ทันใดนั้นซูหว่านก็หยุดชะงัก เรือนหอซื้อไว้เมื่อสามปีก่อน นั่นไม่ใช่ซื้อให้หนิงหว่านหรอกหรือ?เธอไม่กล้าถามต่ออีก จึงได้หลุบสายตาลง เหม่อมองมือที่จับสาบเสื้อสูทของเขาไว้แน่นดีที่ชายหนุ่มเข้าใจถึงความผิดหวังของเธอ จึงได้รีบอธิบาย "เรือนหอหลังนั้น ผมตั้งใจซื้อให้คุณ รวมถึงชุดเจ้าสาวด้วย ผมก็ซื้อพร้อมกัน ไม่เกี่ยวกับคนอื่น เป็นของคุณคนเดียว"ซูหว่านได้ยินดังนี้ ก็ให้นึกถึงชุดเจ้าสาวมูลค่ามหาศาลที่ประดับเพชรทั้งชุด ความรู้สึกผิดหวังก็ค่อยเลือนหายไปบ้างเมื่อสามปีก่อน เขาได้ประมูลชุดเจ้าสาวมูลค่าสูงลิ่วให้กับเธอ โดยคิดว่าจะขอเธอแต่งงาน แต่แล้ว...ซูหว่านไม่อยากหวนคิดเรื่องอดีตอีก เก็บอารมณ์ขึ้น พร้อมเงยหน้ามองเขา "ได้ งั้นฉันจะออกแบบตกแต่งเรือนหอให้คุณเอง"เมื่อพูดจบก็ซุกเข้าไปในอ้อมแขนเขาอีก พร้อมถามยิ้มๆ "ขอถามคุณจี้หน่อย เกี่ยวกับเรื่องสไตล์ คุณจะเน้นอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า"จี้ซือหานเห็นหน้าเธอมีรอยยิ้ม ความร้อนรนในใจก็ค่อยคลายลงบ้าง "ความต้องการของคุณนายจี้ ก็คือความต้องการของผม"หรือก็แปลว่า เรือนหอของพวกเขา ขอแค่เธอชอบเท่านั้น อยากจะแต่งแบบไหนก็แต่งไป เขาไม่มีความคิดเห็นซูหว
ขณะที่ทั้งคู่หารือกันอยู่ ซูชิงอยู่อีกด้านหนึ่ง สั่งคนให้เอากระเป๋าใส่รหัสวางลงบนโต๊ะกระจก พร้อมรายงานให้กับชายหนุ่มที่อยู่บนโซฟา"ท่านประธานจี้ สินสอดเตรียมพร้อมไว้แล้วครับ ส่วนทางด้านคุณท่าน ผมได้แจ้งไปแล้ว ไม่ทันรอให้เขาตอบกลับ ผมก็พาคนมานี่ก่อน"จี้ซือหานพยักหน้าเบาๆ รอจนซูหว่านกับซานซานคุยกันเรียบร้อย กลับมายังห้องรับแขก เขาจึงลุกขึ้นจากโซฟา เดินไปตรงหน้าซานซาน"คุณเฉียว ที่ผมมาวันนี้ เพื่อจะทำการสู่ขอซูหว่าน คุณเป็นพี่สาวเธอ เมื่อถึงคราวออกเรือน ก็ควรจะให้คุณเป็นผู้ใหญ่"ส่วนใหญ่มักเป็นฝ่ายชายวางแผนไว้แล้ว ค่อยมาสู่ขอ และกับฝ่ายหญิงนั้น อย่างมากก็แค่หารือและอาจมีหลายกรณี ที่สองฝ่ายตกลงกันไม่ได้ จึงต้องเลิกรากันไป สุดท้ายแทนที่จะได้เกี่ยวดอง กลับกลายเป็นมองหน้าไม่ติดแต่ว่า ชายหนุ่มผู้สูงส่งเกินเอื้อมผู้นี้ เดิมทีสามารถข้ามขั้นตอนวุ่นวายต่างๆ พาหว่านหว่านไปจัดงานเรียบร้อย จดทะเบียนแล้วก็สิ้นเรื่อง กลับเอาสินสอดมาทาบทามสู่ขอ โดยไม่ต้องปรึกษาหารือ ก็บอกให้พี่สาวอย่างเธอเป็นเถ้าแก่ซะทั้งที่รู้ว่าเธอกับหว่านหว่านไม่ได้มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด เพียงแค่นับถือเหมือนพี่น้องเท่
จี้ซือหานซึ่งนิ่งเงียบอยู่ตลอด มองดูหญิงสองคนที่เหมือนมีความกดดัน พร้อมตอบเบาๆ "ทรัพย์สินของตระกูลจี้ทุกวันนี้ ผมเป็นคนหามา ไม่เกี่ยวกับทางครอบครัว ผมพอใจจะให้ใครก็ได้ พวกคุณไม่ต้องคิดมาก อีกอย่าง..."สายตาของเขา ย้ายมาหยุดที่ใบหน้าซูหว่าน พร้อมพูดอย่างแน่วแน่ "ทุกอย่างในอนาคตของผม จะเป็นของหว่านหว่านทั้งสิ้น"สินสอดของเขา ไม่ได้มีเพียงตระกูลจี้ แต่เป็นมูลค่าในตัวเขาเอง รายได้ที่จะเข้ามาในอนาคต ทุกบาททุกสตางค์ เหล่านี้ถือเป็นสินทอดทั้งหมดซานซานคิดจะพูดอะไรต่ออีก กลับถูกจี้ซือหานขัดจังหวะ "คุณเฉียว ทรัพย์สินเงินทองสำหรับผมแล้ว เป็นเพียงสมบัตินอกกาย ผมไม่เคยสนใจ ต่อให้มอบชีวิตแก่หว่านหว่าน ผมก็ยินดี เพราะฉะนั้นเรื่องสินสอด จงอย่าได้คิดมากอีก"ซานซานรับรู้ได้ถึงความจริงใจของเขา จึงไม่อยากพูดมากอีก ได้แต่ถามว่า "แล้วผู้ใหญ่ทางฝั่งคุณ หว่านหว่านยังไม่ได้พบหน้า พวกเขาจะเห็นชอบด้วยหรือเปล่า"จี้ซือหานสีหน้าหม่นเล็กน้อย "ผมเป็นคนดูแลตระกูลจี้ ภรรยาผม ไมจำเป็นต้องไปพบใคร"ขณะที่เขาพูดประโยคนี้ น้ำเสียงแสดงถึงความสูงส่งของฐานะ ทำให้ซานซานรู้สึกทึ่งมากเกือบลืมไปว่า ชายหนุ่มที่นั่งอยู่โซฟ
เมื่อจี้ซือหานไปแล้ว ซูหว่านก็รีบไปหาซานซานที่ห้องนอนเห็นซานซานนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กำลังเหม่อมองเอกสารในมืออยู่ จึงยกมือขึ้นเคาะประตู"ซานซาน เธอดูอะไรอยู่"ซานซานได้ยินเสียงเคาะประตู จึงรีบเก็บซองเอกสารที่ซ่งซือเยว่มอบให้เธอก่อนหน้าไว้ในลิ้นชักทันทีซองใส่เอกสารนี้ ซ่งซือเยว่ได้เคยกำชับไว้ รอให้ถึงวันที่ซูหว่านแต่งงานค่อยมอบให้เธอ ซานซานจึงได้ปิดบังมาถึงวันนี้ซูหว่านเห็นท่าทีลนลานของซานซาน แต่ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงพูดว่า "ซานซาน ฉันซื้อบ้านใหม่ที่ติดกับบ้านเธอแล้ว"ซานซานอยากถามว่าซื้อบ้านอะไร แต่ก็คิดว่าไม่จำเป็น แค่อยู่กับเธอก็พอแล้ว แต่ก่อนจะเอ่ยปาก เธอเข้าใจเจตนาของซูหว่านดีหว่านหว่านคงคิดว่า อีกหน่อยคนตระกูลจี้ที่มาสู่ขออาจจะดูถูกเธอ จึงอยากให้ตัวเองมีบ้านอีกหลังเอาไว้ออกเรือนจริงๆ การแต่งงานกับเศรษฐี ก็มีความยุ่งยากอยู่หลายอย่าง ดีที่หว่านหว่านมีพรสวรรค์ด้านการออกแบบ แค่ภาพใบเดียวก็หาเงินได้เป็นสิบล้าน ลำพังแค่จุดนี้ ก็สามารถปิดปากพวกเสียงนกเสียงกาได้แล้ว ไม่เหมือนกับเธอ ไม่มีพรสวรรค์อะไรซักอย่าง ซ้ำยังทำงานกลางคืนที่ใครๆ ก็ดูถูกนัก...ซานซานรู้สึกน้อยใจโชคช
ซูหว่านทำเสียงฮึดฮัด "เสิ่นหนานอี้ เธอรู้ว่าคนที่จิเหยียนโจวจับไปคือฉัน แล้วทำไมไม่มาช่วย?"เสิ่นหนานอี้เช็ดหน้าที่เลอะด้วยฝุ่น ตอบเหมือนไม่แยแส "ฉันสู้เขาไม่ได้ ขืนไปช่วยเธอ มิเท่ากับรนหาที่หรอกหรือ"อีกอย่าง ท่านประธานแห่งกลุ่มบริษัทจี้คงไม่นิ่งดูดายอยู่แล้ว ปล่อยให้ท่านประธานไปช่วยแทน มิดีกว่าหรอกหรือ?ซูหว่านพูดไม่ออก "เธอก็ช่างรู้ตัวเองเหมือนกัน"เสิ่นหนานอี้เผยรอยยิ้มออกมาเป็นเส้นตรง พร้อมขยับมุมปากเล็กน้อย "การรู้ตัวเอง เป็นพื้นฐานการใช้ชีวิตของฉันอยู่"ขาดคำไม่ทันไร ฝั่งตรงข้ามก็มีคนงานจากเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ชี้มายังที่ๆ เขายืนอยู่ พร้อมตะโกนพูดจาเสียงดัง"หมอนี่แหละ รวมหัวกับหัวหน้าคนงาน เตะถ่วงค่าแรงไว้ไม่ยอมจ่าย""พวกเรา ใครมีค้อนมีประแจอยู่ในมือ ตามฉันมา ฆ่าพวกมันให้ตายเลย"ถัดมาซูหว่านก็ได้ยินเสียงวิ่งหนีของเสิ่นหนานอี้"ซูหว่าน เพื่อช่วยเธอรังวัดพื้นที่ ครึ่งปีมานี้ ฉันถูกพวกคนงานจองเวรตั้งเท่าไหร่รู้บ้างไหม!""จำไว้ให้ดี ไว้ฉันกลับไปเมื่อไหร่ เธอต้องจ่ายค่าตัวให้ฉัน ให้คุ้มกับที่มาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายอยู่นี่"จากนั้นก็เป็นเสียงวางหู ดังตุ๊ดๆๆ ซึ่งซูหว่านก็ไม
ซูหว่านหลุดหัวเราะออกมา กำลังคิดจะเกลี้ยกล่อมกั่วกัวอีก ก็เห็นจอร์จส่งข้อความมา [คุณซู ไม่ต้องห่วง ผมจะกล่อมให้กั่วกัวไปโรงเรียนเอง]ซูหว่านจึงได้พิมพ์ข้อความตอบกลับ [คุณหมอจอร์จ ถ้ากั่วกัวยังคิดกลับไปอยู่กับจิเหยียนโจวอีก ก็รบกวนคุณช่วยดูแลแกให้ดี อย่าให้ถูกทำร้ายได้อีก]จอร์จตอบข้อความกลับมาโดยเร็ว [ที่จริงคุณจิเหยียนโจวก็รักกั่วกัวมาก คุณไม่ต้องห่วง]ซูหว่านจ้องมองข้อความสั้นนั้น นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตอบกลับไปว่า "ได้"เดิมทีจิเหยียนโจวไม่ได้ชอบกั่วกัวนัก แต่ตอนหลังมีท่าทีคล้ายจะยอมรับเด็กคนนี้มากขึ้นบางทีถ้ามีกั่วกัวอยู่ใกล้ชิด อาจช่วยให้เขาหลุดพ้นจากความเศร้าที่เสียพี่ใหญ่ไป จนยอมเริ่มต้นชีวิตใหม่ซูหว่านมีความคิดเช่นนี้ พร้อมนั่งครุ่นคิดอยู่หน้าโต๊ะหนังสือครู่หนึ่ง แล้วจึงวางมือถือลง ลุกขึ้นไปหาซานซานต่อจากกันครึ่งปีกว่า ทั้งคู่แทบไม่ได้เจอกัน กว่าจะรอให้หว่านหว่านกลับมาอยู่ด้วยกัน ซานซานย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากเธอดึงมือหว่านหว่านนอนลงบนเตียงนุ่ม ด้านหนึ่งก็มาส์กหน้าไว้ อีกด้านก็พูดคุยเรื่องสัพเพเหระกระจุ๋งกระจิ๋งกันไปภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เหมือนเมื่อสามปีก่อน คืนท
ซูหว่านไม่เคยพบปู่ของจี้ซือหานมาก่อน เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงของเขาว่ากันว่าสมัยที่จี้เจิ้นตงยังคุมงานอยู่ แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ในยุโรปยังต้องเกรงใจเขาเพราะชั้นเชิงอันเฉียบขาดของเขา จึงทำให้กลุ่มบริษัทจี้ยืนหยัดมั่นคงอยู่ในตลาดเอเซีย หรือแม้แต่ทั่วโลกมาจนทุกวันนี้คนที่ทรงอิทธิพลเช่นนี้แม้ว่าจะวางมือแล้ว ยังมาหาเธอถึงบ้าน คงเพราะเรื่องแต่งงานอย่างแน่นอนซูหว่านพอคาดเดาได้ถึงเจตนาที่เขามานี่ จึงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ยังแสร้งทำเป็นปกติ ล้างหน้าล้างตาแล้วเดินลงชั้นล่างจี้เจิ้นตงเข้ามาโดยไม่ได้รับเชิญ อยู่ในชุดสูทคัตติ้งเนี๊ยบ ถือไม้เท้าหัวมังกร ลักษณะองอาจผึ่งผาย ยืนอยู่กลางห้องรับแขกชายชราอายุเจ็ดสิบห้าปี หากแต่ใบหน้ายังดูอ่อนกว่าวัย หน้าตาแจ่มใส บุคลิกสง่างามน่าเกรงขาม เปี่ยมด้วยลักษณะผู้ที่เข้าใจโลกอย่างถ่องแท้ซูหว่านยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันของเขา แต่ก็จำต้องรวบรวมความกล้า สองมือกำแน่น เดินไปตรงหน้าเขา"คุณลุงจี้"เธอเรียกอย่างมีมรรยาท ชายชราจึงละสายตาจากการมองดูรอบข้าง หันมาหยุดอยู่ที่เธอสายตาเคร่งขรึมคู่นั้น ถ้าจะบอกว่ามองดูซูหว่าน มิสู้บอกว่านี่คือก
ซูหว่านหยุดหายใจไปชั่วขณะ ดวงตาค่อยๆทอดลงต่ำ เด็กกำพร้าคนนึง จะไปมีพื้นเพประวัติได้ยังไงล่ะ...จี้เจิ้นตงเห็นเธอเงียบ ก็หัวเราะเสียงเย็นทันที "ฉันสืบประวัติเธอมาแล้ว เกิดมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ต่อให้จะตามหาพี่สาวเจอในภายหลัง แต่ก็เป็นแค่สถาปนิก จะไปคู่ควรกับหลานชายฉันได้ยังไง?"ถ้าใช้พื้นเพประวัติมาเทียบ เธอก็คงไม่คู่ควรจริงๆ แต่ "ถึงแม้จะเป็นแค่สถาปนิก แต่พี่สาวของหนูก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในขอบเขตของตัวเอง"สามารถพูดได้ว่าแม้เธอจะเติบโตมาไม่ดี แต่พี่สาวของเธอ จะให้คนนอกมาทำเสื่อมเสียไม่ได้เด็ดขาดเห็นได้ชัดว่าจี้เจิ้นตงดูถูกสถาปนิกธรรมดาๆ ทว่าไม่ได้โต้เถียงกับซูหว่านให้มากความ แต่เน้นย้ำว่า "เธอก็รู้ว่านั่นเป็นความสำเร็จของพี่สาว งั้นมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ"ความหมาของเขาก็คือ ความสำเร็จของพี่สาว ไม่ได้หมายความถึงความสำเร็จของเธอซึ่งซูหว่านก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้แต่เขาเข้าใจความหมายของเธอผิด ที่เธอโต้ตอบเขา ก็แค่เพื่อทวงความยุติธรรมให้กับพี่สาวเท่านั้นซูหว่านอยากจะอธิบาย ทว่าจี้เจิ้นตงไม่มานั่งหยุมหยิมกับประเด็นนี้อีก แต่ยังชูนิ้วที่สองต่อไป "คำถามข้อที่สอง คุณซูจบจ