ตอนที่ 13 คุกคาม!!
พรึ่บ!!
ฉันที่เพิ่งนึกได้ว่า ณ ตอนนี้ไม่สมควรที่จะมีใครโอบอุ้มร่างกายฉันได้อยู่ และเมื่อได้เบิกตาโพล่งขึ้นดูก็พบกับความจริงที่ว่าตอนนี้ฉันกำลังถูกคู่ขาของอดีตแม่เลี้ยงอุ้มอยู่ในท่าเจ้าสาว
‘กรี๊ดดดดดดดดด ~~’
เสียงร้องออกด้วยความตกใจ พร้อมกับร่างกายที่ออกแรงดิ้น
‘นะ...นี่แกเข้ามาได้ยังไงกัน...ปล่อยฉันนะ...กรี๊ดดดดด ปล่อยนะ ฉันบอกให้ปล่อย!!’ ฉันที่กรีดร้องออกมาสุดเสียง ก่อนจะพยายามดีดดิ้นออกจากอ้อมแขนของคนร่างโตที่มองฉันด้วยสายตาไม่น่าไว้ใจ
‘แหม...ทำไมล่ะจ๊ะ...พี่แค่เห็นน้องนอนหลับอยู่ที่พื้นก็กลัวว่าพื้นมันเย็นเดี๋ยวจะไม่สบายไปก็เลยมาช่วยอุ้มเพื่อจะเอาไปวางบนที่นอน จะได้ไปนอนบนที่นอนดี ๆ แค่นี้ทำไมต้องร้องเอะอะโวยวายด้วย...หืมมม...หึหึ’
ผู้ชายร่างสูงโปร่งหุ่นดีมีกล้ามแบบฉบับคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เอ่ยบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกะลิ้มกะเหลี่ยน่าขยะแขยง
‘ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ แล้วออกไปจากห้องฉันด้วย...’ ฉันที่ยังคงขัดขืนดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของคนที่กำลังอุ้มฉันอยู่ โดยที่มันเองก็ยิ่งออกแรงรัดตัวฉันมากยิ่งขึ้น จนหน้าเราสองคนยิ่งเข้าใกล้กัน แต่ทว่า...คนที่มันคิดไม่ดี ถ้ามันลองได้เข้ามาได้ถึงขนาดนี้แล้วล่ะก็ มันคงไม่ยอมที่จะละถอยไปได้ง่าย ๆ แน่
‘ฟืดดดดด ~~ กลิ่นตัวห๊อมมม...หอม แบบนี้มันน่า...’ ผู้ชายน่ารังเกียจที่อุ้มฉันอยู่ทำทีเป็นสูดดมกลิ่นกายจนฉันยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน
คู่ขาแม่เลี้ยงของฉันยังคงโอบอุ้มฉันไม่ยอมปล่อย ส่วนฉันที่ยิ่งออกแรงดิ้นก็เหมือนจะเสียแรงเปล่า
‘นี่...นายถ้ายังไม่ยอมปล่อยฉันลง ฉันจะตะโกนเรียกให้อายุพินได้ยินเลยคอยดู’ ฉันที่ไม่ได้แค่ขู่ แต่สายตาก็ส่งบอกออกไปว่าฉันเอาจริง
‘หึหึ...ตอนนี้พี่ยุพินเขาไม่อยู่หรอกจ้ะน้อง เขาไปซื้อของกินน่ะ ไม่งั้นที่น้องแหกปากออกไปเมื่อกี้นี้ น้องคิดว่าพี่เขาจะไม่ได้ยินเหรอ...หืมมมมม ~~’ คนร่างโตเอ่ยเย้ยหยันฉันอย่างคนมีชัย ก่อนจะทำตัวชั่วร้ายต่อโดยการค่อย ๆ ก้มใบหน้าลงมาใกล้แก้มนวลของฉัน
และในจังหวะนั้นเองที่ฉันพยายามเบนหน้าหนี ฉันที่ได้เอามือยันไปที่ใบหน้าของเขาเพื่อเป็นการป้องกันด่านสุดท้ายไม่ให้ริมฝีปากอันน่าขยะแขยงได้ลงมาจรดที่แก้มของฉันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงที่เป็นดั่งระฆังช่วยชีวิตฉันไว้ก็ได้ดังขึ้น...
‘หนูลินลูก!!...หนูลิน!!...ป้ามาชวนกินข้าว’ เสียงป้านีดังขึ้นอยู่ที่หัวบันไดชั้นล่างของบ้าน และเสียงนั้นก็ทำให้คู่ขาอดีตแม่เลี้ยงของฉันถึงกับรีบยอมปล่อยให้ฉันลงพื้น พร้อมกับรีบเดินออกไปจากห้องฉันทันที
ฟู่ววววว ~~
ฉันที่หน้าเสียใจสั่นนั่งทรุดตัวลงกับพื้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก โดยที่หัวใจยังคงเต้นระรัวด้วยความกลัวกับอันตรายที่เพิ่งเจอสด ๆ ร้อน ๆ
และด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และสถานการณ์ที่ดูจะไม่ปลอดภัยสำหรับฉันในตอนนี้ ทำให้ฉันตัดสินใจที่จะขอความช่วยเหลือจากป้านีโดยการไปขออาศัยอยู่บ้านป้าสักระยะก่อน รอให้กฎหมายเคลียร์เรื่องทรัพย์สินทุกอย่างของพ่อของฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานั้นไอ้อีผีเน่าโลงผุสองตัวนั้นคงจะยอมออกจากบ้านไปแต่โดยดี...
เมื่อฉันคิดทบทวนดีแล้ว ฉันก็รีบเก็บเสื้อผ้าและของใช้จำเป็นบางส่วน ก่อนจะรีบลงไปด้านล่างเพื่อไปหาป้านีทันที
ส่วนป้านีที่เมื่อได้เห็นท่าทีดูรีบร้อนของฉันท่านก็พอจะเดาสถานการณ์ออกได้ว่าฉันน่าจะกำลังสุ่มเสี่ยงโดนทำมิดีมิร้ายอย่างแน่นอน ก่อนที่ผู้หญิงวัยกลางคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนจะเม้มปากเน้นด้วยความแค้น พร้อมกับนึกขอบใจตัวเองที่ได้ฉุกคิดเอาไว้ทันว่าเด็กสาวข้างบ้านที่ตนเอ็นดูเมื่อกลับบ้านมาจะต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้อย่างแน่นอน...เพียงแต่ว่าตนเองก็ไม่คาดคิดว่าไอ้หนุ่มที่เป็นคู่รักใหม่ของอดีตแม่เลี้ยงเด็กสาวมันจะใจกล้าอาจหาญคิดจะทำร้ายหญิงสาวได้เร็วขนาดนี้
ป้านีมองหน้าเด็กสาวก่อนจะนึกย้อนไปหลังจากที่เด็กสาวตรงหน้าได้ขอตัวกลับไปยังบ้านของตัวเอง จากนั้นตนที่กำลังทำอาหารมื้อเย็นกินกับหลานชายอยู่ก็พานนึกอดเป็นห่วงเด็กสาวไม่ได้ เพราะว่าทำไมคนอย่างตนจะดูไม่ออกว่าไอ้หนุ่มคนใหม่ที่มาอยู่ด้วยกันกับแม่เลี้ยงของเด็กสาวนั่นช่างมีท่าทางไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
โดยเฉพาะเมื่อแกตัดสินใจแอบไปดูด้วยความเป็นห่วงแล้วพบว่าเมื่อทันทีที่แม่เลี้ยงของเด็กสาวไปออกจากบ้านเพื่อไปซื้อของกิน จนทิ้งเพียงชู้รักหนุ่มที่เอาเข้าบ้านมาตั้งแต่ผัวเพิ่งตายให้อยู่เพียงลำพังกับลูกเลี้ยง และนั่นก็ยิ่งทำให้แกอดเป็นห่วงเด็กสาวไม่ได้
หลังจากกลับมาบอกหลานชายให้เตรียมตัวเอาไว้เพราะตนเองได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไปตามเด็กสาวที่บ้านหลังนั้น จากนั้นแกก็รีบเดินตรงไปยังบ้านของเด็กสาวทันทีด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่ม เท้าของหญิงวัยกลางคนที่ยิ่งรีบสาวก้าวอย่างไว แม้ว่าขาจะอ่อนแรงตามอายุจนเดินได้ไม่ทันใจ แต่สุดท้ายไอ้เท้าทั้งสองข้างก็ได้พาเข้าไปจนถึงข้างในบ้านได้ทันจนเผลอตัวลืมไปว่าตัวเองอาจจะถูกตั้งข้อหาบุกรุกเอาได้
แต่ไม่ว่ายังไงสุดท้ายแล้วสิ่งที่ตนเองตัดสินใจมันก็ถูกต้องที่สุด เมื่อทุกอย่างดันเป็นไปตามที่แกคาดการณ์เอาไว้ นั่นก็เพราะทันทีที่แกเข้ามาในบ้านแล้วพบว่าชั้นล่างไม่มีใครอยู่เลย แถมทีวีก็ยังถูกเปิดทิ้งไว้โดยที่ไม่มีใครนั่งดู ด้วยสถานการณ์ที่ดูน่าหวาดหวั่นนั้นยิ่งทำให้หัวใจของหญิงวัยกลางคนเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะทันที
โดยเฉพาะ...เมื่อหูของแกได้ยินเสียงกรีดร้องจากคนที่กำลังเป็นห่วงอยู่ ณ เวลานี้ดังมาจากด้านบนชั้นสอง...
‘นะ...นี่แกเข้ามาได้ยังไงกัน...ปล่อยฉันนะ...กรี๊ดดดดด ปล่อยนะ ฉันบอกให้ปล่อย!!’
เสียงของเด็กสาวที่ดังขึ้นยิ่งเร่งเร้าให้หญิงวัยกลางคนอยู่ไม่สุขจนเดินเป็นหนูติดจั่น
‘ตายแล้ว ฉันจะทำยังไงดีเนี้ย ถ้าไปตามเจ้ารามตอนนี้มันจะทันการณ์หรือเปล่านะ’ ป้านีที่เดินกระสับกระส่ายไปมาอย่างคนตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก พร้อมกับขบคิดอย่างหัวจะระเบิดว่าจะตัดสินใจทำอย่างไรดี เพราะเพียงลำพังตัวแกเองคงไม่มีแรงจะไปสู้กับคนหนุ่มแรงเยอะแบบนั้นได้อีกทั้งยังมีรูปร่างกำยำเพราะออกกำลังกายสม่ำเสมออีกด้วย
และในจังหวะที่ทุกอย่างดูจะจวนตัวไปเสียหมด แกที่ตัดสินใจ ณ เดี๋ยวนั้นว่าคงจะต้องเสี่ยงทำอะไรสักอย่างแล้วเพราะไม่อย่างนั้นเด็กสาวคงได้เสียทีให้กับคนชั่วอย่างแน่นอน
ทันทีที่สมองสั่งการออกมาแบบนั้น ก็ทำให้หญิงวัยกลางคนตะโกนออกไปอย่างสุดเสียงอย่างต้องการจะให้คนที่คิดทำมิดีมิร้ายกับเด็กสาวที่แกเอ็นดูตกใจ...!!
‘หนูลินลูก!!...หนูลิน!!...ป้ามาชวนกินข้าว’
ตุบ...ตึงๆๆๆ
เสียงที่เหมือนกับของหล่นดังมาจากด้านบน พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เหมือนกับก้าวเท้าเร็ว ๆ ทำให้ป้านีลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เมื่อการกระทำของแกได้ผลเป็นไปอย่างที่แกคิดเอาไว้ อีกอย่างแกก็คิดว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นมันคงยังไม่กล้าทำอะไรเด็กสาวตอนนี้แน่ ๆ อย่างมากก็คงจะหยอกเย้าเอาพอหอมปากหอมคอเท่านั้น เพราะมันยังต้องการเกาะยัยผู้หญิงที่เพิ่งได้สมบัติก่อน คงยังไม่พร้อมเสียแหล่งขุมทรัพย์ไปตอนนี้แน่ ๆ ถ้าหากมันทำบุ่มบ่ามโดยการปล้ำอดีตลูกเลี้ยงของบ่อเงินบ่อทองอย่างหญิงสาว
ตอนที่ 14 หนีเอาตัวรอด...ป้านีคิดด้วยความรู้สึกที่เบาใจขึ้นก่อนจะยื่นรอให้เด็กสาวเดินลงมายังจุดเดิม...‘ป้านีค่ะ’ (o_o) ฉันเรียกชื่อป้านีเบา ๆ ด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำเนื่องจากตนเองยังไม่หายตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น‘ยังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ป่ะ...เราไปคุยกันที่บ้านป้าดีกว่านะ’ ป้านีรีบเข้ามาโอบกอดฉันหลังจากเห็นหน้าที่ซีดเผือดพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำของฉัน จากนั้นป้านีก็พาฉันเดินออกมาจากบ้านเพื่อไปที่บ้านของท่านทันที โดยเมื่อเราสองคนออกมาก็พบเข้ากับพี่รามที่ยืนคอยชะเง้อคอมองรออยู่ที่หน้าด้วยความเป็นห่วงอยู่นานแล้วและทันทีที่พี่รามเห็นฉันถือถุงเสื้อผ้ากับข้าวของออกมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขาก็รีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยถือของทันที ก่อนจะเดินมากระซิบกระซาบที่ด้านข้างป้านีด้วยความอยากรู้‘เป็นไงบ้างครับป้า มันทำอะไรน้องลินหรือเปล่า ผมนี่ตั้งใจว่าถ้าหากป้ายังไม่ออกมาอีกแค่นาทีเดียวนะ ผมจะบุกเข้าไปแล้วเนี้ย’ พี่รามพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างไม่คิดจะล้อเล่นส่วนป้านีที่ได้แต่ส่งสายตาเอ็ดให้พี่รามกลับไป เนื่องจากท่านกลัวว่าฉันจะรู้สึกอึดอัดใจ เพราะเพิ่งเจอกับเหตุการณ์ไม่ดีมาเมื่อครู่นี้อยู่เมื่อเ
ตอนที่ 15 สูญเสียเพื่อปกป้อง‘และอสังหาฯ สุดท้ายนั่นก็คือบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่...เนื้อที่...ที่เป็นสมบัติพัสถานเพียงชิ้นเดียวของข้าพเจ้าฯ ข้าพเจ้าฯ ขอยกให้...’ ในขณะที่ฉันไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนอกเหนือจากสิ่งที่ฉันคิดเอาไว้ เพราะไม่ว่ายังไงบ้านหลังนี้ก็คงต้องตกเป็นของฉันแน่นอนอยู่แล้ว และด้วยคำพูดสุดท้ายของทนายก็เป็นเหมือนดั่งสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมายังกลางใจของฉัน‘ข้าพเจ้าฯ ขอยกให้กับ...นางยุพิน...ผู้ที่เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของข้าพเจ้า’ (OoO)สิ้นเสียงของทนายฉันถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หัวใจที่คิดว่าแข็งแรงขึ้นแล้วของฉันกลับถูกเหยียบซ้ำอีกครั้งไม่เหลือชิ้นดีบ้านที่เป็นดั่งสิ่งของแทนใจระหว่างพ่อกับแม่ของฉัน กลับถูกยกให้ผู้หญิงคนอื่นอย่างไร้เยื่อใย ฉันที่ได้แต่นั่งอึ้งยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงทำกับฉันแบบนี้ได้ลงคอ ทั้งที่ฉันเป็นลูกคนเดียวของท่าน บ้านที่เป็นดั่งสถานที่แห่งความทรงจำของครอบครัวเรา ทำไมพ่อถึงยกให้กับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย...ทำไมพ่อถึงไม่คิดถึงจิตใจของฉันบ้างเลย...หรือว่าแท้ที่จริงแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่แม่ทิ้งพวกเราไป พ่อเ
ตอนที่ 16 วันที่หลุดพ้นหลายเดือนผ่านไป ~~และแล้ววันเวลาก็ได้ผ่านไปจวบจนจะครบปี กระทั่งวันนี้ก็ได้มาถึงวันที่ฉันกำลังจะเรียนจบการศึกษา แม้ว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาทุกอย่างจะดูราบรื่นไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับฉันก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลยว่าไอ้ชู้รักคู่ขาของอดีตแม่เลี้ยงของฉัน ที่ผ่านมามีหลายครั้งที่มันมักจะพยายามหาโอกาสเข้ามาใกล้ฉัน มาพูดจาแทะโลม กะลิ้มกะเหลี่ยใส่ฉัน ด้วยทั้งคำพูดและสายตาอยู่เสมอ และด้วยพฤติกรรมเหล่านั้นของมันก็ทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยงเต็มทน...แต่สุดท้ายแล้ววันนี้ก็ได้มาถึง วันนี้ที่ฉันอยู่ในชุดจบการศึกษาและยังได้มีรอยยิ้มที่สดใสที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา แต่ถึงแม้ว่าวันนี้มันจะเป็นวันที่ฉันมีความสุขมากเพียงใดก็ตาม แต่ทว่า...มันก็เป็นอีกวันที่ฉันรู้สึกวูบโหวงในใจขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็เพราะว่าวันนี้มันเป็นวันเดียวกันกับที่ฉันต้องเสียบ้านของพ่อแม่ไปให้กับผู้หญิงที่น่ารังเกียจคนนั้นและถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกเศร้าใจที่จะต้องเสียบ้านอันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำหลังนั้นไปให้กับคนที่ฉันไม่ชอบหน้า แต่ก็น่าแปลกตรงที่ว่าฉันเองกลับไม่มีความรู้สึกอยากจะอยู่บ้านหลังนั้นแ
ตอนที่ 17 รู้ใจ‘พี่รามว่าไงนะคะ??’ ฉันที่เหมือนได้ยินคนตัวโตพึมพำอะไรบางอย่าง ก็ได้เอ่ยถามด้วยความสงสัย‘หะ...ห๊ะ...ปะ...เปล่า...มะ...ไม่มีอะไร’ พี่รามถึงกับรีบตอบปฏิเสธตะกุกตะกักทันควัน แต่ก็ยังเต็มไปด้วยท่าทีที่มีพิรุธส่วนป้านีที่ได้แต่ยืนขำให้กับท่าทางเงอะ ๆ งะ ๆ ของหลานชายตัวเอง ที่ดูท่าว่าวันนี้น่าจะเสียอาการพอดูจากนั้นพี่รามที่พยายามเบี่ยงเบนประเด็นให้ออกไปจากการโจมตีด้วยคำพูดของป้านี ก็ได้เอ่ยถามฉันขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย‘นะ...น้องลินจะถ่ายรูปอีกไหมครับเดี๋ยวพี่ถ่ายให้’ ‘ได้เลยค่ะ รบกวนด้วยนะคะพี่ราม ป้านีค่ะ...วันนี้มาถ่ายรูปกับลินเยอะ ๆ เลยนะคะ’ (^-^) ฉันบอกผู้ใหญ่ที่ฉันรักเพียงคนเดียวในตอนนี้ด้วยใบหน้าแช่มชื่นแต่ป้านีที่แม้ว่าใจจะสู้ แต่ทว่า...สังขารนั้นกลับไม่ไหวแล้ว ก็ได้เอ่ยตอบปฏิเสธหญิงสาวไป พร้อมกับเปิดทางให้หลานชายตัวเองอย่างรู้งาน‘หนุ่มสาวไปถ่ายด้วยกันเถอะ ป้าแก่แล้วเดินไม่ไหวขอนั่งหลบแดดตรงนี้ก่อนแล้วกัน’ ป้านีที่แม้ว่าใจจะอยากเดินไปถ่ายรูปด้วยแต่ก็เลือกที่จะปฏิเสธออกไป นั่นก็เพราะไม่ใช่แค่แกที่รู้สึกเวียนหัวให้กับผู้คนมากมายที่อยู่ในงานรับปริญญาเท่านั้น
ตอนที่ 18 หาเรื่อง!!--- ลลิน Talk ---หลังจากที่งานรับปริญญาของฉันสิ้นสุดลง ป้านีกับพี่รามก็ได้พาฉันไปเลี้ยงอาหารเพื่อแสดงความยินดีต่อ โดยที่ครั้งนี้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมันช่างอบอวลเต็มไปด้วยความสุขเหมือนอย่างที่ฉันเฝ้าโหยหามาตลอดหลายปี มันเป็นความรู้สึกที่ฉันอยากจะเก็บเอาไว้ให้ตราบนานเท่านานแต่ทว่า...ฉันก็ยังคงเป็นฉันคนที่เจ้าชะตาชีวิตไม่อาจปล่อยให้มีความสุขได้นาน เพราะทันทีที่ฉันกลับมาถึงบ้านป้านี ก็ได้มีสัมภเวสีมายืนรอขอส่วนบุญอยู่ก่อนแล้ว‘มาได้สักทีนะย่ะ ปล่อยให้ฉันรออยู่ได้ตั้งนาน...หึ...นี่คงมัวแต่ไปแรด ๆ อยู่กับผู้ชายมาล่ะซิ ถึงได้กลับเอามาป่านนี้ รู้ไหมว่าฉันมารอแกทั้งวันแล้วนะ...ชิ’ เสียงแว้ดดังออกมาจากปากอดีตแม่เลี้ยงที่แสนน่ารังเกียจของฉันทันทีที่ฉันปรากฏตัวส่วนฉันที่ไม่สนใจกับพวกเปรตที่มาขอส่วนบุญพวกนี้อยู่แล้ว ก็เลือกที่จะเดินเลี่ยงเพื่อจะเข้าบ้านป้านีไป เพราะไม่อยากเผชิญหน้าหรือเสวนากับคนพวกนี้ให้เปลืองน้ำลายและในจังหวะที่ฉันกำลังจะเดินผ่านหน้าอดีตแม่เลี้ยงไป...หมับ...!!‘นี่แกจะไปไหนฉันยังพูดไม่จบ’ อดีตแม่เลี้ยงของฉันคว้าแขนพร้อมกับออกแรงกระชากฉันให้หยุดฟังส่วนฉัน
ตอนที่ 19 ชีวิตใหม่‘ฟู่วววว ~~ / เห้อออออ ~~’ เสียงถอนหายใจของป้านีกับฉันดังขึ้นพร้อมกันทันทีหลังจากที่ยัยอดีตแม่เลี้ยงได้หนีกลับบ้านไป‘เป็นอะไรหรือเปล่าลิน / ป้า...’ พี่รามหันมาถามฉันกับป้านีด้วยความเป็นห่วงก่อนที่จะจับไหล่ฉันหมุนไปมาเพื่อสำรวจหาความเสียหาย‘มะ...ไม่เป็นไรค่ะ’ ฉันรีบตอบพี่รามกลับไปด้วยเสียงสั่น เพราะยังโมโหที่มันพูดจากับป้านีแบบนั้นโดยที่ฉันทำอะไรมันไม่ได้ส่วนป้านีที่เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย สายตาของท่านที่มองกวาดไปแล้วพบว่ามีผู้คนมากมายต่างออกมามุงดูตามประสาชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็น ก็รีบเรียกให้ทั้งฉันและพี่รามเข้าบ้านทันที‘ปะ...เราเข้าบ้านกันดีกว่า มีอะไรไปคุยกันในบ้าน คนเริ่มออกมาดูกันเยอะแล้ว’ ป้านีจูงมือฉันข้าง จูงมือพี่รามข้างแล้วพาเดินเข้าไปในบ้านหลังจากนั้นเราสามคนก็ตั้งวงสนทนากันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนที่ฉันก็ตัดสินใจยินยอมที่จะไปเซ็นยกบ้านให้ยัยแม่เลี้ยงหน้าด้านนั้นไปเพราะไม่อยากให้มามีปัญหาจนลามมาเดือดร้อนถึงป้านีเหมือนในวันนี้อีก และถึงแม้ว่าพี่รามจะเอ่ยปากยินดีจะช่วยฉันถ้าหากฉันอยากได้บ้านหลังนั้นกลับคืนมาจริง ๆ ก็ตาม แต่เพราะด้วยเหตุผลห
ตอนที่ 20 บริษัท SBTeirรุ่งเช้า ~~ฉันที่ตื่นแต่เช้าด้วยความรู้สึกกระชุ่มกระชวยและตื่นเต้นที่จะได้เริ่มไปเจอสิ่งใหม่ ๆ ในเมืองใหญ่แห่งนี้ และด้วยภารกิจแรกหลังจากที่ฉันเคลียร์สิ่งของที่ขนมาจากบ้านเก่าให้เข้าที่เข้าทางจนเสร็จเรียบร้อย นั่นก็คือ...หางานทำ...เนื่องจากฉันที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะหางานทำด้วยตัวเองก่อน หลังจากที่ตอนแรกพี่รามรับปากว่าจะช่วยฝากงานที่บริษัทของพี่เขาให้ แต่เพราะฉันที่ไม่อยากจะรบกวนคนอื่นมากเกินไป จึงเลือกที่จะขอลองด้วยตัวเองเสียก่อน...เงาสะท้อนจากกระจกเต็มตัวบานใหญ่ฉายให้เห็นภาพของหญิงสาวรูปร่างสมส่วนที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน เรือนร่างเต็มสาวสะพรั่งที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูดีไม่มีที่ติ เธอที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตชีฟองแขนยาวสีชมพูอ่อนโดยที่ชายเสื้อถูกสอดทับอยู่ใต้กระโปรงสีครีมทรงเอที่มีลูกเล่นเป็นเลเยอร์ด้านหน้า และด้วยชุดสวยหวานที่ทาบทับอยู่บนเรือนร่างที่สวยโดดเด่นก็ยิ่งขับให้ใบหน้าของหญิงสาวที่ดูน่ารักเป็นทุนเดิมอยู่แล้วยิ่งดูเจิดจรัสจนอาจจะทำให้ใครที่ได้พบเห็นเป็นอันต้องหยุดมองได้ฉันมองเงาตัวเองที่สะท้อนออกมาจากกระจกด้วยความภูมิใจ ก่อนจะหมุนตัวสำรวจร่างกายไปมาอี
ตอนที่ 21 บริษัท DLKKหลายเดือนผ่านไป ~~นับตั้งแต่วันนั้นที่ฉันได้งานทำ วันเวลาก็ดำเนินมาจนกระทั่งถึงวันนี้ วันที่ฉันได้มองดูตัวเองในกระจกด้วยความภูมิใจอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่านอกจากที่ฉันอยู่ในชุดทำงานตามแบบมาตรฐานของสาวออฟฟิศทั่วไปแล้ว บนเรือนร่างของฉัน ณ ตอนนี้ก็ได้มีสิ่งที่พิเศษมากกว่าในทุก ๆ วันที่ผ่านมา และสิ่งที่ฉันภูมิใจหนักหนานั้นก็คือ...เสื้อสูทใหม่เอี่ยมที่ทาบทับอยู่บนร่างกายของฉันสายตากลมโตสุกใสทอประกายจ้องมองเสื้อสูทตัวนั้นด้วยความรู้สึกทั้งปลาบปลื้มใจและภูมิใจ นั่นก็เพราะว่าสูทนี้ไม่ใช่สูททั่ว ๆ ไปแต่เป็นสูทที่จะใส่ได้เฉพาะพนักงานที่ผ่านการทดลองงาน จนได้รับการบรรจุเข้าทำงานอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้นฉันมองภาพตรงหน้าก่อนจะนึกย้อนไปถึงการทำงานอย่างหนักและเต็มที่ในทุก ๆ วัน การที่ฉันรักษามาตรฐานของตัวเองเอาไว้ได้อย่างมั่นคงในหลายเดือนที่ผ่านมานั้น มันส่งผลทำให้ฉันได้รับสิ่งที่คู่ควรในวันนี้ โดยเฉพาะความรู้สึกเมื่อครั้งตอนที่ฉันได้รับสูทตัวนี้มาด้วยแล้ว มันยิ่งทำให้ฉันมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่านับจากนี้ชีวิตฉันจะไม่ต้องเป็นยัยตัวซวย ยัยตัวโชคชะตากลั่นแกล้ง อีกต่อไปแล้ว เพราะชีวิ
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ
หลายปีผ่านไป ~~“ฮึก...ฮึก...พี่แดนไม่ไปไม่ได้เหรอลูก ฮือออออ ~~ พี่ดีน ลินไม่อยากให้ลูกไปเลย”ฉันร้องไห้หลังจากวันนี้เป็นวันที่ฉันต้องส่งลูกให้ไปอยู่กับพ่อสามีที่เป็นชีคอยู่ที่ประเทศประเทศหนึ่งของแถบตะวันออกกลาง แต่ทว่า...ลูกชายของฉันนอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานของฉันแล้วยังดูท่าว่าอยากจะไปเสียเต็มที“แม่ครับอย่าร้องไห้ซิ ถ้าแม่คิดถึงก็บินไปพี่แดนได้นี่น่าเดี๋ยวพี่แดนให้ท่านปู่ส่งเครื่องบินส่วนตัวมารับ หรือเอาไว้ถ้าพี่แดนฝึกขับเครื่องบินเก่งแล้วเมื่อไรเดี๋ยวเอาไว้พี่แดนบินกลับมาหาดีไหมครับ” ลูกชายตัวน้อยที่บัดนี้เติบโตเริ่มเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่มแถมรูปร่างยังสูงมากกว่าฉันโอบกอดปลอบฉัน จนกลายเป็นฉันที่ซุกหน้าเข้ากับอกลูกเหมือนเด็กน้อยแทน“ฮืออออ ~~ แต่แม่ไม่อยากให้ลูกไปเลยนี่ครับ” ฉันยังกอดลูกชายแน่นโดยที่ด้านหลังของเขาได้มีร่างของผู้ชายที่เป็นพ่อสามีฉันมายืนรอรับลูกชายของฉันไป“พี่แดนก็ยังอยู่กับแม่เสมอนะครับ” ลูกชายตัวน้อยที่เคยจ้ำม่ำใช้มือที่ใหญ่ขึ้นปาดน้ำตาของฉันพร้อมกับส่งยิ้มหวานที่เหมือนกับพ่อและปู่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน“ไม่ต้องห่วงนะ เรารับรองได้เลยว่าเราจะดูแลแดเนียลให้ดีที่สุด” ท่า
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ~~ฉันได้รับอนุญาตจากพี่น้ำค้างให้กลับบ้านได้แล้ว และทันทีที่ถึงบ้านฉันที่มัวแต่เป็นห่วงลูกในท้องจนเพิ่งจะมานึกออกถึงเรื่องของแม่ตัวเอง“พี่ดีนค่ะ...” ฉันเรียกชื่อผู้เป็นสามีเบา ๆ ก่อนจะเสหน้าหลบเล็กน้อยด้วยความลังเลที่เกิดขึ้นว่าควรจะถามออกไปดีไหม เนื่องจากกลัวว่าเขาอาจจะยังโกรธเคืองแม่ของฉันอยู่“ว่าไงครับ...ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือว่ายังรู้สึกเจ็บที่ท้องอยู่ให้พี่พาไปโรงพยาบาลเอาไหม” ส่วนพี่ดีนที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลเขาดูแลฉันไม่ห่างกาย แม้ว่าจะได้รับคำยืนยันจากปากหมออย่างพี่น้ำค้างแล้วว่าทั้งฉันและลูกปลอดภัยดี แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเขายังมีความกังวลอยู่“ปะ...เปล่าค่ะ ลินไม่เจ็บแล้วค่ะ” ฉันรีบปฏิเสธออกไป ก่อนจะทำท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆแต่ทว่า...เขาที่มักจะรู้ใจฉันดีว่าฉันคิดอะไรและกังวลใจเรื่องอะไรอยู่ ก็ได้พูดออกมาก่อน“จะถามเรื่องแม่ของลินใช่ไหม” เขาเอ่ยปากด้วยสีหน้าเหมือนกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร และนั่นก็ทำให้ฉันพยักหน้ารับออกไปทันที“พี่จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่มายุ่งกับลินและลูกอีก” คนตัวโตพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนรน“พะ...พี่ดีนทำ
“ไม่มีเหรอ...ชิ...ดูสภาพแกตอนนี้จะมาบอกว่าไม่มีเงินใครหน้าไหนมันจะไปเชื่อ ผัวแกทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเขารวยแค่ไหน ทำไม...คนเป็นแม่อย่างฉันจะมาขอค่าน้ำนมหน่อยไม่ได้หรือไง...ห๊ะ!! ยัยลิน!!” แม่ฉันระเบิดอารมณ์ออกมาพร้อมกับตรงเข้ามาบีบแขนฉันแน่น“มันไม่เกี่ยวกับเขาเลยนะคะ เขาจะรวยมันก็เงินเขาหามา” ฉันที่ทนให้แม่บีบแขนอยู่อย่างนั้นแม้ว่ามันจะเจ็บมากก็ตาม แต่ทว่า...มันไม่ได้เจ็บไปมากกว่าที่หัวใจฉันเจ็บตอนนี้เลยและในจังหวะเดียวกันนั้นเอง พี่ริกที่วิ่งมาทางพวกเราพร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างกับคุณดีน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเท่ากับผู้หญิงตรงหน้า“เกี่ยวซิ...ทำไมจะไม่เกี่ยวฉันเป็นแม่ของแก เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของแก แต่แกไม่คิดจะตามหาฉันมาร่วมงานแต่งงานของแกเลยสักนิด...เหอะ...ปล่อยให้ฉันต้องทนลำบากอยู่ได้ตั้งนาน” แม่ฉันพูดพลางมองบริษัทของคุณดีนไปทั่วด้วยแววตามีความหมายส่วนฉันที่แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันดีใจมากแค่ไหนในแวบแรกที่ได้เจอแม่ แต่พอได้มาเห็นพฤติกรรมของท่านที่ไม่เหลือเค้าคนเป็นแม่ที่ฉันเคยรู้จัก มันก็ทำให้ฉันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าฉันไม่ควรขุดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เคยมีต่อตัวท่