ตอนที่ 7 ครอบครัวแตกสลาย
ฉันถึงกับอึ้งในพฤติกรรมที่แสนจะเห็นแก่ตัวของผู้ชายที่อยู่ด้านข้าง ก่อนที่ความกดดันทุกอย่างจะทำให้ฉันที่ทนไม่ไหวปะทุอารมณ์ที่คับคั่งอยู่ภายในให้ออกมาพร้อมกับน้ำตา...
“ฮึก...ฮึก...ฉันไปทำอะไรให้พวกนายกัน ทำไมถึงทำกับฉันแบบนี้ นี่นายฉันไม่รู้จักนายเลยด้วยซ้ำ แต่กลับมาให้ฉันรับผิดชอบในสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็นคนก่ออย่างนั้นเหรอ นายยังมีความเป็นคนอยู่บ้างไหม ฮึก ฮึก...” ฉันกัดฟันกรอดพูดในสิ่งที่รู้สึกอัดอั้นใส่หน้าผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างออกไปอย่างเหลืออด พร้อมกับมองเขาด้วยสายตาที่นึกรังเกียจอย่างไม่ปิดบัง
ก่อนที่ฉันจะหันไประเบิดอารมณ์ใส่คนที่ไร้ทั้งหัวใจและไร้ถึงความเมตตา ผู้ชายที่มีดีแค่หน้าตาแต่นิสัยเลวร้ายจนเผลอคิดว่าใครได้เป็นไปคู่ชีวิตชะตาคงสู่ขิตแน่ ๆ
“ส่วนนาย ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่เกี่ยวข้อง ทุกอย่างมันเกิดจากความผิดพลาด ทำไมไม่ฟังกันบ้าง ฮึก...ฮึก...ฉันบอกว่าไม่ได้ทำไง...ฉันไม่ได้ทำเข้าใจกันบ้างซิ...ฮืออออ”
คำพูดที่ระบายออกมาอย่างสุดกลั้น ความอดทนที่มีให้ต่อเหล่าพวกคนเห็นแก่ตัวพวกนี้ ฉันถึงกับไม่สนหน้าอิฐหน้าพรหมตะคอกใส่ผู้ชายที่นั่งทำหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว อย่างคนที่จนปัญญาแล้วจริง ๆ ที่จะทำให้เขาเชื่อได้
แต่ด้วยสถานการณ์ของฉันในตอนนี้ที่เป็นเหมือนเบี้ยที่ไร้ค่าในหมากเกมแสนสกปรก มีหรือที่คนมีอำนาจจะแยแสสนใจ เขาที่ไม่ได้มีความรู้สึกเมตตาอะไรอยู่แล้วก็ได้เอ่ยคำพูดที่ดูใจร้ายออกมาจากอีกครั้ง และคงจะตั้งใจใช้ให้มันทำร้ายความรู้สึกของฉันจนป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี
“ไม่ต้องมาทำเป็นบีบน้ำตา น้ำตาของมึงมันใช้ไม่ได้หรอกนะ” คนใจไม้ไส้ระกำที่ใจร้ายใจดำขัดกับหน้าตาอันหล่อเหลาอย่างสิ้นเชิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา เหมือนกับว่าเขาเห็นฉากตรงหน้าแบบนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
แล้วน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งหัวใจเมื่อบวกเข้ากับสายตาที่ส่งมาอย่างไม่มีความปรานีอยู่ในนั้นแล้ว ทำให้แม้แต่เด็กอนุบาลก็รับรู้ได้ในทันทีว่าจุดจบของชีวิตฉันได้มาถึงแล้ว...
"ฮึก...ฮึก...ฮึก..." ฉันก้มหน้าปล่อยให้น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างไม่นึกอาย พร้อมกับความรู้สึกที่นึกสมเพชตัวเองในใจที่ทำไมชะตาชีวิตของฉันมันถึงได้บัดซบแบบนี้
ย้อนกลับไปเมื่อครั้งในอดีต...
ฉันที่เคยมีครอบครัวสมบูรณ์แบบ ที่เหมือนกับใครหลาย ๆ คน ความอบอุ่นในครอบครัวแบบอุ่นบ้างร้อนบ้าง ตามประสาครอบครัวสามัญชนที่มีพ่อ แม่ ลูก อยู่ด้วยกันทั่วไป แต่ถึงครอบครัวฉันจะเป็นแบบนั้น ฉันก็ยังรับรู้ได้ถึงความสุขในฐานะลูกที่พ่อกับแม่มอบให้อยู่ดี
จวบจนกระทั่ง...เมื่อโชคชะตาเริ่มกำหนดให้ฉันต้องเข้าสู่ความโชคร้าย...ความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเบื้องบนหรือใครสักคนหนึ่งที่กำหนดชะตาชีวิตของฉันเขาต้องการจะทดสอบความอดทนของฉัน...โดยเหตุการณ์ในวันนั้นมันก็เป็นวันที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของฉันไปตลอดกาล...
‘พ่อค่ะ แม่ล่ะคะ...’ ฉันที่เพิ่งกลับมาถึงบ้านได้ระบายยิ้มสดใสเหมือนเช่นเคย ก่อนจะตะโกนถามหาผู้เป็นแม่กับพ่อของตนออกไป เนื่องจากสงสัยว่าทำไมวันนี้ที่หน้าบ้านถึงมีเพียงรถของผู้เป็นบิดาแค่เพียงคันเดียวเท่านั้น แต่ไม่ยักเห็นรถของผู้เป็นมารดา
‘พ่อค่ะ...’
แต่ทว่า...ความเงียบที่ตอบกลับมาจากผู้เป็นพ่อนั้น กลับทำให้ฉันรู้สึกวูบไหวในหัวใจแปลก ๆ โดยที่ความรู้สึกนั้นก็ทำให้ฉันเลือกที่จะเดินไปหาผู้เป็นบิดาที่น่าจะอยู่ภายในห้องนอนของท่าน...
ตึก...ตึก...ตึก
ทั้งเสียงฝีเท้าและเสียงเต้นของหัวใจที่ดังระคนปะปนจนแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกหวาดหวั่นด้วยกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับพวกเขา
กระทั่งฝีเท้าฉันได้ก้าวมาหยุดอยู่ที่ด้านหน้าประตูห้องนอนของพ่อกับแม่ ประตูที่ถูกแง้มเอาไว้จนมีแสงไฟเล็ก ๆ สาดออกมานำทาง ฉันที่รู้สึกใจชื้นขึ้นเมื่อรับรู้ได้ว่าภายในห้องนั้นจะต้องมีพ่อของฉันอยู่อย่างแน่นอน
แอ๊ดดดด...
‘พ่อค่ะ...มะ...แม่ล่ะ...ค่ะ...’ และทันทีที่ฉันเปิดประตูเข้าไป อีกทั้งยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบประโยค เสียงสะอื้นของผู้เป็นบิดาก็สวนออกมาแทบจะในทันที
ฮึก...ฮึก...ฮืออออออ ~~
ภาพของพ่อที่นั่งร้องไห้น้ำตาไหล พร้อมกับถอดสายตามองไปยังตู้เสื้อผ้าที่แหว่งหายไปหลายส่วน อีกทั้งเมื่อลองสังเกตดูดี ๆ ก็จะพบว่าในตู้เสื้อผ้าใบเดียวกันนี้เหลือเพียงเสื้อผ้าที่บ่งบอกว่าเป็นของผู้ชายเท่านั้น
และความจริงที่เกิดขึ้นในวันนั้นก็ทำให้ฉันในวัย 13 ปี รู้ดีว่ามันหมายความว่าอย่างไร...
แม้จะตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นได้รับรู้ แต่ด้วยสัญชาตญาณของลูกที่ผุดขึ้นมาว่าต้องรีบเข้าไปปลอบประโลมคนตรงหน้าให้เร็วที่สุด ทำให้วินาทีนั้นฉันต้องรีบรวบรวมสติที่หลุดลอยออกไปให้กลับมา จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้าง ๆ ผู้เป็นบิดาแม้จะไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มปลอบโยนท่านอย่างไร
นั่นก็เพราะว่า...ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่รู้ว่าพ่อกับแม่ของฉันพักหลัง ๆ นี้พวกท่านมักมีปากเสียงกันบ่อยครั้ง เพียงแต่ฉันไม่นึกว่ามันจะลงเอยแบบนี้
‘พะ...พ่อ...ค่ะ’ ฉันเอ่ยเรียกผู้เป็นบิดาด้วยเสียงอันแผ่วเบา พร้อมกับมืออันสั่นเทาที่ยื่นออกไปจับยังมือของท่านด้วยความระมัดระวัง และด้วยการสัมผัสของฉันก็ทำให้สายตาที่กำลังทอดเหม่อลอยออกเมื่อครู่นั้นหันกลับมาโฟกัสยังใบหน้าจิ้มลิ้มที่ละม้ายคล้ายกับคนที่ทิ้งเขาไปอยู่หลายส่วน
‘ลิน อยู่กับพ่อได้ใช่ไหมลูก’ ประโยคสั้น ๆ ที่ออกมาจากปากผู้เป็นบิดา แต่ช่างบาดลึกกรีดลงไปยังหัวใจดวงน้อย ๆ ของฉัน และถึงแม้จะเจ็บปวดแต่ฉันก็ทำได้เพียงพยักหน้าตอบช้า ๆ ก่อนจะแนบใบหน้าลงไปที่ตักของผู้เป็นบิดาอย่างเศร้าใจ
ฉันพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมาต่อหน้าผู้ชายที่หัวใจกำลังแตกสลายตรงหน้า ก่อนที่จะรอสักพักแล้วค่อยขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยไม่ลืมที่จะเริ่มจัดการความคิดตัวเองใหม่อีกครั้งในวันที่ไม่มีแม่อยู่ข้างกายอีกแล้ว...
นับจากวันนั้น ฉันก็เลือกที่จะทำตัวให้เป็นปกติเหมือนเดิม แม้ว่าทั้งที่ความจริงแล้วหัวใจที่อยู่ข้างในมันจะแตกสลายไปแล้วก็ตาม แต่เพื่อที่จะไม่ให้พ่อต้องมาเป็นกังวลหรือเป็นห่วงฉัน ฉันจึงคิดว่ามันเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ส่วนแม่ที่หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย...ฉันคิดว่าท่านก็คงตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไปแบบไม่หวนกลับมาอีก นั่นก็เพราะว่านับตั้งแต่วันนั้นก็ไม่มีแม้กระทั่งการติดต่อกลับมา หรือส่งสัญญาณกลับมาว่าท่านนั้นยังคงคิดถึงฉันและคิดว่ายังมีฉันเป็นลูกอยู่อีกเลย
แต่ทว่า...เหนือสิ่งอื่นใดคงไม่มีใครรับรู้ว่าการทำตัวเป็นปกติของฉันต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นได้สร้างบาดแผลและความเจ็บปวดจนมันค่อย ๆ กัดกินเด็กสาวที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อไปทีละนิดๆ และความรู้สึกที่เริ่มจะด้านชาก็ก่อตัวขึ้นทีละน้อย ๆ ฉันที่กักเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ในใจและพยายามกดมันไว้ให้ลึกที่สุด โดยเฉพาะความว่างเปล่าที่เริ่มกลืนกินความสดใสของวัยสาวให้มอดดับลงไป
...นับตั้งแต่ที่แม่จากไปไม่ลา...
ตอนที่ 8 ผู้หญิงคนใหม่ของ...เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงของครอบครัวครั้งใหญ่ได้ผ่านพ้นไป พร้อมกับความคิดให้กำลังใจตัวเองอยู่เสมอว่ายังเหลือผู้เป็นพ่ออยู่ ณ วินาทีนั้นพ่อที่เปรียบเสมือนโลกทั้งใบที่เหลืออยู่ของฉัน แม้ว่านับตั้งแต่เกิดเรื่องราวเลวร้ายในครั้งนั้นจะทำให้พ่อของฉันเปลี่ยนไป แต่ฉันก็ยังอุ่นใจที่ยังมีพ่ออยู่อยู่ดีจากวันนั้นพ่อของฉันท่านกลับไปทำงานอย่างบ้าคลั่ง และเลือกที่จะเลี้ยงฉันด้วยเงินแทนความรักและเอาใจใส่ แม้ว่าฉันจะพยายามเข้าใจและเลือกที่จะทำตัวให้เป็นปัญหาน้อยที่สุด แต่เงินนั้นก็ไม่สามารถทดแทนความรู้สึกโหยหาที่อยู่ภายในส่วนลึกของหัวใจเล็ก ๆ นี่ได้อยู่ดี ฉันที่ตั้งใจเรียนอีกทั้งยังทำตัวเป็นเด็กดีทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เพื่อที่จะไม่ทำให้พ่อของตัวเองต้องเป็นกังวลใจเลยสักครั้ง แต่ทว่า...ความรักดีและความตั้งใจที่จะเป็นเด็กดีของฉันนั้น คงจะทำให้ผู้ที่กำหนดชะตาชีวิตของฉันดูท่าจะไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไร หรืออาจจะเป็นเพราะพวกเขาเห็นว่าฉันน่าจะฝึกความอดทนได้มากกว่าครั้งที่ต้องเสียใจกับเรื่องของแม่ไป หรือไม่พวกเขาเหล่านั้นก็คงไม่อยากให้ฉันใช้ชีวิตเรียบง่ายดั่งที่ใจปรารถนานั่นก
ตอนที่ 9 เล่นชู้!!ฉันที่ยังคงจำเหตุการณ์วันนั้นได้เป็นอย่างดี เพราะหลังจากนั้นฉันก็รีบตรงดิ่งกลับมาบ้านป้านีที่ได้ยืนรอฉันอยู่ก่อนแล้วก็ได้บอกว่าถึงข่าวร้ายที่เกิดขึ้นว่าตอนนี้พ่อของฉันท่านถูกส่งไปที่โรงพยาบาลแล้วเนื่องจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยป้านีที่เป็นห่วงความรู้สึกของฉัน แกก็ได้ให้เหตุผลว่าตอนที่โทรไปที่ยังไม่ยอมบอกกับฉันทางโทรศัพท์ในตอนนั้น เพราะแกไม่อยากให้ฉันตกใจจนเป็นอันตรายไปจึงได้บอกให้ฉันมาเจอกันที่บ้านก่อน จากนั้นค่อยไปโรงพยาบาลพร้อมกันกับแก ส่วนฉันหลังจากที่ได้ฟังข่าวเกี่ยวกับพ่อของตัวเองแล้วนั้น ตัวฉันก็ถึงกับเกิดอาการช็อกจนสมองขาวโพลนตาลายแทบจะเป็นลมล้มลงไป โชคยังดีที่วินาทีนั้นฉันได้ป้านีปรี่เข้ามาประคองเรียกสติไม่ให้ดับวูบได้ทัน ไม่อย่างนั้นฉันคงได้เป็นลมหัวฟาดพื้นไปอย่างแน่นอนจากนั้นป้านีก็รีบพาฉันไปยังโรงพยาบาลที่ส่งพ่อของฉันไปรักษาทันที แม้ว่าทั้งฉันและป้านีจะยังไม่รู้สถานการณ์ของพ่อที่แน่ชัดว่าตอนนี้อาการของท่านว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่ทว่า...ด้วยสายใยระหว่างพ่อลูกบางอย่าง อีกทั้งความรู้สึกข้างในที่มันวูบโหวงแปลก ๆ มันทำให้ฉันอดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ เมื่อควา
ตอนที่ 10 เมียที่ถูกต้องตามกฎหมาย‘ฉันเป็น...เมีย...ที่ถูกต้องตามกฎหมายของผู้เสียชีวิตค่ะ และนี่ค่ะเอกสารการจดทะเบียนสมรส’คำพูดพร้อมกับใบเอกสารที่ยื่นไปต่อหน้าเจ้าหน้าที่พยาบาล เปรียบเหมือนกับสายฟ้าฟาดที่ผ่าลงมายังกลางศีรษะของฉัน อีกทั้งสายตาคู่นั้นที่แอบส่งมาเย้ยหยัน ยิ่งทำให้ฉันที่แทบจะยืนทรงตัวไม่อยู่ตั้งแต่ต้นถึงกับทรุดเข่าลงไปแทบจะในทันที ก่อนที่ตัวเองจะโชคดีที่ยังมีป้านีพุ่งตัวมาโอบประคองช่วยฉันไม่ให้ล้มลงไปได้ทัน... 'มะ...ไม่จริง' ฉันพึมพำเบา ๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตนเองได้ยิน 'เป็นไปไม่ได้ พ่อหนูไม่มีวันจดทะเบียนสมรสกับคนอย่างอายุพินแน่นอน เอกสารนี้มันต้องเป็นของปลอมแน่ ๆ ฮึก...ฮึก...' หัวทุยที่ส่ายไปมาอย่างไม่อยากที่จะยอมรับความจริง ยิ่งทำให้คนที่ถือไพ่เหนือกว่าได้ใจ'อ๊ะ...นี่พ่อของเธอไม่ได้บอกหรอจ๊ะว่าเขาจดทะเบียนกับฉันน่ะ อะนี่...ถ้าไม่เชื่อก็ดูให้เต็มตาซะนะ' น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสะใจถูกพ่นออกมาพร้อมกับหลักฐานที่เป็นใบทะเบียนสมรสยื่นมาตรงหน้าของฉันและคำพูดกับเอกสารตรงหน้าก็เป็นเหมือนไม้หน้าสามที่ตีแสกความจริงลงมากลางหน้าเนียนของฉัน และยิ่งเมื่อฉันได้พินิจเพ
ตอนที่ 11 ธาตุแท้!!‘น้องลิน...แฮ่กๆๆ’ เสียงคุ้นเคยที่ดูเหนื่อยหอบเอ่ยเรียกฉันดังมาจากด้านหลังทันทีที่ฉันหันไปตามเสียงก็พบว่าผู้ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาคือหลานชายป้านี พี่ข้างบ้านที่อายุมากกว่าฉันอยู่หลายปี‘อ้าวพี่ราม สวัสดีค่ะ’ ฉันยกมือไหว้ด้วยความนอบน้อม เพราะถึงแม้ว่าน่าจะนานเป็นปีแล้วก็ตามที่เราสองคนไม่ได้เจอกัน แต่ฉันยังจำได้ดีว่าตอนเด็ก ๆ ฉันก็มีกับพี่รามเล่นกันสนุกมากขนาดไหน‘น้องลินพี่ขอโทษนะที่มาช้า พอดีพี่เพิ่งลางานได้’ พี่รามเอ่ยขอโทษขอโพยฉันทันที แม้ว่าตัวเองยังมีอาการหอบเหนื่อยจากการวิ่งมาเมื่อครู่‘ไม่เป็นไรค่ะ’ ฉันตอบพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ ส่งไป‘อ้าว...ตารามมาถึงแล้วรึ ทำไมมาช้าจังล่ะ ป้าโทรไปบอกตั้งหลายวันแล้ว’ ส่วนป้านีที่เพิ่งเดินมาถึงหลังจากที่เห็นหลานชายตัวดีวิ่งมาแต่ไกล‘สวัสดีครับป้า ผมเพิ่งลางานได้ครับ พอดีที่บริษัทมีโปรเจกต์ใหญ่เลยต้องอยู่เคลียร์งานก่อน’ พี่รามยกมือไหว้ญาติผู้ใหญ่ของตน ก่อนจะเอ่ยอธิบายให้ผู้เป็นป้าฟัง'งั้นเหรอ เออ ถ้างั้นเดี๋ยวมาช่วยป้าเคลียร์ตรงนี้นะ เดี๋ยวเอารายการของพวกนี้ไปคืนวัดด้วย แล้วก็...บลาๆๆๆ' ป้านีสั่งการพี่รามชุดใหญ่ อย่างกับไม่ต้องกา
ตอนที่ 12 อันตราย!!‘ป้า...อ่ะ...ทำไมไม่รั้งลินให้อยู่กับเราล่ะ ปล่อยให้กลับไปแบบนั้นมันอันตรายนะครับ’ รามเอ่ยบอกกับป้าของตนด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงคนร่างบางอย่างไม่ปิดบัง‘เห้ออออ แล้วแกจะให้ฉันทำยังไง ในเมื่อหลายปีมานี้หนูลินเขาเองก็เอาแต่เข้มแข็งมาโดยตลอดอีกทั้งไม่เคยเอ่ยปากพึ่งพาใคร หรือแม้แต่ระบายความในใจให้ป้าฟังเลยแม้สักครั้ง แล้วอีกอย่างป้าเองก็เป็นห่วงหนูลินไม่แพ้แกหรอกย่ะ...’ ป้านีบอกหลานชายอย่างถอดถอนใจ ก่อนจะมองตามหลังร่างบางไปโดยที่สายตาแสดงความเป็นห่วงไม่ต่างจากสายตาของหลานชายตนเสียงของทั้งสองป้าหลานลอยแว่วตามหลังฉันมาและทำให้ฉันรู้สึกตื้นตันใจ แต่ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกตื้นตันใจกับความเป็นห่วงที่ทั้งสองป้าหลานมีให้ฉันมากแค่ให้ แต่ทว่า...ถึงยังไงฉันก็ต้องกลับไปที่บ้านของตัวเองอยู่ดี เพราะฉันเองก็ไม่อยากจะหลบหน้าหนีปัญญาที่เกิดขึ้น เพราะถ้าฉันหนีฉันก็คงต้องหนีไปตลอดชีวิต...ฉันเดินมาด้วยร่างกายที่โรยราเหนื่อยล้า จนกระทั่งสองขาพามาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านของตัวเอง ร่างกายที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูคล้ายกับขาที่ก้าวต่อไปไม่ออก สายตาที่จ้องมองไปด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวจนเผลอทำให้เกิดควา
ตอนที่ 13 คุกคาม!!พรึ่บ!!ฉันที่เพิ่งนึกได้ว่า ณ ตอนนี้ไม่สมควรที่จะมีใครโอบอุ้มร่างกายฉันได้อยู่ และเมื่อได้เบิกตาโพล่งขึ้นดูก็พบกับความจริงที่ว่าตอนนี้ฉันกำลังถูกคู่ขาของอดีตแม่เลี้ยงอุ้มอยู่ในท่าเจ้าสาว‘กรี๊ดดดดดดดดด ~~’เสียงร้องออกด้วยความตกใจ พร้อมกับร่างกายที่ออกแรงดิ้น‘นะ...นี่แกเข้ามาได้ยังไงกัน...ปล่อยฉันนะ...กรี๊ดดดดด ปล่อยนะ ฉันบอกให้ปล่อย!!’ ฉันที่กรีดร้องออกมาสุดเสียง ก่อนจะพยายามดีดดิ้นออกจากอ้อมแขนของคนร่างโตที่มองฉันด้วยสายตาไม่น่าไว้ใจ‘แหม...ทำไมล่ะจ๊ะ...พี่แค่เห็นน้องนอนหลับอยู่ที่พื้นก็กลัวว่าพื้นมันเย็นเดี๋ยวจะไม่สบายไปก็เลยมาช่วยอุ้มเพื่อจะเอาไปวางบนที่นอน จะได้ไปนอนบนที่นอนดี ๆ แค่นี้ทำไมต้องร้องเอะอะโวยวายด้วย...หืมมม...หึหึ’ ผู้ชายร่างสูงโปร่งหุ่นดีมีกล้ามแบบฉบับคนที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เอ่ยบอกฉันด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูกะลิ้มกะเหลี่ยน่าขยะแขยง‘ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ แล้วออกไปจากห้องฉันด้วย...’ ฉันที่ยังคงขัดขืนดิ้นอยู่ในอ้อมกอดของคนที่กำลังอุ้มฉันอยู่ โดยที่มันเองก็ยิ่งออกแรงรัดตัวฉันมากยิ่งขึ้น จนหน้าเราสองคนยิ่งเข้าใกล้กัน แต่ทว่า...คนที่มันคิดไม่ดี ถ
ตอนที่ 14 หนีเอาตัวรอด...ป้านีคิดด้วยความรู้สึกที่เบาใจขึ้นก่อนจะยื่นรอให้เด็กสาวเดินลงมายังจุดเดิม...‘ป้านีค่ะ’ (o_o) ฉันเรียกชื่อป้านีเบา ๆ ด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำเนื่องจากตนเองยังไม่หายตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น‘ยังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ป่ะ...เราไปคุยกันที่บ้านป้าดีกว่านะ’ ป้านีรีบเข้ามาโอบกอดฉันหลังจากเห็นหน้าที่ซีดเผือดพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำของฉัน จากนั้นป้านีก็พาฉันเดินออกมาจากบ้านเพื่อไปที่บ้านของท่านทันที โดยเมื่อเราสองคนออกมาก็พบเข้ากับพี่รามที่ยืนคอยชะเง้อคอมองรออยู่ที่หน้าด้วยความเป็นห่วงอยู่นานแล้วและทันทีที่พี่รามเห็นฉันถือถุงเสื้อผ้ากับข้าวของออกมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขาก็รีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยถือของทันที ก่อนจะเดินมากระซิบกระซาบที่ด้านข้างป้านีด้วยความอยากรู้‘เป็นไงบ้างครับป้า มันทำอะไรน้องลินหรือเปล่า ผมนี่ตั้งใจว่าถ้าหากป้ายังไม่ออกมาอีกแค่นาทีเดียวนะ ผมจะบุกเข้าไปแล้วเนี้ย’ พี่รามพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างไม่คิดจะล้อเล่นส่วนป้านีที่ได้แต่ส่งสายตาเอ็ดให้พี่รามกลับไป เนื่องจากท่านกลัวว่าฉันจะรู้สึกอึดอัดใจ เพราะเพิ่งเจอกับเหตุการณ์ไม่ดีมาเมื่อครู่นี้อยู่เมื่อเ
ตอนที่ 15 สูญเสียเพื่อปกป้อง‘และอสังหาฯ สุดท้ายนั่นก็คือบ้านพร้อมที่ดินโฉนดเลขที่...เนื้อที่...ที่เป็นสมบัติพัสถานเพียงชิ้นเดียวของข้าพเจ้าฯ ข้าพเจ้าฯ ขอยกให้...’ ในขณะที่ฉันไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปนอกเหนือจากสิ่งที่ฉันคิดเอาไว้ เพราะไม่ว่ายังไงบ้านหลังนี้ก็คงต้องตกเป็นของฉันแน่นอนอยู่แล้ว และด้วยคำพูดสุดท้ายของทนายก็เป็นเหมือนดั่งสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมายังกลางใจของฉัน‘ข้าพเจ้าฯ ขอยกให้กับ...นางยุพิน...ผู้ที่เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของข้าพเจ้า’ (OoO)สิ้นเสียงของทนายฉันถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ หัวใจที่คิดว่าแข็งแรงขึ้นแล้วของฉันกลับถูกเหยียบซ้ำอีกครั้งไม่เหลือชิ้นดีบ้านที่เป็นดั่งสิ่งของแทนใจระหว่างพ่อกับแม่ของฉัน กลับถูกยกให้ผู้หญิงคนอื่นอย่างไร้เยื่อใย ฉันที่ได้แต่นั่งอึ้งยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อถึงทำกับฉันแบบนี้ได้ลงคอ ทั้งที่ฉันเป็นลูกคนเดียวของท่าน บ้านที่เป็นดั่งสถานที่แห่งความทรงจำของครอบครัวเรา ทำไมพ่อถึงยกให้กับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย...ทำไมพ่อถึงไม่คิดถึงจิตใจของฉันบ้างเลย...หรือว่าแท้ที่จริงแล้วตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่แม่ทิ้งพวกเราไป พ่อเ
“แต่ว่าแม่ครับ...ได้โปรดอย่าห้ามไม่ให้พี่แดนไปบ้านปู่อีกเลยนะครับ” เด็กชายตรงหน้าพูดเหมือนกับรู้เท่าทันความคิดของฉันที่มีต่อเขาในสถานการณ์ตอนนี้“แต่พี่แดน...ลูก...” ส่วนฉันที่แม้จะปวดใจกับสิ่งที่ได้รับรู้มา แต่พอเห็นสายตาอ้อนวอนที่แสนจะเด็ดเดี่ยวของลูกชายตัวเองก็ทำได้เพียงแค่เรียกชื่อเขาเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยใจ“นะครับแม่...พี่แดนสัญญาว่าพี่แดนจะตั้งใจเรียนศิลปะการป้องกันตัวให้หนักมากขึ้น และพี่แดนขอเรียนพวกการใช้อาวุธด้วยได้ไหมครับ...พี่แดนอยากดูแลตัวเองให้ได้มากกว่านี้”สายตามุ่งมั่นของลูกชายที่ส่งมาทำให้ฉันถึงกับสะท้อนใจ พร้อมกับมองไปที่ลูกชายด้วยความรู้สึกหน่วงในใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เด็กชายตรงหน้าที่ฉันไม่รู้ว่าเขาบัดนี้เขาได้เติบโตไปมากกว่าที่ฉันเห็นแค่ไหนแล้ว โดยเฉพาะยามที่เขาเอ่ยพูดด้วยสายตาแน่วแน่ไม่มีความรู้สึกลังเลหรือหวั่นใจเลยแม้แต่น้อยในดวงตาคู่นั้นถึงเรื่องที่อยากจะทำในสิ่งที่เด็กรุ่นเดียวกันไม่คิดจะทำ“พี่แดนไม่กลัวเหรอลูกถ้า...เอ่อ...ต้องกลับไปที่นั่นอีก” ฉันหยั่งเชิงถามลูกชายออกไป แม้ว่าคำตอบจากท่าทางของลูกชายที่มีให้ก่อนหน้านี้จะเป็นคำตอบให้ฉันแล้ว แต่ฉันก็ยังอ
รุ่งเช้า ~~วันนี้ฉันเลือกที่จะไม่เข้าไปบริษัท เพราะอยากจะอยู่รอรับลูกชายที่ไม่เคยห่างกายไปไกลขนาดนี้มาก่อน จนกระทั่งเมื่อสัญญาณการขอลงจอดเครื่องบินดังขึ้น ความรู้สึกหนักอึ้งในใจที่มีมานับตั้งแต่ลูกชายขึ้นเครื่องบินไปบ้านปู่ของเขาก็ได้ทุเลาลง“แม่คร้าบบบ ~~ พี่แดนคิดถึงแม่จังเลยครับ” ฟอด ~~ ฟอด ~~ ลูกชายตัวน้อยที่นับวันใกล้จะสูงเท่าฉันแล้ว วิ่งยิ้มร่าโผเข้ามากอดฉันแน่น พร้อมกับหอมแก้มฉันซ้ายขวาไม่หยุดก่อนที่ผู้ชายอีกคนที่ฉันคิดถึงไม่แพ้กันจะตรงปรี่เข้ามาหาฉันพร้อมกับทำเลียนแบบลูกชายของตัวเอง“พี่ก็คิดถึงลินมากเลยคร้าบบบบ ~~” ฟอด ~~ ฟอด ~~ คนเป็นพ่อที่ไม่ยอมน้อยหน้าลูกตรงถลาเข้ามากอดฉันพร้อมกับหอมแก้มซ้ายขวาเหมือนกัน โดยที่ลูกชายฉันได้แต่ดิ้นพล่านเพราะอึดอัดที่ถูกอัดอยู่ตรงระหว่างกลางการกอดกันของพ่อแม่ของเขา“เป็นไงบ้างคะ ทุกอย่างราบรื่นดีไหม” ฉันผละออกจากอ้อมกอดของผู้ชายทั้งสอง แล้วเอ่ยถามด้วยความคิดถึงแต่ทว่า...เสียงและท่าทางเจื่อน ๆ ของผู้เป็นสามีที่ตอบกลับมา ทำฉันอดแปลกใจไม่ได้“ก็ดีจ๊ะ...”“แล้วลูกล่ะครับพี่แดน เป็นไงบ้างสนุกไหมไปบ้านท่านปู่ครั้งแรก” ฉันมองไปยังลูกชายที่แสดงสีหน
“ผมไม่ต้องการให้คุณมาเร่งรัดให้แดนไปกับคุณนะครับ โปรดเข้าใจด้วยว่าลูกผมยังเล็ก” คนตัวโตเปิดประเด็นก่อน“ก็แล้วทำไมไปกับฉันจะต้องกลัวอะไร” ส่วนคนสูงวัยที่มีความคิดเป็นของตัวเองเช่นกัน ก็ได้เอ่ยปากออกมาอย่างไม่พอใจ“เพราะผมรู้ไงว่ามันอันตรายยังไง ผมรู้ว่าท่านนะยิ่งใหญ่แต่ใครจะรับประกันให้กับลูกชายของผมได้ล่ะ เพราะฉะนั้นนี่คือข้อตกลงระหว่างเราที่ผมจะยอมให้ได้ นั่นก็คือผมจะขอเวลา 5 ปีเพื่อฝึกให้แดนทันคนและมีวิชาเพื่อป้องกันตัวเวลาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น หลังจากนั้นผมถึงจะอนุญาตให้เขาไปที่ประเทศของท่านได้ เพื่อที่เขาจะได้รู้ตัวว่าเขายังพอใจที่จะรับตำแหน่งบ้า ๆ นั้นไหม และหลังจากที่เขาอายุครบที่จะเข้าพิธีรับมอบตำแหน่งได้แล้วถึงวันนั้นถ้าแดนยังต้องการที่จะไปกับท่านอยู่ล่ะก็ ผมก็พร้อมที่จะเคารพสิทธิ์ในการตัดสินใจของลูก เพียงแต่ถ้าหากว่าเขาเล็งเห็นแล้วว่าการไปอยู่กับท่านมันไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแต่อย่างใด และถ้าหากมันเป็นอย่างนั้นแล้วล่ะก็ ต่อให้ใครหน้าไหนมันคิดจะมาฆ่าล้างตระกูลผมก็ตาม ผมจะไม่มีวันปล่อยมันไว้อย่างแน่นอน” คนตัวโตพูดรัวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นและมั่นคง โดยไม่มีช่องให้คนที่มีอำน
“พี่แดนอยากไปครับ...ท่านปู่บอกอยากให้พี่แดนไปดูอาณาจักรที่จะเป็นของพี่แดน แต่พี่แดนก็อยากให้แม่คร้าบกับดีแลนไปด้วย แต่ดีแลนคงไม่อยากไป...ท่านปู่บอกแบบนั้น”เด็กน้อยพูดเจื้อยแจ้วด้วยแววตาเป็นประกายซุกซน ก่อนจะทำเสียงกระซิบกระซาบในประโยคท้ายยามเอ่ยปากนินทาผู้เป็นพ่อของตน“อย่างงั้นเหรอลูก” ฉันตอบลูกชายตัวน้อยกลับไปเพียงประโยคสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ที่ช่างต่างกับจิตใจที่ร้อนรุ่มเหลือเกินแต่ด้วยแววตาดวงน้อยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไฟปรารถนาที่อยากจะเห็นโลกกว้าง ทำให้ฉันที่แม้จะอยากปฏิเสธใจแทบขาด แต่จำต้องเก็บความต้องการนั้นเอาไว้แล้วเลือกหาทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้“ถ้าพี่แดนอยากไปแม่ก็จะอนุญาตครับ...เพียงแต่ ณ เวลานี้มันยังเร็วเกินไปที่พี่แดนจะไปบ้านท่านปู่ด้วยเหตุผลแรก แม่เองก็ใกล้ที่จะคลอดน้องแล้วแม่คงจะไปกับพี่แดนด้วยไม่ได้ พี่แดนคงไม่อยากให้แม่ไปคลอดน้องบนฟ้าใช่ไหมครับ” ฉันค่อย ๆ อธิบายให้ลูกชายตัวน้อยฟัง“ส่วนเหตุผลที่สอง แม่อยากให้พี่แดนโตกว่านี้อีกสักหน่อย อยากให้พี่แดนโตจนสามารถดูแลตัวเองได้แม้ในวันที่พ่อกับแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้าง เพราะฉะนั้นถ้าพี่แดนอยากจะไปบ้านท่านปู่จริง พี่แดน
--- ดีแลน Talk ---“ที่ท่านพูดเมื่อสักครู่มันหมายความว่ายังไงครับ” ผมเปิดปากถามคนที่มีศักดิ์เป็นพ่อแม้ว่าผมจะไม่เคยนับว่าเขาเป็นพ่อก็ตาม“แล้วแกคิดว่าไงล่ะ...” ก่อนที่คนเจนสนามอย่างเฒ่าเจ้าเล่ห์จะยักคิ้วพูดหยั่งเชิง“พูดมาตรง ๆ เถอะครับ ผมรู้ว่าการที่คุณเทียวไปเทียวมาแบบนี้คงไม่ได้เป็นเพราะคิดถึง...เอ่อ...หลาน” ผมพูดไปด้วยรู้เจตนาคนตรงหน้าดีแต่อยากได้ความชัดเจน“เฮ้อ...ดีแลนแกพูดอย่างนั้นมันก็ดูจะดูถูกจิตใจฉันเกินไปนะ ฉันน่ะคิดถึงหลานจริง ๆ และอยากเจอเขาด้วย แต่ถ้าจะให้ฉันพูดตรง ๆ ฉันคิดว่าแกคงรู้สถานการณ์ของทางฝั่งตระกูลฉันดี และฉันก็รู้ดีว่าแกไม่โง่ที่จะไม่รู้เจตนารมณ์ของฉัน เพราะแกย่อมรู้ดีที่ฉันทำแบบนี้มันก็เพื่อแกเอง...” คนเป็นพ่อของผมพูดโดยที่มือบรรจงลูบไปที่หัวของลูกชายผมอย่างแผ่วเบา อีกทั้งยังมองดูเด็กน้อยด้วยสายตาอ่อนโยนซึ่งผมไม่เคยได้เห็นมาก่อนจากเขา“เพื่อผมเหรอ ผมว่าท่านทำเพื่อตัวเองมากกว่านะ” ผมแสยะยิ้มมองคนตรงหน้าอย่างเหลือจะเชื่อในสิ่งที่เขาพูดออกมา“ทำไมแกถึงคิดแบบนั้นกับพ่อได้ล่ะ...” ก่อนที่คนสูงวัยจะเบนสายตาจากหลานชายตัวน้อยมายังบุคคลที่เป็นลูกชายตนเองแทน พร้อมกับมอง
แต่เหนือสิ่งอื่นใดก็คงเหมือนกับที่ท่านชีคได้พูดเอาไว้ ว่าสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนได้นั่นก็คือเขายังคงเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านชีคเขาจริง ๆ และยังคงมีสิทธิ์ในตำแหน่งผู้สืบทอดโดยชอบธรรม เพียงแต่เขาที่ไม่ต้องการตำแหน่งนั้นกลับไม่อาจปฏิเสธได้เต็มปากว่าถ้าหากถึงเวลาจวนตัวที่ตำแหน่งท่านชีคว่างขึ้นมาจริง ๆ เขาจะปฏิเสธมันได้อย่างไรเพราะด้วยกฎประหลาดที่ถูกกำหนดขึ้นมาว่าถ้าหากท่านชีคองค์ปัจจุบันไม่อาจมีทายาทสืบทอดตำแหน่งต่อไปได้ ทุกอย่างจำต้องรีเซตใหม่โดยการกำจัดสายเลือดที่เกี่ยวข้องที่ไม่อาจดำรงตำแหน่งผู้สืบทอดได้ให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นเสี้ยนหนามหรือเป็นภัยคุกคามในตระกูลต่อไปที่จะได้ขึ้นมาครองตำแหน่งนี้แทนหลังจากที่ฉันได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากปากผู้เป็นสามี ฉันถึงกับหน้าถอดสีทันที ก่อนจะเอ่ยปากถามเขาไปถึงข้อสันนิษฐานในข้อตกลงที่ในวันนี้ท่านชีคชาดีฟคิดจะมาพูดกับพวกเรา“ถ้างั้นพี่ดีนคิดว่าเพราะอะไรท่านชีคถึงมาหาเราที่นี่ค่ะ” ฉันถามออกไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล“ก็อย่างแรกข่าวที่เราแต่งงานหลุดออกไปที่ประเทศนั้นในวงศ์ตระกูลของท่านชีคต่างรู้ว่าพี่เป็นลูกของเขา แต่ด้วยอำนาจของเขาที่ยังคงเข้มแข็งอยู่พี่ถึ
หลายปีผ่านไป ~~“ฮึก...ฮึก...พี่แดนไม่ไปไม่ได้เหรอลูก ฮือออออ ~~ พี่ดีน ลินไม่อยากให้ลูกไปเลย”ฉันร้องไห้หลังจากวันนี้เป็นวันที่ฉันต้องส่งลูกให้ไปอยู่กับพ่อสามีที่เป็นชีคอยู่ที่ประเทศประเทศหนึ่งของแถบตะวันออกกลาง แต่ทว่า...ลูกชายของฉันนอกจากจะไม่ฟังคำทัดทานของฉันแล้วยังดูท่าว่าอยากจะไปเสียเต็มที“แม่ครับอย่าร้องไห้ซิ ถ้าแม่คิดถึงก็บินไปพี่แดนได้นี่น่าเดี๋ยวพี่แดนให้ท่านปู่ส่งเครื่องบินส่วนตัวมารับ หรือเอาไว้ถ้าพี่แดนฝึกขับเครื่องบินเก่งแล้วเมื่อไรเดี๋ยวเอาไว้พี่แดนบินกลับมาหาดีไหมครับ” ลูกชายตัวน้อยที่บัดนี้เติบโตเริ่มเข้าสู่วัยแตกเนื้อหนุ่มแถมรูปร่างยังสูงมากกว่าฉันโอบกอดปลอบฉัน จนกลายเป็นฉันที่ซุกหน้าเข้ากับอกลูกเหมือนเด็กน้อยแทน“ฮืออออ ~~ แต่แม่ไม่อยากให้ลูกไปเลยนี่ครับ” ฉันยังกอดลูกชายแน่นโดยที่ด้านหลังของเขาได้มีร่างของผู้ชายที่เป็นพ่อสามีฉันมายืนรอรับลูกชายของฉันไป“พี่แดนก็ยังอยู่กับแม่เสมอนะครับ” ลูกชายตัวน้อยที่เคยจ้ำม่ำใช้มือที่ใหญ่ขึ้นปาดน้ำตาของฉันพร้อมกับส่งยิ้มหวานที่เหมือนกับพ่อและปู่ของเขาไม่มีผิดเพี้ยน“ไม่ต้องห่วงนะ เรารับรองได้เลยว่าเราจะดูแลแดเนียลให้ดีที่สุด” ท่า
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ~~ฉันได้รับอนุญาตจากพี่น้ำค้างให้กลับบ้านได้แล้ว และทันทีที่ถึงบ้านฉันที่มัวแต่เป็นห่วงลูกในท้องจนเพิ่งจะมานึกออกถึงเรื่องของแม่ตัวเอง“พี่ดีนค่ะ...” ฉันเรียกชื่อผู้เป็นสามีเบา ๆ ก่อนจะเสหน้าหลบเล็กน้อยด้วยความลังเลที่เกิดขึ้นว่าควรจะถามออกไปดีไหม เนื่องจากกลัวว่าเขาอาจจะยังโกรธเคืองแม่ของฉันอยู่“ว่าไงครับ...ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า หรือว่ายังรู้สึกเจ็บที่ท้องอยู่ให้พี่พาไปโรงพยาบาลเอาไหม” ส่วนพี่ดีนที่ตลอดเวลาที่อยู่โรงพยาบาลเขาดูแลฉันไม่ห่างกาย แม้ว่าจะได้รับคำยืนยันจากปากหมออย่างพี่น้ำค้างแล้วว่าทั้งฉันและลูกปลอดภัยดี แต่ฉันก็รับรู้ได้ว่าเขายังมีความกังวลอยู่“ปะ...เปล่าค่ะ ลินไม่เจ็บแล้วค่ะ” ฉันรีบปฏิเสธออกไป ก่อนจะทำท่าทางอ้ำ ๆ อึ้ง ๆแต่ทว่า...เขาที่มักจะรู้ใจฉันดีว่าฉันคิดอะไรและกังวลใจเรื่องอะไรอยู่ ก็ได้พูดออกมาก่อน“จะถามเรื่องแม่ของลินใช่ไหม” เขาเอ่ยปากด้วยสีหน้าเหมือนกับคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร และนั่นก็ทำให้ฉันพยักหน้ารับออกไปทันที“พี่จัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจะไม่มายุ่งกับลินและลูกอีก” คนตัวโตพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกร้อนรน“พะ...พี่ดีนทำ
“ไม่มีเหรอ...ชิ...ดูสภาพแกตอนนี้จะมาบอกว่าไม่มีเงินใครหน้าไหนมันจะไปเชื่อ ผัวแกทำไมฉันจะไม่รู้ว่าเขารวยแค่ไหน ทำไม...คนเป็นแม่อย่างฉันจะมาขอค่าน้ำนมหน่อยไม่ได้หรือไง...ห๊ะ!! ยัยลิน!!” แม่ฉันระเบิดอารมณ์ออกมาพร้อมกับตรงเข้ามาบีบแขนฉันแน่น“มันไม่เกี่ยวกับเขาเลยนะคะ เขาจะรวยมันก็เงินเขาหามา” ฉันที่ทนให้แม่บีบแขนอยู่อย่างนั้นแม้ว่ามันจะเจ็บมากก็ตาม แต่ทว่า...มันไม่ได้เจ็บไปมากกว่าที่หัวใจฉันเจ็บตอนนี้เลยและในจังหวะเดียวกันนั้นเอง พี่ริกที่วิ่งมาทางพวกเราพร้อมกับกระซิบอะไรบางอย่างกับคุณดีน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจเท่ากับผู้หญิงตรงหน้า“เกี่ยวซิ...ทำไมจะไม่เกี่ยวฉันเป็นแม่ของแก เป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของแก แต่แกไม่คิดจะตามหาฉันมาร่วมงานแต่งงานของแกเลยสักนิด...เหอะ...ปล่อยให้ฉันต้องทนลำบากอยู่ได้ตั้งนาน” แม่ฉันพูดพลางมองบริษัทของคุณดีนไปทั่วด้วยแววตามีความหมายส่วนฉันที่แม้จะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าฉันดีใจมากแค่ไหนในแวบแรกที่ได้เจอแม่ แต่พอได้มาเห็นพฤติกรรมของท่านที่ไม่เหลือเค้าคนเป็นแม่ที่ฉันเคยรู้จัก มันก็ทำให้ฉันเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าฉันไม่ควรขุดความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่เคยมีต่อตัวท่