“ก็ได้ หากแม่นางมีน้ำใจเพียงนี้ข้าก็ไม่ขัด”
“วีระบุรุษช่วยสาวงามอันนี้เข้าใจได้ (ใครไม่สวยก็เหนื่อยหน่อยนะ เคลมว่าตัวเองสวยเถอะ) ท่านช่วยข้าก็ควรตอบแทน”
เสี่ยวหนี่เดินนำตงเจี้ยนไปที่ประตูทางเข้าสกุลโจว ไม่รู้ว่าฮูหยินโจวจี้เหยานางหูตาไวหรือว่านางว่างกันแน่จึงมาคอยจ้องตามหาเสี่ยวหนี่พอรู้ว่าออกไปข้างนอกก็มารอต้อนรับกลับรอบ่นรอแซะ รอบนี้เห็นเสี่ยวหนี่มีตงเจี้ยนเดินตามมาด้วยก็ปากยื่นปากยาวเสียงแหลมมาทันที
“อีกแล้วหรือ หญิงเช่นเจ้าที่ชอบนำพาบุรุษ เข้าบ้านต้องเป็นหญิงเช่นไรกันนะ”
“วาจาลื่นไหลไร้แก่นสารจริงๆ ท่านแม่ใหญ่ ท่านไม่พูดเสียบ้างคนที่เขามาใหม่ก็ไม่คิดว่าท่านเป็นใบ้หรอกนะ”
“นี่เจ้า เสี่ยวหนี่!”
“ข้ารู้แล้วว่าข้าชื่อเสี่ยวหนี่ ถึงก่อนหน้านั้นจะชื่อข้าวนึ่งก็เถอะท่านก็ไม่ต้องเรียกบ่อยๆ ราวกับกลัวว่าข้าจะลืมชื่อตัวเองก็ได้” จี้เหยาเชิดหน้า
“ท่านป้า” ตงเจี้ยนประสานมือ
“ท่านป้าหรือ ข้าเคยเป็นญาติเจ้าหรือไร”
คนผู้นี้มองคนภายนอกให้การแต่งกายด้วยอาภรณ์สีทึมไม่มีป้ายหยกเนื้อดีห้อยที่ข้างกายก็ไม่อยากจะเสวนาด้วย ฮูหยินโจวจี้เหยาเชิดหน้าขึ้นสูงไม่แม้แต่จะมองให้นานกว่านี้
“อย่างไร ไม่ให้เรียกท่านป้าจะให้ให้เรียกท่านยายหรือเจ้าค่ะท่านแม่ใหญ่ หรือจะให้เรียกท่านพี่เรียกพี่ได้ไหมมมมม”
“นี่เจ้า” ยกมือขึ้นมาชี้หน้าเสี่ยวหนี่
“ไปกันเถอะบ้านนี้ข้าคุมได้อยู่หมัดแล้ว ข้าให้เสี่ยวอี้ทำแผลให้ท่านส่วนข้าตอนนี้ได้เวลาอาหารเย็นของท่านพ่อข้าแล้ว อือ ท่านอยู่ทานข้าวเย็นกับข้าก่อนก็ได้นะวันนี้ข้าได้ปลามาเยอะเชียว นี่ขนาดแบ่งให้คนจรไปแล้วตัวหนึ่งนะเนี๊ยะ”
“บ้านโจวนี่ครึกครื้นจริงเชียว ตั้งแต่เจ้าฟื้นขึ้นมา คนแบบไหนเจ้าก็คบหาแม้กระทั่งคนจร”
“ท่านแม่ใหญ่เจ้าขาาา แต่เขาเป็นคนจรที่แต่งตัวดูดีมากนะเจ้าค่ะ เสื้อผ้าที่ใส่นี่เนื้อดีกว่าของท่านแม่ใหญ่เสียอีกถึงจะดูผอมไปหน่อยก็เถอะ”
เสี้ยวหนี่ดึงมือตงเจี้ยนวิ่งเข้าไปในเรือนคหบดีเสี้ยวอี้ตามไปติดๆ จี้เหวินที่ออกมาที่หลังมองตามร่างสูงของตงเจี้ยน
“ท่านแม่เจ้าขานางพาใครมาบ้านเรา ท่านแม่ไม่ดุด่านางหรือ ท่านแม่ชักจะดีกับนางมากไปแล้ว พักหลังๆ มานี้นางเหิมเกริมคิดว่าตัวเองเป็นเจ้าบ้านหรือไร “จี้เหวินพูดขึ้นด้วยสีหน้าแสดงความขัดใจอย่างที่สุด
"ปล่อยนางไปก่อน"
"ท่านแม่นี่ท่านยอมแพ้นางหรือ เราสองคนเคยข่มเหงนางมาตลอดทำไมตอนนี้ท่านแม่ถึงยอมง่ายดาย"
” ข้าไม่กล้ากับนางแล้ว เจ้ารู้ไหมท่านพ่ออาการดีขึ้นตั้งแต่นางทำอาหารและดูแลใส่ใจกว่าเมื่อก่อนหนี่ฮวาที่เอาแต่เย็บปักถักร้อยและเก็บตัวเงียบ ทำอาหารแล้วก็หลบเข้าห้องของนาง ผีเข้านางหรือไรนางจึงเปลี่ยนไปเพียงนี้ ขืนไปกล้ากับนางไม่ใช่แค่นางฟ้องพ่อนาง นางอาจจะจัดการกับเราสองคนแม่ลูกครั้งนี้จะต้องวางเแผนมิใช่คิดจะทำอะไรก็ทำ"ทนกล้ำกลืนสักพีก ยอมรับว่าเสี่ยวหนี่ที่กลับมาจากความตายในครั้งนี้นางร้ายกาจไม่น้อย
“มาๆ นั่งก่อน นั่งก่อน เสี้ยวอี้เจ้ามาทำแผลให้จอมยุทธ์หนุ่มผู้นี้”
“คุณหนูเจ้าขาไม่มีแล้วค่ะจอมยุทธ์”
“อ้าวเหรอน่าเสียดายนะเนี้ย ของดีๆ แบบนี้ปล่อยให้หายไปได้ยังไงทำไมไม่สืบสานไว้ ช่างเถอะช่างเถอะ ในสายตาข้าบุรุษผู้นั้นเป็นคนจร ท่านก็คงเป็นคนเร่ร่อน แต่ก็เป็นคนเร่ร่อนที่หน้าตาดีนะ เพียงแค่ไม่มีป้ายหยกเนื้อดีห้อยข้างกายเหมือนเขาเท่านั้น”
เสี่ยวอี้ยกหลวมยามาทำแผลให้กับตงเจี้ยนพลิกข้อมือดูแล้วหันไปหยิบยาสมานแผลมาโรย
” คุณหนูเจ้าขาวันนี้เราจะทำอะไรให้นายท่านกินดีเจ้าค่ะ “
“สองเมนูจากปลาตัวโตของเราไง เจ้าไปต้นน้ำร้อนหน่อย “
“ซุปปลาน้ำนม กับปลาสามรสแบบโบราณ” เสี่ยวอี้ทำเสียงอู้หู้
“แค่ฟังชื่อน้ำลายก็ไหลแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวหนี่ยิ้มสดใส
“ท่านคนเร่ร่อนหิวหรือยัง รอข้าสักประเดี๋ยวข้ารับรองว่าจะต้องแซ่บแน่นอน”
ตงเจี้ยนยิ้มอ่อนโยน
หัวปลาเป็นส่วนที่ดีสำหรับใช้ทำซุป เสี่ยวหนี่จึงใช้มีดคมแล่ส่วนหัวออก ขอดเกล็ดออกและล้างให้สะอาด สองถึงสามน้ำ ก่อนจะนำลงไปลวกในน้ำร้อนที่กำลังเดือด เพื่อกำจัดเมือกและกลิ่นคาว เมื่อตักขึ้นจากน้ำเดือด ผิวปลาดูสะอาดขึ้นเป็นอย่างมาก ตงเจี้ยนนั่งมองหนี่ฮวาที่กำลังขอดเกล็ดปลาด้วยความชำนาญ เขาไม่เคยเห็นว่าใครจะปรุงอาหารได้เป็นธรรมชาติราวกับเป็นเรื่องสนุก
"จากนี้ไป ข้าจะทำน้ำซุปที่ขาวข้นเหมือนน้ำนม"
เสี่ยวหนี่กล่าว พลางหยิบกระทะใบใหญ่ขึ้นมาตั้งไฟให้ร้อนจัด ใส่น้ำมันเพียงเล็กน้อย แล้วนำหัวปลาลงทอดให้หนังข้างนอกพอเหลืองหอม
เสียง "ฉ่า" ดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งไปทั่วครัว เสี่ยวหนี่รีบเติมน้ำเดือดลงไปในกระทะ เสียงน้ำกระทบความร้อนพวยพุ่งขึ้นเป็นไอขาว
“คุณหนูเจ้าขาทำอย่างไรน้ำซุปจึงจะเป็นสีขาวหรือเจ้าคะ”
"ไม่อยากๆ ดูนี่เจ้าต้องใช้ไฟแรง เคี่ยวไปเรื่อย ๆ น้ำซุปจะขาวข้นขึ้นมาเอง" เสี่ยวหนี่อธิบายกับเสี่ยวอี้ที่ยืนดูอยู่ เสี่ยวอี้ที่พยักหน้าหงึกหงักพยายามจดจำสิ่งที่เสี่ยวหนี่สั่งสอน
เสี่ยวหนี่ใส่ขิงฝานลงไป ตามด้วยต้นหอมที่มัดรวมกันไว้ ปล่อยให้เดือดพล่านสักพัก ก่อนลดไฟลงใช้ไฟอ่อนในการเคี่ยวต่อไป เสี่ยวหนี่หันมาที่ตัวปลาที่แยกไว้ส่วนลำตัวของปลาที่เหลือถูกนำมาขอดเกล็ด ควักไส้ออก แล้วบั้งเนื้อเป็นแนวเฉียง เพื่อให้ซอสซึมเข้าไปได้ดี
“เสี้ยวอี้เจ้าจำสุราหมักร้อยปีของท่านพ่อที่ข้าแอบชิมวันนั้นได้ไหม”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
“หากเรานำมันมาหมักปลา เจ้าคิดดูสิว่ามันจะรสดีแค่ไหน”
“แต่คุณหนูเจ้าคะ สุรานั้นนายท่านเก็บไว้อย่างดีจะเอาออกมาได้หรือเจ้าคะ”
“นี่ กุญแจ ข้าบอกท่านพ่อว่าข้าจะทำความสะอาดห้องเก็บสุราด้วยตัวเองเจ้าไปหยิบมาหนึ่งไห ยังเหลืออีกเยอะไม่มีใครรู้หรอก”
เสี่ยวอี้ยิ้มแห้งๆ รับกุญแจมาโดยดี
” หากบิดาเจ้ารู้ว่าเจ้าขโมยสุราจะไม่ถูกตำหนิหรือไร “” แค่สุราร้อยปี ที่บ้านโจวของเรามีสุราพันปี หมื่นปีมากมายเหลือคณานับ อีกอย่างข้าหยิบมาแค่ไหเดียวไม่มีใครรู้หรอกฮ่าฮ่าฮ่า “เสี่ยวอี้ถือไหสุราเข้ามาในครัวส่งให้เสี่ยวหนี่หมักปลาด้วยสุราร้อยปี เกลือ และพริกไทยเล็กน้อย"ปลาต้องทอดให้ผิวนอกกรอบ เนื้อในยังนุ่ม" เสี่ยวหนี่กล่าวเสี่ยวหนี่ใช้ผ้าป่านซับปลาให้แห้ง ก่อนคลุกแป้งที่ทำจากข้าวสาลีบาง ๆ แล้วนำลงทอดในน้ำมันร้อนจัด เสียงน้ำมันแตกดัง "ฉ่า"อีกครั้ง ไม่นานต่อจากนั้น ปลาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง กลิ่นหอมลอยเตะจมูก เมื่อเสี่ยวหนี่ตักปลาขึ้นมาพักไว้ ผิวนอกกรอบกรุบ แต่เนื้อข้างในยังดูฉ่ำขาวคราวนี้เสี่ยวอี้ถึงกลับลอบกลืนน้ำลายและสองคนแม่ลูกข้าวจี่พากันย้ายก้นเข้ามาในครัวคงได้กลิ่นหอมของปลาทอด“ปลาทอดหรอกรึ วันนี้เจ้าทำปลาทอดหรอกรึ” ฮูหยินโจวพูดขึ้น“ไม่ใช่สำหรับพวกท่านและนี่คือปลาสามรสแบบโบราณ และข้าไม่ได้ทำเพื่อท่านนี้สำรับท่านพ่อและข้ากับเสี่ยวอี้ที่ไปตกปลามาเท่านั้น” จี้เหวินกัดฟันแน่นเสี่ยวหนียิ้มของดีดีเหมาะกับคนที่ควรคู่เท่านั้น และคนที่ควรคู่หรือไมเสี่ยวหนี่เป็นคนคัดสรร“เจ้าไม่ใ
"มื้อนี้ก็เป็นเจ้าเป็นคนทำเองหรือ? หนี่เอ่อร์" ท่านพ่อถามขึ้น เสี่ยวหนี่หัวเราะเบา ๆ ก่อนตอบว่า"จะว่าคนเดียวก็ไม่ถูกนักมีเสี่ยวอี้ช่วยเป็นลูกมือข้าเจ้าค่ะ ข้าไปตกปลากับเสี่ยวอี้ได้ปลาตะเพียนตัวใหญ่เพื่อให้ท่านพ่อได้กินอาหารอร่อยๆ และดีต่อสุขภาพด้วย “เมื่อโจวหลิวเยว่ได้จ้วงช้อนลงไปตักเต้าหู้ขึ้นมาพร้อมน้ำซุปร้อนๆ เนื้อเต้าหู้อ่อนนุ่มจนแทบจะละลายในปาก เมื่อได้ซดน้ำซุปข้นๆ ที่หอมขิงอ่อนๆ ตามไปคิ้วที่ขมวดกลับคลายออก "น้ำซุปข้นกำลังดี เนื้อเต้าหู้อ่อนนุ่มข้างในยังเข้มด้วยรสชาติหวานหอมไร้กลิ่นคาว “รสหวานนั้นได้มาจากการเคี่ยวหัวปลาและดึงความหอมหวานส่งต่อเข้าไปในเนื้อเต้าหู้ รสชาติเต้าหู้จึงหอมหวานกลมกล่อม ขิงช่วยทำให้กลิ่นคาวหายไปส่วนปลาสามรส เมื่อโจวหลิวเยว่ใช้ตะเกียบฉีกเนื้อปลาออก กลิ่นหอมยิ่งแตะจมูกเนื้อข้างในฟูขาวแต่ข้างนอกกรอบเหลืองสวยกำลังดี เพียงกัดไปคำเดียวก็พยักหน้าซอสรสหวานเปรี้ยวและเค็มและเผ็ดนิดๆ ที่ซึมเข้าสู่เนื้อปลาทุกอณู กลายเป็นรสชาติที่ผสานกันอย่างลงตัว"รสชาตินี้ยากจะมีใครเหมือน"เสี่ยวหนี่ยิ้มกว้าง แม้ว่าจะยังไม่ได้เป็นแม่ครัวที่เก่งกาจนัก แต่การได้เห็นคนสำคัญของตนมีค
กระทั่งฟ้ามืดหัวหน้าองครักษ์ตงเจี้ยนกลับมาถึงค่ายพักช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย ร่างสูงในชุดดำเดินผ่านแนวทหารเวรยามอย่างเงียบขรึม ในมือยังถือกล่องไม้ชั้นเดียวสำหรับใส่อาหาร หากกลิ่นหอมของข้าวและปลาสามรสภายในกลับลอยแตะจมูกแม้ผ่านกล่องไม้หยางลี่ก็นั่งอยู่ใต้ต้นดอกเหมยข้างกระโจมใหญ่เหมือนกันกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ดวงตาคู่คมทอดมองตงเจี้ยนที่เดินเข้ามาหาเงียบๆ โดยไม่กล่าวทักทาย “ถวายพระพรฝ่าบาท”หยางลี่เลิกคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ใช่เพราะตัวตงเจี้ยนหากแต่เป็นกล่องไม้ในมือของตงเจี้ยน มองย่างพินิจพิเคราะห์ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“เจ้าไปเจออะไรน่าสนใจมาหรือ” น้ำเสียงเรียบเย็นของหยางลี่เอ่ยถามขึ้นขณะมองตรงไปยังกล่องอาหารตงเจี้ยนประสานมือ “ของฝากพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท… แม่นางน้อยผู้หนึ่งจากตระกูลโจวให้ข้ามา นางกลัวว่าข้าจะหิวระหว่างทาง”คำตอบนั้นทำให้หยางลี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาคล้ายมีรอยครุ่นคิด หยางลี่หลุบตาลงช้าๆ คิดถึงเสี่ยวหนี่ขึ้นมาคำพูดของเสี่ยวหนี่ที่กลัวว่าเขาจะหิวระหว่างทาง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เสียงหัวเราะและถ้อยคำแปลกหูของจอมยุทธน้อยที่ยังรู้สึกประทับใจ แต่กลับเป็นอีกคนที่แนะนำตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นบุ
เมืองโจวเมืองโจวในหุบเขาตะวันตกเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ ที่ไร้ชื่อเสียงในแผนที่ของแคว้น แต่กลับมีเสน่ห์เกินใคร ผืนไร่ชาที่ไล่เรียงลดหลั่นตามแนวเนินเขา กลิ่นหอมของใบชาที่เพิ่งเด็ดสด ๆ คลุ้งไปกับลมเย็นจากป่าเขาที่โอบล้อมอยู่รอบเมืองลำธารใสไหลผ่านกลางหมู่บ้าน เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วแว่วอยู่เหนือยอดไม้ และทุกยามเช้า ชาวบ้านก็จะสวมหมวกฟาง เดินเข้าสวนชา หรือออกไปเก็บสมุนไพรและเครื่องเทศตามฤดูกาล บรรยากาศสงบสุข ราวกับโลกภายนอกไม่เคยแตะต้องณ กลางเมืองนั้นเอง คือคฤหาสน์ตระกูลโจว เรือนไม้หลังใหญ่ราวกับจวนอ๋องกระนั้นที่ทอดยาวลึกเข้าไปจนสุดเนินเขา ล้อมรอบด้วยสวนหิน ธารน้ำพุร้อนไหลผ่าน และซุ้มดอกไม้ กลิ่นหอมของบุปผาและเครื่องเทศอบอวลในอากาศไม่เคยจางในสวนหลังบ้าน ตรงเรือนพักกลางที่ล้อมด้วยเถาองุ่น จ้าวบ้านใหญ่ของเมือง—โจวหลิวเยว่ กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ดื่มน้ำชาร้อนจากถ้วยแก้วบาง แม้สีหน้าจะอ่อนล้า แต่ดวงตาของเขากลับอ่อนโยนขณะมองดูบุตรสาวคนเล็กที่กำลังรดน้ำผักริมรั้วไม้เตี้ยๆ ร้องเพลงดังของลิซ่าแบล็กพิงค์อย่างสนุกสนานหลายวันมานี่โจวหลินเยว่กลับรู้สึกว่าบุตรีคนรองที่เคยเงียบขรึมอาจจะเพราะนางถูก
เสี่ยวหนี่หรือ "ข้าวนึ่ง"ของเรา ที่ข้ามภพมาไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ กับบทสนทนาวุ่นวายเมื่อครู่ทำเพียงแค่หยิบเมล็ดฟักทองขึ้นมาอีกเม็ด แกะเปลือกอย่างใจเย็นแล้วส่งเข้าปากเคี้ยวงับๆ“เอ๊ะ…นี่มันเข้าวังจริงเหรอ? ไม่ใช่ไปขายขนมหน้าวังใช่มั้ย จริงสินะ หากเป็นแค่การขาย….ทุกการขายรวมทั้งขายหน้าคุณหนูใหญ่จี้เหวินทำได้ดีอยู่แล้ว” เสี่ยวหนี่พูดขำๆ แววตายังระยิบระยับอย่างขี้เล่น ไม่ต้องเล่าซ้ำเพราะเสี่ยวหนี่ตะแคงหูฟังจนหูหางได้ยินชัดทุกคำ ว่าแต่มีฮ่องเต้มาบ้านทำไม่เสี่ยวหนี่ไม่รู้ หน้าตาจะเป็นแบบไหนนะฮ่องเต้คนนั้น“ข้าเห็นในละครเวลาใครเข้าวังแล้วมักไม่ได้กลับออกมาแบบครบสามสิบสองอะไรงี้... แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยก็มีของกินทุกวันเนอะ แล้วอย่าลืมไปขาย….หน้าเอาผ้ารอดเอ๊ยขายผ้าเอาหน้ารอดเอ๊ย ขายหน้าเอ๊ยถูกแล้ว”“เสี่ยวหนี่…” ท่านโจวพูดเบาๆ เสียงเขาแผ่วลงราวกับลมผ่านต้นชาบนไหล่เขา “ข้ารู้ว่าข้า... ผิด ข้าไม่ควรปล่อยให้เจ้าถูกเข้าใจผิด ไม่ควรให้ใครแย่งความดีความชอบไปจากเจ้า และไม่ควรให้เจ้าเข้าไปพัวพันกับเรื่องในวังเลย”เขาหยุดไปชั่วครู่ ลมหายใจหนักหน่วงสะท้อนถึงความรู้สึกผิดที่อัดแน่นอยู่ภายใน“แต่ข้ากลัว…ข้
วังหลวงเดือนเมษายนปีถังเจี้ยนที่24เสี่ยวหนี่ในชุดนางในใหม่เอี่ยมยืนยืดอกตรงหน้าประตูวังหลวงที่สูงตระหง่านเงยหน้ามองประตูวังหลวงที่ใหญ่โตโอ่อ่าแลดูขึงขังเหมือนจะเข้าไปลุยสนามรบกระนั้น“นี่คือสถาน~ แห่งบ้านทรายทอง~ โห ยิ่งใหญ่ไปไหมอ่า ““คุณหนู!เบาๆ หน่อยเพคะ คุณหนู...ไม่กลัวหรือเพคะ”เสี้ยวอี้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เหลือบมอง เสี่ยวหนี่หัวเราะเบาๆ พลางแกล้งสะบัดชายเสื้อ“กลัวไปก็เท่านั้น เรามาแล้วก็แค่ตั้งใจทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”เสียงฝีเท้าของขันทีน้อยคนหนึ่งขัดจังหวะบทสนทนา “เรียนคุณหนูทั้งสาม เชิญทางนี้ขอรับ ข้าน้อยจะนำไปยังตำหนักฝึกหัดฝ่ายห้องเครื่อง ซึ่งในด่านแรกจะต้องพบกันเรือนพักพวกท่าน ของใช้ส่วนตัวที่นำมาไปเก็บๆ ไว้ที่นั่นได้เลย”เสี่ยวหนี่พยักหน้าเบาๆ พลางเดินออกหน้าตามขันทีไปอย่างสงบเรียบร้อย โดยมีจี้เหวินเดินตามหลังมาเงียบๆ แม้สีหน้าจะไม่พอใจที่ต้องมาร่วมทางด้วยกัน แต่ก็ไม่กล้าก่อความวุ่นวายกลางวังหลวงเส้นทางเดินปูหินเรียบทอดยาวผ่านสวนไผ่และแปลงสมุนไพร กลิ่นหอมของใบมินต์และขิงลอยอ่อนๆ ตามสายลม เรือนไม้ที่ประดับกระดิ่งลมขนาดเล็กตั้งเรียงรายดูอบอุ่นเป็นกันเอง จนไม่รู้สึกว่ากำลังเดิน
“ไปที่ลานฝึกเถอะ มีนางในฝึกหัดเช่นเดียวกับพวกเจ้ารออยู่ด้านในจะได้ทำความรู้จักเพราะต่อไปข้างหน้าพวกเจ้าจะได้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน”เมื่อก้าวเข้าสู่เรือน เสียงจอแจและกลิ่นของอาหารหลากชนิดก็ประดังเข้ามาทันที อบเชย ขิงสด และผักสดหลากชนิดลอยอบอวลในอากาศ บรรยากาศภายในเรือนนั้นคึกคัก เต็มไปด้วยหญิงสาวในชุดผ้ากันเปื้อนหลากสี ต่างกำลังสับเนื้อ ล้างผัก บดเครื่อง หรือจดสูตรลงสมุดกันอย่างขะมักเขม้น“พวกเจ้ามากันใหม่สินะ” สาวร่างสูงหน้าคมนามว่า “หลิงเชียว” ท่าทางมั่นใจจนเกือบดูอวดดี กล่าวขึ้นก่อนใครเพื่อน“ข้า หลิงเชียว ถนัดอาหารทะเลจากชายฝั่งตะวันออก ไม่ได้โม้นะ แต่ข้าเคยเป็นแม่ครัวงานเลี้ยงระดับอ๋องมาแล้ว”“คนนี้ชื่อ ‘เฟิ่งหราน’ มาจากแคว้นใต้ ถนัดทำอาหารเผ็ดแรง พริกแห้งสามกำมือยังถือว่าน้อย” หลิงเชียวแนะนำหญิงสาวหน้าตาโฉบเฉี่ยวที่กำลังสับพริกเสียงดังอีกมุมหนึ่ง หญิงสาวร่างเล็ก ผิวขาวซีด กำลังนั่งบดเมล็ดงาเงียบๆ เหมือนอยู่ในโลกของตัวเอง ส่งเสียงแผ่วเบา“ข้า...ชื่อเซี่ยหยาเจ้าค่ะ ข้าถนัดทำของหวานนิดหน่อย..อาจจะไม่ดีที่สุดแต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่ข้าพอทำได้.”“เซี่ยหยา ท่าทางเจ้าดูอ่อนโยนนุ่มนวลเห
แม่ครัวเหม่ยซูเดินผ่านแต่ละโต๊ะอย่างตั้งใจ ให้คำแนะนำและหยุดชิมเล็กน้อย พยักหน้าให้บางคนเพื่อกำลังใจ เมื่อมาถึงโต๊ะของเสี่ยวหนี่ นางชะงักนิดหน่อยมองจานทั้งสอง“อาหารสองชนิดนี้เหมาะจะกินร่วมกัน”“เราสองคนถนัดในด้านนี้ อยู่ที่บ้านข้ามักจะปรุงจานหลักส่วนนางก็เป็นลูกมือปรุงจานรองเพื่อท่านพ่อ ครั้งนี้เราสองพี่น้องจึงอยากแสดงความตั้งใจเจ้าค่ะ เลยช่วยกันทำคนละจานเพื่อให้ท่านพิจารณา” จี้เหวินรีบพูดพร้อมกับยิ้มหวาน ก็มารดานางสั่งสอนมาให้รู้จักเลือกว่าจะเอาใจใครและคนฐานะใดที่ควรจะได้รับการปฏิบัติที่ดีจากจี้เหวินเสี่ยวหนี่ยิ้มมุมปากไม่พูดอะไร แม่ครัวเหม่ยซูเพียงพยักหน้า ไม่แสดงความเห็นก่อนตักไข่เจียวหมูสับขึ้นมาชิมเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนไปลองไก่ผัดพริก ริมฝีปากขยับเบาๆ ราวกับรับรสอย่างละเอียด“รสมือมั่นคง...เข้าใจอุณหภูมิไฟดี” นางกล่าวเรียบๆ แล้วเดินผ่านไปยังโต๊ะถัดไปเสี่ยวหนี่เพียงก้มหน้าหลบคำชมโดยไม่แสดงท่าทีมากนัก ส่วนเซี่ยหยาก็แอบส่งสายตาให้กำลังใจเล็กๆ จากอีกโต๊ะ ยิ้มดีใจด้วยที่เสี่ยวหนี่ได้รับคำชม“ขอบคุณอีกครั้งนะ เซี่ยหยา”เสี่ยวหนี่ขยับตัวเข้าหาเซี่ยหยากล่าวขอบคุณยิ้มๆ เซี่ยหยาหน้าแดงเล
ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆ เมื่อครู่ก็ต้องให้อวี้เฉิงเป็นคนจัดการเรื่องค่าอาหารและเครื่องดื่มหากมาบ่อยๆ เขาคงตัวเบาลงเพราะจน “ถ้ายังจะกลับไปเรือนห้องเครื่องตอนนี้ คงลำบากมากแน่” หยางลี่เอ่ยเรียบ ๆตงเจี้ยนพยักหน้าขึ้นลง“ใกล้สุดน่าจะเป็นเรือนอารักขาของข้าน้อย พักได้สะดวกกว่า อีกอย่าง... ขืนพาไปวังในตอนนี้ คงวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม”"ไม่หรอกน่าท่านป้าเหม่ยซูใจดีที่สุด"หยางลี่หันมาทางเสี่ยวอี้ที่ประคองเสี่ยวหนี่อยู่ พร้อมกับส่ายหน้าไปมา“ให้พวกเจ้าพักที่เรือนอารักขาก่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”“เรือน...อารักขา เรือนอารักขา เรือนอารัก ….ขาเหมือนขาหมูไหมฮ่าาาาา” เสี่ยวอี้ถอนหายใจกับเสียงเจื้อยแจ้วของหนี่ฮวา ตงเจี้ยนเองถอนใจเบา ๆ ก่อนจะพูดเสียงเรียบ “ข้าทำหน้าที่องครักษ์ถวายอารักขาโดยตรง พอดีช่วงนี้ได้รับมอบหมายให้ตรวจตราความสงบในเมือง...”“แอบหนีไปเที่ยวยังกล้าบอกว่าตรวจตราฮ่าาาา” เสี่ยวหนี่ที่เพิ่งเงยหน้าจากอาการมึนงงเบิกตากว้าง “เงียบๆ ไว้อย่าแพร่งพรายเชียว ข้าจะไม่ได้ออกไปร่ำสุรากับเจ้าอีกหากมีคนรู้ความลับนี้”“โอเคๆๆ” เสี่ยวหนี่ตอบพร้อมกับยิ้มตาหยี“แล้วท่านล่ะ? อย่าบอกนะว่าเป็นแม่ทัพ เป็นทูต
“ท่านรู้ไหม…” เสี่ยวหนี่เริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยแต่ร่าเริง “บ้านเกิดของข้า… มีร้านขนมตั้งหลายร้าน! เดินไปนิดเดียวก็เจอร้านบะหมี่ ร้านข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่! แล้วข้างบ้านข้าก็มีร้านขายชาไข่มุก…เจ้าเคยกินไหม?”“ชา…ไข่มุก? คงเป็นอาหารที่สูงส่งสินะไข่มุกนำมาทำชาน่าทึ่งจริงๆ” ตงเจี้ยนทวนเสียงเบา ๆ พลางขมวดคิ้วงุนงง“ใช่! เป็นชาใส่นม แล้วก็มีลูกกลม ๆ ดำ ๆ อยู่ข้างใน มันเด้ง ๆ เคี้ยวเพลินมากเลยล่ะ!ไม่ใช่ไข่มุกจริงๆ หรอกน่าเขาแค่เปรียบเปรย” เสี่ยวหนี่อธิบายเสียงดังฟังชัด มือก็วาดภาพกลางอากาศประกอบ“มีร้านชื่ออะไรน้า… โอ้! ใช่แล้ว! มีร้านชื่อเสี่ยวฉุนอวี้ อร่อยสุดๆ แต่เชื่อไหมร้านนั้นนะน่ะชื่อเป็นจีนแต่เมนูส้มตำอร่อยสุดยอดไปเลย ถ้าข้าได้กลับไปนะ จะพาท่านสองคนไปกิน!ทั้งส้มตำและชาไข่มุก”หยางลี่ยิ้มบาง ๆ เขายกจอกสุราขึ้นจิบอีกครั้ง “เจ้าคงคิดถึงบ้านมากเลยสินะ”“ใช่…คิดถึงชาไข่มุกด้วย” เสียงของเสี่ยวหนี่เบาลงชั่วขณะ ดวงตาวูบไหว แต่เพียงครู่เดียวก็ยิ้มกว้างอีกครั้ง “แต่ตอนนี้…ข้ามีพวกท่านแล้วนี่! ข้ามีเพื่อน!ไม่สิสหายจอมยุทธ์ แน่จริงก็เข้ามา คารวะท่านผู้อาวุโส เว่ยเส้าเทียนคือพ่อของเจ้า ซ
“ข้าขอตัว” เดินลงมาด้านล่างสั่งคนลากรถให้กลับไปที่จวนอารักขานำเงินจาก อวี้เฉิงมาเพิ่ม สองคนนั้นกินเหมือนงานเลี้ยงฉลองรับตำแหน่งใหม่ทั้งๆ ที่ผ่านมื้อเย็นมาแล้วไม่ใช่เหรอทำราวกับล้างท้องมากระนั้น…ท่านน้าเหม่ยซูเข้มงวดจนพวกนางต้องอดอยากเพียงนี้เชียวหรือมองภาพฝ่าบาทที่ยกสุราให้เสี่ยวหนี่ตรงหน้า แล้วหัวเราะเบา ๆ อย่างอารมณ์ดี ตงเจี้ยนก็ได้แต่ถอนใจเงียบ ๆ อีกครั้ง ฝ่าบาทผู้ไม่พกเงินพรุ่งนี้เขาจะกล้าไปทวงเงินที่ต้องจ่ายวันนี้ไหม คงต้องคุยกับกรมคลังขอเบิกงบสำหรับสนับสนุนด้านนันทนาการกับฝ่าบาทเสียแล้วอาหารทยอยมาเสิร์ฟบนโต๊ะในถาดไม้ กลิ่นหอมของอาหารจาง ๆ ลอยมาพร้อมกับไอร้อนจากซุปกระดูกไก่ ขนมจีบเป๋าฮื้อถูกวางลงในเข่งไม้ไผ่ร้อน ๆ ด้านบนมีน้ำซุปรสกลมกล่อมซึมซาบถึงใจปลาหิมะย่างใบเก๋ากี้มีกลิ่นหอมของชาไหม้จางๆ จากถ่านชา เนื้อปลาสีขาวนวลทาเคลือบด้วยซอสใสหวานเค็ม เนื้อวัวตุ๋นถูกวางบนถาดเหล็กร้อนฉ่า กลิ่นพริกหอมผสมพุทราเคี่ยวส่งกลิ่นหอมจนน้ำลายสอ ทำให้จินตนาการรสชาติว่าคงหวานหอมเนื้อวัวตุ๋นก็คงนุ่มจนละลายในปากเสี่ยวหนี่กัดคำแรกของเกี๊ยวทอดไส้ปู แล้วตาโต“อืมมม! ไส้แน่นมากกกก กลิ่นปูชัด ซอสไข่เค็มเค
“วันนี้ข้าจะเลี้ยงนางเอง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีได้พกเงินปกติทุกครั้งไปไหนจะมีขันทีกวงซุนคอยจ่ายให้ เจ้าพกเงินมาไหม เอาเงินของเจ้าเลี้ยงนางแต่บอกว่าข้าเลี้ยงจะได้หรือเปล่า”ตงเจี้ยนยิ้มเจื่อนๆจะบอกว่าไม่ได้ก็จะได้หรือบัญชาฝ่าบาท“พ่ะย่ะค่ะ”“พาไปที่ร้านประจำของข้าที่เมืองหลวง… เจ้ารู้ใช่ไหม ร้านที่อยู่ฝั่งทิศใต้ตรงข้ามโรงเตี๊ยมสกุลหลิน”“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”ตงเจี้ยนยิ้มมุมปาก“เจ้าสองคนนี่แปลกจริง ๆ หายไปทีเดียวสองคน นึกว่าจะลุกไปหนีหนี้เสียแล้วหรือว่าแอบไปนินทาข้า” เสี่ยวหนี่ว่าพลางกระดกถ้วยสุรา สองข้างแก้มแดงระเรื่อจากแอลกอฮอล์อ่อน ๆ หยางลี่เดินเข้ามาพลางส่งสายตาขำ ๆ“ถ้าเราจะหนีหนี้ คงไม่ชวนเจ้าไปกินอาหารที่แพงกว่านี้หรอก”ทั้งสองคนอมยิ้มพร้อมกัน“พวกท่านจะเลี้ยงข้าหรือแหมลาภปากใจดีที่สุดสหายร้ากกกกก” เสี่ยวหนี่ทำตาโต “คืนนี้…ร้านที่เราจะไป เป็นร้านที่คนธรรมดายังต้องจองล่วงหน้าหลายวันนะ” ตงเจี้ยนยิ้ม “จริงรึ อย่างนั้นเราก็คนพิเศษสินะ ข้าไป! สุราดี ๆ กับอาหารเลิศรส ข้าไม่เคยปฏิเสธหรอก” เสี่ยวหนี่แทบลุกพรวดทันที “คุณหนูเจ้าขาไหนบอกว่าออกมาไม่นานเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้ท้วง“น่าไม่เป็นไรหรอก ข้าด
เสี่ยวอี้ยิ้มแห้งๆ“ไปก็ไป แต่คุณหนูสัญญานะเจ้าค่ะว่าจะรีบกลับและจะไม่สร้างเรื่องวุ่นวาย” เสี่ยวหนี่เขย่ามือเสี่ยวอี้อย่างแรง“ข้าสัญญา”ไม่นานนัก ร่างสองร่างก็แอบลอบลอดเงาไม้อาศัยเงามืดพรางตัว พ้นจากเรือนฝึกหัดออกมาได้อย่างคล่องแคล่วประหนึ่งมืออาชีพวังหลวงกลางคืนแม้จะสงบ แต่ตรอกเล็กข้างนอกก็ยังมีแสงไฟสลัว ๆ ลอดออกมาจากร้านรวง พ่อค้าบางเจ้ายังไม่ยอมเก็บร้าน กลิ่นหอมของหมูย่าง น้ำซุปเคี่ยว เครื่องเทศอบอวลผสมกลิ่นสุราอุ่น ๆ ลอยเข้าจมูก“อือหือ… กลิ่นนี้! สวรรค์บนดินชัด ๆ” เสี่ยวหนี่ทำตาโต“คุณหนูเจ้าขามื้อเย็นก็กินไม่น้อยมาถึงตอนนี้ยังกินได้อีกหรือเจ้าค่ะ” เสี่ยวอี้อดบ่นไม่ได้ เสี่ยวหนี่ถอนหายใจปกติแล้วยามเลิกงานจากร้านอาหารเสี่ยวหนี่มักจะออกมาหาอะไรกินกับเพื่อนและพี่ที่ทำงานจนกลายเป็นเคยตัวทั้งกินทั้งดื่มแล้วกลับไปนอนทั้งสองเดินดุ่มเข้าไปในร้านแผงลอยที่ตั้งเรียงกันใกล้ทางสี่แยกเล็ก ๆ มีทั้งซาลาเปาสอดไส้หอมกรุ่นไอร้อนยังลอยวน บะหมี่สดต้มในน้ำซุปกระดูกไก่ใส่หัวไช้เท้า ต้มจนน้ำใสเส้นบะหมี่เองก็ใสแจ๋ว ข้าวต้มปลา และขาหมูทอดราดน้ำซอสปรุงหวานเค็มแต่ก่อนที่เสี่ยวหนี่จะทันนั่งลง ร่างของคนสอง
ใต้ต้นหลิวอีกฝั่งหนึ่ง ไม่ไกลจากแสงไฟนัก เงาร่างระหงของหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนสงบเงียบเหม่ยซู หัวหน้าผู้ฝึกสอนประจำตำหนักห้องเครื่อง สวมชุดคลุมผ้าสีทึบทาบทับด้วยผ้าคลุมไหล่สีเดียวกัน นางยืนพิงต้นหลิวแสงจันทร์ยามค่ำเสียงลมเย็นพัดผ่าน.สายตาของเหม่ยซูทอดมองไปยังโต๊ะอาหารใต้แสงไฟตรงกลางลาน หญิงงามวัยแรกรุ่นเจ็ดคนล้อมวงอย่างอบอุ่น เสียงหัวเราะสลับกับเสียงตะเกียบกระทบชามดังเป็นจังหวะเบา ๆ ปะปนไปกับกลิ่นหอมของอาหารที่โชยมาเป็นระยะ เมื่อสายตาของเหม่ยซู่ตกมายังร่างเล็กที่กำลังยิ้มกว้างขณะคีบข้าวให้เพื่อน คือ เสี่ยวหนี่ เหม่ยซูก็เผลอยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยเรือนอารักขาตงเจี้ยนนั่งจิบชาเดินหมากกับองค์หญิงสิบสี่ถังเจี้ยนอันหรู ที่สวมอาภรณ์ราวกับบุรุษ อีกทั้งผมที่รวบเหล้าไว้กลางหัวก็ยังเกล้าจนสูงข้างกายมีกระบี่ที่ประทานให้ด้วยมือของหยางลี่ฮ่องเต้“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชนะแล้ว องค์หญิงเลิกกวนใจข้าได้แล้ว ท่านต้องไปเสียที ข้าชนะถึงสามตารวดตามที่สัญญาแล้วข้ามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการฝึกขี่ม้าให้ทำมากมายไม่มีเวลาเล่นสนุกกับท่านหรอก” อันหรูทำหน้าเง้าดวงตากลมโตมีแววตาสลดลง“ท่านขี้โกงนี่ คนเช่นไรจึงเดินหม
ข้างหน้านั้น ไก่ผัดพริกสดสไตล์ใต้ของเฟิงหราน เมื่อเสี่ยวหนี่ใช้ตะเกียบในมือคีบเนื้อไก่ขึ้นมาเคี้ยว เสี่ยวหนี่ก็ต้องซดน้ำซุปตามทันทีด้วยความเผ็ดร้อนของพริกแกงจากแดนใต้“โอ๊ย! เผ็ดแสบปลายลิ้น!”“นี่ข้ายังใช้พริกแค่ครึ่งกำมือเองนะ ถ้ากินที่บ้านข้า ต้องเหงื่อตกตลอดมื้อ นี่ข้าลดจำนวนพริกลงไปบ้างเพราะรู้ว่าพวงเจ้าอ่อนหัดยังไงล่ะ” เฟิงหรานหัวเราะเบาๆ “รสจัดจ้านจริงๆ! แต่ก็อร่อยแบบแปลกใหม่… มีกลิ่นหอมของอะไรบางอย่างที่ไม่คุ้น”“พริกเขียวดองกับถั่วหมัก ข้าใส่ผสมเข้าไปด้วย” เฟิงหรานตอบเรียบๆ ขณะตักข้าวเข้าปากไม่หยุดหยางชินอวี้ยื่นชามเล็กใส่ เต้าหู้สอดไส้หมูสับกับเห็ดหอม มาให้อย่างมีมารยาท เสี่ยวหนี่รับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลองชิมอย่างช้าๆ เพื่อซึมซับเอารสชาติให้ได้มากที่สุดเพราะเป็นอาหารรสอ่อนเนื้อเต้าหู้เนียนนุ่มละลายในปากจริงอย่างนางว่าเลย กลิ่นหมูสับละเอียดผสมเห็ดหอม เมื่อกินพร้อมซอสราดบางๆ ที่มีกลิ่นน้ำมันงา กลับให้รสหรูหรานุ่มนวล “เหมือนกินอาหารเปิดงานในงานเลี้ยงเลย… มีกลิ่นแบบพิเศษที่อบอุ่นดี”“เต้าหู้ชั้นยอดก็ต้องอร่อยเป็นธรรมดา วัตถุดิบพวกนี้ข้านำมาจากบ้านหยางเป็นมรดกตกทอดของเรา หากไม่ใช
หลิงเชียว ยืนอย่างองอาจขณะกำลังย่างกุ้งแม่น้ำราดน้ำพริกเหล้าบ๊วยลงบนกุ้ง ตัวกุ้งสดเด้งเป็นเงาสีส้มพริบพราย โปะด้วยน้ำพริกที่มีขิงซอย กระเทียมบด และเหล้าบ๊วยจนหอมฉุย เสียงเปลวไฟแตะเปลือกกุ้งดังฉ่าๆ ท่ามกลางคำพูดที่แสดงออกถึงการเป็นคนที่ชอบโอ้อวด เสี่ยวหนี่เกิดอาการตัวชาเพราะตัวเองต้องมาที่นี่เพราะขนมจีบกุ้ง“ข้าจับกุ้งพวกนี้เองกับมือครานั้นที่อ่าวป๋อไห่ กุ้งชนิดนี้หากไม่รู้วิธีปรุงก็จะไม่สามารถดึงเอารสชาติที่แท้จริงออกมาได้ พวกเจ้าเองก็คงไม่รู้สินะ”“ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะข้าไม่ชอบกินกุ้ง แต่หากจะทำให้ผู้อื่นข้าก็ต้องอาศัยหลักการเลือกวัตถุดิบที่สดใหม่ซึ่งเป็นเรื่องง่ายที่ใครก็รู้กัน”หลิงเชียวผงะเล็กน้อยไม่คิดว่าเคล็ดความลับนี้เสี่ยวหนี่ก็รู้ นึกว่าไม่มีใครรู้นอกจากคนที่อยู่ในแถบทะเลตะวันออกเท่านั้นเฟิงหรานใช้เวลาน้อยแต่ได้ผลลัพธ์ที่ไม่ด้อยใคร ไก่ผัดพริกสดสไตล์ใต้ พริกสดเขียวแดงบดหยาบ ผัดกับกระเทียมและไก่หั่นเต๋า เคลือบด้วยซอสถั่วหมักจนหอมฉุย ยิ่งผัดยิ่งหอมแรงจนทุกคนต้องแอบเหลียวมองว่ากลิ่นหอมนี้มาจากเตาของใคร“กลิ่นมันเผ็ดถึงใจ...” หลิงเชียวพึมพำเฟิงหรานเพียงยักไหล่ ไม่พูดตอบใดๆ
ครั้นเมื่อแสงตะวันเอียงคล้อยหลบลับหลังแนวเขาทางทิศตะวันตก เงาร่มไม้ทอดยาวลงยังลานกว้างเบื้องหน้าห้องเครื่อง แสงสีทองของอาทิตย์ยามอัสดงสาดส่องกระทบหม้อน้ำและกระทะเหล็กให้แวววาวดั่งหยกเปล่งประกายนั่นคือผลงานจากการทำงานหนักของเหล่านางในฝึกหัดที่ต้องช่วยกันขัดกระทะให้ไร้คราบเคราจนกระทะขึ้นเงาสะท้อนแสงจึงจะเป็นที่พอใจของผู้ฝึกสอนอย่างเหม่ยซู่ที่ละเอียดรอบคอบและทุกอย่างต้องเนี๊ยบที่สุด เสียงฟืนลั่นเปรี๊ยะในเตา คลอเคล้าไปกับกลิ่นอาหารหอมฉุยที่เริ่มโชยลอยออกจากหลายมุม บรรยากาศคึกคักอบอวลไปด้วยกลิ่นพริกหอม น้ำซุปเดือดพล่าน และน้ำมันร้อนที่ร้อนฉ่าในกระทะเหล่านางในห้องเครื่องฝึกหัดที่เหน็ดเหนื่อยจากการสอบในช่วงเช้า ตอนนี้ถึงเวลาได้ร่วมมือร่วมแรงกันทำอาหารอีกคนละจานตามแบบที่ตัวเองถนัด เพื่อแบ่งกินกันในมื้อเย็น นี่ถือเป็นธรรมเนียมเล็กๆ ที่เป็นทั้งการพักผ่อนและฝึกปรือฝีมือไปพร้อมกันของเหล่านางในห้องเครื่องฝึกหัดเสี่ยวหนี่ มีท่าทีสุขุมหากแต่ตาใสจะเรียกว่าดื้อตาใสได้ไหมนะ ใส่ผ้ากันเปื้อนสีฟ้าอ่อน พลางมัดผมขึ้นลวกๆ ช่วยเสี่ยวอี้ หั่นผักอยู่ข้างเตา เตรียมทำอาหารสามจานในคราวเดียว หนึ่งสำหรับเสี่ยวหนี่