ไนท์น้องชายเพื่อนเฮียที่จะช่วยตบตาเป็นแฟนหลอก ๆ ให้ ส่งร้านอาหารมาให้ในแชต เป็นร้านที่ฉันชอบไปกิน เหมือนเขารู้ว่าฉันชอบร้านนี้ ไนท์: ไปร้านนี้นะครับ ฉัน: อื้อ ตอนเย็นเจอกันนะ ไนท์: ผมตั้งตารอเจอพี่แล้วครับ บทสนทนาจบลงแค่นี้ ฉันทำงานที่กองบนโต๊ะต่อ ช่วงนี้จริงจังกับการช่วยงานเฮียมากขึ้น เหตุผลเพราะไม่อยากอยู่บ้านเฉย ๆ ให้สมองมันคิดฟุ้งซ่าน ติ๊ง~ แชตจากกันเพื่อนของตุลเด้งเข้ามาในมือถือ ฉันจึงรีบกดดู กัน: ผมมาต่างจังหวัดกับครอบครัวครับพี่ ไอ้อลันก็กลับบ้านไปหาพ่อมัน ตอนนี้ไม่มีใครว่างซื้อยาไปให้ไอ้ตุลเลยสักคน ฉัน: เดี๋ยวเขาคงบอกให้คนในครอบครัวซื้อให้เองนั่นแหละ ช่างเถอะ กัน: ผมว่าไม่นะครับ ไอ้ตุลมันไม่เคยขอความช่วยเหลืออะไรจากทางบ้าน พี่ซื้อไปให้มันหน่อยก็ดี ฉันไม่ตอบกลับอะไรทั้งนั้น ไม่รู้ว่าเพื่อนของตุลรู้เรื่องที่เขาเจอทำร้ายเมื่อคืนหรือเปล่า ดูท่าน่าจะยัง #ตอนเย็น ถึงเวลาที่ฉันนัดไนท์เอาไว้ การเจอกันวันนี้แค่พูดคุยทำความรู้จักกันก่อนจะเริ่มแผนหลอกพ่อ ฉันจะให้คนมาคอยถ่ายภาพทำเหมือนแอบถ่ายด้วย แล้วเอาภาพพวกนั้นไปให้พ่อของตุล พอท่านเห็นคงไม่อยากจะได้ฉันเป็นสะใภ้แน่ ๆ ฉันยอมเ
ให้หลังจากที่ตุลเดินไป ไนท์ก็เดินกลับมานั่งที่เดิม เป็นจังหวะที่พนักงานเดินเอาอาหารมาเสริฟให้พอดี “คู่หมั้นพี่ลิลดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบผมนะครับ” “เขาเป็นคนเข้ากับคนอื่นยากน่ะ” “พี่ลิลรู้จักเขาดีจัง” “…” พอถูกถามกลับมาแบบนั้นทำให้ฉันเงียบไปไม่เป็น ก่อนจะหยิบช้อนมาตักอาหารกินกลบเกลื่อนคำตอบ “ผมว่าเขาอาจจะไม่อยากถอนหมั้น ถึงได้จ้องหน้าผมแบบนั้น”“กินข้าวกันดีกว่านะไนท์ เดี๋ยวพี่ต้องรีบกลับบ้าน” “ขอโทษนะครับถ้าผมพูดเยอะไป” เหมือนไนท์จะรู้สึกผิด เขาพูดมากจริง ๆ บางเรื่องฉันก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงฉันพยักหน้าก่อนที่เราสองคนจะนั่งกินอาหารกันเงียบ ๆ จู่ ๆ สมองก็คิดถึงคำพูดของตุลขึ้นมา เขาบอกว่าไม่ได้เอารถมาแล้วจะกลับยังไงนะ ช่างสิ! ไม่เห็นต้องสนใจเลย เขาปากร้ายได้แปลว่าคงไม่เป็นอะไรมากหรอกก่อนแยกกันฉันนัดกับไนท์ว่าพรุ่งนี้เราจะมาไปเดินห้างด้วยกัน ทำอะไร ๆ แบบที่คู่รักเขาทำกัน เรื่องจ้างคนมาทำเหมือนแอบถ่ายรูปเดี๋ยวฉันจะขอให้เฮียจัดการให้ #บ้าน “ทำไมถึงไม่บอกว่าไอ้เด็กนั่นคือคู่หมั้นของลิล ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกว่าเป็นมัน” เฮียเดินมาถามหน้าขรึม ไม่รู้ว่าเฮียไปรู้เรื่องนี้มาจากใคร “หนูไม่รู้
ฉันนั่งลงเก็บภาพที่ตุลเอาทิ้งลงพื้นทีละใบ ๆ คนอุตส่าห์พยายามทุกทางแต่อีกคนกลับไม่ให้ความร่วมมืออะไรเลย เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ ไม่อยากหมั้นก็ควรทำอย่างที่ฉันบอกสิ แต่เอาเถอะ! ฉันจัดการจ้างคนเอาภาพพวกนี้ไปให้พ่อของตุลเองก็ได้ “เรื่องภาพพี่จะให้ลูกน้องของเฮียจัดการเอาไปให้พ่อตุลเอง” ฉันพูดขณะที่ก้มหน้าเก็บภาพถ่ายที่พื้นอยู่ คนที่นั่งฟังอยู่บนเตียงเงียบไม่ได้พูดอะไรตอบมาเลยสักคำ “ถ้าไม่อยากเจอหน้ากันพี่จะไม่มาที่นี่อีก” ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังพูดจบ ที่บอกความรู้สึกลดลงมันไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันก็แค่พูดให้ตัวเองดูเข้มแข็งในสายตาเขาก็เท่านั้นเองไม่มีบทสนทนาใด ๆ ระหว่างฉันกับตุล พอเก็บภาพเสร็จก็ลุกขึ้นเตรียมตัวจะกลับ ตุลค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากเตียง สายตาคู่นั้นโฟกัสที่ใบหน้าของฉันแล้วก้าวขาเดินมาใกล้ ๆ “ความรู้สึกลดลง” เขาทวนคำพูดที่ฉันเพิ่งจะพ่นออกไปอย่างเดือดดาลก่อนหน้านี้ “ใช่ มันเป็นแบบนั้น”“หมายถึงเวลาอยู่ใกล้ ๆ หัวใจจะไม่เต้นแรงแบบเมื่อก่อน?” “ชะ… ใช่” เสียงฉันเริ่มตะกุกตะกักเพราะตุลเอาแต่ก้าวขาเดินมาใกล้ๆ เหมือนเขาไม่ได้มีอาการเจ็บท้องแบบวันก่อนแล้ว “ขอพิสูจน์ดูหน่อยว่าพูดจ
ฉันที่ยังสะตั้นกับคำว่าพี่ที่ตุลเรียก ตอนนี้มองเขาตาค้าง ส่วนตุลก็เหมือนจะรู้ตัวแล้วว่าตัวเองเผลอพูดอะไรออกมา ตุลลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูมาพันรอบเอวก่อนจะเอาทิชชูมาโยนให้ฉัน จากนั้นเขาก็เดินออกไปจากห้องโดยไม่ได้พูดอะไร ฉันรีบใช้ทิชชูเช็ดคราบน้ำกามสีขุ่นออกจากหน้าท้อง แล้วก็รีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าพยายามไม่คิดถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของตุล เขาก็แค่เผลอปากไปไม่ได้คิดอะไรหรอก หลังจากที่แต่งตัวเสร็จเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันรีบมองหาว่าโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ที่ไหน ก่อนจะหยิบมันขึ้นมากดรับสาย คนที่โทรมาคือไนท์ “ว่าไงไนท์” (ผมจะโทรมาชวนไปกินข้าว พรุ่งนี้พี่ลิลว่างไหมครับ)“เดี๋ยวพี่บอกอีกทีได้ไหม” (ตอบแบบนี้ผมต้องเจอปฏิเสธแน่ ๆ เลย) “พี่บอกแล้วไงว่าเดี๋ยวนัดอีกรอบ” (ผม… คือผม ผมอยากจีบพี่ลิลนะครับ)คำพูดที่ตรงไปตรงมาของไนท์ทำให้ฉันชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเขาคิดอะไรก็ตาม “ตอนนี้พี่มีคู่หมั้นอยู่นะไนท์ มันคงไม่เหมาะถ้า…”(เดี๋ยวงานหมั้นก็ยกเลิกนี่ครับ วันนี้ผมรู้สึกดีมาก ๆ ที่ได้อยู่กับพี่ลิลทั้งวัน)แกร็ก! เสียงประตูห้องถูกเปิดเข้ามา ฉันรีบหันมองตุลที่กำลังจ้องตาเขม็ง ตอนแรกจะตัดสายไ
บรรยากาศภายในรถเริ่มเงียบสงัด ไม่มีบทสนทนาจากปากของเราทั้งคู่นานเกือบสิบนาที “ไหนบอกจะพาไปเจอพ่อที่บ้านแล้วขับรถมาทางไปอู่ทำไม” ฉันหันมาถามตุลเมื่อเขาเปลี่ยนเส้นทางกระทันหัน “แวะเอาของ” “อ… อื้อ” ฉันพยักหน้าตอบก่อนจะหันมองหน้าต่าง ไม่คิดว่าตัวเองจะทำตัวเป็นปกติได้จากที่เราผ่านการมีอะไรกันมาแล้วหลายครั้ง สำหรับฉันตอนนี้มันคงกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ตุลขับรถมาที่อู่ เขาบอกให้ฉันรอในรถก่อนที่ตัวเขาจะไปหาของที่ลืมไว้ ฉันยกมือขึ้นมาทาบลงบนหน้าอกข้างซ้ายของตัวเอง จู่ ๆ มันก็รู้สึกหน่วงใจเอามาก ๆ การได้มองเขาเดินห่างออกไปแบบนั้นมันเจ็บปวดจัง…“ยัยลิลแกเริ่มเพ้อเจ้ออีกแล้วนะ” ฉันพูดเตือนสติตัวเองเบา ๆ ก่อนจะหลับตาลงช้า ๆ ก็อก ๆ เสียงเคาะกระจกรถทำให้ฉันลืมตาขึ้นแล้วหันมอง เป็นตุลที่ยืนเคาะกระจกอยู่ด้านนอก“มีอะไรหรือเปล่า” ฉันลดกระจกลงแล้วถามเขา “พ่อเพิ่งโทรมาบอกว่าต้องรีบบินไปต่างประเทศ เรื่องที่จะคุยเลื่อนออกไปก่อน” “เอะ ทำไมกะทันหันแบบนี้ล่ะ” ฉันขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ ทั้งที่นัดคุยแต่กลับต้องรีบบินไปต่างประเทศเนี่ยนะ “ไม่รู้”“งั้นตุลไปส่งพี่ที่สวนสาธารณะหน่อยหรือถ้าไม่สะดวกเดี๋ยวพี่
ทั้งวันฉันใช้ความคิดกับเรื่องที่ตุลโกหก พยายามหาเหตุผลกับสิ่งที่เขาทำแต่ก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำไปทำไม พฤติกรรมของเขาเริ่มเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่างน่าแปลก บนโต๊ะอาหารตอนนี้ฉันกับเฮียเฟยกำลังนั่งกินข้าวด้วยกัน “หายไปนอนที่ไหนมาอีก” เฮียคงอยากถามคำนี้มากจนเก็บเอาไว้ในใจไม่ไหว “หนู หนูไปดื่มแล้วนอนค้างกับแพรค่ะ” ถ้าบอกว่าค้างที่อู่ของตุลเฮียคงไม่ชอบใจมาก ๆ เฮียขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านี้ “พรุ่งนี้เฮียจะบินไปดูงานที่ฮ่องกง คงไปสักอาทิตย์” “หนูขอไปด้วยได้ไหมคะ” “จะไปทำไมเฮียไปทำงานไม่ได้ไปเที่ยว” “หนูเบื่อ ๆ บ้าน ขอไปด้วยนะคะเฮีย นะ ๆ” ฉันออดอ้อนเพื่อขอให้เฮียพาไปด้วย ไม่รู้สิ จู่ ๆ มันก็อยากจะไป ไปไหนสักที่ที่ไม่ใช่อยู่บ้านแบบนี้ สมองของฉันมันมีเรื่องให้คิดฟุ้งซ่านไปหมด “อยากไปก็ได้เฮียไม่ห้าม” “เย้! เฮียของหนูน่ารักที่สุดเลยค่ะ ^_^” ฉันฉีกยิ้มกว้างแล้วกินข้าวต่อ ตอนนี้ถึงแม้ว่ามันจะเกิดการสับสนในใจกับสิ่งที่ตุลทำ แต่ฉันก็ยังไม่อยากจะไปต่อว่าหรืออะไรในตอนนี้ เขาอาจจะมีเหตุผลและคงเป็นเหตุผลที่ฉันไม่เข้าใจ หวังว่ากลับจากฮ่องกงแล้วเขาจะมีคำตอบดี ๆ ให้กับฉัน วันต่อมา
ฉันนิ่งปล่อยให้ตุลจูบโดยไม่ยอมเปิดปากให้เขาได้สอดลิ้นเข้ามาสำรวจภายในโพรงปาก พอเห็นว่าฉันนิ่งเขาก็ค่อย ๆ ถอนจูบออก แล้วใช้หน้าผากของตัวเองวางชนกับหน้าผากของฉัน พร้อมกับปลายจมูกที่แตะกัน สองมือหนายังจับอยู่ตรงคอไม่ยอมปล่อย ตอนนี้ลมหายใจร้อนผ่าวเริ่มสงบลง “ตอบมาว่าที่ไม่ยอมรับสายเพราะไปอยู่กับมันมาใช่ไหม?” เขาถามย้ำ “คิดสิว่าพี่จะทำแบบนั้นหรือเปล่า” “ตอบ!!” “พี่ทนไม่ไหวแล้วจริง ๆ นะตุล ทำไมต้องร้าย ทำไมต้องบังคับ ไม่ชอบก็ควรอยู่ห่างไม่ใช่หรือไง” “ทนไม่ไหวก็ต้องทน” เขาพูดเบา ๆ นั่นหมายความว่าให้ฉันทนอยู่ต่อไปแบบนี้น่ะเหรอ “ทำไมล่ะตุล ทำไมพี่ต้องทน” “…” เขาไม่ให้คำตอบกับฉันว่าทำไม “เราต้องการที่จะถอนหมั้นไม่ใช่เหรอ อย่าเบี่ยงประเด็นไปมากกว่านี้ได้ไหม”“ใช้วิธีอื่น อย่าดึงใครเข้ามาเกี่ยว”“ถ้าไม่ทำแบบนี้แล้วเราจะถอนหมั้นได้ยังไง จะใช้วิธีแบบไหนบอกมาสิ” “ยังคิดไม่ออก” เขาพูดเหมือนไม่ได้เดือดร้อนอะไรเลยทั้งที่ตัวเองไม่อยากหมั้น “งั้นพี่จะใช้วิธีของพี่ ตุลก็ใช้วิธีของตุลไปนะ โอ้ย!” ฉันร้องอุทานออกมาเพราะถูกกระชากแขนให้เดินมาที่รถ แล้วถูกกดให้นอนราบไปตรงหน้ากระโปรงรถ “จะทำอะไรอีก
“ไม่ใช่นะคะ ไม่ใช่เขา” ฉันรีบปฏิเสธ “หนูไม่ได้ท้องกับตุลนะคะคุณลุง” “ทำไมจะไม่ใช่ บอกพ่อไปสิว่าเรามีอะไรกันมานานเท่าไหร่แล้ว ก่อนที่จะถูกจับให้หมั้นกันซะอีก”“ตุล!!” แผนที่ฉันคิดมันกำลังจะพังเพราะเขานะ พูดขึ้นมาได้ยังไงว่าท้องกับตัวเองแทนที่จะนั่งเงียบ ๆ “รู้จักกันก่อนหมั้น?” พ่อของตุลขมวดคิ้วเข้มทวนคำพูดของลูกชาย“ใช่ครับ ถ้าท้องแปลว่าผมเป็นพ่อของเด็กในท้อง” “เดี๋ยวนะตอนนี้พ่อสับสนไปหมดแล้ว นี่ลูกสองคนรู้จักกันแล้วทำไมถึงไม่บอกพ่อตั้งแต่แรก” “เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกค่ะ ในท้องหนูไม่ใช่ลูกของตุล หนูบอกพ่อแล้วไงคะว่าหนูมีแฟนอยู่แล้ว แฟนของหนูเป็นพ่อของเด็กในท้อง” ตอนนี้ฉันกำลังแก้สถานการณ์อยู่ ทุกอย่างมันกำลังจะแย่รวมทั้งฉันด้วย คำพูดที่บอกไปก็ฟังแทบไม่ขึ้น พ่อกับคุณลุงตกใจกันทั้งคู่ “ฉันจะเป็นลม” พ่อถึงกับหน้ามืดเซไปมาจนต้องหาอะไรจับเอาไว้ ฉันรู้ว่าการทำแบบนี้จะทำให้ท่านหนักใจ แต่ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ไงถึงเลือกโกหกว่าตัวเองท้อง“พ่อคะคุณลุงคะ หนูหมั้นกับตุลไม่ได้จริง ๆ ค่ะ”“จะโกหกทำไม บอกความจริงไปก็สิ้นเรื่อง” ในขณะที่ฉันกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถ ตุลเองก็พยายามจะให้ทุกค