้อตาใสได้ไหมนะ ใส่ผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อน พลางมัดผมขึ้นลวกๆ ช่วยเสี่ยวอี้ หั่นผักอยู่ข้างเตา เตรียมทำอาหารสามจานในคราวเดียว หนึ่งสำหรับเสี่ยวหนี่