ในที่สุดผมก็พาคนของฮิลล์กลับมาคืนมันจนได้ โดยแลกกับการมอบไอ้เล็กลูกน้องไอ้ตี๋ให้คุณสารวัตรไป ลูกน้องของไอ้ตี๋คนนี้ พี่ริวเป็นคนส่งตัวมาให้ ผมว่าเขาคงอยากช่วยน้องชายของตัวเองถึงได้ตามตัวไอ้เล็กจนเจอแล้วส่งมาให้พวกผมจัดการ
"กูขอโทษ กูจำเป็นต้องส่งตัวไอ้เล็กให้เขาจริงๆ" ตอนนี้ผมเลยต้องมานั่งอธิบายให้ไต้ฝุ่นฟัง
"กูไม่เข้าใจ กูบอกแล้วไง เรื่องนี้เราจะหาตัวคนบงการกันเอง ทำไมมึงต้องเอาไอ้เล็กให้มันไปอีก" ไต้ฝุ่นไม่พอใจที่ผมมอบตัวไอ้เล็กให้คุณสารวัตร
"ก็คนของไอ้ฮิลล์โดนจับไว้ มึงจะให้กูอยู่เฉยๆ เหรอ"
"มึงก็ให้เจ้านายเขาจัดการสิ มึงจะออกโรงเองทำไม"
"มึงไม่พูดอะไรหน่อยเหรอไอ้ฮิลล์" ผมหาเหตุผลมายันการกระทำของตัวเองไม่ทันจึงขอความช่วยเหลือจากฮิลล์ที่นั่งจิบวิสกี้อยู่เงียบๆ จะเรียกว่าขอความช่วยเหลือก็ไม่เชิงหรอก มันเป็นการโยนขี้ให้ฮิลล์ช่วยจัดการต่างหาก
"ไอ้โคลนมันคงมีเหตุผลของมัน พวกมึงก็ปล่อยมันเถอะ จะคาดคั้นอะไรมันนักหนา" มันถลึงตาใส่ผมก่อนจะช่วยพูด จบเรื่องนี้กูต้องเอาพานดอกไม้ แพธูปเทียนมาไหว้มึงแล้วว่ะฮิลล์
"เดี๋ยวนะ แล้วทำไมลูกน้องมึงถึงโดนจับ" สัสเอ๊ย! จะสงสัยอะไรตอนนี้ห๊ะ! ไอ้ฝุ่น!
"มึงสองคนมีเรื่องปิดพวกกูอยู่ใช่ไหม" พอไต้ฝุ่นจุดประเด็น รุยก็ไม่ปล่อยเรื่องให้ผ่านไปง่ายๆ ผมนี่ขนหัวลุกเกรียวทันที
"เปล๊า!" ผมปฏิเสธทันควัน
"..." ส่วนฮิลล์นั่งเงียบมองเหตุการณ์เงียบๆ ใช่สิ! ไม่ใช่เรื่องของมึงนี่
"ใช่แน่นอน!" ไต้ฝุ่นดีดนิ้วดังเปาะ ก่อนหันไปพยักหน้าให้รุย มึงสองคนจะเข้าขากันมากเกินไปแล้ว
"มึงคิดมาก" ผมยังคงเฉไฉ ฟู่วว~ ทำไมวันนี้อากาศมันร้อนๆ จังวะ เหงื่อผมเริ่มแตกพลั่ก
"พูดมา! จะพูดเองหรือจะให้กูง้างปาก" รุยลุกขึ้นมานั่งข้างผม มันเอื้อมมือมากอดไหล่ผมพร้อมทั้งออกแรงตบไหล่แรงๆ
"ไม่มีจริงๆ" ผมยังคงยืนกรานกระต่ายขาเดียว ปู่เคยสอนถ้าไม่หลักฐานมัดตัวห้ามยอมรับอะไรทั้งนั้น ปู่ต้องภูมิใจที่ผมเชื่อฟังคำสอนของปู่ขนาดนี้
"มึงไปทำงานได้แล้ว เด็กมาตามแล้ว" ผมบอกไอ้รุยที่ยังคงจ้องผมไม้วางตา จะจ้องกูให้ท้องเลยหรือไง
"เออ! มึงรอกูอยู่นี่อย่าเพิ่งหนีไปไหน เดี๋ยวกูกลับมา" มันชี้นิ้วคาดโทษผมก่อนเดินตามเด็กที่มาตามมันไป เนื่องจากถึงเวลาที่ต้องเปิดแผ่นแล้ว
ใครจะอยู่รอให้โง่ พอรุยไปผมก็รีบปลีกตัวหนีออกมา ถึงแม้จะมีอุปสรรคเป็นไต้ฝุ่นที่คอยขัดขวางผมให้รุย ถามจริงเหอะมึงกับกูเป็นญาติกัน ไม่คิดจะช่วยกูเลยหรือไง ไอ้พี่ชายที่แสนชั่ว! เห็นขี้ดีกว่าไส้ชัดๆ แต่มันก็ไม่เกินความสามารถของผมหรอก ผมไม่อยากอยู่ต่อจนรุยมันพักนี่ ถ้าอยู่ต่อมีหวังโดนไอ้รุยง้างปากจริงๆ จนได้ ง้างปากที่หมายถึงมันใช้มือง้างปากผมจริงๆ นะ ไม่ได้เป็นการกล่าวเปรียบเทียบแต่อย่างใด ผมสู้แรงมันไม่ไหวหรอก เรื่องใช้กำลังผมไม่ถนัดเท่าไหร่ แต่ถ้าเรื่องใช้สมองผมสู้ตาย
ผมขับรถสปอร์ตของตัวเองออกมาไม่นานนักก็มีสายโทรเข้ามา พอเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอผมรีบกดรับสายทันทีโดยไม่ต้องคิด
"สวัสดีครับคุณสารวัตร"
"ถ้าคุณยังไม่หยุดส่งคนตามผม อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะครับ"
"ส่งอะไรครับ? ผมไม่ได้ส่งใครไปนะครับ"
"หึ! ผมขอเตือน อย่าใช้วิธีนี้ ผมไม่ชอบ!"
"เดี๋ยวนะครับ คุณช่วยอธิบายก่อนได้ไหม ผมไม่เข้าใจ"
"อย่าทำไขสือ คนแบบคุณต้องมีหลักฐานจนดิ้นไม่หลุด ถึงจะยอมรับใช่ไหม"
"ผมยังไม่ได้ส่งใครไปตามคุณเลยนะครับ"
"ส่งหรือไม่คุณรู้อยู่แก่ใจ แต่ถ้าเป็นคุณผมขอเตือนให้หยุดการกระทำทุกอย่างซะ!"
"คุณอยู่ไหน เดี๋ยวผมไปหา คุยกันต่อหน้าดีกว่าคุยกันผ่านโทรศัพท์"
"...."
"ส่งโลเคชั่นมาครับ หรือจะให้ผมตามเองก็ไม่ใช่เรื่องยากครับ"
ติ๊ด~
ปลายสายตัดสายไปหลังจากผมพูดจบ เพียงไม่นานโลเคชั่นที่เจ้าตัวอยู่ก็ถูกส่งมาให้ผม ผมหักพวงมาลัยไปเปลี่ยนจุดหมายไปยังสถานที่นั้นทันที หัวคิ้วผมขมวดมุ่นจากการใช้ความคิดระหว่างทางไปหาคุณสารวัตร จากการคาดเดาที่อีกฝ่ายไม่พอใจคงเป็นเพราะมีคนสะกดรอยตามสืบเขาแน่นอน แต่ผมไม่ได้ส่งใครไปตามคุณสารวัตรเลยนี่นา ฮิลล์เองก็คงไม่ส่งใครตามแน่ถ้าผมไม่ได้ขอ หรือจะเป็นรุยกับไต้ฝุ่น แต่มันสองคนจะตามสารวัตรทำไมกัน
'ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต'ผมขับรถมาจนถึงจุดหมายตามที่คุณสารวัตรส่งมา แต่ต้องหยุดเมื่อเห็นป้ายติดหน้าประตูเหล็ก ผมกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วเพิ่งสังเกตว่าที่นี่ไม่มีบ้านคนสักหลัง เขาหลอกผมมายิงทิ้งหรือเปล่าวะ"ผมมาถึงแล้วครับ แต่ประตูมันปิด""รออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวผมไปรับ"ผมโทรหาคุณสารวัตรเมื่อเห็นว่าประตูมันถูกปิดและล็อกด้วยแม่กุญแจขนาดใหญ่อยู่ เมื่ออีกฝ่ายบอกให้รอผมก็รอ ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือจะได้เข้าใกล้เสือได้ยังไง คอยดูเถอะเดี๋ยวจะฝึกให้เชื่องเลยสักพักใหญ่ผมก็เห็นรถโฟร์วิลล์ยกสูงคันใหญ่ขับมาจอดไม่ห่างจากประตูซึ่งถูกปิดไว้ คนตัวสูง ในชุดสบายๆ ด้วยเสื้อยืดสีหม่นแขนสั้น และกางเกงขายาวสีดำ ส่วนของร่างกายที่โผล่พ้นสิ่งปกคลุมเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้ออันแน่นหนัดน่ามันเขี้ยว ผมเพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายมีรอยสักตรงบริเวณลำคอด้วย ทำไมเขาถึงเท่ไม่ปรานีใครขนาดนี้ คุณสารวัตรเปิดประตูรถก่อนกระโดดลงมายืนตระหง่านอยู่บนพื้นคอนกรีตที่ถูกราดยาวทำเป็นถนนทับพื้นดินแข็ง เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงประตูเหล็กบานใหญ่ แสงไฟหน้าจากรถโฟร์วิลล์ยกสูงสาดส่องพาดผ่านเงาร่างสูงใหญ่ของคุณสารวัตร ยิ่งส่งให้อีกฝ่ายดูน่าเกรงขามไม่เบา เท่ไ
นี่มันชักจะเงียบเกินไปแล้วนะ คุณสารวัตรนั่งจ้องผมเงียบๆ แบบนี้มาเกือบครึ่งชั่วโมง จนผมรู้สึกอึดอัดไปหมด ไหนจะปืนที่ติดฝาผนังพวกนี้อีกไม่รู้ว่ามันจะถูกเอามาจ่อหัวผมตอนไหนกันแน่ ผมแอบลอบมองเขาเงียบๆ เช่นกัน ใบหน้าเคร่งขรึมนั้นเกลี้ยงเกลาดูหล่อเหลาเอาการ เจ้าตัวจะรู้ไหมว่าท่าทีนิ่งสงบแบบนี้ยิ่งส่งให้เขาดูน่าหลงไหลและน่าค้นหาเสียจริง"ดึกแล้วเดี๋ยวผมไปส่งนะครับ" อยู่ๆ ความเงียบก็ถูกเขาทำลายเสียเอง"หะ ห๊ะ! แค่นี้เองเหรอ?" ไปส่งอะไรก่อน ไม่ได้อยากกลับโว้ย"ครับ แค่นี้" เขายังคงยืนยันในสิ่งที่พูดอย่างหนักแน่น"ไม่มีอะไรตอบแทนหน่อยเหรอ?" ผมเอนตัวโน้มหน้าไปหาอีกฝ่ายที่นั่งตรงข้ามเล็กน้อย"ตอบแทน?" คุณสารวัตรเลิกคิ้วสงสัย"ใช่ครับ ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรีๆ จริงไหมครับ?" ผมเคาะนิ้วชี้ลงบนโต๊ะตรงหน้าด้วยความคาดหวัง"แล้วคุณต้องการอะไรครับ?""คุณลองเสนอมาก่อนสิครับ""เท่าไหร่ครับ?""คนแบบผมไม่เดือดร้อนเรื่องเงินด้วยสิ""....""^+++^""คุณต้องการอะไรก็พูดมาเลยครับ ผมไม่ชอบ mind game”"ครั้งนี้ผมขอแค่ข้าวมื้อเดียวก็พอครับ แต่ครั้งหน้าผมขอมากกว่านี้นะครับ""มันจะไม่มีครั้งหน้าแน่นอน ผมรับประกัน""อ
ผมนั่งไขว่ห้างอยู่ที่โต๊ะริมกระจกของร้านอาหารสุดหรู มองดูคุณสารวัตรที่นั่งตรงข้ามด้วยท่าทางเรียบร้อยเป็นระเบียบอย่างกับพวกนายแบบที่ถูกจัดวางองค์ประกอบมาแล้วเป๊ะๆ เขายังคงมีสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม นิ่งขรึมและสุขุมจนน่าหมั่นไส้“คุณไม่ต้องทำหน้าตึงขนาดนั้นก็ได้นะครับ บรรยากาศมันอึดอัด”คุณสารวัตรเหลือบตาขึ้นมามองผมนิดหนึ่ง ก่อนจะกลับไปสนใจเมนูอาหารในมือ ผมถอนหายใจเฮือก นี่เป็นมื้อข้าวที่ผมขอแลกเปลี่ยนไว้เมื่อคืน แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้เต็มใจมาเท่าไหร่“ผมไม่ได้ทำหน้าตึง”“หืม? งั้นนี่คือหน้าปกติของคุณเหรอครับ?”“ใช่”“โห หน้าดุขนาดนี้ แล้วตอนมีความสุขหน้าคุณเป็นยังไงเหรอครับ?” ผมแกล้งเท้าคางถาม ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์คนถูกถามเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะวางเมนูอาหารลงแล้วมองผมนิ่งๆ “คุณอยากเห็นเหรอ?”ผมเลิกคิ้วแปลกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย อะไรกัน อยู่ ๆ ก็โยนคำถามกลับมาซะงั้น?“แน่นอนสิครับ ผมชอบคนที่มีอารมณ์ความรู้สึกนะครับ ยิ่งถ้าคุณยิ้มออกมาได้ ผมจะถือว่าเป็นความสำเร็จของชีวิตเลย”“งั้นคงเป็นไปไม่ได้”“อ้าว?”“เพราะผมไม่ใช่คนที่ยิ้มง่ายขนาดนั้น”ผมหัวเราะเบาๆ “งั้นผมต้องพยายามมากขึ้นแล้วล่ะ”ค
“ว่าไงมึง ได้ข่าวโดนไล่ตะเพิดมาอีกแล้วเหรอ” ฮิลล์ที่รู้เรื่องผมกำลังตามตื๊อคุณสารวัตรถามขึ้นเมื่อมาถึงผับของพวกเรา“หึ ข่าวเร็วนักนะมึง” ไอ้นี่น่ากลัวชะมัด ภายนอกเหมือนจะไม่สนใจ แต่กลับรู้ด้วยว่าผมโดนไล่ออกมาหลังจากที่ไปหาคุณสารวัตรมาเมื่อวาน“นั่งเป็นหมาหงอย ไม่ต้องสืบกูก็พอรู้” ฮิลล์แสยะยิ้มเยาะพลางกระดกเหล้าเข้าปากใครหงอยกัน แค่กำลังมานั่งคิดแผนอยู่ว่าจะเข้าหาคุณสารวัตรยังไงอีกดี“เออ กูสืบมาแล้ว เรื่องยาในคลับเรา”“รู้ตัวแล้วเหรอ”“ยัง เข้าถึงตัวบงการยาก แข็งพอตัว”“ระดับมึงเข้าถึงยาก คงต้องพึ่งไอ้รุยแล้วล่ะ” ไอ้นั่นมันหลบในที่มืดคงต้องใช้สายมืดแบบครอบครัวรุยจัดการ “แล้วมึงรู้อะไรมาบ้าง” ผมถามต่อ“ดูจากคุณภาพไม่ได้มาจากแถวนี้ ของนำเข้าราคาค่อนข้างแรงเลย” ฮิลล์ขมวดคิ้วเคร่งพลางพูดต่อ” พวกเรากำลังเจอกับของแข็งปั๊ก”“กูก็อยากรู้แข็งขนาดไหน แมร่งถึงกล้ามาเหยียบจมูกพวกเรา”“สงสัยมันคงไม่อยากอยู่ประเทศนี้แล้วมั้ง” รุยที่เพิ่งมาถึงสำทับเพิ่ม“ไอ้ไต้ฝุ่นล่ะ” ผมถามหาไอ้คนในกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ที่นี่กับรุยรุยไหวไหล่เล็กน้อยพลางตอบ” ไม่รู้ กูก็ยังไม่เห็นมันเลย”“สงสัยมันคงไปหาเมียมั้ง” ฮิลล์
....ในรถ.....บรรยากาศในรถค่อนข้างเงียบ สารวัตรเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ผมเลยถือโอกาสแหย่เขาเล่นอีกสักหน่อย เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันตึงเครียดเกินไป“จริงๆ คุณไม่ต้องฝืนก็ได้นะครับ”“ฝืนอะไร?”“ก็… ฝืนทำเป็นไม่สนใจผมไง”เขาหันมามองหน้าผมอย่างเอือมๆ “คุณนี่มัน… คิดไปเองเก่งจริงๆ”“หืม? หรือจะบอกว่าไม่ได้สนใจผมเลย?”“ใช่”“โอ้โห ตอบทันทีไม่มีลังเลเลยนะครับ” ผมหัวเราะเบาๆ “แต่แปลกนะครับ ถ้าคุณไม่ได้สนใจผมจริงๆ คุณคงไม่เสียเวลากับผมแบบนี้หรอก”สารวัตรเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ “ผมแค่ทำตามหน้าที่”“แน่ใจเหรอครับ?” ผมแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาขมวดคิ้ว หันมามองผมด้วยสายตาดุๆ “ผมขับรถอยู่”“โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้” ผมหัวเราะ ก่อนปล่อยให้อีกฝ่ายตั้งใจขับรถต่อไป กวนแค่นี้ก็พอ มากกว่านี้เดี๋ยวเขาจะรำคาญเอาได้- คลับ M -เมื่อมาถึง ผมพาเขาเดินเข้าไปยังโซนห้องทำงานด้านหลัง ซึ่งเป็นจุดที่พวกผมใช้ประชุมกันเรื่องปัญหาภายในคลับฮิลล์กับรุยกำลังนั่งรออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นผมพาคุณสารวัตรเข้ามา ฮิลล์ก็แสยะยิ้มทันที“โห ไม่อยากจะเชื่อว่ามึงพาตัวเขามาได้จริงๆ”“บอกแล้วไงว่ากูเก่ง” ผมยักคิ้ว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่
สถานีตำรวจ – 3 วันหลังจากนั้น- สไนเปอร์ Talk -ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ปรายตามองเอกสารตรงหน้าพลางถอนหายใจเล็กน้อย รู้สึกแปลกๆ เหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง…เงียบเกินไป…สงบเกินไป…ปกติมันไม่ควรเป็นแบบนี้ผมขมวดคิ้ว กวาดสายตามองไปรอบๆ สถานี ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ งานยังคงถาโถมเข้ามาเหมือนเดิม ลูกน้องยังเดินไปมา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นระยะแต่… มันเงียบเกินไปจริงๆผมวางปากกาลง พยายามทบทวนความรู้สึกของตัวเอง…ช่วงนี้มีอะไรเปลี่ยนไป?“สารวัตรครับ” หมวดแชมป์ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มเอกสาร ผมหยิบมันขึ้นมาเปิดดู ข้อมูลเกี่ยวกับคดีที่กำลังสืบอยู่ ถูกส่งมาเพิ่มเติมยาเสพติดที่ระบาดในคลับของเขา มีเส้นทางลำเลียงที่เริ่มชัดเจนขึ้นแล้ว…เขา?ผมชะงักไปเล็กน้อยใช่แล้ว ปกติ… 'เขา'… หมอนั่นต้องมาหาผมทุกวันแต่วันนี้วันที่เท่าไหร่แล้ว?…3 วันแล้วที่ผมไม่เห็นหน้าเขา…ไม่มีสายโทรเข้าจากเบอร์คุ้นเคย ไม่มีข้อความกวนๆ ไม่มีการบุกมาถึงสถานีแบบที่ทำเป็นข้ออ้างเรื่องคดี แต่จริงๆ แล้วแค่อยากมาก่อกวนผมผมหลุบตาลงเล็กน้อย สะบัดความคิดพวกนั้นออกจากหัวมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ…ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกแต่ทำไมวันนี้เวลาผ
โกดังร้าง – 22:35 น.เสียงปืนยังดังต่อเนื่อง ไอ้ตัวต้นเหตุที่หายไป 21 วันนั่งพิงลังไม้ข้างๆ ผม ท่ามกลางเสียงวุ่นวายของการปะทะ ลูกน้องของผมกระจายกำลังตามแผน ส่วนไอ้บ้านี่…“คิดถึงกันล่ะสิ” มันยิ้มกวนๆ พลางเหลือบตามองผม“หุบปากแล้วนั่งเงียบๆ” ผมกระชากคอเสื้อมันเข้ามาใกล้พลางมองสำรวจทั่วตัว “มีแผลตรงไหนไหม?”“ห่วงผมเหรอ?”ผมกลอกตา ก่อนจะกระแทกมันกลับไปนั่งพิงลังไม้เหมือนเดิม “ผมไม่อยากมีปัญหากับพ่อแม่ของคุณต่างหาก”เขาหัวเราะเบาๆ “หึ รู้ไหม ผมนั่งรอวันนี้มาตั้งแต่วันแรกที่ผมหายไปเลยนะ”“อะไร?” ผมหรี่ตา“วันที่คุณจะอดทนไม่ไหว จนต้องมาตามหาผมเอง”“ผมไม่ได้มาตามหา ผมมาทำคดี!”“โอเคๆ คดี” เขาพยักหน้าแบบไม่เชื่อ ก่อนจะยกมือขึ้นลูบคางตัวเอง “แต่ให้ตายสิ คุณดูโกรธมากเลยนะตอนเห็นผม”“ผมโกรธเพราะคุณโง่ที่เอาตัวเองมาเสี่ยงแบบนี้”เขาหัวเราะ “โหดจัง แต่ก็ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”ผมถอนหายใจ พยายามสงบสติอารมณ์ นี่มันไม่ใช่เวลามาคุยเรื่องไร้สาระ“อาวุธพวกมันมีแค่ปืนสั้น กับมีด ไม่ได้มีอะไรหนักเกินไป” เขาพูดขึ้นเสียงจริงจังขึ้นมานิดหน่อย “แต่พวกมันก็ระวังตัวกันมาก ผมต้องแกล้งตีสนิทตั้งหลายวันกว่าจะเข้า
สถานีตำรวจ – เช้าวันรุ่งขึ้นผมยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ทบทวนรายงานคดีเมื่อคืน ทุกอย่างกำลังชี้ไปในทิศทางที่ชัดเจนขึ้น โกดังที่เราเข้าจับกุมเมื่อคืนเป็นเพียงหนึ่งในหลายจุดที่ขบวนการค้ายาใช้เป็นที่พักของกลาง และการที่พวกมันเลือกเล่นงานคลับของพวกไซโคลนหลังจากนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกมันรู้แล้วว่าใครเป็นตัวปัญหาและแน่นอนว่า… หมอนั่นไม่ใช่คนที่จะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆผมกวาดสายตามองไปที่โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเฮือกแล้วหยิบมันขึ้นมากดโทรออกติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…“เฮ้ ว่าไงครับสารวัตร” เสียงที่ตอบรับมาทำให้ผมนิ่วหน้า เขายังใช้เสียงร่าเริงเหมือนเดิม ทั้งที่เมื่อคืนเพิ่งเจอกับเรื่องเสี่ยงตายมาแท้ๆ“คุณอยู่ไหน?”“เพิ่งตื่นครับ” เขาตอบเสียงอืดๆ แถมยังได้ยินเสียงผ้าปูที่นอนเสียดสีกันเบาๆ “โทรหาผมแต่เช้าแบบนี้ คิดถึงกันเหรอ?”“ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”“โอ้โห… ฟังดูจริงจังเลยนะ”“เจอกันที่ร้านกาแฟใกล้สถานี อีกสิบห้านาที”“เดี๋ยวสิ”ติ๊ด~ผมกดตัดสาย ก่อนจะหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมแล้วเดินออกจากห้องทำงานร้านกาแฟ – 9:30 น.เขามาตรงเวลา อย่างที่คาดไว้ใส่เสื้อเชิ้ตสีขา
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ผมนอนเหม่ออยู่อย่างนั้น แต่แล้วเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้นติ๊ง!ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูทันที และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ใครอื่นนอกจากริว: “ว่างไหม?”หัวใจผมกระตุกวูบแปลก ๆ ก่อนจะรีบพิมพ์ตอบกลับไปฝุ่น: “มีอะไร?”รออยู่ครู่หนึ่ง ข้อความถัดไปก็เด้งขึ้นมาริว: “มาหาหน่อย”ผมนิ่วหน้า อะไรของเขาวะ?ฝุ่น: “นายอยู่บ้าน?”ริว: “หน้าห้องนาย”หน้าห้อง?!ผมเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที กวาดตามองนาฬิกา…จะเที่ยงคืนแล้วหมอนี่มันคิดอะไรอยู่ถึงมาโผล่แถวนี้เวลานี้วะ?ผมหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมก่อนจะเดินออกไปตามที่เขาบอกผมเปิดประตูออกไปก็เจอเขายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนทุกครั้ง แต่มีบางอย่างในแววตาที่ดูไม่เหมือนเดิม“มาทำไม?” ผมถามพลางกอดอก“คุยกันหน่อย”“เรื่องอะไร?”“เรื่องของเรา”คำว่า ‘เรา’ ทำให้ผมชะงักไปนิดหน่อย“ไม่มีอะไรให้คุย” ผมบอกเสียงเรียบ “ฉันพูดไปหมดแล้ว”ริวไม่ได้ตอบอะไรในทันที เขาแค่ยกบุหรี่ขึ้นมาคาบไว้แล้วจุดไฟ สูดมันเข้าปอดก่อนจะพ่นควันออกมาช้า ๆ“…ฉันไม่ชอบความไม่แน่นอน” เขาพูดขึ้นในที่สุด“หืม?”“ฉันไม่ชอบอะไรที่คลุมเครือ” เขาเอียงหน้ามองผม “แล้วฉัน
ผมกอดอกมองสองพี่น้องเถียงกันอย่างไม่รู้จะทำยังไง เรื่องระหว่างผมกับริวมันซับซ้อนเกินกว่าจะอธิบายให้รุยเข้าใจได้"กูสองคนแค่จูบกันไอ้รุย ยังไม่ได้เอากัน"พวกยากูซ่านี่เชื่อถือไม่ได้จริงๆ ไม่ได้เอาพ่อง!"ถ้าจูบกันแล้วก็ต้องเป็นแฟนกันสิ จะมาแอบกินกันเฉยๆ เหมือนไอ้ฮิลล์ไม่ได้นะ" รุยเถียงต่อ"เราแค่จูบกันรุย นายอย่างี่เง่า" น้ำเสียงของไอ้ยากูซ่าขี้เก๊กเริ่มระอา"นายอย่ามาโมโหกลบเกลื่อน" รุยยังคงไม่ยอม"วุ้ยย! มึงจะอะไรนักหนากะอีแค่จูบ ใครๆ เขาก็จูบกันได้ตอนเมา" ผมพูดแทรกขึ้นมา ถ้าผมไม่มีปัญหาทุกอย่างก็น่าจะจบสินะ"พ่องมึงดิ จะมีกี่คนที่จูบพี่ของเพื่อนตอนเมา"มากกว่าจูบกูก็ทำกันมาล่ะ"เออ…มันก็แค่อุบัติเหตุ ใช่ไหม?" ประโยคหลังผมหันไปหาริว เพื่อขอกำลังสนับสนุน"อือ…" ริวพยักหน้า“กูไม่ใช่เด็กแล้วนะริว!"ปั่ก!"ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายเหรอ..." ริวตบหัวรุย"อู้ยยส์...เจ็บนะ พะ..พี่" ไอ้รุยเริ่มกลัวเมื่อเห็นสายตาของพี่ชายตัวเองริวถอนหายใจก่อนล้วงกระเป๋าหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด เขาพ่นควันออกจากปากก่อนพูดประโยคที่สิ้นคิดที่สุดออกมา"คบก็คบสิ""ชะ...ช่ายย ห๊ะ!! เดี๋ยวๆ คบอะไร ใครคบกัน" ผมถามด้วยความตกใจ"
…ไซโคลน Talk…ผมยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องพักในโรงแรม มองแสงไฟของโตเกียวที่ส่องสว่างอยู่เบื้องล่าง แต่ความคิดของผมกลับไม่ได้อยู่ที่ทิวทัศน์เหล่านั้นเลยโทรศัพท์ในมือสั่นอีกครั้ง แจ้งเตือนข้อความจากไต้ฝุ่น“มาถึงแล้ว”ผมกลืนน้ำลายลงคอช้า ๆ หัวใจเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ นิ้วโป้งแตะไปบนหน้าจอโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะรีบชักมือกลับราวกับของร้อนสารวัตร… มาถึงญี่ปุ่นแล้วจริง ๆผมถอนหายใจแรง กดโทรศัพท์ปิดเสียงก่อนจะโยนมันลงบนโต๊ะ ผมเงยหน้ามองตัวเองในกระจกเงาบานใหญ่ เห็นภาพสะท้อนของชายหนุ่มที่พยายามทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความว้าวุ่นผมคิดว่า… ถ้าออกมาห่างไกลขนาดนี้แล้ว ทุกอย่างจะดีขึ้นผมคิดว่า… ถ้าหายไปจากสายตาเขาแล้ว อีกฝ่ายก็คงไม่รู้สึกอะไรแต่เปล่าเลย…สารวัตรตามมาถึงที่นี่และที่สำคัญกว่านั้นคือ ผมไม่ได้แน่ใจว่าตัวเองอยากให้เขาหาเจอหรือไม่…สไนเปอร์ Talk…ผมยืนอยู่หน้าโรงแรมหรูใจกลางโตเกียว มองขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เป็นห้องพักของไซโคลนไต้ฝุ่นเป็นคนบอกผมว่าไซโคลนอยู่ที่นี่ และถึงแม้เขาจะไม่ได้บอกเลขห้องตรง ๆ แต่แค่มีข้อมูลนี้ก็มากพอแล้วผมกำโทรศัพท์แน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆถ้าผมขึ้นไป
…สไนเปอร์ Talk…ผมมองจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้า แต่มันกลับเบลอไปหมดคดียังคงเดินหน้า งานทุกอย่างยังคงต้องทำเหมือนเดิม แต่มีบางอย่างในใจที่คอยฉุดรั้งให้ผมไม่มีสมาธิไซโคลนไม่อยู่แล้วจริง ๆเขาหายไปจากชีวิตผมแบบสมบูรณ์แบบ… ไม่มีร่องรอย ไม่มีการติดต่อกลับ ไม่มีแม้แต่เงาของเขาให้เห็นผมถอนหายใจ กวาดสายตามองโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างตัวจะโทรไปดีไหม?นิ้วผมเลื่อนไปที่ชื่อของเขา ก่อนจะชะงัก… และกดปิดหน้าจอไปถ้าเขาอยากให้ผมตามหา… เขาคงจะทิ้งอะไรไว้ให้ผมบ้างแต่เขาเลือกที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ แปลว่าเขาคงต้องการแบบนั้นจริง ๆ“เฮ้อ…” ผมเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน“เข้ามา”จ่าแชมป์โผล่หน้าเข้ามา “สารวัตร ผมมีข่าวบางอย่าง”ผมเลิกคิ้ว “ข่าวอะไร?”“คนของเราสืบมาให้แล้วครับ…” จ่าแชมป์ส่งแฟ้มเอกสารให้ผม “คุณไซโคลนอยู่ที่ญี่ปุ่นจริง ๆ และดูเหมือนเขาจะตั้งใจอยู่ที่นั่นอีกนาน”ผมนิ่งไป ก่อนจะเปิดแฟ้มออกดู รายละเอียดที่ระบุอยู่ตรงหน้ามันชัดเจนจนผมปฏิเสธไม่ได้และมีรูปที่ไซโคลนไปไหนมาไหนกับริวอย่างสนิทสนม…ใจผมคล้ายๆ มีอะไรหนักๆ กดทับไว้จนเจ็บผม… กำลังจะเสียเขาไปแล้วจริง ๆ
…ไซโคลน Talk…ผมไม่ได้หลบหน้าเล่น ๆ แต่ผมเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมไม่ได้ติดต่อกลับไปหาสารวัตรอีกเลย ไม่มีการส่งกาแฟ ไม่มีการไปหา ไม่มีแม้แต่ข้อความทิ้งไว้เหมือนทุกทีผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนดื้อรั้นและไม่เคยยอมแพ้ แต่ครั้งนี้… บางทีผมอาจต้องเป็นฝ่ายปล่อยมือจริง ๆตอนแรกมันก็ยากอยู่หรอก กว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดถึง ไม่ให้เผลอกดโทรหาหรือส่งข้อความไป ผมต้องข่มใจตัวเองอยู่หลายครั้ง ต้องดื่มให้หนักขึ้น ต้องเอางานมากลบความคิด แต่สุดท้ายแล้ว… มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักทุกคืนก่อนนอน ผมยังคงเผลอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หวังว่าบางทีสารวัตรอาจจะเป็นฝ่ายส่งข้อความมาก่อน หรืออย่างน้อยอาจจะมีมิสคอลสักสายแต่ไม่มีเลย…เหมือนเขาหายไปจากชีวิตของผมโดยสมบูรณ์ผมเอนตัวพิงกระจกห้องพักโรงแรมในโตเกียว มองแสงไฟของเมืองที่ยังคงสว่างไสว ทว่าความเงียบในห้องมันกลับกดดันผมยิ่งกว่าความวุ่นวายข้างนอกผมคิดถึงสารวัตร…คิดถึงคนที่เอาแต่ทำหน้าเรียบเฉยเวลาถูกแหย่ คิดถึงคนที่บ่นว่าผมกวนประสาทแต่ก็ยังยอมให้มากวนอยู่ทุกวันผมไม่ได้อยากหนีมาไกลขนาดนี้หรอก แต่ผมรู้ว่า ถ้ายังอยู่ที่เดิม ผมคงไม่มีวันอดใจไม่ไหวแล้วกระโจนไปหาเขาอีกตาม
…สไนเปอร์ Talk…ไซโคลนไม่ได้พูดเล่น เขาเอาจริงหลังจากวันนั้น ผมก็ไม่ได้รับข้อความหรือสายโทรศัพท์จากไซโคลนอีกเลย ไม่มีการแวะมาหา ไม่มีใครส่งกาแฟมาให้ที่โรงพักตอนเช้า และแน่นอน… ไม่มีใครมารอผมเลิกงานอีกเลยผมคิดว่าตัวเองควรจะโล่งใจ เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการเหรอ? ผมอยากให้ไซโคลนออกไปจากชีวิต อยากให้ไซโคลนอยู่ห่างจากปัญหาทั้งหมด เขาอยากปกป้องไซโคลนจากความวุ่นวายนี้…แต่ทำไมมันถึงรู้สึกไม่ใช่แบบนั้นวะ?ในช่วงแรกผมพยายามไม่คิดอะไรมาก มันก็ดีแล้วที่เขาได้ไปใช้ชีวิตปกติของตัวเอง ไม่ต้องมาลำบากกับผมแต่พอผ่านไปเป็นอาทิตย์ ไซโคลนก็ยังไม่ติดต่อมา“หมอนั่นคงจะลืมฉันไปแล้วจริง ๆ” ผมพึมพำช่วงเวลาที่ไม่มีไซโคลนอยู่รอบตัว ทำให้รู้ว่า… ชีวิตของผมขาดอะไรบางอย่างไปจริง ๆไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้าที่ปกติจะมีกาแฟจากร้านประจำส่งมาให้พร้อมโน้ตแซว ๆ จากไซโคลน หรือแม้แต่ช่วงเย็นที่ผมมักจะเจอเขามานั่งรออยู่ในห้อง พอไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว วันเวลาของผมกลับดูเงียบเหงาอย่างน่าประหลาดผมทำงานเหมือนเดิม ใช้ชีวิตแบบเดิม ออกไปสืบคดีเหมือนเดิม แต่กลับรู้สึกว่าอะไรบางอย่างมันผิดแปลกไปหมด“สารวัตร… คุณโอเคหรือเปล่า?”เส
…ด้านไซโคลน….ผมเดินออกจากห้องทำงานของสารวัตรด้วยความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในใจ ทุกอย่างมันชัดเจนในหัวของผม แต่ในขณะเดียวกันมันก็สับสนจนแทบจะทำให้ผมหายใจไม่ออก ทุกๆ อย่างที่ทำไปมันยังไม่ดีพออย่างนั้นเหรอ“ผมเหนื่อย…มาก…” เสียงของผมดังในหัวผมเหนื่อยกับการวิ่งตามเขาแล้ว…เขาทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นแค่คนไร้ค่าที่วันๆ เอาแต่วิ่งตามเขา ผมมักจะเป็นคนแรกที่เขาเลือกจะตัดทิ้งง่ายๆ นั่นมันก็แสดงชัดเจนแล้วว่าผมควรหยุดได้แล้ว…ผมเดินไปที่ลิฟต์โดยที่ไม่คิดจะหันกลับไปมองห้องทำงานนั้น ผมไม่ต้องการให้ใครเห็นความเจ็บปวดในแววตาของผมในตอนนี้ ความรู้สึกที่คล้ายกับการถูกทอดทิ้ง มันร้อนรุ่มอยู่ในอก ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขากำลังวิ่งตามอะไรบางอย่างที่ไม่มีทางจะถึงผมกดปุ่มลิฟต์และยืนรอจนประตูเปิดออก ความรู้สึกข้างในมันเหมือนมีบางอย่างที่กำลังแหลกสลายไปกับทุกก้าวที่เดิน ใจผมมันโหวงและว่างเปล่าบอกไม่ถูกเมื่อถึงชั้นล่างผมเดินออกจากอาคารโดยไม่คิดจะหยุดกลับไปมอง หัวใจของผมมันบีบคั้นจนรู้สึกว่าหายใจไม่ออก ผมหยุดตรงมุมถนนและมองไปที่ท้องฟ้า เหมือนกับกำลังมองหาคำตอบจากสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้ สิ่งที่ทำล
คดีของพ่อผมถูกปิดลงอย่างเงียบๆ ไม่ว่าผลของมันจะเป็นเช่นไร เราทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง เขามีใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของเขา พ่อผมอาจจะไม่ได้ซัดทอดใครออกมา แต่มันก็ไม่สามารถปิดบังความจริงบางอย่างได้ พวกเรายังเอื้อไปไม่ถึงตัวการใหญ่นั้นพี่ชายของผมทุกคนก็เข้าใจดีถึงสิ่งที่พ่อทำ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแค่ไหน พวกเขาก็ยังคงพยายามช่วยเหลือพ่อในทุกทางที่ทำได้ ไม่มีใครโกรธผมที่ต้องทำหน้าที่จับพ่อ แม้ความรู้สึกจะหนักหน่วงแค่ไหน พวกเขาก็ยอมรับมันได้พวกเขาเห็นสิ่งที่พ่อเคยสอนและปลูกฝังในตัวผมมาตลอดชีวิต….แต่เรื่องมันยังไม่จบแค่นั้น ข่าวของพ่อที่เคยเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมก็ถูกกลบไปอย่างเงียบๆ ทุกอย่างถูกเบี่ยงเบนความสนใจด้วยข่าวใหม่ ที่มันเหมือนจะกระทบกับทุกคนรอบตัว ข่าวนั้นเป็นเรื่องของการชิงตัวนักโทษระหว่างที่กำลังจะถูกนำไปฝากขังสองคน และเหมือนจะเป็นการกระทำของแก๊งต่างชาติที่มีอิทธิพลข่าวนี้มันกลบข่าวของพ่อไปจนเกือบจะไม่มีใครพูดถึงอีกเลย ตำรวจถูกเหยียบย่ำอีกครั้ง หลังจากการสืบสวนคดีของพ่อผมคดีที่มันทำให้พวกเราเปิดเผยถึงบางอย่างที่ไม่อยากให้ใครรู้… แต่ตอนนี้…ทุ
….สไนเปอร์ Talk….ผมพยายามเจรจากับผู้บังคับบัญชาจนตัวเองยังสามารถอยู่ในคดีนี้ต่อได้ และตอนนี้พวกเราก็กำลังรอให้คนพาพ่อมาสอบสวนสักพักเจ้าหน้าที่สองนายก็พาตัวพ่อซึ่งถูกสวมกุญแจมือ เข้ามายังห้องสอบสวน เขายังคงใส่ชุดของเมื่อคืนอยู่แววตาของเขาดูล้าเล็กน้อย…“พ..พ่อ…” มันยากมากที่เสียงจะหลุดออกจากลำคอของผมตั้งแต่เกิดผมไม่เคยเห็นเขาโทรมแบบนี้มาก่อน แม้เขาจะอายุเยอะแล้ว แต่ก็ยังดูกระปรี้กระเปร่าอยู่เสมอแล้วดูสิ….วันนี้เขากลับอยู่ในสภาพแบบนี้ คนเป็นลูกแบบผมควรทำอย่างไรระหว่างความถูกต้องกับความถูกใจ ผมควรเลือกสิ่งไหน…พ่อมองผมนิ่งๆ แล้วพูดช้าๆ“ฉันเห็นแกแล้วเหมือนเห็นตัวเองในอดีตเลย”ประโยคสุดท้ายที่เขาพูด ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นจากข้างในบุคลิก ความคิด นิสัย ผมล้วนสืบทอดมาจากเขาทั้งนั้น…พ่อมองผมด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง เท้าแขนลงบนพนักเก้าอี้ที่ดูจะเล็กไปสำหรับเขา“แกจะไม่ถามอะไรหน่อยเหรอ?” เขาเอ่ยเมื่อเห็นเงียบผมเม้มปากแน่น สายตาจับจ้องไปที่กุญแจมือที่ล่ามเขาไว้“…ทำไม?” ผมถามเสียงแผ่ว “ทำไมพ่อต้องทำเรื่องพวกนี้?”พ่อหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอนตัวไปด้านหลัง ดวงตาคม