“แล้วอยากให้อาบอกพ่อกับแม่เรารึเปล่าล่ะ”
ภีมพลยิ้มระรื่น ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าจะเก๊กหน้าดุเอ็ดคนหนีเที่ยวสักหน่อย ทว่าพอเห็นหน้าใส ๆ งอง้ำจนปากจิ้มลิ้มนั่นยื่นออกมาก็ทำเอาเขาหลุดอาการจนได้
รวิชาช้อนสายตาขึ้นมองอย่างหวาดหวั่น ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างไม่สบอารมณ์ จึงไม่ได้สังเกตว่าตอนนี้ตนอยู่ใกล้ชิดกับเขามากแค่ไหน ทว่าชายหนุ่มกลับรู้สึกถึงความใกล้ชิดนี้ได้ เพราะกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากกายสาวแรกแย้ม และพวงแก้มอ่อนใสกำลังรบกวนสมาธิของเขา และความรู้สึกตอนที่เขาหาเศษหาเลยกับเธอตอนนอนสลบอยู่ในห้องเมื่อคืนก็ผุดขึ้นในหัว จึงส่งผลให้สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ริมฝีปากอิ่มระเรื่อจนตาปรอย
“เอาเถอะ อาไม่บอกพ่อกับแม่เราหรอก แต่อย่าให้มีครั้งที่สอง รู้รึเปล่าว่าเมื่อคืนถ้าอาช่วยไว้ไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น”
ภีมพลเสียงเข้มขึ้นอย่างอดไม่อยู่ รู้สึกใจหายกับเหตุการณ์เมื่อคืนขึ้นมาทันที ไม่อยากนึกเลยว่าหากเขาไม่ตัดสินใจยื่นมือเข้าไปสอดผู้ชายสองคนนั้นไว้ ป่านนี้สาวน้อยตรงหน้าจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้
“ขอบคุณค่ะอาภีม น้องอายรับรองว่าจะไม่มีครั้งที่สองแน่นอน”
คราวนี้รวิชายิ้มกว้างพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้จนมือชิดหน้าอกของชายหนุ่ม ทำเอาใจคนมองกระตุกวาบกับรอยยิ้ม และการกระทำแบบนี้ขึ้นทันที มือที่ยันอยู่กับผนังจึงลดต่ำลงมาเกาะเอวบางไว้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว...ทั้งคนเกาะและคนถูกเกาะ
“พรุ่งนี้อาจะแวะเข้าไปคุยด้วยที่บ้าน เรามีเรื่องต้องคุยกันเยอะทีเดียว แล้วอย่าคิดหนีอาล่ะ แต่ตอนนี้รีบกลับไปที่โต๊ะก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อกับแม่จะสงสัยที่หายมานาน แล้วอาจะตามเข้าไปทีหลัง”
ภีมพลบอกพลางลดมือที่เกาะเอวบางให้ทิ้งลงข้างตัวอย่างนึกเสียดาย เขาไม่อยากทำรุ่มร่ามกับเธอนักเพราะยังเด็กเกินไป แม้ว่าใจจริงจะอยากทำมากแค่ไหนก็ตาม คืนก่อนที่เขาเข้าคลุกวงในก็เพราะไม่รู้ว่าสาวน้อยตรงหน้าอายุยังไม่ถึงยี่สิบปี
ให้ตายเถอะ เด็กมัธยมสมัยนี้โตเป็นสาวกันเร็วขนาดนี้เชียวหรือวะ!
“จะคุยเรื่องอะไรคะ”
รวิชาขมวดคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าเธอกับเขายังต้องมีเรื่องอะไรคุยกันอีก ก็ไหนเขาพูดว่าจะไม่บอกเรื่องของเธอให้บิดามารดารู้ไม่ใช่หรือ
“หลายเรื่อง แต่ตอนนี้รีบกลับไปที่โต๊ะก่อนเถอะ”
ชายหนุ่มจับไหล่เธอให้หันไปตรงทางเดินแล้วดันหลังเธอเบา ๆ ให้กลับไปที่โต๊ะ หญิงสาวหันมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเดินจากไปช้า ๆ
ภีมพลกวาดตามองร่างระหงของคนที่เพิ่งเดินจากไป ไม่น่าเชื่อว่ายายหนูของเขาจะโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่งงดงาม น่ารักน่าใคร่ไปทั้งเนื้อทั้งตัวขนาดนี้ แม้ว่าจะยังไม่โตเป็นสาวเต็มตัวแต่ก็ดูน่าเสน่หา และน่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตา เขาเชื่อว่าอีกห้าปีสิบปีข้างหน้า รวิชาจะต้องเป็นสาวสวยอย่างหาตัวจับยากคนหนึ่งเลยทีเดียว
“หมั้นงั้นหรือ...ก็น่าสนใจดีนะ”
พูดแล้วก็ยืนยิ้มกริ่มอยู่คนเดียว ชายหนุ่มลูบปลายคางอย่างใช้ความคิด เพราะปฏิเสธไปแล้วว่าไม่ต้องการหมั้นหมายกับรวิชา แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว ทว่าเขาไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรมาพูดให้บิดามารดาของเธอต้องมองเขาในแง่ร้าย และติดใจสงสัยที่จู่ ๆ ก็กลับลำอยากหมั้นขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“รู้แล้ว”
ภีมพลเผลอยิ้มกว้างอย่างลืมตัว เมื่อนึกถึงข้ออ้างที่จะใช้ในวันรุ่งขึ้น คิดได้ดังนั้นจึงเดินไปนั่งที่โต๊ะ ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่อาหารเริ่มทยอยมาเสิร์ฟ
มื้อค่ำจบลงด้วยความชื่นมื่นของทุกฝ่ายโดยเฉพาะภีมพล เขาแทบทนรอให้ถึงพรุ่งนี้ไม่ไหว เพราะเชื่อว่าเหตุผลที่ตนยกขึ้นมากล่าวอ้างนั้นจะต้องทำให้สองสามีภรรยารีบเห็นด้วยกับเขาทันที
ระหว่างเดินมาที่รถ ภีมพลอาศัยจังหวะที่อาทิตย์กับรวิวรรณเผลอ รีบยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูของรวิชาพอให้ได้ยินกันแค่สองคน
“คืนนี้อย่าลืมนอนกอดหมีที่อาซื้อให้นะ คิดเสียว่าแทนตัวอาก็แล้วกันเพราะเห็นเมื่อคืนเรานอนกอดอาเสียแน่นเชียว”
พูดจบเขาก็เดินยิ้มพรายไปกล่าวลาสองสามีภรรยาที่เดินล่วงหน้าไปก่อน ทิ้งให้คนฟังถึงกับนิ่งชะงัก หน้าแดงก่ำอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง
ก่อนขึ้นรถ ชายหนุ่มหันมองหน้าใส ๆ นั้นอีกครั้ง เห็นเธอยกมือไหว้ราวกับโดนบังคับเพราะสายตามองเมินไปทางอื่นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ดูท่าคงจะกำลังคิดหนักแน่ว่าเมื่อคืนตนเองทำอย่างที่เขาพูดจริงหรือเปล่า เพราะความจริงแล้วเขาก็แค่อำเธอเล่น แต่ดูสาวน้อยทำหน้าราวกับมันคือปัญหาระดับชาติ...เด็กหนอเด็ก...
รวิชาเห็นรถของภีมพลแล่นออกไปจึงอดมองตามไม่ได้ คิดถึงคำพูดที่เขาทิ้งท้ายเอาไว้ก็ชวนให้คิดหนัก เมื่อคืนเธอทำเรื่องน่าอับอายอย่างนั้นลงไปจริงหรือเปล่า แล้วทำไมเขาถึงนอนแก้ผ้าเนื้อตัวเปลือยเปล่าจนเธอเห็นหนอนชาเขียวของเขาเต็มสองตา คิดมาถึงตรงนี้หญิงสาวก็เอามือขึ้นมาแนบแก้มทันที
ว้าย! ทำยังไงดี ภาพเมื่อเช้ายังติดตาอยู่เลย
“น้องอายง่วงแล้วหรือลูก”
อาทิตย์ถามบุตรสาว เห็นเจ้าตัวยกมือขึ้นแนบแก้มทั้งสองข้างแล้วหลับตานิ่งราวกับง่วงงุนเต็มที จึงอดแปลกใจไม่ได้เพราะเพิ่งจะสามทุ่มเท่านั้น ปกติแล้วรวิชานอนดึกกว่านี้
“นิดหน่อยค่ะคุณพ่อ หนังท้องตึงหนังตาก็ต้องหย่อนเป็นธรรมดา ไม่ได้มากินตั้งนานรู้สึกว่าวันนี้อาหารอร่อยจังค่ะ” หญิงสาวคลี่ยิ้มกว้างอย่างเอาใจ
“อร่อยเพราะเรามีสมาชิกมาเพิ่มคนหนึ่งด้วยรึเปล่า”
อาทิตย์พูดโดยไม่ได้คิดอะไร เพราะเท่าที่เห็นบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเมื่อครู่ก็ดูปกติดี ภีมพลเองก็เอ็นดูรวิชาไม่ต่างจากเดิม
“ตอนน้องอายเป็นเด็ก น้องอายติดอาภีมจริงหรือคะ...ไม่ยักกะจำได้”
รวิชาขมวดคิ้วมุ่นอย่างใช้ความคิด ในความทรงจำแทบไม่มีใบหน้าของคนที่พูดถึงอยู่แม้แต่น้อย
“จริงสิจ๊ะ แต่เราคงจำไม่ได้หรอก ตอนนั้นน้องอายแค่สี่ขวบเองลูก”
รวิวรรณตอบโดยไม่ได้หันไปมองหน้าของคนฟัง ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวกำลังแลบลิ้นออกมาเมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่เป็นหัวข้อสนทนา
“หรือไม่ก็อาภีมคงจะแก่ลงมากแน่ ๆ เลยค่ะ น้องอายถึงจำไม่ได้” เธอพูดอย่างที่ใจคิด ทำเอาคนฟังหัวเราะร่วนกับประโยคก๋ากั่นนั่น
“ทำไมไปว่าอาภีมเขาอย่างนั้นละลูก อาเขายังไม่แก่สักหน่อย” อาทิตย์พูดกลั้วหัวเราะ นี่ถ้าเจ้าตัวมาได้ยินกับหู สงสัยคงจะเคืองน่าดูชม
“สำหรับน้องอาย อาภีมแก่แล้วค่ะ” เธอทำปากยื่น ก็เขาแก่จริง ๆ นี่นา อย่างน้อยเขาก็เรียกบิดามารดาของเธอว่าพี่ และแทนตัวเองว่าอา จะไม่ให้เรียกว่าแก่ได้อย่างไร
เมื่อกลับถึงบ้าน รวิชาเดินผ่านห้องรับแขกแล้วก็ต้องสะดุดตากับหมีใหญ่ยักษ์ที่ยังคงวางนิ่งอยู่ที่เดิม ทีแรกว่าจะทำเป็นไม่สนใจมัน ทว่าพอก้าวขาขึ้นบันไดไปได้เพียงสองขั้น เจ้าตัวก็เกิดเปลี่ยนใจ
“คุณพ่อขา อุ้มพี่หมีไปไว้ในห้องให้น้องอายหน่อยสิคะ ตัวมันโต น้องอายอุ้มไม่ไหว”
รวิชาเขย่าแขนบิดาอย่างออดอ้อน อาทิตย์จึงหอบเอาตุ๊กตาตัวใหญ่ยักษ์มาไว้ในอ้อมแขน แล้วนำไปไว้ในห้องบุตรสาวตามที่เจ้าตัวร้องขอ
หญิงสาวยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อมองหมีตัวใหญ่ที่วางอยู่ในห้อง
เอาเถอะ คนก็ส่วนคน ตุ๊กตาก็ส่วนตุ๊กตา ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย น่ารักขนาดนี้ใครจะทิ้งได้ลงคอ
รวิชาเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยผ้าขนหนูพันกายเพียงผืนเดียว หญิงสาวหยิบขวดโลชั่นหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมานั่งทาบนเตียงระหว่างที่เปิดรายการเกมโชว์ของต่างประเทศจากอินเทอร์เน็ตดูไปด้วย แต่เมื่อเดินกลับมาที่เตียงนอน เห็นตุ๊กตาหมีที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเตียงจึงยู่หน้าใส่มัน
“มองอะไร จะแอบดูเขาหรือ ไม่ให้ดูหรอกตาแก่ผีดิบเอ๊ย...ชิ!”
พูดจบก็คว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมตุ๊กตาหมีไว้ทั้งตัว ขณะทาโลชั่น หญิงสาวครุ่นคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืนวาน จนป่านนี้เธอยังไม่รู้อยู่ดีว่าทำไมถึงได้ไปนอนอยู่บนเตียงของเขาได้ ถามจากพรรณราย รายนั้นก็บอกแค่ว่าเธอเมาหลับไปเองจนกลวิชรต้องพาไปส่งบ้าน
แล้วกระเป๋าของเธอล่ะ ไปอยู่เสียที่ไหน
ครั้นพอนึกถึงคำพูดของภีมพลที่ว่าหากเขามาช่วยไว้ไม่ทันนั่นอีกเล่า เขาหมายถึงช่วยเธอจากใคร จากกลวิชรหรือเปล่า เห็นทีพรุ่งนี้คงต้องถามเขาให้รู้เรื่อง และให้เขาเล่าว่าตกลงแล้วเรื่องราวทั้งหมดเป็นอย่างไรกันแน่
หลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว รวิชาจึงออกมานั่งเล่นในสวนพร้อมแก้วน้ำใบโปรด หนังสือการ์ตูน และหมอนอิง ตอนนี้ดอกแก้วในสวนหลังบ้านกำลังบานสะพรั่งแข่งกันส่งกลิ่นหอมฟุ้งขจรขจาย หญิงสาวไปยังศาลาไม้สักหลังเล็ก วางแก้วน้ำกับหนังสือการ์ตูนบนโต๊ะ จัดหมอนอิงให้พิงไว้กับพนักข้างหนึ่ง จากนั้นจึงนั่งยืดขาบนม้านั่งตัวยาว เอนหลังพิงหมอนอิงแล้วหยิบหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านด้วยท่าทางผ่อนคลายเธอชอบมุมนี้ของบ้านที่สุด รองลงมาจากพื้นที่ส่วนตัวเล็ก ๆ ตรงระเบียงห้องนอน เพราะที่นี่จะมีไม้ดอกไม้ประดับแข่งกันส่งกลิ่นหอมชวนให้ชื่นใจทุกครั้งที่ได้เข้ามานั่งพักผ่อน บางวันเธอเผลอหลับคาหนังสือเรียน หรือหนังสือการ์ตูนที่ศาลาตรงนี้บ่อยมาก เพราะลมธรรมชาติที่พัดเอื่อยเฉื่อยมาเป็นระยะ อีกทั้งยังเงียบสงบ มีเพียงเสียงเสียดสีกันของใบไม้ใบหญ้าที่ขับกล่อมให้เข้าสู่นิทรารมณ์ได้เป็นอย่างดีรวิชาไม่รู้เลยว่าได้ตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านแนวรั้วเข้ามาภายในตัวบ้านอย่างเงียบเชียบ นัยน์ตาสีนิลกวาดมองเรียวขาขาวที่โผล่พ้นจากกางเกงขาสั้นกุดตามแบบสมัยนิยมที่เขาเคยเห็นวัยรุ่นทั่วไปนิ
หญิงสาวเม้มปากแน่นเพราะมันคอยแต่จะคลี่ออกกว้าง นัยน์ตากลมโตตวัดมองไปทางที่คนบ้าเพิ่งเดินผ่านไป พลางค้อนลมค้อนแล้งไปเรื่อย ก่อนจะหยิบหนังสือการ์ตูนขึ้นมาอ่านอีกครั้ง หวังจะให้มันช่วยปัดเป่าความฟุ้งซ่านที่อยู่ในใจ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้ผลเท่าไรนักภีมพลมองหาเจ้าของบ้านเพราะไม่อยากเสียมารยาทไปนั่งรอที่ห้องรับแขกโดยพลการ ระหว่างชั่งใจว่าจะเดินย้อนไปหารวิชาดีหรือไม่ เขาก็เห็นมาลัย แม่บ้านของที่นี่เดินมาหาเสียก่อน“มาหาคุณผู้ชายหรือคะคุณ”“ผมมาหาพี่อาทิตย์กับพี่วิน่ะครับ”แม่บ้านเดินนำภีมพลไปที่ห้องรีบแขกแล้วให้เขานั่งรอในนั้น จากนั้นมาลัยจึงเดินไปยังห้องทำงานเพื่อบอกเจ้านายว่ามีแขกมารอพบภีมพลลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะใต้บันไดเมื่อเห็นกรอบรูปหลายอันวางอยู่ เขาเลือกหยิบขึ้นมาอันหนึ่งซึ่งเป็นรูปของเด็กหญิงตัวน้อย นัยน์ตาสุกสกาว มัดแกละไว้สองข้าง ที่แก้มยุ้ย ๆ นั่นประแป้งไว้ขาวนวลจนน่าหยิกเล่น เจ้าตัวกำลังยิ้มร่าอวดฟันน้ำนมที่ขึ้นเรียงตัวสวยทั้งบนและล่าง มีตุ๊กตาหมีสีขาวใส่ชุดเจ้าสาวฟูฟ่องอยู่ในอ้อมกอด ดูเหมื
“คงมีบ้างค่ะ ก็ต้องช่วยกันพูดค่อย ๆ หาเหตุผลมาอธิบายให้ฟัง น้องอายถึงจะเป็นเด็ก แต่ความคิดอ่านบางอย่างก็โตเกินวัย มีเหตุผลพอสมควรค่ะ” รวิวรรณยิ้มขึ้นมาได้เมื่อพูดถึงบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน“ครับ งั้นผมคงต้องขอตัวก่อน มีงานต้องเคลียร์อีกเยอะเลย แล้วตอนเย็นจะให้ลูกน้องเอาใบสัญญามาให้นะครับ”ภีมพลลุกขึ้น สองสามีภรรยาจึงลุกไปส่งที่หน้าประตูบ้าน อาทิตย์ทำท่าจะเดินไปส่งที่รั้วหลังบ้านที่เดิม แต่ภีมพลนึกขึ้นได้ว่ารวิชานั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้น และเขาคิดจะแวะคุยเล่นสักหน่อยจึงเอ่ยยั้งเอาไว้ก่อน“พี่ทิตย์ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้ครับ แค่นี้เองผมเดินไปเองก็ได้”“เอางั้นก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับคุณภีม”อาทิตย์ตบบ่าหนุ่มรุ่นน้องอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ ปัญหาหลายอย่างที่เคยรุมเร้าเข้ามาเริ่มคลายไปทีละเปลาะ ความตึงเครียดที่บีบคั้นกดดันแน่นหนักอยู่ในอกเริ่มสลายจางลงจนรู้สึกราวกับว่าหายใจได้คล่องขึ้น“ผมยินดีช่วยครับ หากพี่มีปัญหาขอให้บอกผม เรื่องหนูอายก็ไม่ต้องเป็นห่วง ผมรับปากว่าจะดูแลให้เป็นอย่างดี” จะดูแลแ
“คุณพ่อว่าอะไรนะคะ!” รวิชาถามอย่างไม่เชื่อหู เธอไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่ตนหูแว่วไปเองหรือเปล่า“น้องอายต้องหมั้นกับอาภีมนะลูก แล้วพ่อจะอธิบายให้ฟังว่าทำไมเราถึงต้องหมั้น แต่ตอนนี้...” อาทิตย์ยังพูดไม่ทันจบ รวิชาก็ลุกพรวดแล้วหันไปหาผู้เป็นมารดาที่นั่งอยู่อีกด้าน“คุณแม่คะ ดูคุณพ่อสิพูดอะไรก็ไม่รู้ หมั้นอะไรกันน่ะ” เธอต้องการตัวช่วยเพื่อยืนยันคำพูดของบิดาว่าเป็นแค่เรื่องล้อเล่น แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาของท่านทั้งสอง หญิงสาวถึงกับทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิม ใบหน้างอง้ำอย่างไม่พอใจ แล้วนั่งนิ่งเพื่อรอฟังเหตุผลจากบิดา“ฟังพ่อนะ ที่พ่อกับแม่ให้หนูหมั้นกับอาภีมก็เพราะว่าจะได้กันตาวิชรไม่ให้มายุ่งกับหนู หนูรู้หรือเปล่าว่าทุกวันนี้ลุงบุญทรงยังมาทาบทามหนูให้ลูกชายเขาอยู่เลย ถึงแม้พ่อจะปฏิเสธไปแล้วก็เถอะ พ่อไม่อยากให้เขามาลำเลิกบุญคุณเก่า ๆ ที่เคยช่วยพ่อตอนเปิดบริษัท หนูเป็นลูกสาวของพ่อ ทำไมพ่อจะไม่รู้ว่าหนูไม่ชอบหน้าตาวิชร เพราะฉะนั้นพ่อถึงให้หนูหมั้นกับอาภีมเสีย ทางนั้นจะได้ไม่
ฐานะทางบ้านของอารดาไม่ได้ร่ำรวยนัก ค่อนข้างขัดสนด้วยซ้ำเพราะมีมารดาเพียงคนเดียวที่คอยหาเลี้ยงทั้งครอบครัวด้วยการรับจ้างเย็บผ้า ส่วนบิดาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุตั้งแต่อารดายังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา อารดามีน้องสาวหนึ่งคนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเดียวกัน ค่าเทอมและค่าใช้จ่ายบางส่วนนั้นอารดาอาศัยกองทุนกู้ยืมจากรัฐบาลมาช่วย และโชคดีที่เธอสอบเข้าโรงเรียนมัธยมสตรีล้วนชื่อดังซึ่งเป็นโรงเรียนของรัฐบาลได้ ค่าเทอมจึงไม่แพงนักถ้าเทียบกับโรงเรียนเอกชนแต่ถึงกระนั้น ทุกครั้งที่ปิดเทอม อารดามักจะหางานพิเศษทำเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ฉะนั้นเวลาที่เพื่อนฝูงนัดกันไปเที่ยว หรือเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าหลังเลิกเรียน อารดาจึงไม่ค่อยได้ไปสังสรรค์เท่าไร เพราะต้องเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในบ้านบางครั้งเพื่อนในกลุ่มรวมถึงรวิชาต้องบังคับขู่เข็ญให้ไปด้วยกัน โดยไม่ต้องให้อารดาควักกระเป๋าจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว เพราะรู้ว่าเพื่อนไม่ได้มีฐานะเหมือนพวกตน ซึ่งอารดาเองก็ไปบ้างไม่ไปบ้างเพราะความเกรงใจที่ต้องให้เพื่อนมาคอยจ่ายให้เกือบทุกครั้ง“อืม...จะว่าไปฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะหมั
“พ่อกับแม่ต้องไปทำงานนะลูก เอาไว้ถ้าทุกอย่างลงตัวเมื่อไรพ่อจะพาหนูไปด้วย เพราะอีกหน่อยหนูต้องมาช่วยพ่อกับแม่ดูแลบริษัทของเรา ยังมีอีกหลายอย่างเลยละที่น้องอายต้องเรียนรู้” อาทิตย์พาบุตรสาวมานั่งที่โซฟา ก่อนจะเริ่มพูดถึงเรื่องที่ได้คุยกับภีมพลเมื่อคืน“อาภีมมาบอกกับพ่อแล้วนะว่าวันที่เจ็ดเดือนหน้าคือวันหมั้น พ่อกับแม่จะกลับมาก่อนวันงานสองวันนะลูก” บิดาพูดจบ รวิชาก็ทำตาโตทันที“วันที่เจ็ดเดือนหน้า งั้นก็อีกแค่...สองอาทิตย์เองสิคะ! ทำไมเร็วจัง”รวิชาทำหน้าง้ำ เหลือเวลาอีกแค่สิบกว่าวัน หลังจากนั้นเธอก็ต้องกลายเป็นคนที่มีห่วงผูกคอเสียแล้ว“เขาเอาฤกษ์สะดวกน่ะ เพราะวันที่สิบเดือนหน้า คุณพ่อคุณแม่ของอาภีมจะต้องไปเมืองนอก เลยอยากให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนไป” อาทิตย์ตอบบุตรสาว ก่อนจะกำชับเรื่องการดูแลตัวเองอีกครั้ง“ช่วงที่พ่อกับแม่ไม่อยู่น้องอายต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก เพื่อนคนไหนที่เคยชวนไปเที่ยวกลางคืน ถ้าเขาโทร. มาชวนอีกก็ไม่ต้องไปกับเขา หลังจากที่พ่อไปแล้วอาภีมอาจจะมาดูแลบ้างเป็นครั้งคราว เดี๋ยวพ่อจะส่งไ
“คุณหนูอาย คุณนมให้มาตามค่ะ” เสียงจากแม่บ้านทำให้รวิชาเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วส่งยิ้มให้มาลัย หญิงสาวลุกขึ้นยืน หยิบกระป๋องน้ำอัดลมกับหนังสือการ์ตูนที่นำติดมือมาทั้งที่ยังไม่ได้เปิดอ่านกลับเข้าไปในบ้านด้วยรวิชาหัดทำบัวลอยไข่หวานกับนมพิมใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงเศษ แม้จะใช้เวลานาน แต่เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่หญิงสาวไม่เคยทำจึงไม่นึกเบื่อแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เธอกลับอึ้งไม่น้อยกับกรรมวิธีการผลิตในแต่ละขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการผสมแป้งนวดแป้ง ซึ่งนมพิมบอกว่าแต่ละคนจะมีสูตรการผสมที่ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงการปรุงน้ำให้หอมอร่อย ไม่หวาน และไม่เค็มกะทิจนเกินไป กว่าจะได้บัวลอยไข่หวานมาสักถ้วยช่างดูยากเย็นเหลือเกินในความรู้สึกของสาวน้อยที่เคยแต่รับประทานเพียงอย่างเดียว“กว่าจะได้แต่ละถ้วย ยากเหมือนกันนะคะนม” รวิชาเปรยขึ้นระหว่างที่ปั้นแป้งบัวลอยเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ หย่อนใส่ในหม้อที่น้ำกำลังเดือด“ไม่ยากหรอกค่ะ ถ้าทำบ่อย ๆ แป๊บเดียวก็เสร็จ”“แล้วที่เขาทำเป็นสี ๆ ที่มีทั้งชมพู เขียว ม่วง ฟ้า นั่นเขาใส่สีผสมอาหารใช่ไ
ภีมพลยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของสาวน้อย เขารู้ว่าเจ้าตัวกำลังเขินแต่พยายามเก็บอาการอย่างเต็มที่ชายหนุ่มรู้ว่าเด็กสาววัยรุ่นเป็นวัยที่อ่อนไหวกับเพศตรงข้ามมากแค่ไหน เขาจึงค่อย ๆ ‘ตะล่อม’ ด้วยการเข้าใกล้หัวใจของเธอทีละนิด ถึงแม้จะรู้ว่าความคิดส่วนหนึ่งของรวิชากำลังต่อต้านการหมั้นหมายแบบเงียบ ๆ ตามประสาคนที่ไม่ชอบการถูกบังคับ อีกทั้งช่องว่างระหว่างวัย จึงทำให้สาวน้อยอย่างรวิชาอาจจะรู้สึกอายเพื่อนฝูงบ้าง หากต้องบอกกับเพื่อน ๆ ว่ามีคู่หมั้นอายุสามสิบกว่าปี แต่เขาก็เชื่อว่าถ้าตนสามารถทลายกรอบความคิดตรงนี้ของรวิชาลงได้ เมื่อนั้นเขาจะได้คู่หมั้นที่น่ารักน่ากอดเป็นรางวัลสำหรับความพยายามครั้งนี้แน่นอนรวิชาเดินเคียงข้างภีมพลอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมือง เธอมองไปรอบตัวเพราะเกรงว่าจะเจอคนรู้จัก หรือเพื่อนที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน เธอยังไม่อยากเจอใครทั้งนั้นในตอนนี้ ไม่อยากตอบคำถาม ไม่อยากตกเป็นเป้าการพูดถึงของใครต่อใคร และไม่อยากกลายเป็นหัวข้อสนทนาในชั่วข้ามคืนว่า มาเดินควงกับผู้ชายมีอายุ!ถึงแม้ภีมพลจ
“เฮ้อ แย่เนอะ สมัยพวกเราเรียนมัธยมยังไม่เห็นมีแบบนี้เลย”ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อ เตชินทร์ก็เดินเข้ามาหา แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับรวิชาอย่างถือวิสาสะ เขาหันมาส่งยิ้มให้อารดาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคุยกับรวิชา“แย่หน่อยนะครับ เจอใครไม่เจอดันไปเจอไอ้วิชร”ชายหนุ่มเปิดรอยยิ้มกว้างจนตายิบหยี ใบหน้าหล่อเหลาขาวใสสไตล์หนุ่มเกาหลีที่กำลังนิยมทำเอาคนมองอย่างอารดาตาพร่า เสียงทุ้มของเขายามเอื้อนเอ่ยฟังดูนุ่มนวลชวนหลงใหล แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้คุยและยิ้มให้กับเธอ แต่หญิงสาวก็อดเผลอนั่งจ้องเขาไม่ได้“ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยนะคะที่ช่วยไว้ พี่ชื่อ...”รวิชาพูดค้างไว้แค่นั้น เตชินทร์จึงแนะนำตัวเอง“เตชินทร์ครับ เรียกพี่ชินทร์เฉย ๆ ก็ได้ พี่อยู่ปีสามคณะเดียวกับน้องนั่นละ แต่ช่วงวันปฐมนิเทศพี่ติดธุระเลยไม่ได้มาร่วมงาน น้องอายเลยไม่เคยได้เจอหน้าพี่ แต่พี่เห็นน้องอายบ่อยเลยนะเพียงแต่ไม่กล้าเข้ามาทัก”เตชินทร์คลี่ยิ้มกว้างอีกครั้ง คราวนี้อารดาต้องแอบจิกเนื้อของตัวเอง เตือนสติให้เลิกมองเขา หัว
รวิชาเดินเข้ามหาวิทยาลัยเพียงลำพัง เมื่อคืนเธอได้แชตกับเพื่อนสนิททั้งสองคนเกี่ยวกับภาพข่าวที่ออกมา และปฏิกิริยาของคนที่เข้ามาโพสต์ อดแปลกใจไม่ได้ว่าบางคนนั้นไม่เคยรู้จักเธอด้วยซ้ำ แต่มาพูดต่อว่าเธอเสีย ๆ หาย ๆ ราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน จึงลงความเห็นกันว่าเธอคงไม่ค่อยเป็นที่ปรารถนาของนักศึกษาผู้หญิงเท่าไร ไม่ว่าจะรุ่นเดียวกันหรือรุ่นพี่เธอเดาว่าอาจเป็นพราะการที่ตนเป็นจุดเด่นมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตนเป็นจุดสนใจของเพศตรงข้าม รวมไปถึงการใช้กระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์หรูมาเรียน รวิชาจึงพยายามลดความเป็นจุดเด่นของตัวเองลง โดยเริ่มปรับปรุงเกี่ยวกับเรื่องเครื่องประดับติดกายพวกนี้ก่อนวันนี้เธอสะพายกระเป๋าแฮนด์เมดใบละไม่กี่ร้อยที่ซื้อจากตลาดนัดสวนจตุจักรตั้งแต่สมัยมัธยมมาเรียน ใส่นาฬิกาเรือนเดิมที่เคยใส่ตอนเรียนมัธยมปลาย การที่ตัวเองเป็นเด็กใหม่แต่ถ้าทำตัวให้น่าหมั่นไส้แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม ก็อาจจะทำให้เธอใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้ไม่ราบรื่นนักเสียงกระหึ่มของรถสปอร์ตคันหรูที่ดังอยู่ด้านหลังไม่ได้ทำให้รวิชาสนใจจนต้องหันไปมอง หญิงสาวยังคงเดินไปเรื่อย ๆ
แต่ภีมพลกลับไม่ยอมให้เธอหลบหน้าไปทางไหน เขาเอานิ้วดันคางมนให้เชิดขึ้นแล้วก้มหน้าลงกระซิบ“งั้น...อาขอคำสุดท้ายนะ”ไม่ต้องรอให้เธออนุญาต เขาก็ยื่นหน้าเข้าไปละเลียดชิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาชิมไม่นานนัก เพราะเห็นใจสาวน้อยที่ขัดเขินจนสะท้านไปทั้งร่าง ก่อนจะผละออกแล้วกดจมูกลงไปที่แก้มแดง ๆ ของเธอเต็มฟอดพอเห็นเขาหยิบถ้วยบัวลอยขึ้นมาถือไว้ในมือ รวิชาได้ทีก็รีบเด้งตัวขึ้นจากตักแล้วเดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามทันที หญิงสาวเบนสายตาไปดูเวลาที่นาฬิกาบนโต๊ะทำงานของเขาแล้วพูดขึ้น“น้องอายไปก่อนนะคะ วันนี้ต้องเข้าโรงงานกับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”“ครับ อาก็คงนั่งทำงานที่นี่ ไม่ได้ไปไหน ค่ำ ๆ ก็ออกไปที่คลับเหมือนเดิม ถ้าน้องอายกลับมาจากโรงงานแล้วจะแวะมานั่งเล่นอยู่กับอาก็ได้นะ”ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ รวิชาพยักหน้ารับเร็ว ๆ ก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องด้วยหัวใจพองโตสุนิตาคลิกเมาส์เพื่อเลื่อนดูฟีดข่าวของหน้าเฟซบุ๊กแล้วหยุดค้างอยู่ที่ข้อความที่พาดพิงถึงเพื่อนสาวในกลุ่ม เพื่อนที่เธอไม่ค่อยอยากนับเ
เสียงของรวิชานิ่งงันไปเมื่อเห็นภาพของตัวเองเด่นหราอยู่ในหน้าเฟซบุ๊กในกรุ๊ปของนักศึกษาคณะบริหารที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า “สาวใสคณะบริหาร” ซึ่งในกรุ๊ปนี้จะมีแต่เฉพาะนักศึกษาสถาบันนี้เท่านั้นที่จะเข้าเป็นสมาชิกได้ และรูปที่มีมือดีแอบถ่ายเอาไว้แถมแต่งภาพทำกรอบให้เสียสวยงามนั้นก็เป็นรูปของเธอกับภีมพลที่ไปเที่ยวด้วยกันเมื่อคืนนั่นเอง เธอจะไม่เดือดร้อนเลยถ้าหากใต้รูปนั้นจะไม่บรรยายไปในทางเสื่อมเสีย“น้องอาย ขวัญใจหนุ่ม ๆ ทั้งหลายไม่ใช่สาวใสอย่างที่ใคร ๆ คิดเสียแล้วที่แท้ก็เด็กเสี่ยนี่เอง ไม่รู้ว่าขายตัวด้วยหรือเปล่า”“โห...แรงอ่ะ ใครโพสต์เนี่ย”รวิชาหน้างอง้ำ ยิ่งได้อ่านข้อความด้านล่างที่มีคนมาคอมเมนต์ต่อ ๆ กันก็ยิ่งรู้สึกแย่ บางคนยังไม่เคยพบปะพูดคุยกับเธอด้วยซ้ำ แต่กลับกล้าวิจารณ์เธอไปในเรื่องที่ไม่รู้ว่าไปขุดมาจากไหน“เดี๋ยวฉันสืบให้ เครือข่ายฉันพอมี แต่ฉันว่าก็คงเป็นอีพวกที่ไม่ค่อยชอบหน้าแกนั่นแหละ จะมีใคร ว่าแต่แกเถอะจะแก้ข่าวยังไงยะ จะบอกคู่หมั้นหรือเปล่าเรื่องนี้น่ะ” คิดแล้วก็อดห่วงเพื่อนสาวไม่ได้ เพราะถ้ามีคนเชื่อข
หลังจากวางสาย เขาก็เดินออกจากฮอลล์อีกประตูแล้วอ้อมจากด้านหน้าที่มีการตรวจบัตร เดินผ่านเลยไปยังที่จอดรถสำหรับพนักงานแล้วเข้าประตูหลังเพื่อขึ้นไปยังออฟฟิศด้านบน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นพนักงานตรวจบัตรนั่งรออยู่ในห้องก่อนแล้ว“อ้าว มาแล้วหรือ พวกนายมานี่สิฉันจะให้ดูอะไร”ภีมพลเดินนำไปที่กระจกบานใหญ่ซึ่งสามารถมองลงไปเห็นฮอลล์ด้านล่างได้ทั้งหมด แต่คนข้างล่างไม่สามารถมองขึ้นมาเห็นคนในห้องนี้ได้ จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังโต๊ะของสุนิตา“พวกนายได้ตรวจบัตรของลูกค้าโต๊ะนั้นหรือเปล่า” พนักงานหนุ่มสองคนนั้นมองตามนิ้วมือของเขาแล้วพยักหน้า“ตรวจครับ พวกเราตรวจทุกคน ไม่มีใครที่เราไม่ได้ตรวจแล้วจะปล่อยให้เข้าไปข้างในได้แน่นอนครับคุณภีม”“นายแน่ใจนะ กลุ่มนั้นเขาเลยยี่สิบกันแล้วหรือ” ภีมพลยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมสุนิตาถึงเข้ามาที่นี่ได้ทั้งที่ด้านหน้าก็มีการตรวจบัตรอย่างเข้มงวด หนึ่งในพนักงานหนุ่มจึงพูดขึ้น“เลยแล้วครับผมจำได้ เพราะถ้าใครที่อายุไม่ถึงยี่สิบ เราไม่ให้เข้าอยู่แล้ว ยิ่งโต๊ะนั้นผมยิ่งจำได้ เพราะน้องชุด
พชร หุ้นส่วนและเพื่อนสนิทของภีมพลเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาแล้วต้องส่ายหน้ากับภาพที่เห็นภีมพลนั่งหลังตรงอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ สีหน้าจริงจังราวกับสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นโครงการสำคัญระดับชาติ แค่นั้นเขาก็รู้ทันทีว่าเพื่อนรักกำลังทำอะไรอยู่“สนุกนักหรือวะ เห็นพักหลังมานี่แกติดมันงอมแงมเลยนะ ว่างเป็นไม่ได้ฉันเห็นแกต้องเล่นตลอด”พชรถามพลางเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ออกมาหนึ่งกระป๋อง แล้วเดินมานั่งที่โซฟาตัวยาว ภีมพลไม่ตอบคำถามเพราะสายตาเอาแต่คอยจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมแทบไม่กะพริบ มือสองข้างก็ถือจอยสำหรับควบคุมเกมไว้แน่น“ได้ข่าวว่าแกโดนวิคกี้รุกอีกแล้วหรือ”พชรยังคงถามต่อแบบยิ้ม ๆ เขาเองก็รู้มาเหมือนกันว่านักร้องสาวอะคูสติกพยายามจะเข้าหาภีมพล ทีแรกก็ไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่พอช่อมาลียืนยันหนักแน่นด้วยอีกคน เขาจึงลองจับตามอง ถึงได้เห็นว่าวิธีการอ่อยเหยื่อของเจ้าหล่อนนั้นใช้ไม่ได้ผลกับภีมพลแน่นอน“แกก็จัดให้เขาสักทีสองที เดี๋ยวก็คงเลิกไปเองแหละมั้ง”พชรยังคงแกล้งเย้าแหย่เพื่อน เพราะรู้ดีว่าอย่า
“หายใจไม่ทันหรือคะน้องอาย” ถึงเขาจะผละออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะห่างไปไหน ยังคงประพรมจูบทั่วปากอิ่มที่เผยอเล็กน้อยราวกับเชิญชวน“ค่ะ” รวิชาตอบเสียงแผ่วไม่กล้ามองสบสายตาคมกล้าเป็นประกายแม้จะอยู่ในที่มืดสลัว หัวใจดวงเล็กสั่นระรัว ทั้งเขินทั้งอายแต่ก็อุ่นซ่านหวามไหวในคราวเดียวกัน“โกรธอาหรือเปล่าคะที่อาทำอย่างนี้” ถามแล้วก็เหมือนไม่สนใจฟังคำตอบ ริมฝีปากร้อนร้ายยังคงเคลื่อนไหวแผ่วเบาไปตามผิวแก้มทั้งสองข้างระเรื่อยไปจนถึงปลายคางก่อนจะจบลงที่ปากอิ่มหญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ รู้สึกเนื้อตัวร้อนรุ่มราวกับจับไข้ ยิ่งได้ยินเขาพูด คะ ขา กับเธอแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจพองโตคับอก เพราะเขาน่ารักอย่างนี้ไงเล่า เธอถึงหวงเขา ไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนได้มาอยู่ใกล้ หรือมาทำท่าทางสนอกสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนิตา เพื่อนในกลุ่มเธอเอง“แล้วถ้าอาจะขอจูบน้องอายอย่างนี้ทุกครั้งก่อนเข้าบ้านเป็นรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ น้องอายคงไม่ว่าอาใช่ไหมคะ”ชายหนุ่มใช้หลังนิ้วไล้เบา ๆ ที่แก้มสุกปลั่งของหญิงสาวระหว่างรอฟังคำตอบ ซึ่งสาวน้อยก็ส่ายหน้าอีกเช่นเค
“เอ่อ...คนเยอะมากเลยค่ะอาภีม น้องอายไม่ขึ้นชิงช้าแล้วก็ได้นะคะ เราเดินเล่นกันอย่างเดียวก็ได้”รวิชาช้อนสายตาขึ้นมองเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ นึกว่าเขาจะพยักหน้าเห็นด้วยกับที่เธอบอก กลับกลายเป็นว่าเขาเดินโอบบ่ารั้งให้เธอเข้าไปต่อแถวซื้อตั๋วขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน“ไม่ขึ้นได้ยังไงกันครับอุตส่าห์มาถึงนี่แล้วทั้งที ไม่เป็นไรหรอกน่า...คนอื่นยังรอกันได้เราก็ต้องรอได้สิครับ”ชายหนุ่มยังคงโอบเธอไว้อย่างนั้นกระทั่งถึงตอนที่ต้องหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจ่ายเงินค่าตั๋ว มือของเขาจึงได้เลื่อนลงไปกุมมือนุ่มของเธอแทนทุกอิริยาบถของคนทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว และคนคนนั้นก็ตามเก็บภาพของทั้งสองคนตั้งแต่ลานจอดเลยก็ว่าได้“โธ่เอ๊ย! นังเด็กปีหนึ่งคนนี้นี่ไอ้เราก็นึกว่าเป็นลูกคุณหนูไฮโซมาจากไหน ที่แท้ก็เป็นไซด์ไลน์มีเสี่ยเลี้ยงนี่เอง”มุมปากของคนพูดกระตุกยิ้มเหยียด ก่อนจะหันไปซุบซิบกับเพื่อนที่มาด้วยกัน พลางส่งต่อรูปที่ถ่ายมาได้ให้เพื่อนในกลุ่มเพื่อช่วยกันกระจายข่าว!ภีมพลรู้สึกผิดหวังราวกับ
“ใครจะมองยังไงก็เรื่องของเขา เราไปห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้หรอก คนคิดดีกับเราก็มีคนคิดร้ายกับเราก็เยอะ แค่เรารู้ตัวเองก็พอแล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ คนอื่นจะคิดยังไงก็ช่างเขาอย่าไปใส่ใจเลยครับ” ชายหนุ่มบีบมือเธอเบา ๆ“หรือว่าเราอาย” ภีมพลหันหน้าไปถามก่อนจะหันไปมองถนนเบื้องหน้าต่อ“อายอะไรคะ อาภีมหมายถึงอะไร”“เราอายเพื่อนหรือเปล่าที่อาไปรับที่มหาวิทยาลัยทุกวัน หรือว่าอายเพื่อนไหมที่ต้องบอกว่าอาเป็นคู่หมั้น น้องอายบอกอาได้นะ อาอยากให้เราเปิดใจคุยกันทุกเรื่องให้เข้าใจ”ภีมพลกระแอมเล็กน้อย นึกกลัวคำตอบอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็อยากรู้ว่าเธอคิดอย่างไรกับการที่ต้องมีคู่หมั้นอายุห่างกันถึงสิบสี่ปี เด็กสาวอย่างเธอจะนึกอายเพื่อนบ้างหรือเปล่าเวลาที่ต้องแนะนำใครต่อใครว่าเขาคือคู่หมั้น“เปล่าค่ะ ไม่ได้อาย”รวิชาตอบเขาสั้น ๆ นึกอยากถามกลับไปบ้างว่าเขาล่ะอายเพื่อนบ้างหรือเปล่าที่ต้องมีคู่หมั้นเป็นเด็กน้อยปีหนึ่งอย่างเธอ ในขณะที่รอบตัวเขามีแต่สาวสวยเซ็กซี่วนเวียนมาทอดไมตรีให้ตลอด หญิงสาวชั่งใจอยู่สักพักก่อ