มีเขาอยู่ ใครก็ไม่กล้าชิงตัวหนูไปทั้งนั้น คำพูดที่อุ่นใจเพียงประโยคเดียว ทำให้กั่วกัวหยุดร้องไห้ในทันที"งั้นหนูไปมอบดอกเบญจมาศให้ปะปี๊กับมะมี๊นะคะ"เธอเคยเห็นเวลาที่คนในราชวงศ์เสียชีวิต ก็จะวางดอกเบญจมาศที่หน้าป้าหลุมศพเหมือนกันปะปี๊กับมะมี๊ของเธอล้วนก็ไม่อยู่แล้ว ก็ต้องให้ลูกสาวแท้ๆของพวกเขาเป็นคนมอบดอกเบญจมาศจี้ซือหานโบกมือ ทันใดนั้นก็มีคนไปเอาดอกเบญจมาศมาช่อใหญ่ ซึ่งมีน้ำหนักมาก แต่กั่วกัวก็อุ้มมันไหวจี้ซือหานผลักประตูรถออก ให้กั่วกัวลงไปด้วยตัวเองเสร็จ จากนั้นฝืนร่างกายลงจากรถไปบ้างอาเจ๋อเห็นดังนั้น ก็รีบเข้ามาห้าม "คุณผู้ชาย อย่าไปเลยครับ คนในตระกูลจิพวกนั้นไม่มีทางปล่อยคุณลอยนวลแน่"นิ้วเรียวยาวขาวนวลของชายหนุ่มประคองอยู่บนประตูรถ ปรายตามองอาเจ๋อที่อยู่ในรถด้วยความเฉยชา "พวกนั้นไม่กล้าหรอก"ถ้าพวกเขากล้าทำอะไรเขา ก็คงส่งคนมาประจันหน้าตั้งแต่ที่รู้ว่าเขาลงจากเครื่องบินส่วนตัวแล้ว ทำไมต้องรอเอาป่านนี้จี้ซือหานหมุนตัว ขณะเตรียมจะยกฝีเท้าเดินไปยังสุสาน จู่ๆมือเล็กๆข้างนึง ก็จับมือของเขาไว้...เขาทอดสายตาลงมองเด็กน้อยที่เขย่งปลายเท้าขึ้น จับนิ้วมือของเขาอย่างเปลืองแรง
ซูหว่านเห็นกั่วกัวมา ก็ตกใจไปชั่วขณะ หันกลับมามองแวบนึง ก็เห็นชายหนุ่มยืนเอามือล้วงกระเป๋าข้างนึง อยู่ด้านหลังของฝูงชนเขาสวมชุดสูทสีดำ ร่างกายตั้งตรงเหมือนกับรูปปั้นแกะสลัก เครื่องหน้าที่ได้สัดส่วนคมชัด งดงามไร้ที่ติเมื่อเห็นจี้ซือหานลงจากรถ ซูหว่านก็เข้าใจในทันที เขาเป็นคนพากั่วกัวมาเซ่นไหว้ชูยีกับจิเหยียนโจวเดิมทีซูหว่านตั้งใจว่ารอให้คนของตระกูลจิกลับกันหมดแล้ว ค่อยพากั่วกัวมาไหว้ จะได้เลี่ยงเหตุการณ์ที่คนของตระกูลจิจะชิงตัวเธอไปแต่พอเห็นท่าทางโอ่อ่าผ่าเผยของจี้ซือหาน ประหนึ่งไม่กลัวว่าคนของตระกูลจิจะแย่งตัวเด็กไปแม้แต่น้อยงั้นก็ให้กั่วกัวมาส่งพ่อแม่ของเธอเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน เด็กน้อยจะได้ไม่รู้สึกเสียใจในอนาคตหลังจากที่ซูหว่านคิดอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ก็ยื่นมือไปลูบศีรษะเล็กๆของกั่วกัว"กั่วกัว หม่ามี๊ของหนูอยู่ที่นี่ ถ้ามีอะไรอยากพูด ก็พูดกับเธอได้เลยนะ"กั่วกัวจ้องรูปหม่ามี๊กับอาแปลกบนป้ายหลุมศพ มองอยู่ชั่วขณะ จากนั้นยื่นมือเล็กๆนุ่มนิ่มไปลูบรูปถ่ายของทั้งสองคน"หม่ามี๊ ปะปี๊ ทั้งสองคนรอกั่วกัวที่สวรรค์นะ ชาติหน้า หนูค่อยเป็นเบบี๋ของหม่ามี๊กับปะปี๊ใหม่..."ซูหว่านเห็
จิป่ายหลินเดาว่า บางทีจี้ซือหานอาจจะเป็นพวกรักไม่ลืมหูลืมตาเหมือนกับจิเหยียนโจวถ้าพูดตรงๆก็เป็นคนดึงดัน ถ้ารักใครสักคน ก็จะฝังลึกในใจไปจนตายความจริงแล้วนี่มีสาเหตุมาจากตอนเด็กๆ ถูกพ่อแม่เลี้ยงดูอย่างเข้มงวดเกินไป และขาดประสบการณ์ความรักเขาคิดว่าถ้ามีประสบการณ์เยอะ ก็จะไม่หลงหัวปักหัวปำอยู่กับผู้หญิงแค่คนเดียวจิป่ายหลินเข้าใจว่าตัวเองคาดเดานิสัยของจี้ซือหานได้อย่างชัดแจ้งแล้ว ก็วางท่าอย่างตัวเองเป็นผู้ใหญ่ เชยคางด้วยความเย่อหยิ่ง"คุณจี้ ในเมื่อคุณจะแต่งงานกับคุณซู งั้นก็นับได้ว่าเป็นน้าเขยของเด็กมัน เรื่องสิทธิ์การเลี้ยงดูควรจะคืนมาให้ใคร ก็มีสิทธิเข้าร่วมด้วย ถ้าไม่รังเกีจ พวกเราย้ายไปที่โซนพักผ่อน แล้วค่อยนั่งคุยรายละเอียดกันเถอะ"ให้เขาคุยสิทธิ์การเลี้ยงดูกับศัตรู ก็นับว่าจิป่ายหลินไว้หน้าเขามากแล้วในฐานะที่จี้ซือหานอายุน้อยกว่า ถึงยังไงก็ต้องยอมหยวนให้ แล้วค่อยเรียกเขาว่าลุงด้วยความรู้สึกผิดก็ยังไม่สายแต่อย่างไรก็ตาม...จี้ซือหานไม่แม้แต่จะชายตามองเขา แต่ทิ้งประโยคนึงด้วยเสียงเย็น "ไปคุยกับทนายของฉันสิ"จากนั้นหันข้างไปหาซูหว่าน "ไหว้เสร็จหรือยัง?"ซูหว่านก้มหน้ามอ
สัมผัสอุ่นๆจากปลายนิ้วของหญิงวัยกลางคน ทำให้ซูหว่านรู้สึกไม่สบายตัว เธอหกคอกลับมาเล็กน้อย"นายหญิงจิ..."เธอเอ่ยเตือนด้วยเสียงเรียบ ทำให้เสิ่นเจียวหลินดึงสติกลับมา"ขอโทษทีนะ ฉันลืมตัวไปหน่อย..."หลังจากที่เธอกลับมาที่อังกฤษ ก็คิดอยู่นานสุดท้ายก็เอาชนะความหวาดกลัวต่อใบหน้านี้ได้ในที่สุดถึงยังไงลูกชายก็ตายไปแล้ว เวรกรรมที่เธอต้องได้รับ ยังไงมันก็ต้องมาถึงในสักวัน แล้วจะไปกลัวทำไม?คิดมาถึงตรงนี้ เสิ่นเจียวหลินก็ยกมุมปากขึ้นอย่างหมดหนทาง..."คุณซู เธอรู้ไหม เธอหน้าตาเหมือนกับแม่ของเธอมาก"เพราะเธอหน้าตาเหมือนแม่ของเธอ เสิ่นเจียวหลินถึงได้ตกใจขนาดนั้นตอนที่เห็นเธอครั้งแรก?แต่ถ้าเทียบกับความตกใจแล้ว ซูหว่านรู้สึกว่า เมื่อเสิ่นเจียวหลินได้เห็นเธอ อีกฝ่ายดูหวาดกลัวซะมากกว่า...เสิ่นเจียวหลินทำเรื่องอะไรไม่ดีกับแม่ของเธอหรือเปล่า ถึงได้กลัวเธอแบบนี้?ขณะที่ซูหว่านกำลังสงสัยอย่างที่สุด เสิ่นเจียวหลินที่กำลังมองใบหน้าของเธอนั้น จู่ๆก็หัวเราะออกมาเบาๆ..."ก่อนที่แม่ของเธอจะเสียโฉม เป็นคนสวยเหมือนกับเธอเลย น่าเสียดายนะ..."เสิ่นเจียวหลินพูดถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกในแววตาเผยควา
คำว่ากลับบ้าน ทำให้ซูหว่านดึงสติกลับมาจากความเหม่อลอยเธอแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย มองชายหนุ่มที่ร่างสูงใหญ่อ้าปากอยากจะพูดะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด แค่พยักหน้าให้เขาหลังจากที่จี้ซือหานจับมือเธอขึ้นรถ ก็นั่งลงข้างเธอ จากนั้นยื่นนิ้วเรียวยาวไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอซูหว่านมองชายหนุ่มที่คาดเข็มขัดให้ตัวเอง นิ้วมือที่กำนามบัตรอยู่ ลูบไล้อยู่สองสามที จู่ๆก็เอ่ยปากออกมา"ซือหาน...""หืม?"น้ำเสียงน่าฟังของชายหนุ่มเปล่งออกมาจากลำคอ ทุ้มต่ำมีเสน่ห์"นายหญิงจิรู้ว่าแม่ของฉันเป็นใคร แต่เอากั่วกัวมาเป็นเงื่อนไขแลกเปลี่ยน""เธอยังพูดอีกว่า..."จี้ซือหานเห็นเธอเงียบ ก็หันข้างไปและเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน"ให้เธออยู่ห่างจากฉัน?"ซูหว่านชะงักไปนิดหน่อย ราวกับไม่คิดว่าเขาจะเดาได้นานแล้ว เธอทอดสายตามองต่ำหลายวินาที สุดท้ายก็เลือกที่จะพูดความจริง"เธอบอกว่าถ้าฉันรู้ว่าแม่เป็นใคร ฉันก็จะไม่แต่งให้คุณ""ฟังจากความหมายที่เธอพูด เหมือนว่าระหว่างแม่ของฉันกับพวกคุณจะมีความแค้นอะไร"จี้ซือหานมีสีหน้าอึ้งไป ความจริงเขาก็กลัวอยู่ว่าก่อนแต่งงาน จะมีใครมาสร้างความบาดหมาง แต่ไม่คิดว่าจะมีจริงๆเขามองใบหน้า
น้อยครั้งที่เธอจะกระตือรือร้นขนาดนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ...จี้ซือหานชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็โอบรอบเอวของเธอ อุ้มเธอมานั่งบนต้นขาคงเป็นเพราะจูบอันดูดดื่มที่เธอเป็นฝ่ายรุก ปลอบประโลมหัวใจของเขา ทำให้เขาไม่รู้สึกว้าวุ่นใจเหมือนตอนแรกอีกซูหว่านสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวของเขา ที่เปลี่ยนจากอ่อนโยนเป็นเร่าร้อน ก็รู้ว่าชายหนุ่มถูกไฟราคะเข้าครอบงำเรียบร้อยแล้ว จึงรีบผลักเขาออก"ดูสถานการณ์ด้วยค่ะ"นิ้วมือของชายหนุ่มที่ล้วงเข้าไปที่แผ่นหลัง ชะงักลงทันที ดวงตางดงามที่พร่ามัง จ้องเธอด้วยประกายออดอ้อน"ขอจุ๊บอีกหน่อยนะ?"ขืนยังจูบต่ออีกหน่อย อย่าหวังว่าจะได้ลงจากรถเลย ยังดีที่คนขับรถที่อยู่ข้างหน้า ปิดพนักกั้นไว้ตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้ว กั่วกัวเองก็นั่งอยู่ในรถคันอื่น ไม่งั้นได้อายตายหลังจากที่ซูหว่านใช้มือปิดใบหน้าที่ยื่นเข้ามาชายหนุ่ม ก็พูดกับเขาว่า "ซือหาน อีกเดี๋ยวกลับประเทศ เราไปจดทะเบียนกันเถอะ..."ถ้าจดทะเบียนกันแล้ว เขาก็จะไม่กระวนกระวายใจแบบนี้อีกความปรารถนาในดวงตาของจี้ซือหานสลายหายไป แทนที่ด้วยความประหลาดใจ "จดทะเบียน?"ซูหว่านที่ยังนั่งอยู่บนต้นขาของเขา ก้มหน้าลงมองเขา
เสิ่นหนานอี้อยากอยู่ที่อังกฤษต่อเพื่อจัดการบริษัทของจิเหยียนโจว จึงไม่ได้กลับประเทศด้วย แต่จะรีบตามไปร่วมงานแต่งของทั้งสองคนทั้งครอบครัวและอาชีพการแพทย์ของจอร์จก็ล้วนอยู่ที่อังกฤษ จึงไม่ได้กลับไปกับพวกเขาอยู่แล้ว ได้แต่บอกลากั่วกัวอย่างอาวรณ์"กั่วกัว ต่อไปถ้าฉันไม่ได้อยู่กับหนู หนูต้องเชื่อฟังน้าเล็กับน้าเขย ตั้งใจเรียนหนังสือนะ"กั่วกัวเป็นเด็กฉลาดมาก กางมือเล็กๆออก แล้วกอดขาของจอร์จ"ปู่จอร์จ หนูจะเชื่อฟังค่ะ ปู่ไม่ต้องห่วงนะคะ"จอร์จเผยรอยยิ้มอ่อนโยน มองกั่วกัวยิ้มๆ จากนั้นมองไปยังซูหว่านกับจี้ซือหาน"ต่อไปลำบากพวกคุณแล้ว"ซูหว่านส่ายหน้าเล็กน้อย "ฉันเป็นน้าเล็กของกั่วกัว ไม่คำว่าลำบากหรอกค่ะ"แน่นอนว่าจอร์จไม่ได้กลัวว่าซูหว่านจะลำบาก แต่หลังจากที่หญิงสาวแต่งงานไปแล้ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ต้องพึ่งพิงชายหนุ่มผู้ชายคนนี้ที่ซูหว่านแต่งงานด้วย เป็นผู้ครอบครองอำนาจตระกูลจี้ ทั้งสถานะตำแหน่งก็สูงจนไม่อาจเอื้อม ถ้าต้องแต่งโดยพาหลานเข้าตระกูลไปด้วย...จอร์จมองจี้ซือหานแวบนึง เห็นเขาเอ่มือข้างนึงล้วงกระเป๋ากางเกง มองมาที่ตัวเองด้วยสายตาเรียบเฉย คำพูดที่บอกถึงความไม่สบายใจ ก็ค่อย
เขาเหงื่อตกโดยอัตโนมัติ หันกลับมา ก็เห็นชายหนุ่มที่สูงร้อยเก้าสิบเซ็น ยืนตัวตั้งตรงอยู่หน้าประตู กำลังเอียงศีรษะน้อยๆจ้องเขาอยู่หน้าตาของชายหนุ่ม เย็นยะเยือกราวหิมะ รูปงามเกินพรรณนา ทั้งตัวของเขาแผ่ออร่าความสง่างามสูงศักดิ์ แผ่รัศมีที่ใครก็ไม่กล้าเข้าใกล้ซีอี้เห็นบอสใหญ่ของโรงพยาบาล ใช้สายตาส่งสัญญาณอันตรายเตือน กระทั่งเหมือนจะบอกว่า "อยากจะฆ่าเขา" จ้องมาที่ตัวเอง หัวใจก็กระตุกขึ้นทันทีเขาจำได้ว่าตัวเองไม่เคยทำอะไรผิดต่อประธานจี้นี่นา ทำไมถึงจ้องเขาด้วยสายตาแบบนี้?น่ากลัวชะมัด...ซีอี้คิดไม่ตก แต่ซูหว่านรู้ เธอเหล่มองจี้ซือหานด้วยความโมโหปนอยากขำ"รอฉันแปบนึง ฉันขึ้นไปเอาเอกสารก่อนค่ะ"เมื่อเธอขึ้นไปข้างบน ในห้องรับแขกก็เหลือเพียงแค่ซานซาน อลัน กั่วกัว และซีอี้สามคนที่อยู่ด้านหน้า รู้สึกเคยชินกับความสามารถในการพ่นความเย็นเฉียบดั่งแอร์เคลื่อนที่ของจี้ซือหานไปแล้วมีเพียงซีอี้ ที่นั่งอยู่บนโซฟาด้วยความกระอักกระอ่วน จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะพูดอะไรก็ไม่กล้าและชายหนุ่มที่ยืนตัวตรงอยู่หน้าประตู ยังจะปรายตามองเขาอยู่เป็นเนืองๆ ราวกับประติมากรรมน้ำแข็งถ้าไม่ใช่เพราะคุณซูใช้เวลาไม่น