บทที่ 16หายโกรธกันนะ เมื่อคืนตะวันฉายมาส่งมานิตาที่ห้องโดยหญิงสาวก็ร้องไห้มาตลอดทาง จวบจนถึงห้องนอนน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด เรื่องเพทายมันเข้ามารบกวนความคิดของเธอตลอดเวลา จนมานั่งคิดทบทวนว่าเมื่อไหร่เธอจะหลุดพ้นจากเรื่องราวเหล่านี้ได้สักที ไม่อยากร้องไห้เสียใจเป็นคนอ่อนแอแบบนี้อีกแล้ว เพราะนอนดึกตื่นเช้ามาเธอเลยเพลียมากเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องฝืนลุกขึ้นมาเนื่องจากวันนี้มีควิซคาบเช้าเลยไม่สามารถขาดเรียนได้ ทั้งๆ ที่ยังรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เพทายป่าวประกาศต่อหน้าทุกคน แต่เธอต้องหน้าด้านเอาไว้เพราะอีกไม่กี่เดือนจะเรียนจบแล้ว ถ้าขาดเรียนบ่อยๆ อาจจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเธอ วันนี้มานิตาเลือกนั่งแท็กซี่ออกจากหอพัก ถ้าให้นั่งวินมีหวังเธอได้หลับบนวินมอเตอร์ไซด์เป็นแน่ เมื่อมาถึงเธอก็เลือกลงจากรถที่หน้ามหาวิทยาลัยเพื่อจะได้เดินรับลมกับสวนดอกไม้ในมหาวิทยาลัยก่อน “ยิม...วันนี้เราเจอใครแน่ะ...”ร่างเล็กของเมนิศาที่เดินกอดอกแล้วช้อนสายตามองน้องสาวต่างมารดาอย่างหยามเหยียด และเรียกคู่รักของตัวเอง “หึหึ...ยังกล้ามาเรียนเนาะ เมื่อสองวันก่อนโดนไอ้เพมันแกล้งนึกว่าจะหลบหน้าไม
“มิลค์กี้...อภัยให้ฉันได้ไหม” เพทายหันมามองคนตัวเล็ก จากนั้นก็หันมาโอบเอวบางเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้างของเขา พร้อมกับดวงตาสุกสกาวที่มองมา “ก็พูดไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไง ไม่เข้าใจเหรอเพ” “เธอจะทิ้งฉันไปมีแฟนใหม่จริงๆ เหรอ” “ถ้าใช่แล้วจะทำไม” ใบหน้าหวานเชิดขึ้นเพราะไม่อยากทำตัวอ่อนแอให้เขาเห็น “แล้วฉันล่ะเป็นอะไร” “เพื่อนไง นี่คือสิ่งที่ฉันจะให้นายมากที่สุดแล้วตอนนี้ ถ้ายังไม่อยากให้เสียเพื่อนก็อย่ามาวุ่นวายอะไรกับฉันอีก” มานิตาเน้นย้ำกับชายหนุ่มจนเขาสะอึกและจุกที่อกไปเลย “เพื่อนกันเขาไม่เอากันหรอกนะ ถ้าฉันคิดกับเธอเป็นเพื่อนตั้งแต่แรก ฉันไม่เอาเธอหรอก” เพทายก็ยังเป็นเพทายที่ยังปากเสียเหมือมเดิม “ไม่ต้องมาย้ำ เรื่องมันผ่านไปแล้ว อีกอย่างฉันกำลังเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน” “ฉันไม่ยอม ฉันไม่เลิกมิลค์กี้ ให้ตายยังไงก็ไม่เลิก” “อย่ามาเอาแต่ใจ ฉันว่าฉันให้นายได้มากที่สุดเท่านี้แหละ” มานิตาบอกแล้วเดินผ่านชายหนุ่มไปแต่มือหนาของเพทายกลับหันมาคว้าเอวบางเอาไว้แล้ววางใบหน้าหล่อเหลาที่ไหล่บางอย่างหวงแหน
“มิลค์กี้ไม่ทานเหรอครับ เป็นอะไรหรือเปล่า” ช่วงระยะหลังๆ ตะวันฉายยิ่งมองมานิตาออกว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา เธอเอาแต่เศร้าหมองจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ “มิลค์กี้ไม่ค่อยหิวค่ะ” “มีอะไรบอกพี่ได้นะครับ พี่ทำอะไรผิดหรือเปล่า หรือทำอะไรให้มิลค์กี้ไม่พอใจ” ตะวันฉายบอกในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่และพยายามคุยกันด้วยเหตุผล “พี่ซัน...” “มิลค์กี้อึดอัดใจใช่ไหมครับที่คบกับพี่ มิลค์กี้บอกพี่ตรงๆ ได้เลยนะครับ” แม้เขาจะเจ็บปวดที่ต้องพูดแบบนี้ออกมา แต่มันคงเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้หญิงสาวบอกความรู้สึกในใจของตัวเองออกมา “มิลค์กี้” ใบหน้าหวานเจื่อนลงเมื่อชายหนุ่มเปรยขึ้นมาก่อน “บอกมาเถอะครับ” “มิลค์กี้ขอโทษนะคะกับเรื่องที่ผ่านมา มิลค์กี้คิดว่าสักวันมิลค์กี้จะรู้สึกกับพี่ซันมากไปกว่านี้ได้ แต่ตอนนี้มิลค์กี้ไม่มีความรู้สึกนั้นเลยค่ะ” เธอก้มหน้างุดๆ อย่างรู้สึกผิด “ไม่เป็นไรครับ พี่ดีใจนะที่มิลค์กี้รู้ใจของตัวเอง” ตะวันฉายยิ้มแห้งๆ ออกมาจนมานิตารู้สึกผิดที่เธอทำลายความรักดีๆ ของเขา “พี่ซัน มิลค์กี้ขอโทษ”
“คิดแต่กับเมียคนเดียวโว้ย...” “ง้อไม่ได้แต่โมเมเองตลอด นั่นๆ มิลค์กี้ออกมาแล้ว” วาโยชี้นิ้วไปยังมานิตาที่เดินเคียงคู่ออกมากับตะวันฉายด้วยใบหน้าแจ่มใส และนั่นยิ่งตอกย้ำความรู้สึกของเพทายมากขึ้น เพทายจ้องมองไปยังร่างเล็กที่กำลังโบกมือลาตะวันฉายจนเขาสงสัยว่ามิลค์กี้จะไปไหน แล้วปกติที่เห็นคือตะวันฉายจะคอยไปรับไปส่งตลอด แต่วันนี้กลับไปคนเดียว “วาโย...” “อะไร...” “มึงกลับไปคนเดียว เดี๋ยวกูตามมิลค์กี้ต่อเอง” เพทายบอกแค่นั้นก็เดินลิ่วออกไป เพราะเขาอยากอยู่กับมานิตาเพียงลำพังไม่อยากให้ใครมากวน “อ้าว...แล้วกูจะกลับยังไงเนี่ย พอเมียอยู่คนเดียวก็ทิ้งกูเลยนะ” วาโยได้แต่ยืนอึ้งอยู่ในร้านกาแฟเมื่อเพทายวิ่งออกไปแล้ว “ที่นี้ทิ้งเพื่อนเลยนะ” เพทายวิ่งตามมานิตามาจนเห็นว่าหญิงสาวเดินออกมาจากห้างสรรพสินค้าและเลือกที่จะนั่งแท็กซี่ไปที่ไหนสักแห่ง โดยที่เขาต้องนั่งแท็กซี่ตามเพราะจะไปเอารถตอนนี้ก็เดี๋ยวตามเธอไม่ทัน “มิลค์กี้มาทำอะไรที่โรงพยาบาลนะ” เพทายพูดออกมาอย่างแผ่วเบาพร้อมกับมองคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินเข้าไปอย่างสงสัย
“ไม่ต้องมาขอร้องแทนลูกมึง” ศักรินทร์หันมาตวาดใส่อดีตเมียเก็บของตัวเอง “หนูไม่ได้ทำ คุณจะให้หนูบอกยังไง” “กูจะสั่งสอนมึงที่มาทำให้ลูกสาวของกูต้องมีประวัติ ต่อจากนี้กูจะไม่ส่งเงินให้มึงสองแม่ลูก ถ้าไม่มีเงินก็ตายๆ ไปซะ” ศักรินทร์บอกอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อมีคนมาทำให้ลูกสาวของเขากลายเป็นคนไม่ดีในสายตาของคนอื่น “พ่อ!!” มานิตาตะโกนเรียก “ไม่ต้องมาเรียกกูว่าพ่อ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปไม่ต้องมายุ่งกับครอบครัวกูอีก ไม่ใช่ลูกกูแล้ว ส่วนเรื่องของเมนี่ถ้ามึงไปปากโป้งเล่าให้ใครฟัง กูจะมาสั่งเก็บมึงกับแม่ไม่ให้มีชีวิตบนโลกนี้เลย” สายตาและการกระทำของชายแก่มันสร้างความรวดร้าวให้กับมานิตา เธอไม่อยากได้ความรัก เธอแค่ขอความเมตตาซึ่งท่านก็ยังไม่มีให้กับเธอเลย “ดีค่ะพ่อ ไม่ต้องเอาเศษเงินไปให้พวกมันหรอก ให้มันตายเป็นหมาข้างถนนไปนั่นแหละ” เมนิศาหันไปมองมารดาของมานิตาแล้วเหยียมยิ้มราวกับกำลังสมเพชสองแม่ลูก “ไม่นะพ่อ มิลค์กี้ขอร้อง ให้มิลค์กี้กราบก็ได้ ได้โปรด” เสียงหวานเปล่งออกมาอย่างสั่นเครือพร้อมกับยกมือไหว้บิดาเพื่อให้ท่านเห็นใจ
บทที่ 17ของผัวก็เหมือนของเมียร่างเล็กของมานิตานั่งแท็กซี่มายังบ้านของเพทายในเวลาพลบค่ำ ตอนนี้เวลาล่วงเลยไปเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ไฟในบ้านของชายหนุ่มก็เปิดแสดงว่าเขากลับมาแล้ว คนตัวเล็กเดินดุ่มๆ ไปกดออดหน้าบ้านของชายหนุ่มระรัวด้วยอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่นที่ชายหนุ่มมายุ่งวุ่นวายกับเธออีก ทั้งๆ ที่คิดว่าเขาหายไปจากชีวิตแล้วนะกริ๊ง!! “ครับ...มาแล้ว กดรัวจังเลย” ร่างใหญ่ของเพทายเดินออกมาแล้วช้อนตามองผู้มาใหม่ก่อนจะกระตุกยิ้มขึ้นและยิ่งใบหน้าหวานงอง้ำด้วยแล้วมันยิ่งทำให้ฉีกยิ้มกว้างมากกว่าเดิม “นายทำแบบนี้ทำไม!!” เสียงหวานตะโกนดังลั่น “มิลค์กี้...อย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวบ้านอื่นเขาก็ออกมาว่าหรอก เข้ามาคุยในบ้านก่อน” เพทายบอกอย่างเจ้าเล่ห์ เขาคิดไว้อยู่แล้วว่าหญิงสาวจะต้องมาหา และเธอก็มาจริงๆ “ชิส์” คนตัวเล็กเดินเข้าไปในบ้านที่เธอคุ้นเคยเพราะช่วงที่คบกันเธอมาอาศัยที่นี่จนแทบจะเป็นบ้านของตัวเอง ทุกอย่างในบ้านยังคงเหมือนเดิม ขนาดขวดพริกไทยยังวางที่เดิมเลย “มีอะไรครับ มาหาซะเย็นเลย” “ไม่ต้องมาทำไขสือ นี่คืออะไร” มานิตาชูกระดาษใบเสร็จจ่ายเงินต
“ไม่ได้มั่วสักหน่อย อยากรู้ว่าจริงหรือมั่วพิสูจน์กันไหมว่าคิดถึงมากแค่ไหน” เพทายยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นชายหนุ่มไม่รีรอรีบจัดการอุ้มคนตัวเล็กมาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นก็เดินดุ่มๆ มาที่โซฟาตัวกว้างโดยมีคนตัวเล็กอยู่ใต้ร่าง “จะทำอะไร”“พิสูจน์ไงครับ พิสูจน์ว่าคิดถึงมากแค่ไหน” เพทายคิดว่าเขาจะไม่รออะไรอีกต่อไปแล้ว การเฝ้ามองหญิงสาวมาตลอดหนึ่งเดือนมันก็มากเกินพอแล้ว ต่อไปนี้เธอจะต้องอยู่กับเขาทุกที่ทุกเวลา “จะ...จะทำอะไร” คนตัวเล็กถามด้วยเสียงสั่นพร้อมกับหัวใจที่กระตุกถี่เมื่อใบหน้าหล่อเหลาโน้มเข้ามาใกล้มากขึ้น “จูบเมียครับ คิดถึงก็ต้องจูบพิสูจน์นะ” “อื้อ” มานิตายังไม่ทันได้เปิดปากห้ามปากหยักของเพทายก็โน้มลงมากระแทกที่ปากเรียวเล็กทันที จนเธอเผลอเผยอกลีบปากให้ชายหนุ่มเข้ามากวาดต้อนความหวานภายในได้ “คิดถึงเมียจัง คิดถึงที่สุดเลย” “ใครเมียนาย ฉันมีแฟนแล้วนะ” คนตัวเล็กบอกแต่เพทายไม่ได้สนใจ ใบหน้าคมคายโน้มลงมาดอมดมความหอมกรุ่นที่ลำคอเล็กอย่างเอาแต่ใจ “นั่นแค่แฟนครับ แต่เพผัวมิลค์กี้ ผัวคนเดียวด้วย” เพทายตอบอย่างยียว
เสียงดูดดึงดันไปทั่ว จากนั้นมานิตาก็คลายความแข็งร้อนออกจากปาก แต่มือยังจับมันไว้อยู่ พร้อมกับเงยหน้ามองคนที่กำลังยืนอยู่ “ไม่ชอบให้ทำแบบนี้เหรอ ให้หยุดไหม” “ไม่จ้ะ ชอบมากเลยที่รัก ชอบที่สุด ปากมิลค์กี้นุ่มมากเลยจ้ะที่รัก อ๊า” เพทายยังพูดไม่จบเมื่อปากจิ้มลิ้มเข้าครอบครองกายหนา จากนั้นก็ดูดเม้มที่ปลายยอดซึ่งเริ่มมีน้ำใสๆ รสชาติเฝื่อนๆ ไหลออกมา “ชอบให้เลียตรงนี้ไหม” มานิตาแลบลิ้นแล้วเลียตรงรอยแยกของปลายยอด ช็อตนี้ทำเอาเพทายหน้าซีดเผือดพร้อมกับตัวสั่นระริก เพราะมานิตาได้กลายร่างเป็นนางดาวยั่วไปแล้ว “อ้าก....เสียวฉิบหาย” ยามที่ปลายลิ้นค่อยๆ แทรกเข้ามาตรงรอยแยกปลายหัวบานมันฉุกพร่าสติที่มีอยู่ของเขาให้ขาดสะบั้น มีเมียน่ารักขนาดนี้เขาทำร้ายเธอได้ยังไงนะ “เพ...เสียงดังจัง ข้างบ้านได้ยินจะทำยังไง” มานิตารู้สึกสนุกที่ได้ยั่วคนตัวโตที่กำลังคลั่ง และเธอก็สนุกกับการที่ได้แกล้งให้เขาทรมานแบบนี้ บ๊วบ!! มานิตาจับท่อนเนื้อที่ใหญ่กว่าแขนของเธอเข้าไปในปากอีกครั้งและใช้ปากดูดไปมาโดยระวังไม่ให้ฟันไปครูด แต่อาจจะมีบ้างในบางจังหวะ แต่ถึงกระ
“ไม่ดีตรงไหน ฉันทำอะไรผิดล่ะ” “นี่นายยังไม่รู้ตัวเลยเหรอ นายปล้ำฉันนะ นายยังมีหน้ามาบอกตัวเองไม่ผิดอีกเหรอ” ใบหน้าหวานแดงก่ำเพราะไม่เข้าใจคนตัวโตที่ไม่ยอมสำนึกอะไรเลย “ก็บอกจะรับผิดชอบเธอก็เล่นหนีหายหน้าไปเป็นอาทิตย์เนี่ย ตอนงานแต่งเพทายกับมิลค์กี้เธอก็เอาแต่หลบหน้าฉัน” วาโยไม่รู้ใจของผู้หญิงคนหนึ่ง การที่หญิงสาวหลบหน้าเขามันทำให้เขากระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก “ฉันบอกแล้วไงว่าถ้านายแค่อยากรับผิดชอบก็ลืมๆ เรื่องคืนนั้นไปเถอะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแล้ว” หญิงสาวหันไปทางอื่นพร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บลึก เธอไม่ต้องการแค่นั้น มันอาจจะดูโลภเกินไปแต่ใครจะทนอยู่กับผู้ชายที่แค่ต้องการรับผิดชอบเราแค่นั้นล่ะ “แล้วต้องการอะไรอีกหือ” เสียงเข้มบอกอย่างออดอ้อนเมื่อคนตัวเล็กกำลังทำเหมือนงอนเขาเสียนี่ “เปล่า” “ถ้างั้นบอกรักก่อนสิ ละเดี๋ยวจะให้อย่างอื่นด้วย” จู่ๆ ชายหนุ่มก็โพล่งบางอย่างออกมา ญาณินเลยเงยหน้ามองคนตัวโตอย่างสงสัยกับคำพูดของเขา “อะไรของนาย” “รักฉันไม่ใช่ไง ไม่คิดจะบอกรักผัวตัวเองหน่อยเหรอ” คำพูดของวาโยสร้างคว
“ถ้านายต้องการแค่รับผิดชอบฉันไม่เอาหรอก เพราะฉันไม่อยากอยู่กับคนที่ไม่ได้รักฉัน ปล่อยนะ ฉันโทร.ให้ที่บ้านมารับแล้ว ฉันจะไม่รบกวนคนอย่างนายอีกต่อไป!” ก่อนจากวาโยเห็นว่าญาณินมีน้ำตาที่ขอบตาจนอยากจะเอามือหนาไปปาดคราบน้ำตาของคนตัวเล็ก แต่ก็ต้องชะงักมือกลับเพราะถ้าทำอะไรมากกว่านี้เธออาจจะโกรธ วาโยมองญาณินที่เดินออกจากห้องด้วยหัวใจที่หดหู่ ไม่รู้ทำไมคำพูดของเธอมันฉายเข้ามาในความคิดซ้ำๆ ถ้าเธอไม่ต้องการความรับผิดชอบแล้วต้องการอะไรกันแน่ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้นญาณินก็แทบไม่ได้ออกไปไหน จนกระทั่งเพิ่งผ่านพ้นงานแต่งของเพื่อนรักอย่างมานิตายิ่งได้เห็นว่าเพื่อนมีความสุขเธอก็ยินดี แต่สักพักก็รู้สึกหดหู่ใจเมื่อหันมามองความรักของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อดี ความบริสุทธิ์ก็ถูกวาโยช่วงชิงไปจนไม่เหลือชิ้นดี ถามว่ารู้สึกดีไหมคงตอบว่าใช่ มันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ทางกายแต่มันมากกว่านั้น เธอชอบวาโยมาตั้งนานแล้ว นานจนจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเริ่มชอบตอนไหน ตลอดระยะเวลาการเป็นเพื่อนกันเธอพยายามไม่สนิทกับชายหนุ่มมากไปกว่าเพื่อนคนอื่นในกลุ่มเพราะกลัวว่าสักวันความรู้ส
ลำกายหนากระเสือกกระสนเข้ามาในโพรงสาวอย่างรุนแรงจนเขารับรู้ว่าคนตัวเล็กกำลังกระตุกอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงกรีดร้องเป็นทางยาวที่บ่งบอกถึงความสุข “กรี๊ด” มือน้อยที่จับที่ต้นแขนแกร่งที่เอื้อมมาบีบเคล้นอกอิ่ม “เสร็จแล้วเหรอ ตอดแรงขนาดนี้” วาโยกระหยิ่มยิ้มเมื่อเห็นคนตัวเล็กสุขสมแล้ว ต่อไปถึงตาของเขาบ้าง และคืนนี้มันจะไม่จบเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน วาโยเปลี่ยนท่าให้คนตัวเล็กนอนคว่ำ จากนั้นเขาก็จัดการยกสะโพกสวยขึ้นเพื่อรับกับเอ็นร้อนที่เยิ้มไปด้วยคราบน้ำรักของเธอ จากนั้นก็สวนมันเข้าไปในโพรงสาวที่ยังคงแน่นหนึบอย่างแรง “อ๊า...เจ็บ” “ทั้งเจ็บทั้งเสียวเลย” วาโยคุกเข่าแล้วเสยตัวตนร้องเข้าไปอย่างแรงจนใบหน้าหวานลู่แนบกับที่นอนหนานุ่มเพราะหมดเรี่ยวแรงจะทำอะไรต่อไป “อ๊ะ...จะทำอะไรโย” “ท่าหมาไง คราวก่อนเธอบอกฉันปากหมา วันนี้ฉันเลยจะเอาท่าหมาให้เธอดู” วาโยมองเอ็นร้อนที่ผลุบเข้าออกมาโพรงสาวจากทางด้านหลัง มันยิ่งทำให้เขาซาบซ่านอย่างไม่เคยเกิดขึ้นกับใครมาก่อน การที่ได้กระแทกเข้าไปในกายสาวที่ตัวเองชอบมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ก็เพิ่มความดุ
“หึหึ...ทำตัวน่ายั่วขนาดนี้ผู้ชายที่ไหนจะทนได้” “แต่นายเป็นเพื่อนฉัน นายต้องทนได้สิ เพื่อนกันใครเขาทำแบบนี้” “ไอ้เพมันยังทำกับมิลค์กี้ ทำไมฉันจะทำกับเธอไม่ได้วะ เลิกเอาคำว่าเพื่อนมาพูดได้แล้วไหม เข้าไปอยู่ในตัวแบบนี้คำว่าเพื่อนมันขาดสะบั้นไปตั้งนานแล้ว” วาโยตะโกนบอกที่คนตัวเล็กชอบย้ำคำว่าเพื่อนกับเขายิ่งนัก อยากเป็นอะไรหนักหนาเพื่อนเนี่ย “อยากเป็นอะไรหนักหนากับคำว่าเพื่อน ให้เป็นผัวเหอะ เดี๋ยวจะเลี้ยงอย่างดีเลย” “ไอ้วาโย” “เปลี่ยนจากเรียกไอ้ไปเรียกผัวแทนได้ไหม นับตั้งแต่นี้เธอเป็นเมียฉันละ ถ้ายังพูดเพื่อนๆ อะไรอีก เดี๋ยวจับปล้ำไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย” วาโยร้องขู่เพราะจะจัดการคนตัวเล็กที่ชอบเอาคำว่าเพื่อนมาอ้างตลอด ตอนนี้หญิงสาวได้สติแล้ว แต่ร่างกายเบื้องล่างตอดขนาดนี้ คำว่าเพื่อนมันก็ไม่ต้องจำเป็นแล้วไหม ญาณินรีบหุบปากของตัวเองทันทีเมื่อเจอคำขู่ของวาโย แถมชายหนุ่มยังกระหน่ำสะโพกสอบเข้ามาอย่างรุนแรง มือบางทั้งสองข้างจิกลงบนที่นอนหนานุ่ม ส่วนใบหน้าหวานหลับพริ้มเมื่อความเจ็บแปรเปลี่ยนเป็นความเสียวซ่านไปทั่วเรือนร่าง
ใบหน้าหล่อเหลาโน้มลงมาซุกไซ้ที่ซอกคอหอมกรุ่นจากนั้นปากหยักก็ทำรอยที่ต้นคอหญิงสาวอยู่หลายจุด ก่อนจะมาหยุดที่อกอิ่มชูชันท้าทายปากของเขาเหลือเกิน จ๊วบ!! มือหนาของวาโยรวบอกอิ่มเอาไว้ในมือแล้วใช้ปากหยักเข้าครอบครองป้านสีหวานที่ล่อตาล่อใจของเขาเหลือเกิน เม็ดเล็กแต่ชูชันรับกับปากหนาได้เป็นอย่างดี “อ๊า...อย่ากัดนะ” ญาณินร้องเสียงลงเมื่อวาโยใช้ฟันคมๆ งับลงไปด้วยแรงที่ไม่มากไม่น้อยเกินจนคนตัวเล็กที่รับรู้ถึงสัมผัสรู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์ “แม่งโคตรชอบเลยรู้ไหม เด้งรับปากฉิบหายเลย” ตอนนี้วาโยสลัดความคิดว่าที่เพื่อนไม่ควรเล่นเพื่อน แต่วันนี้มันอดใจไม่ไหวจริงๆ ในเมื่อญาณินสวยสดเหลือเกิน “อ๊า...อ๊ะ...โย” “หือ อะไรจ๊ะ” วาโยเหลือบตามองคนตัวเล็กที่กำลังร้องครวญครางราวกับกำลังจะขาดใจ “เสียว” “เดี๋ยวได้เสียวกว่านี้แน่ๆ เลยคนสวย” ว่าจบวาโยก็ชันร่างกายสูงของตัวเองขึ้นเพื่อจัดการเผด็จศึกคนตัวเล็กสักที เสียเพื่อนเขาก็เอาถ้ามันทำให้ได้ตัวของหญิงสาวมาไว้ในครอบครอง ถ้ารู้ว่าเธอสวยขนาดนี้ไม่ให้เป็นเพื่อนหรอก
“ไว้ญาณินตื่นขึ้นมากูจะบอกความเลวของพวกมึงให้หมดเลย ให้เลิกคบพวกมึงซะ” ว่าจบวาโยก็พาคนตัวเล็กออกมาจากโต๊ะ จากนั้นก็พาเดินเข้าไปหลังร้านที่มีห้องพักรับรองที่เวลล์สร้างเอาไว้ มีอยู่สามสี่ห้องเพื่อเอาไว้รองรับเพื่อนๆ ที่อาจจะเมาแล้วกลับไม่ไหว “เกิดอะไรขึ้นวะวาโย” เวลล์ที่เพิ่งไปรับลูกค้ามาเดินมาเจอวาโยกำลังโอบญาณินเข้ามาข้างในด้วยสภาพราวกับกำลังละเมอ “ไม่รู้ว่าเพื่อนของญาณินเอาอะไรให้เธอกิน เธอเลยมีสภาพนี้ ผมขอยืมห้องก่อนได้ไหมจะให้ไอ้ตัวเล็กมันเข้าไปพักก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน” “เออได้ดิ จัดการเองได้ไหม เฮียมีรับลูกค้าเยอะวันนี้” “ครับไม่เป็นไร แค่ให้ยืมห้องผมก็ซึ้งน้ำใจละ” วาโยกล่าวขอบคุณเวลล์ที่เป็นเพื่อนพี่ชายคนหนึ่ง วาโยลากคนตัวเล็กเข้าไปพักผ่อนในห้องเพราะหวังให้หญิงสาวคืนสติโดยไว ไม่รู้พวกนั้นมันเอาอะไรให้ญาณินกินกันแน่ทำไมอาการของหญิงสาวถึงแปลกๆ อย่างนี้ “นอนก่อนนะญาณิน เดี๋ยวหาผ้ามาเช็ดให้” ร่างกายของหญิงสาวเริ่มร้อนขึ้นจนเขาอดเป็นห่วงไม่ได้ แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไปไหนมือน้อยๆ ก็คว้าหมับที่ข้อมือทันที “วาโ
ทั้งสองเดินทางมายังคลับของเวลล์ที่ตอนนี้หนาแน่นไปด้วยผู้คนที่เข้ามาใช้บริการ ไม่แปลกใจว่าช่วงหลังๆ กิจการของคลับเป็นไปได้อย่างดี “ไหนเพื่อนเธอเหรอ” วาโยมองไปรอบๆ เพื่อหาเพื่อนของญาณินและก็พบกับกลุ่มเพื่อนสามสี่คน และมีผู้ชายอยู่ประมาณสองคน ส่วนที่เหลือเป็นผู้หญิง “ไหนนายบอกจะไปหาพี่เวลล์ จะไปกับฉันทำไม” ญาณินหันมาแว้ดใส่เพื่อนสนิทที่เหมือนจะเดินตามไป “เฮียคงกำลังยุ่งๆ รับลูกค้า ขอไปนั่งด้วยได้ไหม” เวลล์บอกคนตัวเล็กเพราะจากสายตาที่เขาประเมินกลุ่มเพื่อนของญาณินดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ ถ้าปล่อยให้หญิงสาวไปคนเดียวมันคงไม่ดีแน่ “โหย...อะไรของนาย” “ถ้าให้ไปเดี๋ยวเลี้ยงเหล้าด้วย โอเคไหม” ข้อเสนอของวาโยน่าสนใจ จนญาณินคลี่ยิ้มพร้อมพยักหน้ารับ มีคนเลี้ยงเหล้าใครบ้างจะไม่สนใจ ทำให้ตอนนี้ทั้งสองหนุ่มสาวเดินตรงไปยังโต๊ะที่มีกลุ่มเพื่อนสมัยมัธยมนั่งรออยู่ก่อนแล้ว “เฮ้...ญาณิน” เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นเรียกเพื่อนสาว “ดีใจจังได้เจอพวกแก” ญาณินยิ้มให้กับเพื่อนที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์กรึ่มๆ เพราะดื่มกันก่อนท
ตอนพิเศษYanin X Wayoขอเป็นมากกว่าเพื่อน ชีวิตที่แสนเรียบง่ายของญาณินเป็นอันต้องพังทลายลงเมื่อบิดาประกาศกร้าวให้เธอไปดูตัวคู่หมั้นของตัวเอง คู่หมั้นที่เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร วันนั้นเธอร้องห่มร้องไห้ไปหามานิตาเพื่อให้เพื่อนช่วยคิดแผนการล้มเลิกการดูตัวในครั้งนี้ แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังไม่กล้าที่จะไปขอความช่วยเหลือจากวาโย เพราะมันเป็นเรื่องน่าอายที่จะบอกให้วาโยมาแกล้งเป็นแฟน “เฮ้อ...” “เป็นอะไรไปญาณิน” วาโยที่นั่งกินข้าวเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนของตัวเองที่เอาแต่นั่งหน้าเศร้าตีหน้ามึนทำเอาคนที่กำลังกินอาหารอยู่รู้สึกกร่อยขึ้นมาทันที “ไม่มีอะไร” “เอ้า!! ไม่มีอะไรได้ไง แกเอาแต่ทำหน้าซึมแบบนี้” วาโยมองเพื่อนอย่างสงสัย เพราะช่วงหลังๆ มานี่ทั้งสองไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้นเพราะเพทายกับมานิตาตัวติดกันราวกับปลาท่องโก๋ พวกเขาเลยกลายเป็นส่วนเกินที่ต้องมากอดคอร้องไห้เมื่อโดนเพื่อนทิ้งไปจู๋จี๋กัน “คิดๆ อะไรนิดหน่อย” “คิดอะไรวะ” วาโยที่กำลังคีบเนื้อเข้าปากมองคนตัวเล็กซึ่งกำลังสะบัดผมไปข้างหลัง จนทำให้เขามองเห็นร่องหน้าอกขอ
“รีบเปลี่ยนนะครับ ไว้ถ้ากลับมาจากทะเล เพขอจัดหนักสักน้ำนะ” ชายหนุ่มบอกอย่างมีเลศนัย จนมานิตาได้แต่หน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย “ค่ะ” เมื่อทั้งสี่เปลี่ยนชุดแล้ว พวกเขาก็เดินไปยังทะเลที่อยู่หน้ารีสอร์ต เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยทำเอาพวกเขาต่างมีความสุข “คุณแม่ขา...มาช่วยหนูก่อกองทรายหน่อยค่ะ” เสียงหวานๆ ของลูกสาวบอก จากนั้นมานิตาที่เพิ่งเป็นแบบถ่ายรูปให้กับเพทายต้องละความสนใจแล้วเดินไปหาลูกสาวลูกชายทันที “ไปช่วยลูกก่อกองทรายกันค่ะเพ...” เพทายเดินมากุมมือของมานิตาแล้วพาเดินตรงไปหาลูกสาวที่นั่งที่ทรายทันที “คุณแม่ครับ อันนี้เป็นเครื่องบินน้องมิกซ์วาดเอง” เสียงของลูกชายบอกอย่างเจี๊ยวจ๊าว ผู้ใหญ่ทั้งสองคนหันไปมอง ก็พบกับภาพเครื่องบินในจินตนาการของลูกชาย “วาดเองเหรอครับ” “ครับ” เพทายและมิลค์กี้มองหน้ากันเมื่อเห็นภาพที่ลูกชายวาด มันสวยเกินกว่าที่เด็ก 5 ขวบจะวาดด้วยซ้ำ แสดงว่าลูกชายของพวกเขาอาจจะมีพรสวรรค์ด้านนี้ “สวยจังเลย คนเก่งของแม่”มานิตาทำการหอมหัวของลูกชายหนึ่งที พร้อมที่จะมองเพทายแล้วยิ้มอ