ตอนที่ 9 เล่นชู้!!
ฉันที่ยังคงจำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากนั้นฉันก็รีบตรงดิ่งกลับมาบ้านป้านีที่ได้ยืนรอฉันอยู่ก่อนแล้วก็ได้บอกว่าถึงข่าวร้ายที่เกิดขึ้นว่าตอนนี้พ่อของฉันท่านถูกส่งไปที่โรงพยาบาลแล้วเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยป้านีที่เป็นห่วงความรู้สึกของฉัน แกก็ได้ให้เหตุผลว่าตอนที่โทรไปที่ยังไม่ยอมบอกกับฉันทางโทรศัพท์ในตอนนั้น เพราะแกไม่อยากให้ฉันตกใจจนเป็นอันตรายไปจึงได้บอกให้ฉันมาเจอกันที่บ้านก่อน จากนั้นค่อยไปโรงพยาบาลพร้อมกันกับแก ส่วนฉันหลังจากที่ได้ฟังข่าวเกี่ยวกับพ่อของตัวเองแล้วนั้น ตัวฉันก็ถึงกับเกิดอาการช็อกจนสมองขาวโพลนตาลายแทบจะเป็นลมล้มลงไป โชคยังดีที่วินาทีนั้นฉันได้ป้านีปรี่เข้ามาประคองเรียกสติไม่ให้ดับวูบได้ทัน ไม่อย่างนั้นฉันคงได้เป็นลมหัวฟาดพื้นไปอย่างแน่นอน
จากนั้นป้านีก็รีบพาฉันไปยังโรงพยาบาลที่ส่งพ่อของฉันไปรักษาทันที แม้ว่าทั้งฉันและป้านีจะยังไม่รู้สถานการณ์ของพ่อที่แน่ชัดว่าตอนนี้อาการของท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ทว่า...ด้วยสายใยระหว่างพ่อลูกบางอย่าง อีกทั้งความรู้สึกข้างในที่มันวูบโหวงแปลก ๆ มันทำให้ฉันอดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ เมื่อความรู้สึกนั้นมันช่างไปคล้ายเหมือนเมื่อคราวที่แม่ของฉันท่านได้ทิ้งฉันไปเมื่อหลายปีก่อน
ฉันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพยายามข่มใจและความคิดอกุศลเอาไว้ไม่ให้ฟุ้งซ่าน ก่อนจะพาร่างวิ่งถลาไปตามทางเดินโรงพยาบาลที่ชี้ทางไปยังห้องฉุกเฉิน
‘คะ...คุณหมอค่ะ พะ...พ่อของหนู พ่อของหนูเป็นยังไงบ้างคะ ฮึก...ฮึก...’ ฉันตรงเข้าไปเขย่าแขนของคุณหมอสูงวัยที่เพิ่งออกมาจากประตูห้องที่อยู่ตรงหน้า
และด้วยห้องฉุกเฉินที่มีเพียงผู้ป่วยชายวัยกลางคนที่เพิ่งถูกส่งตัวมารักษาด้วยอาการเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เพียงคนเดียวเท่านั้น ทำให้คุณหมอที่ถูกถามจากญาติผู้ป่วยอย่างฉันรับรู้ได้ทันทีเลยว่าคนตรงหน้าถามถึงอาการของผู้ป่วยคนไหน อีกทั้งสีหน้าที่แสดงถึงความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจของคุณหมอก็เป็นคำตอบได้ดีเลยว่า...ไอ้ความคิดอกุศลเมื่อครู่นี้มันได้เกิดขึ้นจริงแล้ว
‘หมอเสียใจด้วยนะครับ’ คุณหมอพูดเพียงสั้น ๆ ก่อนจะโค้งหัวเล็กน้อยเพื่อแสดงความเสียใจกับการสูญเสียที่เกิดขึ้น ส่วนฉันที่เมื่อความรู้สึกจุกอกได้ทะลักตีตื้นมาคลอที่เบ้าตาแล้วนั้น ก็ไม่อาจจะต้านทานหยาดน้ำตาเหล่านั้นได้อีกต่อไป
‘ฮึก ฮึก ฮือออออ ~~’ ฉันปล่อยโฮร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใคร พร้อมกับร่างบางที่ทรุดกายลงไปนั่งกับพื้นอย่างคนที่หมดแล้วซึ่งความหวังทุกอย่าง นั่นก็เพราะว่า...นับจากวินาทีนี้ฉันได้เหลือแค่เพียงตัวคนเดียวบนโลกใบนี้อย่างเป็นทางการแล้ว...
‘ฮืออออออ ~~ ทำไมพ่อถึงต้องทิ้งหนูไปอีกคนด้วยล่ะคะ ทำไมไม่รอดูความสำเร็จของหนูก่อน ทำไมกันค่ะ หรือหนูเป็นเด็กไม่ดีเหรอ พ่อกับแม่ถึงได้ทิ้งหนูไปกันหมด ฮือออออ ~~’ ฉันพร่ำพรรณนาออกมาอย่างสุดจะอัดอั้น ภาพความทรงจำตั้งแต่ครั้งพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกกัน ได้ฉายวนมาให้ฉันได้รับรู้ว่าความจริงอันแสนเจ็บปวดอีกครั้ง
‘ฮืออออออ ~~ ลินยังน้อยใจพ่ออยู่นะคะ พ่อต้องกลับมาหาลินซิ กลับมาง้อลินเหมือนเมื่อตอนลินเด็ก ๆ ก่อนซิ กลับมาพาลินไปกินไอติมอร่อย ๆ ก่อนซิค่ะ ฮึก...ฮึก ฮือออออ ~~’ ฉันพรั่งพรูความรู้สึกที่มีข้างในออกมาอย่างไม่สนว่าใครจะมองด้วยสายตาแบบไหน เพราะถึงแม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาฉันอาจจะคิดว่าหัวใจของตัวเองด้านชาในเรื่องครอบครัวไปแล้ว แต่พอได้มาเจอกับสถานการณ์การสูญเสียพ่อขึ้นมาเข้าจริง ๆ มันก็ทำให้ฉันได้รับรู้ว่าที่แท้จริงแล้วฉันนั้นยังรักพ่อของฉันมาก มากจนเกินกว่าจะทำตัวให้ไร้ความรู้สึกกับการที่ต้องเสียท่านไปได้
ป้านีที่ทอดสายตามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยใจที่ปวดร้าว เธอที่เข้าใจถึงสถานการณ์ของเด็กสาวตรงหน้าทุกอย่างถึงกับอดที่จะแสดงความหดหู่ต่อสิ่งที่ได้พบได้เห็นในวันนี้ไม่ได้ นั่นก็เพราะเธอเองก็รับรู้เรื่องราวของเด็กสาวมาโดยตลอด นับตั้งแต่เด็กคนนี้ยังตัวกะเปี๊ยกเล็กนิดเดียวจนบัดนี้เติบใหญ่โตเป็นสาว อีกทั้งยังรู้เรื่องที่แม่ของเด็กสาวทิ้งไป รวมถึงเรื่องราวในรักครั้งใหม่ของคนเป็นพ่อที่เกิดขึ้นจนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกห่างเหินกัน
ความรู้สึกสงสารเข้าเกาะกินหัวใจหญิงวัยกลางคนอย่างป้านีทันที นั่นก็เพราะเธอเองรู้ดีถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องราวการสูญเสียในครั้งนี้
ย้อนไปไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ~~
ป้านีที่ได้ยินเสียงทะเลาะดังออกมาจากบ้านของเด็กสาว ด้วยความอยากรู้บวกกับเป็นห่วงคนในบ้านตามประสาบ้านใกล้เรือนเคียง ทำให้เธอแอบออกมาดูและได้พบกับความจริงที่ว่า ยุพินเมียใหม่ของพ่อเด็กสาวที่เธอรักและเอ็นดูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยหล่อนแอบ...เล่นชู้ อีกทั้ง ณ เวลานั้นก็ดันประจวบเหมาะกันกับที่พ่อของเด็กสาวกลับมาเห็นพอดี ทำให้เขาที่บันดาลโทสะขับรถไล่ตามชู้ที่ขับมอเตอร์ไซค์หนีออกไป จนตัวเองต้องมาพบกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้
หญิงวัยกลางคนได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาอย่างนึกสงสารในชะตากรรมของเด็กสาว ก่อนที่เธอจะเดินเข้าไปประคองร่างอันสั่นเทา แล้วโอบกอดปลอบประโลมให้ความอุ่นใจ
‘ไม่เป็นไรนะหนูลิน...พ่อเขาไปสบายแล้วนะ’ ป้านีเอ่ยปลอบฉันพร้อมกับลูบหัวอย่างแผ่วเบา แต่ทว่า...คำปลอบนั้นไม่อาจทำให้ความเจ็บปวดในหัวใจของฉันลดน้อยลงไปได้เลย
‘ฮึก ฮึก ป้านีค่ะ ลินไม่ดีตรงไหนเหรอคะ หรือว่าลินยังเป็นเด็กดีไม่พอเหรอคะ ทำไมทุกคนถึงทิ้งลินไปกันหมดเลย ฮึก...ฮืออออ ~~’ ฉันที่ยังคงเสียใจและนึกสงสัยในตัวเองว่าฉันมันเป็นนังเด็กตัวซวยหรือยังไงกัน เพราะนอกจากความเจ็บปวดจากเหตุการณ์ที่แม่ที่ทิ้งไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็ยังต้องมาเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องมาเสียพ่อไปอีกคน
‘ไม่คิดแบบนี้นะลูก...หนูลิแพศยา’ ป้านียังคงเอ่ยปลอบด้วยเสียงอันอบอุ่นแต่สั่นเครือพร้อมกับพยายามกลั้นน้ำตาแห่งความสงสารเอาไว้ไม่ให้ไหล เนื่องจากแม้ว่าตัวเองจะรู้สึกสงสารเด็กสาวตรงหน้าจับใจเพียงใด แต่เธอก็จะไม่ร้องไห้ออกมาจนทำให้เด็กสาวต้องเสียขวัญไปมากกว่านี้
จากนั้นไม่นาน ร่างอวบอั๋นของยัยแม่เลี้ยงแพศยาที่แสนจะร้ายกาจคนนั้นก็ได้มาถึงโรงพยาบาลแล้วทำการแสดงทันที
นังแม่เลี้ยงตัวร้ายเริ่มทำการแสดงด้วยท่าทีร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจ เธอแสดงจนใครต่อใครที่ไม่รู้ความจริงต่างมองมาด้วยสายตาสงสาร แต่ทว่า...มารยาที่เธอแสดงออกมานั้น กลับไม่ได้ทำให้ฉันแปลกใจเท่ากับที่ด้านข้างของเธอดันมีผู้ชายหน้าละอ่อนที่ฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนกำลังโอบประคองร่างยั่วยวนนั้นอยู่ จากนั้นเสียงของเจ้าหน้าที่พยาบาลก็ดังขึ้น...
‘ใครเป็นญาติผู้เสียชีวิตค่ะ’ พยาบาลสาวเอ่ยถามพร้อมกับมองกวาดสายตาไปทั่ว
‘ฉันค่ะ / ฉันค่ะ’ ทั้งฉันและนังผู้หญิงมารยาร้ายกาจต่างพูดออกมาพร้อมกันทันที
และก่อนที่ฉันจะทันได้ชี้แจงอะไรออกไปนั้น ผู้หญิงที่มีฐานะเป็นแม่เลี้ยงของฉันก็ได้เผยความจริงที่ทำให้ฉันถึงกับช็อกยิ่งกว่าถูกช็อตด้วยไฟฟ้าแรงสูง
ตอนที่ 10 เมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย‘ฉันเป็น...เมีย...ที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้เสียชีวิตค่ะ และนี่ค่ะเอกสารการจดทะเบียนสมรส’คำพูดพร้อมกับใบเอกสารที่ยื่นไปต่อหน้าเจ้าหน้าที่พยาบาล เปรียบเหมือนกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าลงมายังกลางศีรษะของฉัน อีกทั้งสายตาคู่นั้นที่แอบส่งมาเย้ยหยัน ยิ่งทำให้ฉันที่แทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ตั้งแต่ต้นถึงกับทรุดเข่าลงไปแทบจะในทันที ก่อนที่ตัวเองจะโชคดีที่ยังมีป้านีพุ่งตัวมาโอบประคองช่วยฉันไม่ให้ล้มลงไปได้ทัน... 'มะ...ไม่จริง' ฉันพึมพำเบา ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตนเองได้ยิน 'เป็นไปไม่ได้ พ่อหนูไม่มีวันจดทะเบียนสมรสกับคนอย่างอายุพินแน่นอน เอกสารนี้มันต้องเป็นของปลอมแน่ ๆ ฮึก...ฮึก...' หัวทุยที่ส่ายไปมาอย่างไม่อยากที่จะยอมรับความจริง ยิ่งทำให้คนที่ถือไพ่เหนือกว่าได้ใจ'อ๊ะ...นี่พ่อของเธอไม่ได้บอกหรอจ๊ะว่าเขาจดทะเบียนกับฉันน่ะ อะนี่...ถ้าไม่เชื่อก็ดูให้เต็มตาซะนะ' น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะใจถูกพ่นออกมาพร้อมกับหลักฐานที่เป็นใบทะเบียนสมรสยื่นมาตรงหน้าของฉันและคำพูดกับเอกสารตรงหน้าก็เป็นเหมือนไม้หน้าสามที่ตีแสกความจริงลงมากลางหน้าเนียนของฉัน และยิ่งเมื่อฉันได้พินิจเพ
ตอนที่ 11 ธาตุแท้!!‘น้องลิน...แฮ่กๆๆ’ เสียงคุ้นเคยที่ดูเหนื่อยหอบเอ่ยเรียกฉันดังมาจากด้านหลังทันทีที่ฉันหันไปตามเสียงก็พบว่าผู้ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาคือหลานชายป้านี พี่ข้างบ้านที่อายุมากกว่าฉันอยู่หลายปี‘อ้าวพี่ราม สวัสดีค่ะ’ ฉันยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม เพราะถึงแม้ว่าน่าจะนานเป็นปีแล้วก็ตามที่เราสองคนไม่ได้เจอกัน แต่ฉันยังจำได้ดีว่าตอนเด็ก ๆ ฉันก็มีกับพี่รามเล่นกันสนุกมากขนาดไหน‘น้องลินพี่ขอโทษนะที่มาช้า พอดีพี่เพิ่งลางานได้’ พี่รามเอ่ยขอโทษขอโพยฉันทันที แม้ว่าตัวเองยังมีอาการหอบเหนื่อยจากการวิ่งมาเมื่อครู่‘ไม่เป็นไรค่ะ’ ฉันตอบพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ส่งไป‘อ้าว...ตารามมาถึงแล้วรึ ทำไมมาช้าจังล่ะ ป้าโทรไปบอกตั้งหลายวันแล้ว’ ส่วนป้านีที่เพิ่งเดินมาถึงหลังจากที่เห็นหลานชายตัวดีวิ่งมาแต่ไกล‘สวัสดีครับป้า ผมเพิ่งลางานได้ครับ พอดีที่บริษัทมีโปรเจกต์ใหญ่เลยต้องอยู่เคลียร์งานก่อน’ พี่รามยกมือไหว้ญาติผู้ใหญ่ของตน ก่อนจะเอ่ยอธิบายให้ผู้เป็นป้าฟัง'งั้นเหรอ เออ ถ้างั้นเดี๋ยวมาช่วยป้าเคลียร์ตรงนี้นะ เดี๋ยวเอารายการของพวกนี้ไปคืนวัดด้วย แล้วก็...บลาๆๆๆ' ป้านีสั่งการพี่รามชุดใหญ่ อย่างกับไม่ต้องกา
ตอนที่ 12 อันตราย!!‘ป้า...อ่ะ...ทำไมไม่รั้งลินให้อยู่กับเราล่ะ ปล่อยให้กลับไปแบบนั้นมันอันตรายนะครับ’ รามเอ่ยบอกกับป้าของตนด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงคนร่างบางอย่างไม่ปิดบัง‘เห้ออออ แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ในเมื่อหลายปีมานี้หนูลินเขาเองก็เอาแต่เข้มแข็งมาโดยตลอดอีกทั้งไม่เคยเอ่ยปากพึ่งพาใคร หรือแม้แต่ระบายความในใจให้ป้าฟังเลยแม้สักครั้ง แล้วอีกอย่างป้าเองก็เป็นห่วงหนูลินไม่แพ้แกหรอกย่ะ...’ ป้านีบอกหลานชายอย่างถอดถอนใจ ก่อนจะมองตามหลังร่างบางไปโดยที่สายตาแสดงความเป็นห่วงไม่ต่างจากสายตาของหลานชายตนเสียงของทั้งสองป้าหลานลอยแว่วตามหลังฉันมาและทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันใจ แต่ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกตื้นตันใจกับความเป็นห่วงที่ทั้งสองป้าหลานมีให้ฉันมากแค่ให้ แต่ทว่า...ถึงยังไงฉันก็ต้องกลับไปที่บ้านของตัวเองอยู่ดี เพราะฉันเองก็ไม่อยากจะหลบหน้าหนีปัญญาที่เกิดขึ้น เพราะถ้าฉันหนีฉันก็คงต้องหนีไปตลอดชีวิต...ฉันเดินมาด้วยร่างกายที่โรยราเหนื่อยล้า จนกระทั่งสองขาพามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง ร่างกายที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูคล้ายกับขาที่ก้าวต่อไปไม่ออก สายตาที่จ้องมองไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวจนเผลอทำให้เกิดควา
ตอนที่ 13 คุกคาม!!พรึ่บ!!ฉันที่เพิ่งนึกได้ว่า ณ ตอนนี้ไม่สมควรที่จะมีใครโอบอุ้มร่างกายฉันได้อยู่ และเมื่อได้เบิกตาโพล่งขึ้นดูก็พบกับความจริงที่ว่าตอนนี้ฉันกำลังถูกคู่ขาของอดีตแม่เลี้ยงอุ้มอยู่ในท่าเจ้าสาว‘กรี๊ดดดดดดดดด ~~’เสียงร้องออกด้วยความตกใจ พร้อมกับร่างกายที่ออกแรงดิ้น‘นะ...นี่แกเข้ามาได้ยังไงกัน...ปล่อยฉันนะ...กรี๊ดดดดด ปล่อยนะ ฉันบอกให้ปล่อย!!’ ฉันที่กรีดร้องออกมาสุดเสียง ก่อนจะพยายามดีดดิ้นออกจากอ้อมแขนของคนร่างโตที่มองฉันด้วยสายตาไม่น่าไว้ใจ‘แหม...ทำไมล่ะจ๊ะ...พี่แค่เห็นน้องนอนหลับอยู่ที่พื้นก็กลัวว่าพื้นมันเย็นเดี๋ยวจะไม่สบายไปก็เลยมาช่วยอุ้มเพื่อจะเอาไปวางบนที่นอน จะได้ไปนอนบนที่นอนดี ๆ แค่นี้ทำไมต้องร้องเอะอะโวยวายด้วย...หืมมม...หึหึ’ ผู้ชายร่างสูงโปร่งหุ่นดีมีกล้ามแบบฉบับคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เอ่ยบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกะลิ้มกะเหลี่ยน่าขยะแขยง‘ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ แล้วออกไปจากห้องฉันด้วย...’ ฉันที่ยังคงขัดขืนดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของคนที่กำลังอุ้มฉันอยู่ โดยที่มันเองก็ยิ่งออกแรงรัดตัวฉันมากยิ่งขึ้น จนหน้าเราสองคนยิ่งเข้าใกล้กัน แต่ทว่า...คนที่มันคิดไม่ดี ถ
ตอนที่ 14 หนีเอาตัวรอด...ป้านีคิดด้วยความรู้สึกที่เบาใจขึ้นก่อนจะยื่นรอให้เด็กสาวเดินลงมายังจุดเดิม...‘ป้านีค่ะ’ (o_o) ฉันเรียกชื่อป้านีเบา ๆ ด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำเนื่องจากตนเองยังไม่หายตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น‘ยังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ป่ะ...เราไปคุยกันที่บ้านป้าดีกว่านะ’ ป้านีรีบเข้ามาโอบกอดฉันหลังจากเห็นหน้าที่ซีดเผือดพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำของฉัน จากนั้นป้านีก็พาฉันเดินออกมาจากบ้านเพื่อไปที่บ้านของท่านทันที โดยเมื่อเราสองคนออกมาก็พบเข้ากับพี่รามที่ยืนคอยชะเง้อคอมองรออยู่ที่หน้าด้วยความเป็นห่วงอยู่นานแล้วและทันทีที่พี่รามเห็นฉันถือถุงเสื้อผ้ากับข้าวของออกมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขาก็รีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยถือของทันที ก่อนจะเดินมากระซิบกระซาบที่ด้านข้างป้านีด้วยความอยากรู้‘เป็นไงบ้างครับป้า มันทำอะไรน้องลินหรือเปล่า ผมนี่ตั้งใจว่าถ้าหากป้ายังไม่ออกมาอีกแค่นาทีเดียวนะ ผมจะบุกเข้าไปแล้วเนี้ย’ พี่รามพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างไม่คิดจะล้อเล่นส่วนป้านีที่ได้แต่ส่งสายตาเอ็ดให้พี่รามกลับไป เนื่องจากท่านกลัวว่าฉันจะรู้สึกอึดอัดใจ เพราะเพิ่งเจอกับเหตุการณ์ไม่ดีมาเมื่อครู่นี้อยู่เมื่อเ
ตอนที่ 15 สูญเสียเพื่อปกป้อง‘และอสังหาฯ สุดท้ายนั่นก็คือบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่...เนื้อที่...ที่เป็นสมบัติพัสถานเพียงชิ้นเดียวของข้าพเจ้าฯ ข้าพเจ้าฯ ขอยกให้...’ ในขณะที่ฉันไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนอกเหนือจากสิ่งที่ฉันคิดเอาไว้ เพราะไม่ว่ายังไงบ้านหลังนี้ก็คงต้องตกเป็นของฉันแน่นอนอยู่แล้ว และด้วยคำพูดสุดท้ายของทนายก็เป็นเหมือนดั่งสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมายังกลางใจของฉัน‘ข้าพเจ้าฯ ขอยกให้กับ...นางยุพิน...ผู้ที่เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของข้าพเจ้า’ (OoO)สิ้นเสียงของทนายฉันถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หัวใจที่คิดว่าแข็งแรงขึ้นแล้วของฉันกลับถูกเหยียบซ้ำอีกครั้งไม่เหลือชิ้นดีบ้านที่เป็นดั่งสิ่งของแทนใจระหว่างพ่อกับแม่ของฉัน กลับถูกยกให้ผู้หญิงคนอื่นอย่างไร้เยื่อใย ฉันที่ได้แต่นั่งอึ้งยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงทำกับฉันแบบนี้ได้ลงคอ ทั้งที่ฉันเป็นลูกคนเดียวของท่าน บ้านที่เป็นดั่งสถานที่แห่งความทรงจำของครอบครัวเรา ทำไมพ่อถึงยกให้กับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย...ทำไมพ่อถึงไม่คิดถึงจิตใจของฉันบ้างเลย...หรือว่าแท้ที่จริงแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่แม่ทิ้งพวกเราไป พ่อเ
ตอนที่ 16 วันที่หลุดพ้นหลายเดือนผ่านไป ~~และแล้ววันเวลาก็ได้ผ่านไปจวบจนจะครบปี กระทั่งวันนี้ก็ได้มาถึงวันที่ฉันกำลังจะเรียนจบการศึกษา แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกอย่างจะดูราบรื่นไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับฉันก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่าไอ้ชู้รักคู่ขาของอดีตแม่เลี้ยงของฉัน ที่ผ่านมามีหลายครั้งที่มันมักจะพยายามหาโอกาสเข้ามาใกล้ฉัน มาพูดจาแทะโลม กะลิ้มกะเหลี่ยใส่ฉัน ด้วยทั้งคำพูดและสายตาอยู่เสมอ และด้วยพฤติกรรมเหล่านั้นของมันก็ทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงเต็มทน...แต่สุดท้ายแล้ววันนี้ก็ได้มาถึง วันนี้ที่ฉันอยู่ในชุดจบการศึกษาและยังได้มีรอยยิ้มที่สดใสที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา แต่ถึงแม้ว่าวันนี้มันจะเป็นวันที่ฉันมีความสุขมากเพียงใดก็ตาม แต่ทว่า...มันก็เป็นอีกวันที่ฉันรู้สึกวูบโหวงในใจขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็เพราะว่าวันนี้มันเป็นวันเดียวกันกับที่ฉันต้องเสียบ้านของพ่อแม่ไปให้กับผู้หญิงที่น่ารังเกียจคนนั้นและถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกเศร้าใจที่จะต้องเสียบ้านอันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำหลังนั้นไปให้กับคนที่ฉันไม่ชอบหน้า แต่ก็น่าแปลกตรงที่ว่าฉันเองกลับไม่มีความรู้สึกอยากจะอยู่บ้านหลังนั้นแ
ตอนที่ 17 รู้ใจ‘พี่รามว่าไงนะคะ??’ ฉันที่เหมือนได้ยินคนตัวโตพึมพำอะไรบางอย่าง ก็ได้เอ่ยถามด้วยความสงสัย‘หะ...ห๊ะ...ปะ...เปล่า...มะ...ไม่มีอะไร’ พี่รามถึงกับรีบตอบปฏิเสธตะกุกตะกักทันควัน แต่ก็ยังเต็มไปด้วยท่าทีที่มีพิรุธส่วนป้านีที่ได้แต่ยืนขำให้กับท่าทางเงอะ ๆ งะ ๆ ของหลานชายตัวเอง ที่ดูท่าว่าวันนี้น่าจะเสียอาการพอดูจากนั้นพี่รามที่พยายามเบี่ยงเบนประเด็นให้ออกไปจากการโจมตีด้วยคำพูดของป้านี ก็ได้เอ่ยถามฉันขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย‘นะ...น้องลินจะถ่ายรูปอีกไหมครับเดี๋ยวพี่ถ่ายให้’ ‘ได้เลยค่ะ รบกวนด้วยนะคะพี่ราม ป้านีค่ะ...วันนี้มาถ่ายรูปกับลินเยอะ ๆ เลยนะคะ’ (^-^) ฉันบอกผู้ใหญ่ที่ฉันรักเพียงคนเดียวในตอนนี้ด้วยใบหน้าแช่มชื่นแต่ป้านีที่แม้ว่าใจจะสู้ แต่ทว่า...สังขารนั้นกลับไม่ไหวแล้ว ก็ได้เอ่ยตอบปฏิเสธหญิงสาวไป พร้อมกับเปิดทางให้หลานชายตัวเองอย่างรู้งาน‘หนุ่มสาวไปถ่ายด้วยกันเถอะ ป้าแก่แล้วเดินไม่ไหวขอนั่งหลบแดดตรงนี้ก่อนแล้วกัน’ ป้านีที่แม้ว่าใจจะอยากเดินไปถ่ายรูปด้วยแต่ก็เลือกที่จะปฏิเสธออกไป นั่นก็เพราะไม่ใช่แค่แกที่รู้สึกเวียนหัวให้กับผู้คนมากมายที่อยู่ในงานรับปริญญาเท่านั้น
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ
หลายปีผ่านไป ~~“ฮึก...ฮึก...พี่แดนไม่ไปไม่ได้เหรอลูก ฮือออออ ~~ พี่ดีน ลินไม่อยากให้ลูกไปเลย”ฉันร้องไห้หลังจากวันนี้เป็นวันที่ฉันต้องส่งลูกให้ไปอยู่กับพ่อสามีที่เป็นชีคอยู่ที่ประเทศประเทศหนึ่งของแถบตะวันออกกลาง แต่ทว่า...ลูกชายของฉันนอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานของฉันแล้วยังดูท่าว่าอยากจะไปเสียเต็มที“แม่ครับอย่าร้องไห้ซิ ถ้าแม่คิดถึงก็บินไปพี่แดนได้นี่น่าเดี๋ยวพี่แดนให้ท่านปู่ส่งเครื่องบินส่วนตัวมารับ หรือเอาไว้ถ้าพี่แดนฝึกขับเครื่องบินเก่งแล้วเมื่อไรเดี๋ยวเอาไว้พี่แดนบินกลับมาหาดีไหมครับ” ลูกชายตัวน้อยที่บัดนี้เติบโตเริ่มเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่มแถมรูปร่างยังสูงมากกว่าฉันโอบกอดปลอบฉัน จนกลายเป็นฉันที่ซุกหน้าเข้ากับอกลูกเหมือนเด็กน้อยแทน“ฮืออออ ~~ แต่แม่ไม่อยากให้ลูกไปเลยนี่ครับ” ฉันยังกอดลูกชายแน่นโดยที่ด้านหลังของเขาได้มีร่างของผู้ชายที่เป็นพ่อสามีฉันมายืนรอรับลูกชายของฉันไป“พี่แดนก็ยังอยู่กับแม่เสมอนะครับ” ลูกชายตัวน้อยที่เคยจ้ำม่ำใช้มือที่ใหญ่ขึ้นปาดน้ำตาของฉันพร้อมกับส่งยิ้มหวานที่เหมือนกับพ่อและปู่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน“ไม่ต้องห่วงนะ เรารับรองได้เลยว่าเราจะดูแลแดเนียลให้ดีที่สุด” ท่า
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ~~ฉันได้รับอนุญาตจากพี่น้ำค้างให้กลับบ้านได้แล้ว และทันทีที่ถึงบ้านฉันที่มัวแต่เป็นห่วงลูกในท้องจนเพิ่งจะมานึกออกถึงเรื่องของแม่ตัวเอง“พี่ดีนค่ะ...” ฉันเรียกชื่อผู้เป็นสามีเบา ๆ ก่อนจะเสหน้าหลบเล็กน้อยด้วยความลังเลที่เกิดขึ้นว่าควรจะถามออกไปดีไหม เนื่องจากกลัวว่าเขาอาจจะยังโกรธเคืองแม่ของฉันอยู่“ว่าไงครับ...ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือว่ายังรู้สึกเจ็บที่ท้องอยู่ให้พี่พาไปโรงพยาบาลเอาไหม” ส่วนพี่ดีนที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลเขาดูแลฉันไม่ห่างกาย แม้ว่าจะได้รับคำยืนยันจากปากหมออย่างพี่น้ำค้างแล้วว่าทั้งฉันและลูกปลอดภัยดี แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเขายังมีความกังวลอยู่“ปะ...เปล่าค่ะ ลินไม่เจ็บแล้วค่ะ” ฉันรีบปฏิเสธออกไป ก่อนจะทำท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆแต่ทว่า...เขาที่มักจะรู้ใจฉันดีว่าฉันคิดอะไรและกังวลใจเรื่องอะไรอยู่ ก็ได้พูดออกมาก่อน“จะถามเรื่องแม่ของลินใช่ไหม” เขาเอ่ยปากด้วยสีหน้าเหมือนกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร และนั่นก็ทำให้ฉันพยักหน้ารับออกไปทันที“พี่จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่มายุ่งกับลินและลูกอีก” คนตัวโตพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนรน“พะ...พี่ดีนทำ
“ไม่มีเหรอ...ชิ...ดูสภาพแกตอนนี้จะมาบอกว่าไม่มีเงินใครหน้าไหนมันจะไปเชื่อ ผัวแกทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเขารวยแค่ไหน ทำไม...คนเป็นแม่อย่างฉันจะมาขอค่าน้ำนมหน่อยไม่ได้หรือไง...ห๊ะ!! ยัยลิน!!” แม่ฉันระเบิดอารมณ์ออกมาพร้อมกับตรงเข้ามาบีบแขนฉันแน่น“มันไม่เกี่ยวกับเขาเลยนะคะ เขาจะรวยมันก็เงินเขาหามา” ฉันที่ทนให้แม่บีบแขนอยู่อย่างนั้นแม้ว่ามันจะเจ็บมากก็ตาม แต่ทว่า...มันไม่ได้เจ็บไปมากกว่าที่หัวใจฉันเจ็บตอนนี้เลยและในจังหวะเดียวกันนั้นเอง พี่ริกที่วิ่งมาทางพวกเราพร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างกับคุณดีน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเท่ากับผู้หญิงตรงหน้า“เกี่ยวซิ...ทำไมจะไม่เกี่ยวฉันเป็นแม่ของแก เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของแก แต่แกไม่คิดจะตามหาฉันมาร่วมงานแต่งงานของแกเลยสักนิด...เหอะ...ปล่อยให้ฉันต้องทนลำบากอยู่ได้ตั้งนาน” แม่ฉันพูดพลางมองบริษัทของคุณดีนไปทั่วด้วยแววตามีความหมายส่วนฉันที่แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันดีใจมากแค่ไหนในแวบแรกที่ได้เจอแม่ แต่พอได้มาเห็นพฤติกรรมของท่านที่ไม่เหลือเค้าคนเป็นแม่ที่ฉันเคยรู้จัก มันก็ทำให้ฉันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าฉันไม่ควรขุดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เคยมีต่อตัวท่