ตอนที่ 3 เป็นหนี้ก็ต้องใช้!!
--- ลลิน Talk ---
ในขณะที่เราทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในภวังค์รูปโฉมความงามของอีกฝ่าย โดยเฉพาะฉันที่ตอนนี้ได้หลงใหลในใบหน้าคมเข้มแบบสไตล์ลูกรักพระเจ้าของเขาที่กำลังส่งผลต่อหัวใจดวงน้อย ๆ ของฉันให้สั่นไหวอยู่นั้นก็ยังเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ฉันรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตจากร่างอันกำยำของคนตรงหน้าที่แผ่ซ่านจนทำให้อดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ ดังนั้นเพื่อความอยู่รอด...ฉันจึงต้องรีบดึงสติของตัวเองให้กลับมาโดยไว ก่อนที่ตัวเองจะโดนทั้งความหล่อและความร้ายของเขาแผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี
(สติ...สติ...ยัยลิน...ฮึบ) ฉันที่พยายามเรียกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงไปไกลให้กลับมา ก่อนจะเริ่มเปิดปากถามคนตรงหน้าออกไปอีกครั้งถึงเหตุผลที่เขาให้ลูกน้องจับฉันมาในครั้งนี้
“นะ...นายจับฉันมาทำไม” ฉันกลั้นใจถามออกไปแม้ว่าในใจจะรู้สึกกลัวอยู่มากก็ตาม แต่เนื่องจากเพราะว่าฉันเองก็อยากจะรู้ถึงเหตุผลจริง ๆ ที่ตัวเองถูกจับมาแบบนี้ถึงยอมที่จะเสี่ยงถามออกไปทั้งที่กลัว
และทันทีที่สิ้นประโยคคำถามของฉัน ใบหน้าเคลิบเคลิ้มของเขาที่เพิ่งหลุดออกจากภวังค์ความหลงใหลที่มีต่อฉันนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ฉันพอจะทันได้สังเกตเห็นถึงสายตาที่มองฉันด้วยความพึงพอใจในตอนแรกก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นสายตาดูถูก เย้ยหยัน คล้ายกับไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งคำถามและสีหน้าที่บ่งบอกว่าฉันกำลังสับสนและไม่เข้าใจอยู่นั้น อาจจะเป็นเพราะฉันกำลังแสดงละครแกล้งไขสือทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวกับสิ่งที่ก่อเอาไว้อยู่อีกทั้งคงกำลังทำตัวเหมือนไอ้พวกลูกหนี้ที่คิดจะเบี้ยวหนี้ไม่จ่ายเสียมากกว่า
(ไอ้บ้านี่...ถามก็ไม่ตอบแถมยังมาทำหน้าทำตาดูถูกคนอื่นเขาไปทั่วอีก) ฉันบ่นอุบในใจหลังจากได้เห็นแววตาดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบังคู่นั้นของเขา
และในขณะที่ความรู้สึกของฉันกำลังรู้สึกหมั่นไส้ต่ออากัปกิริยาท่าทางที่แสดงการดูถูกคนอย่างชัดเจนของเขาอยู่นั้น ฉันที่เริ่มทนกับพฤติกรรมของเขาไม่ไหวก็ได้เผลอโพล่งปากถามออกไปอีกครั้งอย่างคนต้องการความกระจ่างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้
“เอ๊ะ!!...นี่นาย...!! ฉันถามไม่ได้ยินหรือไงกัน พวกนายจับฉันมาทำไม ฉันไปทำอะไรให้พวกนายกัน...ห๊ะ” ฉันที่เหลืออดร่ายยาวใส่เขาอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบเม้มปากเน้นเกร็งหน้ารับแรงกระแทกที่อาจส่งมากระทบใบหน้า หลังเพิ่งคิดได้ว่าไอ้นักเลงพวกนี้มันอาจจะไม่ปรานีแม้กระทั่งผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ก็ได้
‘หึ๊ยยยยย...ทำเป็นใจกล้าว่าเขาไปแบบนั้นจะโดนฆ่าหมกป่าไหมเนี้ยยัยลินเอ๊ย...’
ฉันบ่นพึมพำให้กับการกระทำอันวู่วามของตัวเองในใจ ก่อนเสียงที่ดูเหมือนจะไม่พอใจของคนที่ฉันเพิ่งขึ้นเสียงใส่ จะเอ่ยตวาดกลับมาจนฉันสะดุ้งเฮือกหลุบตาหลบต่ำแทบไม่ทัน
“...มึงจะโวยวายทำไม เป็นหนี้ก็ต้องใช้ดิวะ...!!”
ร่างบางสะดุ้งเฮือกหลังจากได้ยินเสียงตะคอกของเขา พร้อมกับหลับตาปี๋ด้วยกลัวว่าคนตรงหน้าจะลุกตรงเข้ามาแล้วทำร้ายร่างกายฉัน...
แต่ทว่า...ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง สิ่งที่เขาคำรามออกมาใส่หน้าฉัน กลับทำให้ฉันเกิดคำถามขึ้นมาในใจมากกว่าความกลัว...คำถามที่ว่า...ฉันเป็นหนี้ แล้วฉันเป็นหนี้อะไร...ใช้หนี้...แล้วใช้หนี้ให้ใคร...?? ทุกอย่างที่ผุดขึ้นมาในสมองของฉันทำให้รู้สึกมึนงงหมด อีกทั้งยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จนต้องสลัดความกลัวแล้วเงยหน้าขึ้นถามเขาอย่างต้องการคำตอบ
“เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ...ฉันเป็นหนี้อะไร แล้วฉันไปเป็นหนี้นายตอนไหนไม่ทราบ??” ฉันโพล่งออกไปทันทีอย่างอัตโนมัติหลังสมองทบทวนถึงความจริงที่ตัวเองมั่นใจว่าไม่ได้มีพันธะอะไรกับคนตรงหน้าอย่างที่เขากล่าวหาแน่นอน พร้อมกับแสดงสีหน้าสงสัยอย่างไม่เข้าใจถึงข้อหาที่เขากำลังยัดเยียดให้กับฉัน และอีกอย่างไม่ว่าจะคิดยังไงฉันเองก็คิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าฉันไปเป็นหนี้ผู้ชายคนนี้ตอนไหน แต่ที่แน่ ๆ ที่พอจะนึกออกได้ในตอนนี้ก็คือ...เรื่องนี้มันจะต้องเป็นเรื่องที่เข้าใจผิดกันอย่างแน่นอน
และทันทีที่ฉันพูดจบ ใบหน้าหล่อเหลาก็ได้ยกกระตุกแสยะยิ้มร้าย ก่อนที่เอกสารเจ้าปัญหาที่อยู่ในมือเขาจะถูกสะบัดไปมาอยู่ตรงหน้าของฉัน
“เอาไปดูซะ...แล้วตอบกูมาว่านี่ใช่ลายเซ็นของมึงหรือเปล่า...เห้อออ...แล้วไอ้พวกลูกหนี้นี่มันเป็นเชี้ยอะไรกันหนักหนาวะ แสดงละครเก่งชะมัด...มันน่าไปเป็นนักแสดงมากกว่าไปทำธุรกิจกันจริง ๆ” เสียงทุ้มกังวานเอ่ยเย้ยหยันออกมาจากปากของคนที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร แต่ทว่า...คำพูดและมารยาทกลับตรงข้ามกับใบหน้าอย่างสิ้นเชิง
จากนั้น...ฉันก็ทำใจกล้ายื่นมืออันสั่นเทาของตัวเองออกไปหยิบเอกสารจากมือของเขามาดู ก่อนจะเพ่งตามองไปยังข้อความบนหน้ากระดาษแผ่นนั้น แล้วตั้งสติไล่อ่านไปทีละบรรทัด...ทีละบรรทัดอย่างตั้งใจ จนกระทั่ง...เมื่อสายตากวาดไปทั่วทุกตัวอักษรแล้ว ข้อความเหล่านั้นก็ได้ทำให้ฉันถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที
“100 ล้าน หนี้ 100 ล้าน นะ...นี่มันอะไรกัน” (O_o) ปากที่พูดออกไปไม่เต็มคำน้ำเสียงละล่ำละลักด้วยความงุนงง ให้กับข้อความที่บ่งบอกว่าฉันเป็นหนี้หนึ่งร้อยล้าน
และไม่ใช่แค่ฉันที่ออกอาการตื่นตระหนกสับสนกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้เท่านั้น แต่ทว่า...กลับมีสิ่งที่น่าแปลกใจมากกว่านั้น นั่นก็คือ...ทันทีที่ฉันโพล่งปากพูดถึงยอดหนี้ที่ฉันไม่ได้เป็นคนก่อออกไป อาการลุกลี้ลุกลนของลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างกายเขาที่เขาเรียกชื่อว่า...ริก...ก็ดูท่าทางจะตื่นตระหนกปนแปลกใจกับสิ่งที่ฉันเพิ่งโพล่งออกไปไม่ต่างกัน
แต่ว่า...ประเด็นของอากัปกิริยาของลูกน้องเขานั้น ณ ตอนนี้มันไม่ได้สำคัญฉัน เท่ากับฉันไปเป็นหนี้เขาตอนไหน ตั้งแต่เมื่อไรกัน และที่สำคัญฉันจำได้ว่าฉันไม่เคยไปเซ็นค้ำประกันให้ใครที่ไหนทั้งนั้น แล้วยิ่งเป็นเงินตั้ง 100 ล้านด้วยซ้ำ ไอ้ลำพังแค่พนักงานบริษัทเอกชนที่แม้ว่าจะทำงานอยู่ในบริษัทชั้นนำระดับประเทศก็ตาม แต่ด้วยตำแหน่งพนักงานรายเดือนที่ไม่ได้เป็นหัวหน้าเหมือนกับคนอื่นเขา ฉันจะเอาปัญญาที่ไหนไปค้ำประกันให้คนอื่นได้ตั้ง 100 ล้าน...ฉันยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เห็นถึงความสมเหตุสมผลเอาเสียเลย
แต่ดูท่าคำพูดและอาการตกใจของฉันคงจะไม่เข้าหูเข้าตาเขาสักนิด เพราะนอกจากเขาจะทำหน้าไม่ยี่หระให้กับทีท่าของฉันแล้ว เขายังตะคอกใส่หน้าฉันอย่างต้องการคำตอบเกี่ยวกับเรื่องที่เขาเพิ่งถามก่อนหน้านี้
“ว่าไง...กูถามว่าใช่ลายเซ็นมึงไหม...ตอบ!!”
เสียงตะคอกดังกร้าวจนฉันสะดุ้งหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
ตอนที่ 4 ค้ำประกันให้ผัว!!สิ้นเสียงตวาดของเขาหลักฐานตรงหน้าก็ไม่อาจจะทำให้ฉันปฏิเสธอะไรออกไปได้เลย ฉันที่ทำได้เพียงแค่เม้มปากแน่นพร้อมกับสายตาที่เริ่มสั่นระริกเนื่องด้วยจำนนต่อหลักฐาน นั่นก็เพราะว่าภาพตรงหน้าลายเซ็นนั้นมันเป็นของฉันจริง ๆ เพียงแต่ว่าฉันยังจำไม่ได้ว่าไปเซ็นเอาตอนไหนกันนะ อีกทั้งนึกยังไงก็นึกไม่ออกฉันสะบัดหัวไปมาเล็กน้อยเพื่อเรียกสติที่อาจจะดับวูบไปได้ทุกขณะให้กลับคืนมาอีกครั้ง ก่อนจะพยายามตั้งสติแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด(...ฮึบ...มีสติเข้าไว้ยัยลิน เรื่องนี้มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างแน่นอน มันต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่ ๆ เพราะฉะนั้นเราต้องตั้งสติแล้วอธิบายให้เขาฟัง...ใช่!! ฉันต้องรีบอธิบาย...)เมื่อคิดได้ดังนั้นฉันก็รีบเอ่ยปากบอกเขาไปตามความจริงที่เกิดขึ้น...“กะ...ก็ใช่ ตะ...แต่ว่า” ฉันยอมรับตามภาพตรงหน้าก่อน พร้อมกับพยายามที่จะอธิบายเพิ่มเติมแต่ทุกอย่างมันกลับไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เมื่อเขายังคงแสดงทีท่าออกมาอย่างชัดเจนว่าไม่ยินยอมที่จะรับฟังข้อเท็จจริงจากฉันเลย“ถ้าใช่ลายเซ็นของมึงงั้นก็แปลว่า...มึงต้องรับผิดชอบ!!” เสียงแข็งกร้าวดุดันยังคงตวาดใส่ฉันไม่หย
ตอนที่ 5 ลูกหนี้ตัวจริง “อ๊ะ...!! หรือว่าจะเป็นตอนนั้น”ฉันพูดพร่ำกับตัวเอง ก่อนจะเอ่ยบอกกับเขาออกไปด้วยความตื่นเต้น“นะ...นี่นาย...ฉะ...ฉันจำได้แล้ว ต้องเป็นวันนั้นแน่ ๆ นายตั้งใจฟังฉันก่อนนะ...เรื่องมันเป็นแบบนี้ วันนั้นหัวหน้าของฉันใช้ให้ฉันมาเซ็นเอกสารที่บริษัทนี้...ใช่...บริษัท DLKK นี่แหละ ชื่อบริษัทก็เป็นชื่อเดียวกับหัวกระดาษในใบสัญญานี่เลย” ฉันรีบกุลีกุจอยื่นเอกสารพร้อมกับชี้มือชี้ไม้ให้เขาดู ก่อนที่ตัวเองจะรีบอธิบายเพิ่มเติมด้วยความร้อนรนเพราะเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก“แล้ววันนั้นฉันจำได้ว่าฉันรีบมาก และด้วยเพราะความรีบร้อนนี่แหละที่ทำให้ฉันไม่ทันได้ระวัง...และตอนนั้นมันก็คงเป็นจังหวะที่เกิดความผิดพลาดขึ้นฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ดูให้ดี แต่นาย...ฉันไม่ได้ไปเซ็นค้ำประกันให้ใครที่ไหนจริงๆ นะ แล้วอีกอย่างนายเห็นไหมว่าฉันเองก็ไม่ได้มีเอี่ยวอะไรกับคนในสัญญานี่เลย ฉันอธิบายให้นายฟังหมดแล้ว นายลองไปตรวจสอบดูซิ ฉันรับรองได้เลยว่านายจะได้รู้ความจริงตรงตามที่ฉันบอกอย่างแน่นอน ถึงเรื่องที่ว่าฉันไม่ได้เป็นคนค้ำประกันให้กับใครทั้งนั้น ฉันยืนยัน นั่งยัน นอนยันเลยว่า ฉันไม่รู้จักเขาจริง ๆ
ตอนที่ 6 เมียขัดดอก!!ฉันที่ได้เห็นเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบในจังหวะที่กำลังจะเอ่ยปากบอกสำทับให้เขาฟังอีกครั้ง...ถึงเรื่องที่ฉันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรในเรื่องนี้แล้ว และอีกอย่างในเมื่อเขาหาคนที่เป็นลูกหนี้มาได้แล้ว บริษัทก็ยกใช้หนี้ให้ไปแล้วก็สมควรแก่เวลาที่เขาควรจะต้องปล่อยฉันให้กลับบ้านไปได้สักที และในจังหวะที่ฉันกำลังจะเปิดปากพูดออกไปนั้น เขาที่เหมือนกับจะรู้ทันในความคิดของฉันก็ได้เอ่ยปากพูดสวนออกมาทันที“นี่เป็นแค่เฉพาะเงินต้นที่มึงเอาไป...แล้วดอกเบี้ยอีก 100 ล้านล่ะมึงจะหาคืนกูได้ยังไง” สิ้นเสียงประโยคที่เหมือนกับการขูดเลือดเอากับปู ก็ทำให้ฉันถึงกับอ้าปากค้างตกตะลึงในความอำมหิตใจจืดใจดำของเขาอย่างเสียไม่ได้(โอ้แม่เจ้า!! ดอกร้อยล้าน ต้นร้อยล้าน นี่มันขูดเลือดขูดเนื้อกันชัด ๆ) ฉันที่ถึงกับตะลึงพึงพรืดกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน และถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกสยองในใจ และอดไม่ได้ที่จะสงสารผู้ชายที่อยู่ด้านข้าง แต่ทุกอย่าง ณ เวลานี้มันก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของฉันอีกแล้วเพราะฉะนั้น...รีบปล่อยฉันไปสักทีซิไอ้บ้านี่!!ส่วนคนที่เป็นลูกหนี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างของฉัน เขาเองก็ดูจะตกใจไม่ต่างกันถึงก
ตอนที่ 7 ครอบครัวแตกสลายฉันถึงกับอึ้งในพฤติกรรมที่แสนจะเห็นแก่ตัวของผู้ชายที่อยู่ด้านข้าง ก่อนที่ความกดดันทุกอย่างจะทำให้ฉันที่ทนไม่ไหวปะทุอารมณ์ที่คับคั่งอยู่ภายในให้ออกมาพร้อมกับน้ำตา...“ฮึก...ฮึก...ฉันไปทำอะไรให้พวกนายกัน ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ นี่นายฉันไม่รู้จักนายเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมาให้ฉันรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็นคนก่ออย่างนั้นเหรอ นายยังมีความเป็นคนอยู่บ้างไหม ฮึก ฮึก...” ฉันกัดฟันกรอดพูดในสิ่งที่รู้สึกอัดอั้นใส่หน้าผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างออกไปอย่างเหลืออด พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่นึกรังเกียจอย่างไม่ปิดบังก่อนที่ฉันจะหันไประเบิดอารมณ์ใส่คนที่ไร้ทั้งหัวใจและไร้ถึงความเมตตา ผู้ชายที่มีดีแค่หน้าตาแต่นิสัยเลวร้ายจนเผลอคิดว่าใครได้เป็นไปคู่ชีวิตชะตาคงสู่ขิตแน่ ๆ“ส่วนนาย ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่เกี่ยวข้อง ทุกอย่างมันเกิดจากความผิดพลาด ทำไมไม่ฟังกันบ้าง ฮึก...ฮึก...ฉันบอกว่าไม่ได้ทำไง...ฉันไม่ได้ทำเข้าใจกันบ้างซิ...ฮืออออ” คำพูดที่ระบายออกมาอย่างสุดกลั้น ความอดทนที่มีให้ต่อเหล่าพวกคนเห็นแก่ตัวพวกนี้ ฉันถึงกับไม่สนหน้าอิฐหน้าพรหมตะคอกใส่ผู้ชายที่นั่งทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว อย่
ตอนที่ 8 ผู้หญิงคนใหม่ของ...เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงของครอบครัวครั้งใหญ่ได้ผ่านพ้นไป พร้อมกับความคิดให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอว่ายังเหลือผู้เป็นพ่ออยู่ ณ วินาทีนั้นพ่อที่เปรียบเสมือนโลกทั้งใบที่เหลืออยู่ของฉัน แม้ว่านับตั้งแต่เกิดเรื่องราวเลวร้ายในครั้งนั้นจะทำให้พ่อของฉันเปลี่ยนไป แต่ฉันก็ยังอุ่นใจที่ยังมีพ่ออยู่อยู่ดีจากวันนั้นพ่อของฉันท่านกลับไปทำงานอย่างบ้าคลั่ง และเลือกที่จะเลี้ยงฉันด้วยเงินแทนความรักและเอาใจใส่ แม้ว่าฉันจะพยายามเข้าใจและเลือกที่จะทำตัวให้เป็นปัญหาน้อยที่สุด แต่เงินนั้นก็ไม่สามารถทดแทนความรู้สึกโหยหาที่อยู่ภายในส่วนลึกของหัวใจเล็ก ๆ นี่ได้อยู่ดี ฉันที่ตั้งใจเรียนอีกทั้งยังทำตัวเป็นเด็กดีทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่ทำให้พ่อของตัวเองต้องเป็นกังวลใจเลยสักครั้ง แต่ทว่า...ความรักดีและความตั้งใจที่จะเป็นเด็กดีของฉันนั้น คงจะทำให้ผู้ที่กำหนดชะตาชีวิตของฉันดูท่าจะไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไร หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าฉันน่าจะฝึกความอดทนได้มากกว่าครั้งที่ต้องเสียใจกับเรื่องของแม่ไป หรือไม่พวกเขาเหล่านั้นก็คงไม่อยากให้ฉันใช้ชีวิตเรียบง่ายดั่งที่ใจปรารถนานั่นก
ตอนที่ 9 เล่นชู้!!ฉันที่ยังคงจำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากนั้นฉันก็รีบตรงดิ่งกลับมาบ้านป้านีที่ได้ยืนรอฉันอยู่ก่อนแล้วก็ได้บอกว่าถึงข่าวร้ายที่เกิดขึ้นว่าตอนนี้พ่อของฉันท่านถูกส่งไปที่โรงพยาบาลแล้วเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยป้านีที่เป็นห่วงความรู้สึกของฉัน แกก็ได้ให้เหตุผลว่าตอนที่โทรไปที่ยังไม่ยอมบอกกับฉันทางโทรศัพท์ในตอนนั้น เพราะแกไม่อยากให้ฉันตกใจจนเป็นอันตรายไปจึงได้บอกให้ฉันมาเจอกันที่บ้านก่อน จากนั้นค่อยไปโรงพยาบาลพร้อมกันกับแก ส่วนฉันหลังจากที่ได้ฟังข่าวเกี่ยวกับพ่อของตัวเองแล้วนั้น ตัวฉันก็ถึงกับเกิดอาการช็อกจนสมองขาวโพลนตาลายแทบจะเป็นลมล้มลงไป โชคยังดีที่วินาทีนั้นฉันได้ป้านีปรี่เข้ามาประคองเรียกสติไม่ให้ดับวูบได้ทัน ไม่อย่างนั้นฉันคงได้เป็นลมหัวฟาดพื้นไปอย่างแน่นอนจากนั้นป้านีก็รีบพาฉันไปยังโรงพยาบาลที่ส่งพ่อของฉันไปรักษาทันที แม้ว่าทั้งฉันและป้านีจะยังไม่รู้สถานการณ์ของพ่อที่แน่ชัดว่าตอนนี้อาการของท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ทว่า...ด้วยสายใยระหว่างพ่อลูกบางอย่าง อีกทั้งความรู้สึกข้างในที่มันวูบโหวงแปลก ๆ มันทำให้ฉันอดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ เมื่อควา
ตอนที่ 10 เมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย‘ฉันเป็น...เมีย...ที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้เสียชีวิตค่ะ และนี่ค่ะเอกสารการจดทะเบียนสมรส’คำพูดพร้อมกับใบเอกสารที่ยื่นไปต่อหน้าเจ้าหน้าที่พยาบาล เปรียบเหมือนกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าลงมายังกลางศีรษะของฉัน อีกทั้งสายตาคู่นั้นที่แอบส่งมาเย้ยหยัน ยิ่งทำให้ฉันที่แทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ตั้งแต่ต้นถึงกับทรุดเข่าลงไปแทบจะในทันที ก่อนที่ตัวเองจะโชคดีที่ยังมีป้านีพุ่งตัวมาโอบประคองช่วยฉันไม่ให้ล้มลงไปได้ทัน... 'มะ...ไม่จริง' ฉันพึมพำเบา ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตนเองได้ยิน 'เป็นไปไม่ได้ พ่อหนูไม่มีวันจดทะเบียนสมรสกับคนอย่างอายุพินแน่นอน เอกสารนี้มันต้องเป็นของปลอมแน่ ๆ ฮึก...ฮึก...' หัวทุยที่ส่ายไปมาอย่างไม่อยากที่จะยอมรับความจริง ยิ่งทำให้คนที่ถือไพ่เหนือกว่าได้ใจ'อ๊ะ...นี่พ่อของเธอไม่ได้บอกหรอจ๊ะว่าเขาจดทะเบียนกับฉันน่ะ อะนี่...ถ้าไม่เชื่อก็ดูให้เต็มตาซะนะ' น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะใจถูกพ่นออกมาพร้อมกับหลักฐานที่เป็นใบทะเบียนสมรสยื่นมาตรงหน้าของฉันและคำพูดกับเอกสารตรงหน้าก็เป็นเหมือนไม้หน้าสามที่ตีแสกความจริงลงมากลางหน้าเนียนของฉัน และยิ่งเมื่อฉันได้พินิจเพ
ตอนที่ 11 ธาตุแท้!!‘น้องลิน...แฮ่กๆๆ’ เสียงคุ้นเคยที่ดูเหนื่อยหอบเอ่ยเรียกฉันดังมาจากด้านหลังทันทีที่ฉันหันไปตามเสียงก็พบว่าผู้ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาคือหลานชายป้านี พี่ข้างบ้านที่อายุมากกว่าฉันอยู่หลายปี‘อ้าวพี่ราม สวัสดีค่ะ’ ฉันยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม เพราะถึงแม้ว่าน่าจะนานเป็นปีแล้วก็ตามที่เราสองคนไม่ได้เจอกัน แต่ฉันยังจำได้ดีว่าตอนเด็ก ๆ ฉันก็มีกับพี่รามเล่นกันสนุกมากขนาดไหน‘น้องลินพี่ขอโทษนะที่มาช้า พอดีพี่เพิ่งลางานได้’ พี่รามเอ่ยขอโทษขอโพยฉันทันที แม้ว่าตัวเองยังมีอาการหอบเหนื่อยจากการวิ่งมาเมื่อครู่‘ไม่เป็นไรค่ะ’ ฉันตอบพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ส่งไป‘อ้าว...ตารามมาถึงแล้วรึ ทำไมมาช้าจังล่ะ ป้าโทรไปบอกตั้งหลายวันแล้ว’ ส่วนป้านีที่เพิ่งเดินมาถึงหลังจากที่เห็นหลานชายตัวดีวิ่งมาแต่ไกล‘สวัสดีครับป้า ผมเพิ่งลางานได้ครับ พอดีที่บริษัทมีโปรเจกต์ใหญ่เลยต้องอยู่เคลียร์งานก่อน’ พี่รามยกมือไหว้ญาติผู้ใหญ่ของตน ก่อนจะเอ่ยอธิบายให้ผู้เป็นป้าฟัง'งั้นเหรอ เออ ถ้างั้นเดี๋ยวมาช่วยป้าเคลียร์ตรงนี้นะ เดี๋ยวเอารายการของพวกนี้ไปคืนวัดด้วย แล้วก็...บลาๆๆๆ' ป้านีสั่งการพี่รามชุดใหญ่ อย่างกับไม่ต้องกา
สองเดือนผ่านไป ~~“มึงได้ข่าวลินบ้างไหมว่ะ” ผมเอ่ยถามลูกน้องคนสนิทด้วยคำถามเดิมเฉกเช่นทุกครั้งยามที่มันเอาเอกสารมาให้เซ็นที่บ้าน“ยังเลยครับนาย แต่ผมก็ยังไม่ได้ให้ลูกน้องเลิกตามหาเลยนะครับ ทุกครั้งที่มีเบาะแสผมจะเป็นคนไปดูด้วยตัวเองตลอด เพียงแต่ว่า...” ริกพูดรายงานเหมือนเช่นเดิมทุกครั้ง อีกทั้งในน้ำเสียงนั้นก็ยังไม่อาจปิดบังความผิดหวังเอาไว้ได้ เนื่องด้วยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเขาเองก็แทบจะพลิกแผ่นดินหาคนที่เป็นดั่งหัวใจของเจ้านายตัวเอง เพียงแต่ว่ากลับไร้ซึ่งร่องรอยและไร้วี่แววเสมือนกับว่าเธอไม่เคยมีตัวตนมาก่อนบนโลกใบนี้“แล้วรามพี่ชายของลินล่ะ มึงได้ตามไปดูไหมเผื่อว่าเมียกูจะไปอยู่กับเขา” ผมถามไปถึงบุคคลอีกบุคคลหนึ่งที่ตอนนี้ได้ลาออกจากบริษัทผมไปตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องวันนั้นแล้ว ก่อนที่ตัวเองจะยกขวดแก้วใสที่ใส่น้ำสีอำพันสีเข้มกระดกปล่อยให้ของเหลวดีกรีร้อนแรงไหลลงคอต่อไป อย่างที่ต้องการจะให้มันได้เข้าไปดับความเจ็บปวดที่อยู่ข้างในให้บรรเทาเบาบางลงได้บ้างริกมองสภาพเจ้านายของตนด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ภาพของชายหนุ่มที่เคยสง่างามมีออร่าเปล่งประกายแต่ทว่า...ตอนนี้กลับมีสภาพเหมือนคนพเนจรไร้จุดหมา
ดวงตากลมโตค่อย ๆ เปิดปรือขึ้นมาอย่างช้า ๆ เพื่อปรับโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า กระทั่งเมื่อความทรงจำสุดท้ายได้พาดผ่านเข้ามาในโสตประสาท นั่นจึงทำให้ฉันถึงกับกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที พร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วด้วยความตกใจ“ทะ...ที่นี่ที่ไหนกัน” หัวใจดวงน้อยกระตุกวูบเมื่อพบว่าภาพบรรยากาศตรงหน้านั้นไม่เหมือนกับภาพของสถานที่สุดท้ายที่ตัวเองได้หมดสติลงไปเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากสถานที่ตอนนี้ฉันเหมือนกับอยู่บ้านพักที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่สถานีขนส่งอย่างก่อนหน้านี้จากนั้นเมื่อสติค่อย ๆ กลับคืนมา ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็ได้ฉายวาบเข้ามาในหัวใจทันที เมื่อนึกไปถึงใบหน้าของใครบางคนที่ใจร้ายด้วยกลัวว่าสุดท้ายแล้วฉันจะหนีจากเขาคนนั้นไม่พ้น และถูกเขาจับตัวกลับมาทรมานอีกครั้งเหมือนที่เขาเคยทำและในขณะที่ฉันกำลังคิดวิตกกังวลอยู่นั้น...เสียงที่เหมือนกับว่าจะเป็นเสียงเดียวกันกับที่ฉันได้ยินก่อนจะหมดสติไปก็ได้ดังขึ้นมาทันที“ฟื้นแล้วเหรอครับคุณลลิน เป็นยังไงบ้างครับยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่า ผมจะได้เรียกหมอให้มาตรวจดูอาการให้ครับ” ใบหน้าคมเข้มดูหล่อเหลาในแบบสไตล์ผู้ชายไทยได้ปรากฏขึ้นตรงหน้า พร
“มะ...ไม่มี...อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า”พี่น้ำค้างที่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ อีกทั้งยังรีบลนลานเดินไปหายังห้องน้ำด้วยความร้อนใจ เพื่อหวังว่าจะพบร่างเมียรักของผมอยู่ในนั้นแต่แล้วทันทีที่พี่น้ำค้างเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปแล้วพบเข้ากับความว่างเปล่าเหมือนที่ผมเจอ...เธอก็เริ่มงึมงำกับตัวเองอีกครั้งทันที...ใบหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดของผู้เป็นพี่สาว ยิ่งทำให้ชายหนุ่มที่มีความหวังในตอนแรกเพราะคิดว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่พี่สาวกลั่นแกล้งตนเท่านั้น เริ่มที่จะหวาดหวั่นในใจขึ้นมาด้วยกลัวว่าสิ่งที่ตนกำลังกังวลอยู่นั้นจะเป็นจริง“หะ...หาย...หายไปได้ยังไงก็ในเมื่อตอนแรกก่อนที่ฉันจะออกไปก็ยังเห็นนอนหลับอยู่เลยไม่ใช่เหรอ” พี่น้ำค้างหันมาถามผมแทนอีกทั้งสีหน้ายังแสดงอาการตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่บนพื้นจะเต็มไปด้วยของกินที่นำมาฝากคนป่วยที่บัดนี้ได้กระจัดกระจายหล่นเต็มไปทั่วทั้งพื้นเนื่องจากคนถือตกใจจนทำร่วงหล่น“นี่พี่ไม่รู้เรื่องที่ลินหายไปจริง ๆ เหรอ” ผมที่ยังคงคลางแคลงใจคนตรงหน้าอยู่เล็กน้อยเอ่ยถามย้ำเพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่การแสดงจากพี่สาว“ไอ้ดีน!! นี่แกจะบ้าเหรอ!! ฉันเนี้ยน่ะจะร
--- ดีแลน Talk ---หลังจากที่ผมจัดการชำระแค้นเรียบร้อย แม้ทุกอย่างมันจะไม่เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้และค่อนข้างจะผิดแผนไปนิด แต่ทว่า...คนที่ควรจะได้รับบทลงโทษก็สมควรได้รับหมดแล้ว และคงเหลือแค่เพียงผมเท่านั้นที่ต้องกลับไปรับโทษทัณฑ์จากคนที่ผมรักสุดหัวใจด้วยความเต็มใจสักทีผมจัดการควบรถหรูคู่ใจพุ่งทะยานไปยังจุดมุ่งหมายที่ใจปรารถนา และหวังเพียงว่าจะไปได้ทันพอที่เธอจะลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี ผมปรารถนาที่จะให้เธอตื่นมาพบกับผมเป็นคนแรกเพื่อที่ผมจะได้เสนอหน้าให้เธอเห็นแม้ว่าเธอจะไม่พอใจก็ตาม...ผมใช้เวลาไม่นานมากนักเจ้ารถหรูคู่ใจก็ได้พาผมมายังจุดมุ่งหมายปลายทางพร้อมกับหัวใจที่พองโตด้วยความคิดถึงคนร่างบางที่นอนพักผ่อนอยู่บนเตียง อีกทั้งตลอดระยะทางที่ขับรถมาผมก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียไปอย่างเปล่าประโยชน์ เพราะผมเองนั้นก็ได้ใช้เวลาช่วงนั้นในการขบคิดหาวิธีที่จะงอนง้อขอคืนดีกับเมียรักมาตลอดทาง ด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจและตั้งใจเอาไว้ว่าจะยอมรับผลของการกระทำแต่โดยดีถ้าหากเธอจะยังไม่ยอมให้อภัยในตอนนี้...ณ โรงพยาบาลชานเมืองหัวใจที่เบิกบานพองโตส่งให้เท้ายาวก้าวกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังห้องพักคนไข้ที่ข้างในกำลั
ณ โรงพยาบาลชานเมือง--- ลลิน Talk ---“นะ...น้ำ...ขอน้ำกินหน่อย” เสียงแหบแห้งที่หลุดออกมาจากริมฝีปากที่แห้งผาก ทำให้คนที่นั่งเฝ้าด้วยความเป็นห่วงอยู่ด้านข้าง ๆ ถึงกับรีบกุลีกุจอถามฉันทันที“น้องลิน...พี่อยู่นี่แล้วค่ะ” พี่น้ำค้างรีบเดินมาลูบหัวฉันเบา ๆ พร้อมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความสะเทือนใจยามที่เห็นสภาพอิดโรยของฉัน และยิ่งเจ็บใจเมื่อพานคิดไปว่าที่ฉันต้องมีสภาพเป็นแบบนี้นั่นก็เพราะฝีมือของน้องชายตัวเอง“พะ...พี่น้ำค้าง ละ...ลินขอน้ำกินหน่อยค่ะ” ฉันปรือตามองพร้อมกับขยับเรียวปากอีกครั้งถึงความต้องการของตัวเอง เนื่องจากตอนนี้รู้สึกริมฝีปากและคอแห้งผากไปหมด“อะ...อ๋อ...ได้จ้ะ...ได้” จากนั้นพี่น้ำค้างก็รีบหยิบน้ำให้ฉันกิน แล้วมองฉันด้วยแววตาที่คลอไปด้วยหยาดน้ำใสด้วยความรู้สึกสงสารจับใจ“ขะ...ขอบคุณค่ะ” ใบหน้าซีดเซียวเผยยิ้มหวานให้กับคนตรงหน้า ก่อนที่จะพยายามหยัดตัวลุกขึ้นเนื่องจากมีบางอย่างที่ต้องรีบบอกออกไปให้คนตรงหน้าได้รับรู้“อ่ะ...น้องลินค่อย ๆ นะคะ ระวังบาดแผลด้วยนะ” พี่น้ำค้างรีบเข้ามาประคองฉันให้ลุกขึ้นนั่งตามความต้องการของฉัน ก่อนที่เธอจะกดปรับเตียงนอนให้ตั้งขึ้นเพื่อให้ฉั
“กรี๊ดดดดดด ~~ อีลลินมันก็สกปรก มันก็นอนกับผู้ชายคนอื่น แล้วทำไม!! ทำไมถึงมีแค่ฉันที่สกปรกล่ะ ไม่...ไม่...ฉันไม่สกปรก ฉันสวย ฉันเพียบพร้อม ฉันมีหน้ามีตาในสังคม ฉันไม่ใช่เด็กกำพร้าไร้ยางอาย ฉันคือนางฟ้าของวงการไฮโซ กรี๊ดดดดดด ~~”เสียงหวีดร้องและอาการที่เหมือนกับคนไร้สติของหญิงสาวที่กรี๊ดออกมาไม่หยุดอย่างคนที่จบสิ้นแล้วทุกอย่างก็ทำให้คนที่เป็นพ่อแม่ถึงกับทรุดตัวลงตามเพื่อปลอบประโลมพร้อมกับร้องไห้ไปด้วยกันเนื่องจากสงสารลูกของตนเอง“มายา อย่าเป็นแบบนี้ซิลูก ฮือออออ ~~”“โธ่...มายา พ่อขอโทษ ฮึก...ฮึก ไปกันเถอะนะลูกใครไม่รักแต่พ่อรักลูกนะ”เสียงปลอบจากผู้สูงวัยทั้งสองที่ผลัดกันพูดกับคนที่ต่างฝ่ายต่างรักเหมือนกัน แต่น่าสงสารที่คำพูดเหล่านั้นเหมือนจะไปไม่ถึงหัวใจของคนที่ตนรักเลย เมื่อคำผรุสวาทที่ออกมาจากปากของหญิงสาวในประโยคถัดมาทำให้แม้กระทั่งผมยังตัวชาเพราะไม่คิดว่าเธอจะเสียสติได้ขนาดนี้“รักเหรอ...พ่อพูดคำนั้นออกมาได้ไงห๊ะ!! ไอ้พ่อไร้ประโยชน์!! แค่ลบล้างอดีตของกูยังทำไม่ได้มึงมีสิทธิ์อะไรมาอ้างความเป็นพ่อกับกู...ฮึก...ฮึก...มึงมันก็คิดถึงแค่หน้าตา แค่อำนาจ แค่ตำแหน่งจอมปลอมที่มีเอาไว้เชิด
ภาพแผ่นหลังของพ่อแม่ที่ต่างพากันประคองลูกสาวให้เดินออกไป แม้ว่าตัวผมจะรู้สึกขัดใจที่ไม่อาจลงโทษตัวตนเรื่องได้อย่างสาสมอย่างที่ใจต้องการ แต่เพราะเห็นแก่ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อหญิงสาวบวกกับในฐานะที่ผมเกือบจะได้เป็นพ่อคนนั้น จึงทำให้ผมเลือกที่จะกลั้นความโกรธเอาไว้แล้วปล่อยพวกเขาไปและในขณะที่พวกเขากำลังกึ่งดึงกึ่งลากลูกสาวของตนออกไปอยู่นั้น“ปล่อยหนูนะ...บอกให้ปล่อย!!” มายาที่สะบัดแขนพ่อแม่ของตนทิ้ง ก่อนจะหันกลับมาเพื่อเผชิญหน้ากับผมอีกครั้งอย่างคนที่ไม่เกรงกลัวอะไรอีกแล้ว“นี่ไง...กูกลับมาเจอหน้ามึงอีกครั้งแล้วนี่ไง ฆ่ากูเลยซิ!! ฆ่ากูเลย” ดวงตาเฉี่ยวจ้องมองผมอย่างแข็งกร้าว อีกทั้งยังกำมือแน่นอย่างไม่ยินยอมและไม่เกรงกลัวผมเลยแม้แต่น้อย“มายา...มึงอย่าท้ากูนะ!!” ผมชี้ปลายดาบที่ขึ้นสีเงินวาวตรงไปยังหน้าหญิงสาวที่ท้าทายด้วยความรู้สึกที่ไม่ประหวั่นกับคำท้านั้นเช่นกัน“กูไม่ได้ท้า แน่จริงก็ฆ่ากูเลยซิ หรือว่าความจริงแล้วมึงมันก็น่าตัวเมียเหมือนนิสัย!!” และคำพูดหญิงสาวที่เหมือนกับน้ำมันเติมเชื้อไฟโทสะก็ได้ราดรดลงมาสุมไฟที่ยังไม่มอดไหม้ให้ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง“ฮึ่ม...พวกมึงมาเอาลูกมึงไปให้พ้นหน
หญิงสาวที่มีความแค้นคับแน่นอยู่ในอกเพราะไม่เหลือซึ่งความหวังที่จะได้ครอบครองชายหนุ่มตรงหน้า ยิ่งส่งให้เธอระเบิดความบ้าคลั่งออกมาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด“ฮือออออ ฮ่าๆๆๆ สะใจจริงโว้ยยยยย...หึ...ดีแลนมึงอะมันหน้าโง่เหลือเกินทั้งที่มีกูที่เพียบพร้อมแล้วทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาในวงสังคม บารมีของครอบครัวที่จะช่วยหนุนมึงให้ขึ้นสูงกว่านี้ได้ แต่มึงก็เสือกไปเลือกมัน...อีคนชั้นต่ำไม่มีหัวนอนปลายเท้าแถมยังกำพร้าพ่อแม่อีกอย่างอีลลิน กูถามหน่อยเถอะว่านอกจากความซิงของมันแล้ว มันยังมีอะไรดีกว่ากูงั้นเหรอ...ห๊ะ!!”ความรู้สึกในใจพรั่งพรูออกมาจากปากของมายาที่เปลี่ยนจากร้องไห้เสียใจเป็นหัวเราะใส่หน้าผมอย่างคนบ้าคลั่ง พร้อมกับตัวเองที่พยายามหยัดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วปลดปล่อยตัวตนที่แท้จริงออกมา ก่อนที่เธอจะลอยหน้าลอยตาเย้ยหยันใส่ผมอย่างไม่เหลือมาดคุณหนูผู้ใสซื่ออีกต่อไป“หึ...มึงมันก็เหมือนกับไอ้พวกผู้ชายใจหมาพวกนั้นนั่นแหละที่เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น มึงก็แค่หลงอีลลินเพียงเพราะว่ามันมีสิ่งที่กูไม่มีนั่นก็คือความสดใหม่เท่านั้นเอง คนอย่างมึงมันก็เห็นค่าผู้หญิงแค่เท่านั้นนั่นแหละ มึงมันก็เหมือนกับผู้ช
ผมนึกไปถึงข้อมูลที่ได้รับรู้มาถึงวีรกรรมของบริกรสาวคนนี้ที่มักจะชอบอาสาเจ้าของร้านซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ชายของมายาทำเรื่องชั่ว ๆ ให้ตลอดเพื่อแลกกับเงิน โดยคนที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นพวกผู้หญิงที่ถูกวางยาเพื่อส่งไปสนองตัณหาของเจ้าของร้าน และเพราะด้วยอิทธิพลที่มีไม่น้อยของคนบงการจึงทำให้เหล่าบรรดาสาว ๆ ที่โดนวางยาต่างไม่กล้าไปแจ้งความและปล่อยให้เรื่องมันเงียบไป“อะ...เอ่อ...คะ...คือ” ก้อนคำพูดขึ้นมาติดอยู่ที่ลำคอของบริกรสาวทันทีอย่างคนมีพิรุธ และด้วยอากัปกิริยาที่แสดงออกมานั้น มันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดจนแทบอยากจะจัดการมันให้รู้แล้วรู้รอด“หึ...มึงไม่ต้องมาอ้ำอึ้งกูถามว่ามือไหน...มึงก็แค่ตอบคำถามกูมาแล้วกูจะพิจารณาไว้ชีวิตมึง” ผมถามย้ำเสียงเย็นด้วยความเบื่อหน่ายเต็มทน“มะ...มือ...มะ...ไม่มี...หนูไม่ได้ทำ” สายตาเลิ่กลั่กอีกทั้งเหงื่อกาฬที่ผุดไหลเต็มหน้าบ่งบอกได้ดีเลยว่าบรรดาความชั่วทั้งหลายที่มันเคยทำเอาไว้ในอดีตบัดนี้ได้ทยอยผุดขึ้นมาตอกย้ำความชั่วของมันแล้วส่วนผมที่เริ่มจะไม่สบอารมณ์เต็มทีก็ได้ตัดความรำคาญพยักหน้าให้ลูกน้องจับมือของบริกรสาวเอามาวางไว้ต่อหน้าผม และด้วยอารามของค