สามีปีผ่านไปความต้องการของซิงเยียนฮูหยินก็ประสบผลสำเร็จ นางตั้งครรภ์และคราวนี้ก็ได้บุตรชายสมใจ และนั่นก็ยิ่งทำให้นางเกิดความคิดที่ว่า...ต้องรีบกำจัดเก้าเทียนรุ่ยและท่านแม่ให้พ้นทาง เพื่อที่บุตรชายของนางจะได้เป็นผู้นำตระกูลเก้า แต่เหมือนกับว่าเก้าเทียนรุ่ยจะเป็นคนที่มีเทพคอยปกปักคุ้มครอง ทำให้คลาดแคล้วจากเรื่องร้ายได้เสมอ
แต่จะเป็นไปได้หรือที่คนเราจะแคล้วคลาดจากเรื่องร้ายได้ตลอดไป สุดท้ายแล้วก็มิรู้ว่าซิงเยียนฮูหยินใช้วิธีการใด ท่านย่าจึงบอกกล่าวให้ท่านแม่พาเก้าเทียนรุ่ยไปขอพรให้กับท่านพ่อ นั่นทำให้เก้าเทียนรุ่ยกับท่านแม่ต้องประสบกับเรื่องร้ายแรง!
พวกเราเจอกับโจรร้ายที่ดูเหมือนจะมิอยากได้ข้าวของ หากอยากได้ชีวิตของเก้าเทียนรุ่ยกับท่านแม่เสียมากกว่า เก้าเทียนรุ่ยปกป้องท่านแม่จนตัวตาย ขณะที่ท่านแม่กำลังจะถูกทำร้ายก็กลายเป็นเขาที่ฟื้นขึ้นมาอย่างงุนงงและสับสน ในตอนนั้นเขามิรู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง รู้เพียงแค่ว่าตนเองสามารถขอความช่วยเหลือจากเหล่าต้นไม้ใบหญ้าให้ช่วยกันปกป้องและยังจะช่วยพาเราสองคนหนีจนปลอดภัยด้วย
เราสองแม่ลูกหลบซ่อนกายอยู่ในป่าอยู่หลายวัน จนแน่ใจว่ารอดพ้นจากน้ำมือโจรร้ายพวกนั้นแล้วจริง ๆ ท่านแม่จึงพาเขากลับไปที่เรือน หากสิ่งที่รับรู้คือ...คนในเรือนรับรู้ว่าเก้าเทียนรุ่ยกับท่านแม่ถูกโจรดักปล้นและถูกฆ่าตายเสียแล้ว อีกทั้งท่านแม่ก็รู้ดีว่าตอนนี้ผู้ที่อยู่อาศัยในร่างของเก้าเทียนรุ่ยนั้นมิใช่บุตรชายของตระกูลเกาอีกแล้ว ท่านแม่จึงเลือกที่จะพาเขาหลบออกมาโดยมิให้ผู้ใดสังเกตเห็น
เขาคิดว่าลึก ๆ แล้วท่านแม่คงรู้ว่าโจรพวกนั้นไม่ใช่โจรป่าทั่วไปที่แย่งชิงข้าวของ แต่เป็นนักฆ่าที่ถูกสั่งให้มากำจัดบุตรชายที่จะเป็นผู้นำของตระกูลเกาคนต่อไป นางอยากจะปกป้องร่างของเก้าเทียนรุ่ยและเขามิให้ถูกทำร้ายอีก
เขาเล่าให้ท่านแม่ฟังว่าเป็นใคร มาจากที่ใด แต่มิรู้ว่ามาด้วยเหตุผลอะไร ท่านแม่จึงเลือกที่จะเรียกเขาว่าเอ้อร์เอ๋อร์ที่หมายความว่าบุตรชายคนที่สองแทนนามเดิมของเก้าเทียนรุ่ยที่นางมักจะเรียกว่า...รุ่ยเอ๋อร์ มิใช่เพียงแค่ปกปิดนามหากแต่เป็นการปกปิดตัวตนมิให้คนที่คิดไม่ดีรู้ว่าเก้าเทียนรุ่ยยังคงมีชีวิตอยู่
เมื่อเราต้องอยู่ที่อื่นที่มิใช่เรือนตระกูลเก้า เราก็ต้องมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้านรวมถึงซื้อข้าวของต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ นั่นก็ทำให้เขาล่วงรู้ถึงความสามารถพิเศษที่คนผู้นั้นให้ติดกายมา มันคือการปลูกพืชผักที่ทั้งโตเร็วและยังจะใหญ่กว่าของผู้อื่น อีกทั้งยังใช้รักษาอาการป่วยไข้ได้ด้วย
“ท่านแม่มิได้รังเกียจที่จะให้ข้าเป็นบุตรของท่านใช่ไหมขอรับ”
“ขอบใจนะเอ้อร์เอ๋อร์...ขอบใจนะลูก”
เขารีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของมารดา และรีบพาสนทนาเรื่องอื่นที่มิใช่เรื่องที่ทำให้ท่านแม่สะเทือนใจ “ท่านแม่จะไปงานเลี้ยงที่ท่านลุงและท่านป้าสงเชื้อเชิญใช่ไหมขอรับ”
“หากเอ้อร์เอ๋อร์อยากให้แม่ไป แม่ก็จะไป”
“ดีมากขอรับ เช่นนั้นท่านแม่รีบไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์นะขอรับ ข้าเองก็จะรีบไปอาบน้ำชำระล้างร่างกายเช่นกัน” เก้าเทียนรุ่ยประคองร่างบอบบางที่ตอนนี้ผอมจนคิดว่าหากเจอกับพายุลมแรงสักหน่อย...อาจจะปลิวไปกับสายลมก็เป็นไปได้พาเดินไปส่งที่ห้อง
“ข้ารักท่านแม่นะขอรับ”
“ขอบใจนะเอ้อร์เอ๋อร์”
“คุณชายเอ้อร์เอ๋อร์!”
เท้าที่ก้าวไปข้างหน้าหยุดชะงัก สองมือที่จับรถบรรทุกผักคันเล็กจิกเกร็ง ก่อนที่เขาจะตั้งสติได้และหันไปมองท่านแม่ที่ตอนนี้มีสีหน้ามิสู้ดี ด้วยทุกครั้งที่มีคนมาที่นี่ ท่านแม่ก็จะคิดไปว่าเราสองคนถูกค้นพบ คนที่มาจะต้องคิดทำร้ายเก้าเทียนรุ่ย
“มิมีอันใดขอรับ พวกเขาคงจะมา...ขอให้ข้ารักษานะ” เขารีบบอกพร้อมกับยื่นมือไปจับมือท่านแม่เอาไว้ ด้วยรู้ดีว่าท่านมิสบายใจเท่าไหร่ที่ได้เห็นทหารมาเยือนถึงเรือน
“คนพวกนั้น...คงจะยังไม่รู้ว่าเราสองคนแม่ลูกยังมีชีวิตอยู่นะขอรับ” เก้าเทียนรุ่ยกระซิบบอก แม้ก่อนหน้านั้นท่านแม่จะเป็นเก้าฮูหยินก็ตาม หากเดี๋ยวนี้นั้น ท่านแม่คือท่านแม่ของท่านหมอเอ้อร์เอ๋อร์ที่มีเพียงผู้คนในหมู่บ้านเล็ก ๆ เกือบจะอยู่ติดชายแดนเท่านั้นรู้จัก ที่นี่ห่างไกลความเจริญมากพอที่จะมิมีข่าวเรื่องราวของเก้าฮูหยินและคุณชายเก้าเทียนรุ่ยหลุดรอดออกไป หากตอนนี้เขาก็เริ่ม...มิแน่ใจเสียแล้ว
“ขอรับ” ความจริงแล้วเขาอยากจะตอบไปว่ามิใช่ หากดูเหมือนทหารที่มาคงจะสืบสาวราวเรื่องมาเป็นอย่างดี จนมั่นใจแล้วว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงนี้คือคนที่พวกเขาต้องการพบตัว การปฏิเสธออกไปจึงน่าจะมิใช่เรื่องดีที่ควรทำ
“มิทราบว่าพวกท่านมาหาข้าด้วยเหตุอันใดหรือขอรับ”
“ขอเชิญท่านไปกับเราด้วย”
“เดี๋ยว! หยุดก่อน” เก้าเทียนรุ่ยรีบยกมือกันมิให้ทหารสามนายเดินมาหา ก่อนจะรู้ว่ามันมิได้ผลก็เลยรีบใช้รถบรรทุกผักคันเล็กมาดักเอาไว้แทน
“ท่านต้องบอกให้ข้ารู้ก่อน จะให้ข้าไปที่ไหน ไปด้วยเรื่องอันใด...มิเช่นนั้นข้ามิไป ถึงพวกท่านจะใช้กำลังบังคับ ก็อย่าคิดว่าจะพาข้าไปจากที่นี่ได้ง่าย ๆ ข้า...ข้าสู้แค่ตายเท่านั้น”
เขามิต้องการเปิดเผยความสามารถที่มีให้ผู้อื่นล่วงรู้ แต่หากมันถึงคราวจำเป็นต้องใช้ เก้าเทียนรุ่ยก็มิรีรอเลย ถึงจะมิเก่งกล้าหากก็คิดว่าสามารถพาตนเองและท่านแม่หนีไปได้แน่นอน ยิ่งสภาพที่เป็นอยู่ยามนี้ หนุ่มน้อยร่างโปร่งบาง หน้าตามอมแมมเพราะคลุกดินคลุกโคลนกับหญิงชราผู้หนึ่ง ย่อมมิเป็นที่สนอกสนใจของผู้ใดแน่
“พวกเจ้าหยุดก่อน”
เก้าเทียนรุ่ยรีบมองผู้มาใหม่ที่นั่งอยู่บนม้าสีดำราวกับนิล หากแสงสะท้อนจากดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลัง ทำให้มองหน้าคนผู้นี้มิชัด ทว่าสิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือรัศมีแห่งความมีอำนาจ...พลังที่ทำให้รู้สึกว่ารายรอบกายมันเย็นยะเยือก มันอึดอัด มันกดดันจนแทบมิกล้าจะหายใจ ในหัวมีข้อความหนึ่งดีดขึ้นมา...
หากเป็นศัตรูกับคนผู้นี้ ก็เหมือนกับว่าเขาย่างเท้าข้างหนึ่งไปเยือนน้ำพุเหลือง[1] แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังอยากอยู่เงียบ ๆ กับท่านแม่ ปลูกผักและค้าขายอย่างเช่นทุกวันนี้ ก็เลยคิดว่า ต่อให้คนตรงหน้าจะน่ากลัวเพียงใด ก็ยังเลือกที่จะมิยุ่งเกี่ยวจะเป็นการดีกว่า
“ขอรับรองแม่ทัพ”
รองแม่ทัพ!
[1] ยมโลก
“ท่านแม่มายืนใกล้ ๆ ข้านะขอรับ หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ข้าสามารถมาพาท่านหนีได้ทันที” ถึงจะกล่าวออกไปเช่นนั้น หากเก้าเทียนรุ่ยก็มิมั่นใจเลยสักนิด ด้วยพลังและความสามารถของรองแม่ทัพผู้นั้น...คิดว่าอย่างไรก็คงจะต้องเก่งมิน้อย ฝีมือเล็กน้อยของเขาคงจะหนีรอดได้ยาก“ข้าทราบมาว่าคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์มีฝีมือด้านรักษาผู้คน”น้ำเสียงเยือกเย็นและเต็มไปด้วยอำนาจ ทำให้เก้าเทียนรุ่ยรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา “ไม่...ไม่ใช่หรอกขอรับ ข้าคิดว่าท่านคงจะเข้าใจอันใดผิดไปเสียแล้ว ข้าเป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาที่ปลูกผักปลูกหญ้าไปขาย คนที่ได้กินก็รู้สึกเพียงแค่ว่าตนเองแข็งแรงขึ้นเท่านั้นเอง” เขาเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับฉีกยิ้มแหย ๆ“คุณชายช่างถ่อมตนยิ่งนัก แต่หากข้ามิมั่นใจ ก็คงจะมิมารบกวนคุณชายหรอกนะ”“ข้ามิได้ถ่อมตัวนะขอรับ แต่ท่านเข้าใจผิดไปไกลแล้ว เพราะพวกเขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ได้กินอาหารอร่อย ๆ ที่ปรุงจากพืชสด ๆ ที่ข้านำไปขายให้ ก็เลยทำให้มีสุขภาพดีขึ้นเท่านั้นเอง”“จะต้องให้ข้านำผู้ที่ได้รับการรักษาจากท่านมายืนยันหรือไม่เล่าคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์”จริงแหละ...มากันเช่นนี้ ถามหาคุณชายเอ้อร์เอ๋อร์อย่างมิติดขัดเช่นนี้ เป็นไ
“คือ...ต้องหาผ้าชิ้นใหญ่ ๆ มาใช้ห่อผักพวกนี้ให้สดชื่นให้มากที่สุดนะ ข้าทำคนเดียวคงจะต้องใช้เวลานาน หากพวกท่านต้องการให้รีบไป ก็ต้องช่วย”รองแม่ทัพพยักหน้า นายทหารสองคนก็รีบตามเก้าเทียนรุ่ยไปที่หลังบ้าน“ท่านรอข้าตรงนี้ก่อนนะ ข้าขอไปหาท่านแม่ ขอผ้าชิ้นใหญ่ ๆ มาใช้ก่อน อ๋อ...ข้าลืมไปเลย ท่านช่วยไปเอารถที่ข้าใส่ผักที่ยังอยู่หน้าบ้านมาให้ด้วยนะขอรับ”สั่งความเสร็จเก้าเทียนรุ่ยก็รีบเดินไปหาท่านแม่เพื่อค้นหาสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ ก่อนจะออกมาจัดการทุกอย่างให้เสร็จสิ้นโดยเร็วไวและมิลืมที่จะไปบอกกล่าวเจ้าของบ้านที่ให้เขากับท่านแม่เช่าอยู่ด้วยอัตราค่าเช่าที่ถูกมากเพื่อให้มาเก็บผักที่เหลือไปกินและแจกจ่ายเพื่อนบ้าน เพราะเขามิรู้เลยว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกหรือเปล่า...มิได้คิดไปเอง แต่โอกาสที่ได้กลับมาที่นี่มีน้อยมาก เมื่อคิดดูแล้ว ถึงอยู่ห่างไกลเช่นนี้ยังมีคนตามหาตัวจนเจอ มินานคนพวกนั้นก็อาจจะล่วงรู้ก็เป็นไปได้ เสร็จเรื่องนี้แล้วเก้าเทียนรุ่ยคิดว่าจะต้องปรึกษากับท่านแม่เรื่องหาที่อยู่ใหม่ให้ห่างไกลจากคนพวกนั้น...มากเท่าไหร่ยิ่งดี“เจ้ายังมีสิ่งใดที่ต้องนำไปอีกไหม”“มิ...มิมีแล้วขอรับท่ารองแม่ทัพ” เก้
เก้าเทียนรุ่ยตบมือผู้เป็นมารดาเบา ๆ ก่อนจะกระโดดลงจากรถม้าไปหาท่านรองแม่ทัพหน้าตายที่ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมรับมือกับเรื่องมิขาดฝัน เขากวาดตามองไปยังทหารผู้ติดตามที่หากจำมิได้ เมื่อแรกเริ่มเดินทางกันมีประมาณห้าคน หากตอนนี้เหลือเพียงแค่สี่ เขายังมิทันจะได้ไถ่ถามสิ่งใดต่อก็ได้ยินเสียงร้องที่จับทิศทางมิได้ดังมา“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านรองแม่ทัพ”“ลงมาทำไม กลับขึ้นไปบนรถม้าเดี๋ยวนี้”“ลงมาดู เผื่อจะช่วยท่านได้บ้างไงขอรับ” ดูเหมือนว่าใบหน้าและสายตาของท่านแม่ทัพจะมิเกรงกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากมิใช่เหล่าทหารผู้ติดตามที่ออกอาการละล้าละลัง หันรีหันขวางคล้ายจะหวาดกลัวกับบางสิ่งบางอย่างเป็นอย่างมาก“กลับไปอยู่บนรถม้า อย่าให้ข้าต้องจับเจ้าขึ้นไป!”หากรองแม่ทัพก็มิทันจะได้ทำอย่างที่กล่าวออกมา เสียงร้องจากนายทหารผู้ติดตามก็ดังมาอีกครั้ง คราวนี้ได้เห็นว่ามีเถาวัลย์ซึ่งมีหนามแหลมคมเคลื่อนตัวมาอย่างเร็วและรัดเข้าที่ข้อเท้าของนายทหารผู้โชคร้ายพร้อมกับดึงไปอย่างรวดเร็วเกินที่ว่าใครจะช่วยเหลือได้ทันและยังจะมาจากอีกหลายทิศทาง พุ่งตรงมาจุดมุ่งหมายคือทุกคนที่อยู่ในที่นี้ หากเมื่อมาถึงตัวเขากลับหยุดชะงักและรี
แต่ก็คงจะไม่มีอะไรให้แปลกใจแล้วล่ะ ก็อยู่ดี ๆ เขาเกิดรู้ว่าผักที่ปลูกไว้หลังเรือน ผลไม้ รวมถึงต้นไม้ใบหญ้าที่พบเห็นได้ทั่วไปสามารถนำมาปรุงตัวยาที่สามารถรักษาผู้คนให้หายได้ หากนั้นก็ยังมิเท่ากับความกล้าที่มิรู้ว่ามันมาจากที่ใด ไม่กลัวว่าจะถูกทำร้ายยามที่เอ่ยปากออกไปว่า สามารถรักษาผู้คนที่ป่วยไข้ให้หายได้ ยังดีที่ทุกคนกินเข้าไปแล้วหายจริง ๆ มิตายอย่างที่ปากพาหาเรื่องให้หัวกับตัวขาดจากกันเมื่อได้ยาที่ต้องการแล้วเก้าเทียนรุ่ยก็นำไปมอบให้กับท่านรองแม่ทัพและนายทหารที่เหลืออยู่อีกสองคน “หากอยากพาข้าไปทำการปรุงอาหารให้กับนายของท่าน ก็กินยานี่พร้อมกับผักในรถสักสองสามต้น...มินานเลือดก็หยุด พลังก็จะฟื้นคืนด้วยเช่นกัน ส่วนบุรุษผู้นั้น ข้าจะเป็นคนจัดการเอง...กล้าจับท่านแม่ของข้าไป ฮึ...ต่อให้ร้องอ้อนวอนจนเสียงขาดหาย ก็อย่าหวังว่าข้าจะปรานี”“ประมาณตนหน่อยคุณชายเอ้อร์ อย่าให้ข้าต้องเป็นคนฝังท่านก่อนจะได้ไปทำการรักษานายของข้า”หากเก้าเทียนรุ่ยกลับส่งยิ้มหวาน...เพียงแค่ปากมิใช่ดวงตาที่มันร้อนผ่าวไปให้กับท่านรองแม่ทัพ“ท่านนั่นแหละ เงียบปากไปเลย เอาตัวเองให้รอดก่อนจะมาดูแลผู้อื่นเถอะ”เก้าเทียนรุ่ยเอ
“ตื่นแล้วหรือเอ้อร์เออร์” “ขอรับ...” เก้าเทียนรุ่ยพยักหน้ารับ พลางยกสองมือชูขึ้นก่อนจะนำข้างหนึ่งมาปิดปากเอาไว้ แม้จะได้นอนหลับพักผ่อนที่น่าจะนานอยู่ หากเขาก็ยังคงรู้สึกอ่อนเพลียจนอยากที่จะนอนพักอีกสักหน่อย ทว่า...“ถึงที่หมายแล้วหรือขอรับท่านแม่” มิน่าจะใช่ เขายังรู้สึกเหมือนกับว่ารถม้าที่นั่งอยู่เคลื่อนไหวอยู่เลย อีกทั้งเหมือนกับจะได้ยินเสียงของผู้คนที่อยู่นอกรถม้าด้วย ดูเหมือนว่าการเดินทางและเรื่องที่เกิดขึ้นจะทำให้ท่านแม่เองก็เหนื่อยมิใช่น้อย ตอนนี้ถึงได้มีท่าทางอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด เก้าเทียนรุ่ยจึงยื่นมือออกไปและปิดผ้ายื่นหน้าออกไปด้านนอกเพื่อไถ่ถามรองแม่ทัพที่น่าจะเร่งรีบเดินทางจนมิยอมหยุดพัก เมื่อรวมเข้ากับอาการบาดเจ็บที่ได้รับมา ตอนนี้ถึงได้ดูท่าทางเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าอย่างที่เห็นได้ชัด“เจ้าหลับไปนาน ข้านึกว่าจะมิตื่นขึ้นมาเสียแล้ว”“ปากเสีย...เป็นท่านมากกว่าที่ข้านึกว่าจะมิไหว แต่เห็นแล้วว่ายังแข็งแรงดีอยู่ แสดงว่ายาที่ข้าให้ท่านกินพร้อมกับผักพวกนั้นใช้รักษาแผลบาดเจ็บได้ดีจริง ๆ ด้วย เนี่ยนะเป็นครั้งแรกเลยที่ข้าใช้ยานั่น นับถือความใจกล้าของท่านที่ยอมกินยานั่น เป็นหนูท
“ที่เจ้าทำอยู่ คงมิได้คิดจะบ่ายเบี่ยงมิยอมไปรักษานายของข้าหรอกนะ”ถามอย่างกับว่าเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างนั้นแหละ ก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง...เขากับท่านแม่อยากจะหนีไปตั้งแต่ได้เห็นประตูทางเข้าที่นี่แล้ว ตอนที่ถูกบังคับให้มาด้วย ก็คิดอยู่แล้วล่ะ ผู้ที่เก้าเทียนรุ่ยต้องมาดูแลและปรุงอาหารให้ จะต้องเป็นคนสำคัญมาก หากใครจะคิดเล่าว่าคนผู้นั้นจะเป็นถึง...พลาดแล้ว...เขาพลาดไปแล้ว หากชวนท่านแม่หนีไปตั้งแต่เจอกับบุรุษชุดขาวนั่นตั้งแต่อยู่ในป่า ตอนนี้เขาก็คงมิต้องลำบากใจระคนขลาดกลัวเช่นนี้หรอกขอห้องให้ท่านแม่ได้พักผ่อน...ความจริงคือพาท่านให้ห่างไกลจากความวิตกกังวลและหวาดกลัวหลังจากที่ได้รู้ว่าเขาต้องทำการดูแลปรุงอาหารให้ใครนั่นแหละ ส่วนตัวเขาเองก็ได้อาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ให้สะอาดขึ้น ยามเมื่อเข้าไปหาคนผู้นั้น จะได้มิต้องกังวลว่าตนเองจะมีกลิ่นมิพึงประสงค์และเชื้อโรคติดไป“ท่านจะเอาอันใดกับข้า...ตอนที่ข้าอาบน้ำ ท่านก็คอยให้คนไปจับตามองแทบจะทุกหนึ่งจิบชา[1] กลัวข้าจะหนี...คิดว่าข้าทำได้หรือไง ทุกที่...มีแต่คนของท่านเต็มไปหมด แค่มดก็ยังแทบจะหลุดรอดสายตาไปไม่ได้ นี่ข้าเป็นคนนะ จะหลุดรอดสายตาคนของท่านไปไ
ก็มิได้มีสิ่งใดให้น่าแปลกใจ ความรู้สึกแรกเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องนี้ หากก็ยังมีกลิ่นที่ทำให้เขาต้องรีบใช้สัมผัสที่มีหาที่มาของมัน หากมันก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้งเท่านั้นก่อนที่ทุกอย่างจะเลือนหายไปราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเขาเพียงแค่คิดมากไปเองมีอีกสิ่งที่เก้าเทียนรุ่ยสัมผัสได้หลังจากที่เดินเข้ามาในห้องนี้...มันร้อนอบอ้าวและความแห้งแล้งที่มันทำให้นึกถึงความแห้งแล้งเหมือนอยู่ในทะเลทราย ก่อนที่เขาจะได้พบกับ...อึ้ง!!! และกลัวจนตัวสั่นเมื่อเห็นผู้ที่นอนอยู่บนเตียง จนเผลอก้าวถอยไปด้านหลัง ไปยืนงุนงงอยู่ครู่ใหญ่ จึงได้เอ่ยปากไถ่ถามรองแม่ทัพที่ยังคงมิยอมเอ่ยปากกล่าวอันใด หากสายตาที่มองมายังเขาพร้อมกับบ่งบอก...เป็นอย่างไรเล่า เจ้าก็เหมือนผู้อื่นที่มาทำการรักษา เพียงแค่เห็นก็ส่ายศีรษะไปแล้ว เมื่อตรวจดูก็รีบกล่าวเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว“ขออภัย...ขออภัยด้วยท่านรองแม่ทัพ ความรู้ข้ายังน้อย มิอาจทำการรักษานายของท่านได้”เจ้าเด็กเอ้อร์เอ๋อร์ปากดี...ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกันเก้าเทียนรุ่ยมองบุรุษบนเตียงสลับกับรองแม่ทัพอยู่ครู่ใหญ่พร้อมกับความคิดที่ว่า...รองแม่ทัพผู้นี้เป็นบ้าไปแล้วใช่หรื
“หากเจ้าสามารถรักษาท่านแม่ทัพให้หายดีได้...จะให้ข้าเป็นม้า เป็นข้ารับใช้เจ้าไปตลอดชีวิตก็ได้ทั้งนั้น แล้วแต่เจ้าจะต้องการ”“ข้าจะทำเช่นนั้นไปทำไม ให้ท่านอยู่ใกล้ ข้าหายใจออก เอาเงินมิดีกว่าหรือไง อยากได้อะไรก็จะได้ซื้อได้ ดีกว่าที่ท่านกล่าวมาเป็นไหน ๆ ” ในเมื่อเขาอยากที่จะพาท่านแม่หนีไปให้ไกลจากคนพวกนั้น สิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือ...การมีเงินให้เพียงพอคือสิ่งที่ดีที่สุดในยามนี้“มิถามเรื่องนี้แล้วก็ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าขอให้ท่านช่วยหาเตียงเล็ก ๆ มาให้ข้าสักหลัง เอามิต้องใหญ่นะ แต่ให้นอนสบาย”“จะเอามาทำไม ห้องที่ข้าจัดให้พักมิดีเพียงพอหรือไง”“ท่านนี่นะ...จะให้ข้ารักษานายของท่านโดยมิรู้อะไรเลยหรืออย่างไรกัน ข้าต้องอยู่ดูแลสังเกตอาการนายของท่านอย่างใกล้ชิดสิ จะได้จัดอาหารให้กินอย่างถูกต้อง จะได้หายเร็ว ๆ มิดีหรืออย่างไร”“ได้! ต้องการสิ่งใดก็บอกมา”“ขอพื้นที่สำหรับปลูกผัก” คิดว่าคนบนเตียงคงจะมิหายภายในสามวันเจ็ดวันเป็นแน่ เดือนหนึ่งก็คิดว่าน่าจะยังเร็วด้วยซ้ำ ในเมื่อจำเป็นต้องอยู่นาน ผักหญ้าที่เตรียมเอาไว้ก็คงจะมิเพียงพอ เขาจำเป็นต้องรีบจัดหามาเพิ่มให้เพียงพอและอย่างเร็วที่สุดด้วย“ส่วนจะปลู
“ท่านแม่” “เอ้อร์เอ๋อร์”เรียกได้ว่า เมื่อเห็นเขาเปิดประตูห้องเข้าไปและร้องเรียก ท่านแม่ก็รีบพาร่างบอบบางพุ่งตรงมาหาในทันที สองมือเล็กเหี่ยวนุ่มเย็นจัดเช่นเดียวกับใบหน้าที่ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวระคนวิตกกังวลมิแพ้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความร้อนอกร้อนใจ มันทำให้เขารู้สึกมิค่อยดี หรือว่าท่านแม่...“ท่านแม่เจอ...แล้วหรือขอรับ” หากเจอกันแล้ว ยามที่เขาเจอกับบุรุษผู้นั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างที่บอกให้รู้บ้างสิ แต่เท่าที่เห็น...จากความคิดของเขาเอง แม้จะเป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่งเพียงใด แต่การได้เจอกับบุตรชายที่ได้ตายไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตกใจ...สงสัยและบังคับเอาคำตอบแน่นอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือบุรุษผู้นั้นมิได้สนใจในตัวเก้าเทียนรุ่ยที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด แทบจะมิปรายตามองด้วยซ้ำไป“แม้จะเห็นเพียงแค่ไกล ๆ ถึงการอยู่ด้วยกันจะมิได้รับการเอาใจใส่ แต่อย่างไรก็สามีภรรยากัน มีหรือที่แม่จะจดจำคนผู้นั้นมิได้ แม่รีบหลบมาอยู่แต่ในห้อง อยากจะไหว้วานนายทหารให้ส่งข่าวให้เอ้อร์เอ๋อร์รู้ แต่ก็กลัวจะถูกสงสัย เลยได้แต่รอด้วยความร้อนใจเช่นนี้”“ท่านแม่ไว้วางใจได้ขอรับ นอกจากเขาจะจำข้ามิได้แล้ว เขายังไม่
นิ้วยาวลากไล้บนท่อนแขนกำยำอย่างแผ่วเบาพลางพึมพำออกมาว่า “แผลที่แขนสมานกันดีจนแทบมิเห็นรอยบาดแผลแล้ว ยาใส่แผลของข้าช่างได้ผลดียิ่งนัก” มิน่าเชื่อว่ายาเหล่านั้นจะทำให้บาดแผลหายเร็วเช่นนี้ มันช่างแปลกประหลาดเหลือที่จะกล่าว แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการดียิ่งเก้าเทียนรุ่ยลุกขึ้นเพื่อไปตรวจดูแขนอีกข้างของท่านแม่ทัพอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่คนอย่างเขาจะทำได้ แต่นอกจากบาดแผลจากการสู้รบและฝึกฝนฝีมือที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วก็มิเห็นว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติไปเลยแม้แต่นิดเดียว“เจ้าหนอนแดงนั่นมันหลบซ่อนอยู่ตรงไหนกันนะ มันต้องมีร่องรอยบ้างสิ ข้าต้องหาเจอสิน่า” เก้าเทียนรุ่ยบ่นพึมพำพลางกวาดสายตามองแขนท่านแม่ทัพอย่างมิให้คลาดสายตาแม้สักจุดเดียว ก่อนจะเลยไปถึงแผงอกกว้างกำยำที่ดูอย่างไรก็เห็นจะมีเพียงแค่ร่องรอยของบาดแผลทั้งเก่าและใหม่มิมีร่องรอยของสิ่งที่ค้นหาอยู่เลย“คิดว่ามันจะยอมให้หาเจอง่าย ๆ หรือไง กระทั่งตัวข้าเองที่มีมันอยู่ในร่างกายยังมิรู้เลยนะ”“จะซ่อนให้ดียังไง มันก็หนอนที่ไร้ความคิดนะขอรับ จะปกปิดซุกซ่อนอย่างความคิดของคนได้ยังไงกันล่ะ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยออกไปขณะเดียวกันสำรวจร่างกายคนตรงหน้าอย่างละเอียด
แย่เข้าไปใหญ่ ทำอย่างนี้จะมีแต่จะทำให้คนเกลียดเขาเพิ่มมากขึ้นนะสิ หากเทียนรุ่ยก็มิอาจกล่าวสิ่งใดออกไปได้ นอกจาก“ใจเย็นก่อนนะขอรับท่านพี่ ที่ข้ากล่าวออกไปเพราะอยากให้ท่านคิดไตร่ตรองให้ดี อย่าทำสิ่งใดให้ศัตรูที่ยังหลบซ่อนกายอยู่ล่วงรู้”“ข้าคงเร่งรีบมากจนเกินไปจึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสียได้ ขอบใจที่เตือนข้านะอาซวง นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องอื่นที่ทำให้อาซวงกังวลใจอยู่อีก ใช่หรือไม่”หากจะบอกว่ามิใช่...ย่อมเป็นไปมิได้ “เพราะเรามิรู้ว่าศัตรูอยู่ไกลหรือวางคนอยู่ใกล้ตัวเพียงใด การฟื้นมาของท่าน คนเหล่านั้นอาจจะล่วงรู้และเตรียมตัวรับมือไว้แล้วก็เป็นไปได้ การเดินทางรอนแรมทั้งที่ร่างกายเพิ่งจะฟื้นได้มินาน อาจจะทำให้หนอนแดงที่ข้าคิดว่ายังคงถูกฝังอยู่ในตัวท่านตื่นขึ้นมาเล่นงานอีกนะขอรับ ข้ากลัวท่านจะรับมือมันมิไหว” หากครั้งนี้ล้มหมดสติไปอีก ดูท่าว่าการจะทำให้ฟื้นขึ้นมาคงเป็นไปได้ยาก“หากมีอาซวงอยู่ด้วย ข้าย่อมมิกลัวสิ่งใด”“เอ่อ...” สายตาคู่นั้นมันช่างทำให้เขารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวและหัวใจก็เต้นไหวอย่างรุนแรงด้วย นี่เขาเป็นอันใดไป“แม้ว่าเราจะเพิ่งพบเจอกัน หากข้าเชื่อว่าอาซวงจะมิทำร้ายข้า”สง
“ใช่แล้วลิ่วหลาง นับตั้งแต่เจ้าล้มป่วย เต่าน้อยเองก็ล้มป่วยเช่นกัน หากทั้งหมอหลวงจางและราชครูเหลิ่งกลับมิยอมบอกเรื่องนี้กับผู้ใด นี่หากว่ามิแอบได้ยินหมอหลวงจากกล่าวเรื่องเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านเรื่องยาที่ให้ไปหามา ข้าก็คงมิล่วงรู้ ข้าร้อนใจมากด้วยมิรู้ว่าจะบอกเรื่องนี้กับผู้ใดได้บ้าง”“ในราชสำนักน่าจะมีผู้ที่อยู่ฝั่งหมอหลวงจางและเสนาบดีกรมโยธาปู้หว่านอยู่มิน้อย”“มิต้องสนใจเรื่องใด กลับไปทำหน้าที่ของเจ้า...สุขภาพข้ายามนี้พอจะเดินทางไกลได้ไหมอาซวง”“ท่านเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเองนะขอรับ หากเดินทางไกล ข้ากลัวว่า...”“หากอาซวงจะร่วมเดินทางไปด้วย”เรื่องที่ได้รู้คงทำให้ท่านแม่ทัพร้อนใจมิใช่น้อย หากว่า...ยามนี้ยังเดินทางไกลมิได้จริง ๆ หากการรักษามิต่อเนื่อง อาจจะทำให้ร่างกายที่ดีขึ้นแล้วทรุดลงอย่างรวดเร็วจนอาจจะกลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้“จะยังไงมันก็ยังมิควรนะขอรับ”“มิมีหนทางอื่นใดช่วยได้เลยหรือท่านหมอ”ซูเหย้าน่าจะพอรู้แล้วว่าท่านแม่ทัพจะเดินทางไปที่ใด“ไหนว่าเก่งนักเก่งหนาอย่างไรเล่า แค่นี้ก็แก้ไขมิได้”ท่านแม่ทัพมองโหยวเจียนด้วยสายตาเยียบเย็น แต่กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า“ข้ารู้ว่าอาซว
“ลิ่วหลาง! ในที่สุด เจ้าก็ฟื้นแล้ว”เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใดที่นั่งอยู่ โหยวเจียนก็เอ่ยเสียงดังราวกับจะให้ได้ยินไปทั่วจวน พร้อมกันนั้นก็รีบเดินตรงลิ่วไปหาท่านแม่ทัพราวกับลมพัด หากกำลังจะยื่นมือไปจับกายแกร่งที่ยามนี้ผอมจนแทบจะมีเพียงแค่หนังหุ้มกระดูก แต่ท่านแม่ทัพกลับเบี่ยงกายหนีและยังกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด“หากเจ้ายังทำเสียงดังเช่นนี้อีก ก็กลับไปเสีย มิต้องมาให้เห็นหน้า”ก็พอจะคาดเดาได้ว่าท่านแม่ทัพเป็นผู้ที่มิสนใจผู้ใด ยกเว้นก็เพียงแค่ชิงชวน อ้ายฉีและน่าจะมีผู้ที่ถูกเรียกว่าเต่าน้อย แต่คิดมิถึงว่าจะกล่าวกับโหยวเจียนเช่นนี้ด้วยคนถูกไล่ตอนแรกก็มีสีหน้ามิค่อยดีสักเท่าไหร่ คงจะอับอายด้วยว่ามีผู้อื่นเช่นเขาและซูเหย้าที่เดินตามหลังมาอยู่ด้วย แต่ก็เป็นเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าปอดเท่านั้น ใบหน้าที่แดงด้วยโทสะก็คลี่ยิ้มเช่นเดิม ทำราวกับเมื่อครู่มิได้ยินสิ่งใด“ก็ข้าดีใจที่เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าหมอผู้นี้ทำหน้าที่ของตนได้สมกับที่รับปากไว้ มิเสียแรงที่ข้ายอมเสียงเงินถึงหนึ่งกำปั่นเพื่อให้นำมาซื้อยารักษาเจ้า”ยามได้ยิน เขาคิดว่าโหยวเจียนจะโอ้อวดว่าตนเองมั่งมีเงินทองและอาศัยการจ่ายเงินในครั้งนี้ทวงบุญ
‘ดีมากอาซวง...เจ้าช่างรู้ใจข้าเสียยิ่งนัก’ แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ เขาจะต้องคิดหาวิธีไล่สองคนนี้ออกไปจากห้องก่อนจะทนมิไหว ทำแผนของอาซวงพังมิเป็นท่าเอ๊ะ...ดูเหมือนอาซวงจะส่งสัญญาณบอกมาแล้ว เขาก็เลยรีบส่งเสียงที่คำราม พร้อมกับยกแขนและขาฟาดไปฟาดมาหวังว่าจะทำให้ทั้งสองคนที่บุกรุกมาสร้างความรำคาญใจให้เจ็บตัวสักหน่อย หากก็มิสำเร็จอย่างต้องการ ด้วยว่าโหยวเจียนแม้จะอ้วนพี แต่ก็ช่างเป็นคนที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วอย่างคาดมิถึง...เพียงแค่เขายกเท้าขึ้นจะถีบ อีกฝ่ายก็เผ่นไปถึงประตูห้องเสียแล้ว“เสียดาย”“ท่านพี่ว่าอะไรนะขอรับ”“ข้าว่าเสียดายที่ยังมิทันจะได้ถีบโหยวเจียนเลย”อาซวงหัวเราะ “ซูเหย้าผู้นั้นก็ไปเร็วเช่นกัน แต่กว่าจะไปก็ทำเอาข้าถึงกับเหนื่อยเหมือนกัน”“ขอโทษที่ทำให้อาซวงเหนื่อยนะ”มิรู้ว่าเขาจะคิดไปเองหรือเปล่า ดูเหมือนว่าสายตาของอาซวงที่มองโหยวเจียนและซูเหย้าบ่งบอกว่า...มิไว้วางใจและน่าจะแฝงไว้ด้วยความสงสัยอยู่มิน้อย หากก็ยังคงปกปิดมิยอมเอ่ยปากบอกให้เขารู้ หากนั่นยังมิเท่าสิ่งที่อาซวงบอกมา...‘ในตัวเขา...มีบางสิ่งฝังอยู่!’แม้มิอยากเชื่อ หากเมื่อก้มลงมองแขนที่ได้
“ข้าจะรีบทำให้เสร็จโดยเร็วและจะรีบกลับมา” เก้าเทียนรุ่ยจับแขนแกร่งออกจากกายแล้วดันร่างของท่านแม่ทัพให้ล้มตัวลงนอน ถึงจะมิง่วงเพราะนอนมายาวนานแล้ว แต่อย่างไรร่างกายนี้ก็ยังอ่อนเพลียอยู่ ยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อจะได้มีแรงสู้กับสิ่งที่ฝังอยู่ภายในร่าง“เดี๋ยวสิ”เก้าเทียนรุ่ยเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เมื่อท่านแม่ทัพจับมือไว้มิยอมปล่อย “มีอะไรอีกหรือขอรับ”อย่างรวดเร็วจนเขามิทันจะได้ตั้งตัว กายแกร่งก็ผุดลุกขึ้นมาพร้อมกับปากหนาที่แนบลงมาบนแก้ม“รีบไปรีบกลับนะ...อาซวง”ใบหน้าเก้าเทียนรุ่ยร้อนผ่าว ขณะที่ดวงตาก็ได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ แม้กระทั่งเดินออกมาแล้วสติก็ยังมิครบครัน ก่อนจะคิดได้ว่า เพราะเขาน่ารัก ท่านแม่ทัพที่เพิ่งจะพบหน้าถึงได้รู้สึกถูกชะตาและเอ็นดู ถึงได้บอกด้วยการกระทำว่าเป็นพี่ชายที่รักน้องชายผู้นี้เป็นอย่างมาก ที่เขาควรจะต้องเร่งหาทางรักษาอีกฝ่ายให้หายให้เร็วที่สุดเป็นการตอบแทน...ใช่! ต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอนจะกล่าวถึงฝีมือทำอาหารของอาซวง แม้รสชาติจะจัดจ้านไป…มิน้อย บางครั้งก็แทบจะกลืนมิลง หากรวม ๆ แล้วก็อร่อยอยู่นะ ยิ่งเมื่ออีกฝ่ายต้องคอยเอาอกเอาใจ ป้อนด้วยท่าทางหงุดหงิดที่ทำใ
ช่างกล่าวได้อย่างโหดร้ายมาก นี่นะหรือที่ท่านอ้ายฉีกับชิงชวนกล่าว บุรุษผู้นี้มิอาจจะทำร้ายท่านแม่ทัพได้ จนกว่าจะได้เจอกับผู้ที่หลบซ่อนกายอยู่ ทำอย่างไรเขาก็ยังมิปักใจเชื่อแน่ว่าสองคนนี้จะมิเกี่ยวข้อง“ใจเย็นก่อนท่านโหยวเจียน กล่าวเช่นนี้ไปจะทำให้ท่านหมอขลาดกลัวจนอาจจะทำสิ่งใดผิดพลาดไปได้นะ”“ถ้ามิขู่ให้กลัว แล้วจะรักษาลิ่วหลางอย่างดีหรือไง” โหยวเจียนสะบัดมือด้วยความหงุดหงิดเก้าเทียนรุ่ยได้แต่กลอกตากับความคิดของคนผู้นี้เสียจริง “ข้าจะดูแลรักษาท่านแม่ทัพให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าผู้น้อยจะทำได้ขอรับท่านโหยวเจียน หากตอนนี้ข้าต้องขออภัยที่จำเป็นต้องให้ท่านทั้งสองคนออกไปจากห้องนี้ก่อน”“นี่เจ้า! เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาไล่ข้า”“หากท่านทั้งสองจะอยู่ ข้าก็มิว่าอันใด แต่หากเกิดสิ่งใดขึ้น...ท่านจะกล่าวโทษข้ามิได้นะขอรับ”“หมายความว่าอย่างไรหรือหมอ”“คือ...ด้วยยาที่ข้าให้ท่านแม่ทัพกินเข้าไปทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น จากที่เคยนอนเป็นผักเน่าก็เคลื่อนไหวได้ แต่การเคลื่อนไหวนี่แหละขอรับที่ทำให้ข้ากลัวว่าจะเกิดอันตรายกับพวกท่าน” ดูเหมือนว่าวาจาของเขาจะทำให้ท่านแม่ทัพรู้ว่าควรจะต้องทำเช่
“ข้ากำลังจะรายงานนายท่านโหยวเจียนอยู่เลยขอรับ แต่ก่อนนั้นข้าจะต้องไถ่ถามท่านเสียก่อน” คิดจะเล่นงานเขาใช่ไหม ถ้าเช่นนั้นเขาเล่นงานท่านก่อนละกัน จะเอาให้หมดเนื้อหมดตัวเลย“อะไร”“ท่านมาเยี่ยมท่านแม่ทัพครั้งล่าสุด...นานหรือยังขอรับ”“ก็หลายวันอยู่นะท่านหมอ” เป็นซูเหย้าที่ตอบแทนโหยวเจียนที่ตอนนี้ยังโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอยู่ เดี๋ยวจากแดงจะกลายเป็นคล้ำจนดำเพราะต้องเสียเงินให้เขาเป็นกำปั่น“ถ้าเช่นนั้นข้าอยากให้ท่านทั้งสองดูบางสิ่งที่ทำให้ข้ามั่นใจในวาจาที่เคยกล่าวมาตั้งแต่แรก...มิเกินสามวันท่านแม่ทัพจะต้องฟื้นแน่นอน” เพื่อให้ความมั่นใจกับทั้งสองคนตรงหน้าที่เขาจะเรียกเงินเข้ากระเป๋าให้มากที่สุด เก้าเทียนรุ่ยก็รีบกล่าวออกไป“ท่านทั้งสองสังเกตใบหน้าของท่านแม่ทัพสิขอรับ ระหว่างวันนี้กับก่อนหน้านั้นแตกต่างกันหรือไม่” หากมิแตกต่างก็คงจะเกินไปแล้วล่ะ กินอาหารเผ็ดร้อนเข้าไปเสียขนาดนั้น ใบหน้าและริมฝีปากย่อมยังมีสีสันอยู่แล้ว“ท่านว่าเปลี่ยนแปลงหรือไม่”“เจ้าอาจจะเอาสีมาป้ายไว้ก็ได้นี่”“ข้าหรือจะกล้าทำเช่นนั้น หากท่านโหยวเจียนยังมิเชื่อ ถ้าเช่นนั้นท่านก็ต้องดูผิวกายขอรับ...ครั้งแรกที่ข้าเห็น ก็ยังคิด