"กู! ไม่! กลัว!" รุยแหกปากตะโกนลั่นก่อนจะกระโดดข้ามโต๊ะที่กั้นพวกผมกับคุณตำรวจคนนั้น ตายห่าละ! มึงอยากเพิ่มคดีให้ตัวเองเหรอวะ ทนายห่านั่นก็มาช้าจังวุ้ย!
พลั่ก! ตึง!
รุยปรี่เข้าไปหมายประเคนหมัดให้ร่างในชุดเครื่องตำรวจที่ยืนกอดอกใช้สายตาเหยียดมองมายังพวกผม แต่ร่างนั้นหลบหมัดในระยะประชิดได้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้กลายเป็นรุยที่ถูกกดแขนไพล่หลังคว่ำหน้าอยู่กับโต๊ะ
"เฮ้ย! ไอ้รุย!"
"โอ๊ย! โอ๊ย! ปล่อยกูนะ!"
พลั่ก! โครม!
"ปล่อยเพื่อนกูนะโว้ย" ไต้ฝุ่นที่วิ่งเข้าไปหมายจะถีบตำรวจคนนั้น แต่ดันเป็นฝ่ายล้มก้นกระแทกพื้นเอง มันตะโกนเสียงดังก่อนจะรีบลุกขึ้นทำตัวปกติ ผมว่ามันคงอายแหละแต่ต้องแกล้งว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"สารวัตรครับมีสายตรงถึงสารวัตรครับ" เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายจบลงเมื่อนายตำรวจคนหนึ่งถือโทรศัพท์เดินเข้ามายังกลุ่มพวกผม ตำรวจหน้าหล่อที่กดแขนรุยไว้ถึงได้ปล่อยก่อนเดินไปหยิบโทรศัพท์แล้วเดินเลี่ยงออกไป พวกผมจึงรีบดูไอ้รุยที่ยืนหมุนข้อมือตัวเองคลายความเจ็บ นายตำรวจคนอื่นที่ห้ามรุยและคนที่คาดว่าน่าจะเป็นหัวหน้าของตนเองเดินกลับไปประจำที่ของตนเองราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
"เป็นไงบ้างวะ"
"เจ็บดิ ถามได้ คอยดูเถอะกูเอาคืนแน่!" รุยกัดฟันจนเห็นสันกรามมองตามร่างที่ทำมันเจ็บเขม็ง มันคงแค้นตำรวจคนนั้นจริงๆ
"ขอโทษด้วยนะครับ" นายตำรวจคนที่ถือโทรศัพท์มาให้ตำรวจหน้าหล่อก้มหัวปลกๆ ขอโทษพวกผม ส่วนคนก่อเรื่องเดินหายไปไหนก็ไม่รู้แล้ว แต่ผมจำชื่อที่สลักอยู่บนป้ายชื่อตรงหน้าอกของอีกฝ่ายได้แม่น 'ศิรชัช เปี่ยมยศ' นามสกุลเดียวกับท่านหิงสานี่ อย่าบอกนะว่าเป็นลูกชายของท่าน ว่าแต่ลูกชายคนไหนกันแน่ ขอผมเรียบเรียงข้อมูลในสมองแปป คนโตไม่ได้เป็นตำรวจแต่เป็นอัยการ คนกลางเป็นผู้พิพากษา ก็เหลือแค่คนเล็กสินะ ชักจะน่าสนใจแล้วสิ 'คุณสไนเปอร์ ศิรชัช เปี่ยมยศ' ลูกชายคนเล็กของท่านหิงสา อดีตมือปราบน้ำดีผู้เป็นตำนานแห่งวงการสีกากี
"มึงยิ้มอะไรอ่ะ วางแผนโรคจิตอะไรอยู่" ฮิลล์ที่ผมคิดว่ามันกำลังสนใจรุยถามผมโดยไม่ทันตั้งตัว นี่หน้ากูมันออกขนาดนั้นเลยเหรอ
"เดี๋ยวเล่าให้ฟัง" ผมไม่ปิดบังมันหรอก แต่ต้องรอพ้นเหตุการณ์นี้ไปก่อน ไม่อย่างนั้นปฏิบัติการล่าของหลวงของผมอาจมีอุปสรรคเป็นไอ้รุยได้
"เมื่อกี้ลูกท่านหิงสาไม่ใช่เหรอ" สมกับที่เป็นไอ้ฮิลล์ ไม่มีเรื่องที่เล็ดลอดสายตามันไปได้
"อือ"
"แล้ว?" มึงอย่าเอาคืนได้ป่ะ เหตุการณ์เดจาวูชัดๆ
"ไม่แล้วอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวค่อยคุย" ผมตัดบทมันก่อนที่มันจะเซ้าซี้มากกว่านี้ เดี๋ยวความแตกหมด
"ทนายมาแล้วโน้น" ผมเบี่ยงความสนใจโยการพยักพเยิดหน้าไปทางประตูที่ฝ่ายกฎหมายของพวกผมกำลังเดินเข้ามาพร้อมกระเป๋าเอกสารในมือ เกลียดสายตารู้ทันของไอ้ฮิลล์จังวุ้ย
หลังจากทนายมาพวกผมก็มีหน้าที่แค่นั่งดูทนายจัดการเรื่องราวแทนพวกผมทุกอย่าง ไอ้ตี๋ถูกคุมตัวไปห้องสืบสวนเรียบร้อย ภาวนาให้มันปริปากพูดก็แล้วกัน ขนาดโดนไอ้รุยซ้อมมาแล้วขนาดนั้นมันยังไม่ยอมพูด นับประสาอะไรกับการสืบสวนตามกระบวนการ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของพวกผมอยู่แล้ว มันเป็นปัญหาที่ตำรวจอยากขยายผลไปหานายใหญ่ของไอ้ตี๋มากกว่า ได้ข่าวว่างานนี้ไม่ได้มีแค่ยา แต่มีทั้งการค้ามนุษย์และการค้าอาวุธเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย รู้อย่างนี้ผมรอมาพร้อมทนายดีกว่า แต่ถ้ามาพร้อมทนายผมอาจไม่ได้เจอคุณตำรวจคนหล่อคนนั้นก็เป็นได้ เพราะตั้งแต่ทนายมาคุณตำรวจที่ทำให้ใจผมสั่นก็ไม่มาให้เห็นอีกเลย นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน แต่มันจะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เราจะได้เจอกัน พี่กับผมต้องเจอกันอีกหลายๆ ครั้งแน่นอนพี่สไนเปอร์
"ผมขอช่องทางติดต่อของหัวหน้าคุณได้ไหมครับ" ผมถามตำรวจคนที่เดินเอาโทรศัพท์มาให้พี่สไนเปอร์ก่อนหน้านี้
"สาวัตรศิรชัชเหรอครับ"
"ใช่ครับ"
"จะเอาไปทำอะไรเหรอครับ" คนที่ผมกำลังมองหาเอ่ยถามผม พอตอนมองหาไม่เห็นทีตอนนี้อย่างกับนกรู้
"เอาไปเผื่อติดตามเรื่องคดีครับ"
"เส้นใหญ่แบบพวกคุณไม่ต้องติดต่อผมโดยตรงก็ได้ครับ ติดต่อผ่านท่าน ผบ.โดยตรงเลยก็ได้ครับ" น้ำเสียงที่ตอบกลับมาผมสัมผัสได้ถึงการกระแนะกระแหนเบาๆ
"ขอโทษนะครับ คุณมีอคติอะไรกับพวกผมหรือเปล่าครับ" ผมที่อึดอัดกับท่าทีและกลิ่นอายที่อีกฝ่ายส่งมาถามออกไปตรงๆ ผมรู้สึกว่าสาวัตรคนนี้ไม่ค่อยชอบพวกผมสักเท่าไหร่ เขาคอยแต่จะพูดกระทบกระเทียบพวกผมตั้งแต่เจอกันครั้งแรก
"พูดตามตรงนะครับ ผมไม่ชอบการที่พวกคุณทำตัวเหนือกฎหมาย และทำตัวมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นน่ะครับ" ผมถามตรงๆ อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาตรงๆ เหมือนกัน ดี! ผมชอบคนตรงๆ ผมไม่ชอบเดาหรือคิดไปเองอยู่แล้ว
"งั้นผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ พวกผมได้อภิสิทธิ์นั้นตั้งแต่เกิด เลยไม่ชินหากต้องรอกระบวนการของพวกคุณ" ผมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใคร แต่ผมจะทำให้พี่ชอบผมในแบบที่ผมเป็นเองพี่'สไนเปอร์'
....สถานบันเทิง M....'กูอยากรู้ประวัติเขาทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่แค่ไหน ตามสืบมาอย่าให้เล็ดลอดแม้แต่เรื่องเดียว' ผมพูดกับฮิลล์สองคน ในขณะที่ไต้ฝุ่นไปจัดการปัญหาที่เคาน์เตอร์ ส่วนรุยกำลังเตรียมอุปกรณ์เปิดแผ่นเสียงของมัน ซึ่งปกติหลังเลิกงานถ้าไม่ติดอะไร พวกผมมักจะมานั่งดูแลร้านร่วมกันแบบนี้เป็นประจำ เหตุผลจริงๆ ก็อยากแดกเหล้านั่นแหละ ที่เปิดร้านก็แค่สนองความต้องการพวกผมล้วนๆ บังเอิญเปิดแล้วมันเกิดประสบความสำเร็จ ก็เลยจำเป็นต้องขยับขยายไปเรื่อยๆ'เขาอยู่ในชุดปฏิบัติการพิเศษนะ มึงคิดว่าประวัติเขาขุดง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ' ฮิลล์หยิบแก้วขึ้นมาจิบหลังจากถามผมเสร็จ'ขนาดมึงยังรู้เลยว่าเขาอยู่ในชุดปฏิบัติการพิเศษ แล้วมึงคิดว่าประวัติเขาจะเป็นความลับขนาดนั้นเหรอ' ผมพ่นควันบุหรี่เสร็จถึงค่อยถามมันกลับแทนคำตอบ เป็นลูกจองอดีตนายตำรวจมีชื่อเสียง มันต้องสืบง่ายกว่าคนทั่วไปอยู่แล้วสิ อย่ามาพูดหน่อยเลยว่าเป็นความลับ ของบนโลกทุกอย่างโดนเงินหล่นทับก็งอหมดอยู่ดี ถึงแม้กระดาษมันจะเบากว่าเหล็กแต่กระดาษรวมกันหลายปึกก็จ้างคนหักเหล็กได้'....' ฮิลล์หรี่ตามองผมพร้อมยิ้มมุมปากนิดๆ'มึงก็รู้องค์กรนี้ แค
ผมใช้เวลาไม่นานนักก็สามารถพารถหรูของตัวเองมาจอดยังหน้าสถานีที่เคยมาครั้งก่อนได้ ฮิลล์ส่งข้อความมาบอกว่า คนของมันถูกจับขังไว้ในห้องของฝ่ายสืบสวน ผมเดินถามเจ้าหน้าที่ตำรวจแถวนั้นสักพักก็เจอห้องของฝ่ายสืบสวน หน้าห้องถูกแปะป้ายไว้ว่า 'ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต' เอาไงดีล่ะ คนมีมารยาทแบบเราก็เปิดเข้าไปเลยแล้วกัน ประตูห้องมันไม่ได้ล็อกเสียหน่อย แสดงว่าเขาอนุญาตแล้ว"สวัสดีครับ ผมมาพบสารวัตรศิรชัชครับ" ผมบอกตำรวจในห้องห้าหกคนที่หันมาทางผมเป็นตาเดียว"อะ เอ่อ มีธุระอะไรครับ" นายตำรวจคนหนึ่งถามผม"มีธุระส่วนตัวนิดหน่อยครับ""เดี๋ยวผมตามให้นะครับ" นายตำรวจคนนั้นรีบเดินเข้าไปในห้องที่ติดฟิล์มมืดห้องหนึ่ง โดยที่ยังไม่เชิญผมเข้าไปนั่งรอ เอายังไงละทีนี้ร้อนก็ร้อน ผมมองหาเก้าอี้ว่างๆ สักตัวนั่งรอก็แล้วกัน"จะให้ผมบอกสารวัตรว่าใครมาหาครับ" ตำรวจคนเดิมถามผมหลังตากที่ผมนั่งได้ไม่ถึงนาที"บอกว่าเจ้านายของคนที่สารวัตรไปเอาตัวมาเมื่อคืนครับ" ผมยิ้มเชื่อมความสัมพันธ์ให้กับบรรดาลูกน้องของว่าที่แฟนตัวเอง แต่ทำไมหน้านายตำรวจคนที่มาถามผมถึงได้ซีดลงกันนะ"งั้นคุณตามผมมาดีกว่าครับ" นายตำรวจคนนั้นเดินนำผมไปยังห้องท
ในที่สุดผมก็พาคนของฮิลล์กลับมาคืนมันจนได้ โดยแลกกับการมอบไอ้เล็กลูกน้องไอ้ตี๋ให้คุณสารวัตรไป ลูกน้องของไอ้ตี๋คนนี้ พี่ริวเป็นคนส่งตัวมาให้ ผมว่าเขาคงอยากช่วยน้องชายของตัวเองถึงได้ตามตัวไอ้เล็กจนเจอแล้วส่งมาให้พวกผมจัดการ"กูขอโทษ กูจำเป็นต้องส่งตัวไอ้เล็กให้เขาจริงๆ" ตอนนี้ผมเลยต้องมานั่งอธิบายให้ไต้ฝุ่นฟัง"กูไม่เข้าใจ กูบอกแล้วไง เรื่องนี้เราจะหาตัวคนบงการกันเอง ทำไมมึงต้องเอาไอ้เล็กให้มันไปอีก" ไต้ฝุ่นไม่พอใจที่ผมมอบตัวไอ้เล็กให้คุณสารวัตร"ก็คนของไอ้ฮิลล์โดนจับไว้ มึงจะให้กูอยู่เฉยๆ เหรอ""มึงก็ให้เจ้านายเขาจัดการสิ มึงจะออกโรงเองทำไม""มึงไม่พูดอะไรหน่อยเหรอไอ้ฮิลล์" ผมหาเหตุผลมายันการกระทำของตัวเองไม่ทันจึงขอความช่วยเหลือจากฮิลล์ที่นั่งจิบวิสกี้อยู่เงียบๆ จะเรียกว่าขอความช่วยเหลือก็ไม่เชิงหรอก มันเป็นการโยนขี้ให้ฮิลล์ช่วยจัดการต่างหาก"ไอ้โคลนมันคงมีเหตุผลของมัน พวกมึงก็ปล่อยมันเถอะ จะคาดคั้นอะไรมันนักหนา" มันถลึงตาใส่ผมก่อนจะช่วยพูด จบเรื่องนี้กูต้องเอาพานดอกไม้ แพธูปเทียนมาไหว้มึงแล้วว่ะฮิลล์"เดี๋ยวนะ แล้วทำไมลูกน้องมึงถึงโดนจับ" สัสเอ๊ย! จะสงสัยอะไรตอนนี้ห๊ะ! ไอ้ฝุ่น!"มึงสอ
'ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต'ผมขับรถมาจนถึงจุดหมายตามที่คุณสารวัตรส่งมา แต่ต้องหยุดเมื่อเห็นป้ายติดหน้าประตูเหล็ก ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วเพิ่งสังเกตว่าที่นี่ไม่มีบ้านคนสักหลัง เขาหลอกผมมายิงทิ้งหรือเปล่าวะ"ผมมาถึงแล้วครับ แต่ประตูมันปิด""รออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวผมไปรับ"ผมโทรหาคุณสารวัตรเมื่อเห็นว่าประตูมันถูกปิดและล็อกด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่อยู่ เมื่ออีกฝ่ายบอกให้รอผมก็รอ ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือจะได้เข้าใกล้เสือได้ยังไง คอยดูเถอะเดี๋ยวจะฝึกให้เชื่องเลยสักพักใหญ่ผมก็เห็นรถโฟร์วิลล์ยกสูงคันใหญ่ขับมาจอดไม่ห่างจากประตูซึ่งถูกปิดไว้ คนตัวสูง ในชุดสบายๆ ด้วยเสื้อยืดสีหม่นแขนสั้น และกางเกงขายาวสีดำ ส่วนของร่างกายที่โผล่พ้นสิ่งปกคลุมเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออันแน่นหนัดน่ามันเขี้ยว ผมเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายมีรอยสักตรงบริเวณลำคอด้วย ทำไมเขาถึงเท่ไม่ปรานีใครขนาดนี้ คุณสารวัตรเปิดประตูรถก่อนกระโดดลงมายืนตระหง่านอยู่บนพื้นคอนกรีตที่ถูกราดยาวทำเป็นถนนทับพื้นดินแข็ง เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงประตูเหล็กบานใหญ่ แสงไฟหน้าจากรถโฟร์วิลล์ยกสูงสาดส่องพาดผ่านเงาร่างสูงใหญ่ของคุณสารวัตร ยิ่งส่งให้อีกฝ่ายดูน่าเกรงขามไม่เบา เท่ไ
นี่มันชักจะเงียบเกินไปแล้วนะ คุณสารวัตรนั่งจ้องผมเงียบๆ แบบนี้มาเกือบครึ่งชั่วโมง จนผมรู้สึกอึดอัดไปหมด ไหนจะปืนที่ติดฝาผนังพวกนี้อีกไม่รู้ว่ามันจะถูกเอามาจ่อหัวผมตอนไหนกันแน่ ผมแอบลอบมองเขาเงียบๆ เช่นกัน ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นเกลี้ยงเกลาดูหล่อเหลาเอาการ เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าท่าทีนิ่งสงบแบบนี้ยิ่งส่งให้เขาดูน่าหลงไหลและน่าค้นหาเสียจริง"ดึกแล้วเดี๋ยวผมไปส่งนะครับ" อยู่ๆ ความเงียบก็ถูกเขาทำลายเสียเอง"หะ ห๊ะ! แค่นี้เองเหรอ?" ไปส่งอะไรก่อน ไม่ได้อยากกลับโว้ย"ครับ แค่นี้" เขายังคงยืนยันในสิ่งที่พูดอย่างหนักแน่น"ไม่มีอะไรตอบแทนหน่อยเหรอ?" ผมเอนตัวโน้มหน้าไปหาอีกฝ่ายที่นั่งตรงข้ามเล็กน้อย"ตอบแทน?" คุณสารวัตรเลิกคิ้วสงสัย"ใช่ครับ ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรีๆ จริงไหมครับ?" ผมเคาะนิ้วชี้ลงบนโต๊ะตรงหน้าด้วยความคาดหวัง"แล้วคุณต้องการอะไรครับ?""คุณลองเสนอมาก่อนสิครับ""เท่าไหร่ครับ?""คนแบบผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงินด้วยสิ""....""^+++^""คุณต้องการอะไรก็พูดมาเลยครับ ผมไม่ชอบ mind game”"ครั้งนี้ผมขอแค่ข้าวมื้อเดียวก็พอครับ แต่ครั้งหน้าผมขอมากกว่านี้นะครับ""มันจะไม่มีครั้งหน้าแน่นอน ผมรับประกัน""อ
ผมนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โต๊ะริมกระจกของร้านอาหารสุดหรู มองดูคุณสารวัตรที่นั่งตรงข้ามด้วยท่าทางเรียบร้อยเป็นระเบียบอย่างกับพวกนายแบบที่ถูกจัดวางองค์ประกอบมาแล้วเป๊ะๆ เขายังคงมีสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม นิ่งขรึมและสุขุมจนน่าหมั่นไส้“คุณไม่ต้องทำหน้าตึงขนาดนั้นก็ได้นะครับ บรรยากาศมันอึดอัด”คุณสารวัตรเหลือบตาขึ้นมามองผมนิดหนึ่ง ก่อนจะกลับไปสนใจเมนูอาหารในมือ ผมถอนหายใจเฮือก นี่เป็นมื้อข้าวที่ผมขอแลกเปลี่ยนไว้เมื่อคืน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้เต็มใจมาเท่าไหร่“ผมไม่ได้ทำหน้าตึง”“หืม? งั้นนี่คือหน้าปกติของคุณเหรอครับ?”“ใช่”“โห หน้าดุขนาดนี้ แล้วตอนมีความสุขหน้าคุณเป็นยังไงเหรอครับ?” ผมแกล้งเท้าคางถาม ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์คนถูกถามเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางเมนูอาหารลงแล้วมองผมนิ่งๆ “คุณอยากเห็นเหรอ?”ผมเลิกคิ้วแปลกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย อะไรกัน อยู่ ๆ ก็โยนคำถามกลับมาซะงั้น?“แน่นอนสิครับ ผมชอบคนที่มีอารมณ์ความรู้สึกนะครับ ยิ่งถ้าคุณยิ้มออกมาได้ ผมจะถือว่าเป็นความสำเร็จของชีวิตเลย”“งั้นคงเป็นไปไม่ได้”“อ้าว?”“เพราะผมไม่ใช่คนที่ยิ้มง่ายขนาดนั้น”ผมหัวเราะเบาๆ “งั้นผมต้องพยายามมากขึ้นแล้วล่ะ”ค
“ว่าไงมึง ได้ข่าวโดนไล่ตะเพิดมาอีกแล้วเหรอ” ฮิลล์ที่รู้เรื่องผมกำลังตามตื๊อคุณสารวัตรถามขึ้นเมื่อมาถึงผับของพวกเรา“หึ ข่าวเร็วนักนะมึง” ไอ้นี่น่ากลัวชะมัด ภายนอกเหมือนจะไม่สนใจ แต่กลับรู้ด้วยว่าผมโดนไล่ออกมาหลังจากที่ไปหาคุณสารวัตรมาเมื่อวาน“นั่งเป็นหมาหงอย ไม่ต้องสืบกูก็พอรู้” ฮิลล์แสยะยิ้มเยาะพลางกระดกเหล้าเข้าปากใครหงอยกัน แค่กำลังมานั่งคิดแผนอยู่ว่าจะเข้าหาคุณสารวัตรยังไงอีกดี“เออ กูสืบมาแล้ว เรื่องยาในคลับเรา”“รู้ตัวแล้วเหรอ”“ยัง เข้าถึงตัวบงการยาก แข็งพอตัว”“ระดับมึงเข้าถึงยาก คงต้องพึ่งไอ้รุยแล้วล่ะ” ไอ้นั่นมันหลบในที่มืดคงต้องใช้สายมืดแบบครอบครัวรุยจัดการ “แล้วมึงรู้อะไรมาบ้าง” ผมถามต่อ“ดูจากคุณภาพไม่ได้มาจากแถวนี้ ของนำเข้าราคาค่อนข้างแรงเลย” ฮิลล์ขมวดคิ้วเคร่งพลางพูดต่อ” พวกเรากำลังเจอกับของแข็งปั๊ก”“กูก็อยากรู้แข็งขนาดไหน แมร่งถึงกล้ามาเหยียบจมูกพวกเรา”“สงสัยมันคงไม่อยากอยู่ประเทศนี้แล้วมั้ง” รุยที่เพิ่งมาถึงสำทับเพิ่ม“ไอ้ไต้ฝุ่นล่ะ” ผมถามหาไอ้คนในกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ที่นี่กับรุยรุยไหวไหล่เล็กน้อยพลางตอบ” ไม่รู้ กูก็ยังไม่เห็นมันเลย”“สงสัยมันคงไปหาเมียมั้ง” ฮิลล์
....ในรถ.....บรรยากาศในรถค่อนข้างเงียบ สารวัตรเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ผมเลยถือโอกาสแหย่เขาเล่นอีกสักหน่อย เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันตึงเครียดเกินไป“จริงๆ คุณไม่ต้องฝืนก็ได้นะครับ”“ฝืนอะไร?”“ก็… ฝืนทำเป็นไม่สนใจผมไง”เขาหันมามองหน้าผมอย่างเอือมๆ “คุณนี่มัน… คิดไปเองเก่งจริงๆ”“หืม? หรือจะบอกว่าไม่ได้สนใจผมเลย?”“ใช่”“โอ้โห ตอบทันทีไม่มีลังเลเลยนะครับ” ผมหัวเราะเบาๆ “แต่แปลกนะครับ ถ้าคุณไม่ได้สนใจผมจริงๆ คุณคงไม่เสียเวลากับผมแบบนี้หรอก”สารวัตรเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “ผมแค่ทำตามหน้าที่”“แน่ใจเหรอครับ?” ผมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาขมวดคิ้ว หันมามองผมด้วยสายตาดุๆ “ผมขับรถอยู่”“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้” ผมหัวเราะ ก่อนปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งใจขับรถต่อไป กวนแค่นี้ก็พอ มากกว่านี้เดี๋ยวเขาจะรำคาญเอาได้- คลับ M -เมื่อมาถึง ผมพาเขาเดินเข้าไปยังโซนห้องทำงานด้านหลัง ซึ่งเป็นจุดที่พวกผมใช้ประชุมกันเรื่องปัญหาภายในคลับฮิลล์กับรุยกำลังนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นผมพาคุณสารวัตรเข้ามา ฮิลล์ก็แสยะยิ้มทันที“โห ไม่อยากจะเชื่อว่ามึงพาตัวเขามาได้จริงๆ”“บอกแล้วไงว่ากูเก่ง” ผมยักคิ้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมนอนเหม่ออยู่อย่างนั้น แต่แล้วเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นติ๊ง!ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากริว: “ว่างไหม?”หัวใจผมกระตุกวูบแปลก ๆ ก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไปฝุ่น: “มีอะไร?”รออยู่ครู่หนึ่ง ข้อความถัดไปก็เด้งขึ้นมาริว: “มาหาหน่อย”ผมนิ่วหน้า อะไรของเขาวะ?ฝุ่น: “นายอยู่บ้าน?”ริว: “หน้าห้องนาย”หน้าห้อง?!ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที กวาดตามองนาฬิกา…จะเที่ยงคืนแล้วหมอนี่มันคิดอะไรอยู่ถึงมาโผล่แถวนี้เวลานี้วะ?ผมหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกไปตามที่เขาบอกผมเปิดประตูออกไปก็เจอเขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนทุกครั้ง แต่มีบางอย่างในแววตาที่ดูไม่เหมือนเดิม“มาทำไม?” ผมถามพลางกอดอก“คุยกันหน่อย”“เรื่องอะไร?”“เรื่องของเรา”คำว่า ‘เรา’ ทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย“ไม่มีอะไรให้คุย” ผมบอกเสียงเรียบ “ฉันพูดไปหมดแล้ว”ริวไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขาแค่ยกบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้แล้วจุดไฟ สูดมันเข้าปอดก่อนจะพ่นควันออกมาช้า ๆ“…ฉันไม่ชอบความไม่แน่นอน” เขาพูดขึ้นในที่สุด“หืม?”“ฉันไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ” เขาเอียงหน้ามองผม “แล้วฉัน
ผมกอดอกมองสองพี่น้องเถียงกันอย่างไม่รู้จะทำยังไง เรื่องระหว่างผมกับริวมันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้รุยเข้าใจได้"กูสองคนแค่จูบกันไอ้รุย ยังไม่ได้เอากัน"พวกยากูซ่านี่เชื่อถือไม่ได้จริงๆ ไม่ได้เอาพ่อง!"ถ้าจูบกันแล้วก็ต้องเป็นแฟนกันสิ จะมาแอบกินกันเฉยๆ เหมือนไอ้ฮิลล์ไม่ได้นะ" รุยเถียงต่อ"เราแค่จูบกันรุย นายอย่างี่เง่า" น้ำเสียงของไอ้ยากูซ่าขี้เก๊กเริ่มระอา"นายอย่ามาโมโหกลบเกลื่อน" รุยยังคงไม่ยอม"วุ้ยย! มึงจะอะไรนักหนากะอีแค่จูบ ใครๆ เขาก็จูบกันได้ตอนเมา" ผมพูดแทรกขึ้นมา ถ้าผมไม่มีปัญหาทุกอย่างก็น่าจะจบสินะ"พ่องมึงดิ จะมีกี่คนที่จูบพี่ของเพื่อนตอนเมา"มากกว่าจูบกูก็ทำกันมาล่ะ"เออ…มันก็แค่อุบัติเหตุ ใช่ไหม?" ประโยคหลังผมหันไปหาริว เพื่อขอกำลังสนับสนุน"อือ…" ริวพยักหน้า“กูไม่ใช่เด็กแล้วนะริว!"ปั่ก!"ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ..." ริวตบหัวรุย"อู้ยยส์...เจ็บนะ พะ..พี่" ไอ้รุยเริ่มกลัวเมื่อเห็นสายตาของพี่ชายตัวเองริวถอนหายใจก่อนล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เขาพ่นควันออกจากปากก่อนพูดประโยคที่สิ้นคิดที่สุดออกมา"คบก็คบสิ""ชะ...ช่ายย ห๊ะ!! เดี๋ยวๆ คบอะไร ใครคบกัน" ผมถามด้วยความตกใจ"
…ไซโคลน Talk…ผมยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องพักในโรงแรม มองแสงไฟของโตเกียวที่ส่องสว่างอยู่เบื้องล่าง แต่ความคิดของผมกลับไม่ได้อยู่ที่ทิวทัศน์เหล่านั้นเลยโทรศัพท์ในมือสั่นอีกครั้ง แจ้งเตือนข้อความจากไต้ฝุ่น“มาถึงแล้ว”ผมกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วโป้งแตะไปบนหน้าจอโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบชักมือกลับราวกับของร้อนสารวัตร… มาถึงญี่ปุ่นแล้วจริง ๆผมถอนหายใจแรง กดโทรศัพท์ปิดเสียงก่อนจะโยนมันลงบนโต๊ะ ผมเงยหน้ามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นภาพสะท้อนของชายหนุ่มที่พยายามทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นผมคิดว่า… ถ้าออกมาห่างไกลขนาดนี้แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นผมคิดว่า… ถ้าหายไปจากสายตาเขาแล้ว อีกฝ่ายก็คงไม่รู้สึกอะไรแต่เปล่าเลย…สารวัตรตามมาถึงที่นี่และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่ได้แน่ใจว่าตัวเองอยากให้เขาหาเจอหรือไม่…สไนเปอร์ Talk…ผมยืนอยู่หน้าโรงแรมหรูใจกลางโตเกียว มองขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นห้องพักของไซโคลนไต้ฝุ่นเป็นคนบอกผมว่าไซโคลนอยู่ที่นี่ และถึงแม้เขาจะไม่ได้บอกเลขห้องตรง ๆ แต่แค่มีข้อมูลนี้ก็มากพอแล้วผมกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆถ้าผมขึ้นไป
…สไนเปอร์ Talk…ผมมองจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แต่มันกลับเบลอไปหมดคดียังคงเดินหน้า งานทุกอย่างยังคงต้องทำเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างในใจที่คอยฉุดรั้งให้ผมไม่มีสมาธิไซโคลนไม่อยู่แล้วจริง ๆเขาหายไปจากชีวิตผมแบบสมบูรณ์แบบ… ไม่มีร่องรอย ไม่มีการติดต่อกลับ ไม่มีแม้แต่เงาของเขาให้เห็นผมถอนหายใจ กวาดสายตามองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวจะโทรไปดีไหม?นิ้วผมเลื่อนไปที่ชื่อของเขา ก่อนจะชะงัก… และกดปิดหน้าจอไปถ้าเขาอยากให้ผมตามหา… เขาคงจะทิ้งอะไรไว้ให้ผมบ้างแต่เขาเลือกที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ แปลว่าเขาคงต้องการแบบนั้นจริง ๆ“เฮ้อ…” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน“เข้ามา”จ่าแชมป์โผล่หน้าเข้ามา “สารวัตร ผมมีข่าวบางอย่าง”ผมเลิกคิ้ว “ข่าวอะไร?”“คนของเราสืบมาให้แล้วครับ…” จ่าแชมป์ส่งแฟ้มเอกสารให้ผม “คุณไซโคลนอยู่ที่ญี่ปุ่นจริง ๆ และดูเหมือนเขาจะตั้งใจอยู่ที่นั่นอีกนาน”ผมนิ่งไป ก่อนจะเปิดแฟ้มออกดู รายละเอียดที่ระบุอยู่ตรงหน้ามันชัดเจนจนผมปฏิเสธไม่ได้และมีรูปที่ไซโคลนไปไหนมาไหนกับริวอย่างสนิทสนม…ใจผมคล้ายๆ มีอะไรหนักๆ กดทับไว้จนเจ็บผม… กำลังจะเสียเขาไปแล้วจริง ๆ
…ไซโคลน Talk…ผมไม่ได้หลบหน้าเล่น ๆ แต่ผมเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมไม่ได้ติดต่อกลับไปหาสารวัตรอีกเลย ไม่มีการส่งกาแฟ ไม่มีการไปหา ไม่มีแม้แต่ข้อความทิ้งไว้เหมือนทุกทีผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อรั้นและไม่เคยยอมแพ้ แต่ครั้งนี้… บางทีผมอาจต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือจริง ๆตอนแรกมันก็ยากอยู่หรอก กว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึง ไม่ให้เผลอกดโทรหาหรือส่งข้อความไป ผมต้องข่มใจตัวเองอยู่หลายครั้ง ต้องดื่มให้หนักขึ้น ต้องเอางานมากลบความคิด แต่สุดท้ายแล้ว… มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักทุกคืนก่อนนอน ผมยังคงเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หวังว่าบางทีสารวัตรอาจจะเป็นฝ่ายส่งข้อความมาก่อน หรืออย่างน้อยอาจจะมีมิสคอลสักสายแต่ไม่มีเลย…เหมือนเขาหายไปจากชีวิตของผมโดยสมบูรณ์ผมเอนตัวพิงกระจกห้องพักโรงแรมในโตเกียว มองแสงไฟของเมืองที่ยังคงสว่างไสว ทว่าความเงียบในห้องมันกลับกดดันผมยิ่งกว่าความวุ่นวายข้างนอกผมคิดถึงสารวัตร…คิดถึงคนที่เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยเวลาถูกแหย่ คิดถึงคนที่บ่นว่าผมกวนประสาทแต่ก็ยังยอมให้มากวนอยู่ทุกวันผมไม่ได้อยากหนีมาไกลขนาดนี้หรอก แต่ผมรู้ว่า ถ้ายังอยู่ที่เดิม ผมคงไม่มีวันอดใจไม่ไหวแล้วกระโจนไปหาเขาอีกตาม
…สไนเปอร์ Talk…ไซโคลนไม่ได้พูดเล่น เขาเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้รับข้อความหรือสายโทรศัพท์จากไซโคลนอีกเลย ไม่มีการแวะมาหา ไม่มีใครส่งกาแฟมาให้ที่โรงพักตอนเช้า และแน่นอน… ไม่มีใครมารอผมเลิกงานอีกเลยผมคิดว่าตัวเองควรจะโล่งใจ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเหรอ? ผมอยากให้ไซโคลนออกไปจากชีวิต อยากให้ไซโคลนอยู่ห่างจากปัญหาทั้งหมด เขาอยากปกป้องไซโคลนจากความวุ่นวายนี้…แต่ทำไมมันถึงรู้สึกไม่ใช่แบบนั้นวะ?ในช่วงแรกผมพยายามไม่คิดอะไรมาก มันก็ดีแล้วที่เขาได้ไปใช้ชีวิตปกติของตัวเอง ไม่ต้องมาลำบากกับผมแต่พอผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไซโคลนก็ยังไม่ติดต่อมา“หมอนั่นคงจะลืมฉันไปแล้วจริง ๆ” ผมพึมพำช่วงเวลาที่ไม่มีไซโคลนอยู่รอบตัว ทำให้รู้ว่า… ชีวิตของผมขาดอะไรบางอย่างไปจริง ๆไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าที่ปกติจะมีกาแฟจากร้านประจำส่งมาให้พร้อมโน้ตแซว ๆ จากไซโคลน หรือแม้แต่ช่วงเย็นที่ผมมักจะเจอเขามานั่งรออยู่ในห้อง พอไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว วันเวลาของผมกลับดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาดผมทำงานเหมือนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม ออกไปสืบคดีเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันผิดแปลกไปหมด“สารวัตร… คุณโอเคหรือเปล่า?”เส
…ด้านไซโคลน….ผมเดินออกจากห้องทำงานของสารวัตรด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในใจ ทุกอย่างมันชัดเจนในหัวของผม แต่ในขณะเดียวกันมันก็สับสนจนแทบจะทำให้ผมหายใจไม่ออก ทุกๆ อย่างที่ทำไปมันยังไม่ดีพออย่างนั้นเหรอ“ผมเหนื่อย…มาก…” เสียงของผมดังในหัวผมเหนื่อยกับการวิ่งตามเขาแล้ว…เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนไร้ค่าที่วันๆ เอาแต่วิ่งตามเขา ผมมักจะเป็นคนแรกที่เขาเลือกจะตัดทิ้งง่ายๆ นั่นมันก็แสดงชัดเจนแล้วว่าผมควรหยุดได้แล้ว…ผมเดินไปที่ลิฟต์โดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองห้องทำงานนั้น ผมไม่ต้องการให้ใครเห็นความเจ็บปวดในแววตาของผมในตอนนี้ ความรู้สึกที่คล้ายกับการถูกทอดทิ้ง มันร้อนรุ่มอยู่ในอก ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งตามอะไรบางอย่างที่ไม่มีทางจะถึงผมกดปุ่มลิฟต์และยืนรอจนประตูเปิดออก ความรู้สึกข้างในมันเหมือนมีบางอย่างที่กำลังแหลกสลายไปกับทุกก้าวที่เดิน ใจผมมันโหวงและว่างเปล่าบอกไม่ถูกเมื่อถึงชั้นล่างผมเดินออกจากอาคารโดยไม่คิดจะหยุดกลับไปมอง หัวใจของผมมันบีบคั้นจนรู้สึกว่าหายใจไม่ออก ผมหยุดตรงมุมถนนและมองไปที่ท้องฟ้า เหมือนกับกำลังมองหาคำตอบจากสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ สิ่งที่ทำล
คดีของพ่อผมถูกปิดลงอย่างเงียบๆ ไม่ว่าผลของมันจะเป็นเช่นไร เราทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง เขามีใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของเขา พ่อผมอาจจะไม่ได้ซัดทอดใครออกมา แต่มันก็ไม่สามารถปิดบังความจริงบางอย่างได้ พวกเรายังเอื้อไปไม่ถึงตัวการใหญ่นั้นพี่ชายของผมทุกคนก็เข้าใจดีถึงสิ่งที่พ่อทำ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงพยายามช่วยเหลือพ่อในทุกทางที่ทำได้ ไม่มีใครโกรธผมที่ต้องทำหน้าที่จับพ่อ แม้ความรู้สึกจะหนักหน่วงแค่ไหน พวกเขาก็ยอมรับมันได้พวกเขาเห็นสิ่งที่พ่อเคยสอนและปลูกฝังในตัวผมมาตลอดชีวิต….แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น ข่าวของพ่อที่เคยเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมก็ถูกกลบไปอย่างเงียบๆ ทุกอย่างถูกเบี่ยงเบนความสนใจด้วยข่าวใหม่ ที่มันเหมือนจะกระทบกับทุกคนรอบตัว ข่าวนั้นเป็นเรื่องของการชิงตัวนักโทษระหว่างที่กำลังจะถูกนำไปฝากขังสองคน และเหมือนจะเป็นการกระทำของแก๊งต่างชาติที่มีอิทธิพลข่าวนี้มันกลบข่าวของพ่อไปจนเกือบจะไม่มีใครพูดถึงอีกเลย ตำรวจถูกเหยียบย่ำอีกครั้ง หลังจากการสืบสวนคดีของพ่อผมคดีที่มันทำให้พวกเราเปิดเผยถึงบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครรู้… แต่ตอนนี้…ทุ
….สไนเปอร์ Talk….ผมพยายามเจรจากับผู้บังคับบัญชาจนตัวเองยังสามารถอยู่ในคดีนี้ต่อได้ และตอนนี้พวกเราก็กำลังรอให้คนพาพ่อมาสอบสวนสักพักเจ้าหน้าที่สองนายก็พาตัวพ่อซึ่งถูกสวมกุญแจมือ เข้ามายังห้องสอบสวน เขายังคงใส่ชุดของเมื่อคืนอยู่แววตาของเขาดูล้าเล็กน้อย…“พ..พ่อ…” มันยากมากที่เสียงจะหลุดออกจากลำคอของผมตั้งแต่เกิดผมไม่เคยเห็นเขาโทรมแบบนี้มาก่อน แม้เขาจะอายุเยอะแล้ว แต่ก็ยังดูกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอแล้วดูสิ….วันนี้เขากลับอยู่ในสภาพแบบนี้ คนเป็นลูกแบบผมควรทำอย่างไรระหว่างความถูกต้องกับความถูกใจ ผมควรเลือกสิ่งไหน…พ่อมองผมนิ่งๆ แล้วพูดช้าๆ“ฉันเห็นแกแล้วเหมือนเห็นตัวเองในอดีตเลย”ประโยคสุดท้ายที่เขาพูด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นจากข้างในบุคลิก ความคิด นิสัย ผมล้วนสืบทอดมาจากเขาทั้งนั้น…พ่อมองผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง เท้าแขนลงบนพนักเก้าอี้ที่ดูจะเล็กไปสำหรับเขา“แกจะไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ?” เขาเอ่ยเมื่อเห็นเงียบผมเม้มปากแน่น สายตาจับจ้องไปที่กุญแจมือที่ล่ามเขาไว้“…ทำไม?” ผมถามเสียงแผ่ว “ทำไมพ่อต้องทำเรื่องพวกนี้?”พ่อหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง ดวงตาคม