“คงมีบ้างค่ะ ก็ต้องช่วยกันพูดค่อย ๆ หาเหตุผลมาอธิบายให้ฟัง น้องอายถึงจะเป็นเด็ก แต่ความคิดอ่านบางอย่างก็โตเกินวัย มีเหตุผลพอสมควรค่ะ” รวิวรรณยิ้มขึ้นมาได้เมื่อพูดถึงบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวน
“ครับ งั้นผมคงต้องขอตัวก่อน มีงานต้องเคลียร์อีกเยอะเลย แล้วตอนเย็นจะให้ลูกน้องเอาใบสัญญามาให้นะครับ”
ภีมพลลุกขึ้น สองสามีภรรยาจึงลุกไปส่งที่หน้าประตูบ้าน อาทิตย์ทำท่าจะเดินไปส่งที่รั้วหลังบ้านที่เดิม แต่ภีมพลนึกขึ้นได้ว่ารวิชานั่งอ่านหนังสืออยู่แถวนั้น และเขาคิดจะแวะคุยเล่นสักหน่อยจึงเอ่ยยั้งเอาไว้ก่อน
“พี่ทิตย์ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้ครับ แค่นี้เองผมเดินไปเองก็ได้”
“เอางั้นก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับคุณภีม”
อาทิตย์ตบบ่าหนุ่มรุ่นน้องอย่างซาบซึ้งในน้ำใจ ปัญหาหลายอย่างที่เคยรุมเร้าเข้ามาเริ่มคลายไปทีละเปลาะ ความตึงเครียดที่บีบคั้นกดดันแน่นหนักอยู่ในอกเริ่มสลายจางลงจนรู้สึกราวกับว่าหายใจได้คล่องขึ้น
“ผมยินดีช่วยครับ หากพี่มีปัญหาขอให้บอกผม เรื่องหนูอายก็ไม่ต้องเป็นห่วง ผมรับปากว่าจะดูแลให้เป็นอย่างดี” จะดูแลแบบเช้าถึงเย็นถึงเชียวล่ะ...
ภีมพลพูดต่อในใจขณะหลุบตาลงมองพื้น
“ขอบคุณอีกครั้งครับ”
กล่าวลากันเสร็จ ภีมพลจึงเดินไปยังสวนหลังบ้าน เมื่อไปถึงศาลาเขาเห็นรวิชายังคงนอนเอกเขนกอยู่ที่เดิม เพียงแต่ตอนนี้กลายเป็นว่าหนังสืออ่านคนเสียแล้ว เพราะสาวน้อยนอนหลับพริ้มโดยมีหนังสือการ์ตูนเล่มเดิมกางทับอยู่บนอก
ภีมพลเหลียวมองซ้ายขวาเพื่อดูว่าจะมีใครผ่านมาทางนี้หรือเปล่า เมื่อเห็นว่าทางสะดวกเขาจึงสาวเท้าเข้าไปใกล้กับศาลาที่รวิชานอนอยู่อย่างเงียบเชียบ
ร่างอรชรที่นอนเอนหลังอยู่บนม้านั่งตัวยาวนั้น ทำให้คนมองอดนึกไปถึงคืนที่อุ้มเธอขึ้นไปบนห้องพักไม่ได้ ตอนนั้นหญิงสาวไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกพาไปไหน และถูกเขาตีตราไว้อย่างไรบ้าง แต่ถ้าเป็นตอนนี้ หากเขาทำอย่างที่เคยทำ เชื่อแน่ว่าเจ้าตัวต้องลุกขึ้นมาร้องโวยวายแน่นอน
ชายหนุ่มเพ่งพิศดวงหน้าเรียวเล็กนั้นอย่างเอ็นดู ไม่อยากเชื่อว่าเด็กตัวจ้อยในวันวาน เมื่อโตขึ้นมาแล้วจะงดงามน่าหลงใหลได้ขนาดนี้ ปาก คอ คิ้ว คางทุกอย่างเหมาะเจาะลงตัวไปหมด ผิวพรรณก็ขาวผ่องเป็นยองใย และเขาก็รู้ดีด้วยว่าทุกอณูเนื้อของเรือนร่างงดงามนี้เต่งตึงนวลเนียนนุ่มมือแค่ไหน ถ้าเขาปล่อยให้สาวน้อยคนนี้หลุดมือไปก็โง่เต็มที
นับว่าโชคดีที่คืนนั้นเขาไม่หน้ามืดปลุกปล้ำเธอขึ้นมา และตอนนี้เขาก็ไม่ปรารถนาจะเด็ดดอกไม้แรกแย้มดอกนี้ก่อนเวลาอันควร ดอกไม้จะสวยสดงดงามก็ต่อเมื่อมันอยู่บนต้นของมัน ถูกเด็ดมาประดับแจกันที่คู่ควรในเวลาที่เหมาะสมต่างหากจึงจะถูกต้อง
รวิชาก็เช่นกัน เขาปรารถนาให้เธอคงความสดใสมีชีวิตชีวาของวัยสาวน้อยแรกรุ่นอย่างที่เห็นในตอนนี้มากกว่า จากนั้นค่อยพัฒนาเติบโตไปตามกาลเวลา แน่นอนว่าคนที่จะคอยบ่มเพาะดอกไม้แรกแย้มดอกนี้ไปจนกว่าจะพร้อมประดับแจกันก็ต้องเป็นเขาเพียงคนเดียว
ชายหนุ่มอดใจไม่อยู่จึงเอื้อมมือใช้หลังนิ้วเกลี่ยที่แก้มใสนั้นอย่างเอ็นดู จำได้ว่าเมื่อก่อนเขาชอบกดจมูกลงบนแก้มย้อยนุ่ม ๆ มีแต่กลิ่นแป้งเด็กของเจ้าตัวมากแค่ไหน ตอนนี้ก็คงไม่ต่างกัน เขาอยากฝังจมูกลงประทับที่เดิมเหลือเกิน แต่ความรู้สึกมันแตกต่าง เพราะเขาอยากประทับลงไปบนกลีบปากอิ่มระเรื่อนั้นด้วย
“อืม...” รวิชาขมวดคิ้วทั้งที่ยังหลับตา เอามือปัดป่ายไปมาเมื่อรู้สึกว่าถูกรบกวน
“เลี้ยงง่ายจริงนะ กินแล้วก็นอน”
ภีมพลถือวิสาสะนั่งบนเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับที่รวิชาเหยียดขานอน ทำให้สะโพกของเขาเบียดชิดกันกับต้นขาของสาวน้อยที่กำลังนอนหลับสบาย
เสียงห้าวทุ้มคุ้นหูดังอยู่ไม่ไกล ทำให้รวิชาต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างง่วงงุน ทว่าพอลืมตามาเห็นใบหน้าคร้ามคมอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม ทำเอาหญิงสาวถึงกับตกใจรีบกระถดตัวขึ้นนั่งทันที
“อาภีม!”
รวิชารู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สัมผัสอุ่นร้อนจากมือเขายังคงติดค้างอยู่ที่ผิวแก้ม หัวใจเต้นกระหน่ำรัวเร็วอย่างห้ามไม่อยู่ และไม่รู้สาเหตุ อยากจะหดขากลับมาก็ทำไม่ได้เพราะติดที่เขามานั่งชิดอยู่อย่างนี้ ใกล้เสียจนเธอกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นโครมครามจนแทบทะลุออกมานอกอก
“อะไรกัน เพิ่งคุยกันอยู่เมื่อกี้เองนะ อาออกมาอีกทีหลับเสียแล้ว”
ภีมพลยิ้มกริ่ม ยิ่งเห็นแก้มใสขึ้นสีระเรื่อชวนมอง จนลามเลียไปถึงลำคอก็ยิ่งอยากแกล้ง จึงทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็นที่สาวน้อยอยากจะหดขาของตนเองกลับ
“แหม...ก็น้องอายเพิ่งกินอิ่ม ลมพัดมาเย็น ๆ มันก็ต้องมีเผลองีบบ้างแหละ ช่วงนี้เป็นเวลาพักผ่อนนี่นา”
รวิชาตอบเสียงอ่อย นัยน์ตากลมโตเสมองไปเรื่อยเปื่อย ในขณะที่มือไม้ก็ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน ได้แต่จับอยู่ที่หนังสือการ์ตูนจนแน่นหนับ
“จะบอกว่าอามากวนเราใช่ไหม” เขาเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม แต่รวิชาหันกลับมาส่ายหน้าหวือ
“เปล่าสักหน่อย น้องอายยังไม่ได้พูดเลยนะคะ อาภีมพูดเองต่างหาก เอ่อ ขอโทษนะคะอาภีม กระเถิบไปอีกนิดได้ไหมคะ น้องอายอยากเอาขาลงค่ะ”
พูดแล้วก็ก้มหน้างุดเพราะรู้สึกขัดเขิน ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะขลุกขลักในลำคอก็ยิ่งอยากวิ่งหนีไปให้ไกลจากตรงนี้ สำหรับเขาแล้วเธออาจจะเป็นแค่เด็กข้างบ้านที่เคยเห็นมาแต่เล็กแต่น้อย แต่สำหรับเธอนั้นเขาคือชายหนุ่มแปลกหน้าที่บังเอิญได้เจอกันในเหตุการณ์ที่ไม่ปกติอยู่ดี
การที่จู่ ๆ ต้องตื่นมาแล้วพบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับผู้ชายที่ไม่มีเสื้อผ้าติดตัวเลย แถมยังเป็นผู้ชายที่เธอคิดว่าชาตินี้คงจะไม่มีวันได้เสวนากันอีก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถมองหน้ากันได้อย่างสนิทใจ
“เอาสิ ขอโทษที” ภีมพลลุกขึ้นยืนเพื่อให้หญิงสาวหดขาเข้าไป เมื่อเห็นเธอวางขาลงกับพื้นในท่านั่งปกติเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหย่อนตัวลงนั่งที่เดิมอีกครั้ง
“เลือกเรียนคณะอะไรเอาไว้ล่ะ”
ชายหนุ่มชวนคุยเพื่อเก็บข้อมูล ระยะเวลากว่าหลายปีที่ไม่ได้พบเจอกันทำให้เขาอยากรู้ว่าที่ผ่านมาสาวน้อยของเขาทำอะไรมาบ้าง
“บริหารฯ ค่ะ เพราะอีกหน่อยต้องเข้าไปช่วยงานคุณพ่อคุณแม่” รวิชาวางหนังสือการ์ตูนไว้บนโต๊ะแล้วยกน้ำขึ้นดื่ม
“ดีมาก พ่อกับแม่มีเราแค่คนเดียว บริษัทที่ท่านดูแลอยู่อีกหน่อยเราก็ต้องดูแลแทนอยู่แล้ว”
ภีมพลมองเสี้ยวหน้าของคนนั่งข้าง ๆ เห็นสีหน้ากึ่งลังเลกึ่งหนักใจ ทั้งยังแววตาเหม่อลอยก็อดถามไม่ได้
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“น้องอายไม่อยากทำงานตลอดเวลาเหมือนคุณพ่อคุณแม่นี่คะ อายเห็นท่านทำงานบางวันก็ไม่ได้กลับบ้าน บางทีต้องไปต่างจังหวัดตั้งหลายวัน น้องอายกลัวว่าจะทนไม่ได้เหมือนคุณพ่อคุณแม่ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ บริษัทก็ต้องเจ๊งเพราะฝีมือน้องอายแน่เลยค่ะอาภีม”
รวิชาพูดอย่างที่ใจคิด เธอกลัวว่าจะไม่มีความสามารถมากพอในการบริหาร และกลัวว่าจะเป็นต้นเหตุทำให้บริษัทที่บิดามารดาสร้างมาต้องล่มสลายลงเพราะความไม่เอาไหนของตนเอง
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ ยังไม่ได้ลองลงมือทำอย่าเพิ่งกลัวไปก่อนสิครับ”
ภีมพลส่งยิ้มอบอุ่นพลางยกมือขึ้นโยกศีรษะของเธออย่างเอ็นดู เขารู้ดีว่าหญิงสาวรู้สึกอย่างไร เพราะความรู้สึกแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเหมือนกัน
“เรากลัวว่าวันใดวันหนึ่ง ถ้าหากไม่มีท่านทั้งสองอยู่แล้ว เราไม่รู้จะหันหน้าไปปรึกษาใครใช่ไหม”
“หืม...อาภีมรู้ได้ยังไง” รวิชาหันมามองเขาตาโต ก่อนจะหันกลับไปมองตรงหน้าตามเดิม หญิงสาวถอนหายใจออกมาแล้วพูดว่า
“ใช่ค่ะ ตอนนี้เวลานี้ถ้าน้องอายทำอะไรผิด หรือตัดสินใจอะไรไม่ถูกก็ยังมีคุณพ่อคุณแม่คอยให้คำแนะนำปรึกษาได้ แต่ถ้า...เอ่อ...อายไม่ได้แช่งท่านทั้งสองคนนะคะ เพียงแต่ถ้าถึงเวลานั้นขึ้นมาจริง ๆ อายจะหันหน้าไปปรึกษาใครก็ยังไม่รู้เลย”
ระหว่างที่หญิงสาวกำลังเหม่อ จู่ ๆ ภีมพลก็คว้ามือข้างหนึ่งของเธอมากุมไว้พร้อมบีบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ
“อาอยากให้น้องอายจำไว้อย่างหนึ่งนะ ถ้าหากเรามีปัญหา หาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะปรึกษาใคร อาอยากให้น้องอายนึกถึงอาเป็นคนแรก...ได้หรือเปล่า”
เขาจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวยที่เบิกกว้าง ความรู้สึกอยากปกป้องดูแลพุ่งตรงเข้าจู่โจมหัวใจของเขา ความโดดเดี่ยวจากการเป็นลูกคนเดียว เขาเคยประสบมาแล้ว และผ่านมันมาแล้ว เขาจึงเข้าใจดีว่ารวิชารู้สึกอย่างไร
รวิชาพูดไม่ออกเพราะสัมผัสอุ่นร้อนจากมือของเขา ได้แต่พยักหน้ารับปากไปอย่างงุนงง แต่สักพักชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปล่อยมือเธอ แต่มือของเขาย้ายมาโยกศีรษะของเธอแทน
“ดีมากเด็กดี อาไปก่อนนะ แล้วเจอกันใหม่เพราะเราคงได้เจอกันอีกนาน”
ภีมพลพูดจบเขาก็ยักคิ้วให้ข้างหนึ่ง เลื่อนมือที่จับศีรษะลงมาหยิกแก้มเธอเบา ๆ ก่อนจะเดินจากไปโดยไม่พูดอะไร ทิ้งให้หญิงสาวนั่งอึ้งอยู่ที่เดิม พอรู้สึกตัว รวิชาก็ยกมือขึ้นทาบแก้มทั้งสองข้างเมื่อรู้สึกว่ามันเริ่มเห่อร้อนขึ้นมาอีกแล้ว
“อาภีมบ้า” บ้าจริง วันนี้เขาทำให้เธอเขินไปกี่ครั้งแล้วนะ
“คุณพ่อว่าอะไรนะคะ!” รวิชาถามอย่างไม่เชื่อหู เธอไม่แน่ใจว่าเมื่อครู่ตนหูแว่วไปเองหรือเปล่า“น้องอายต้องหมั้นกับอาภีมนะลูก แล้วพ่อจะอธิบายให้ฟังว่าทำไมเราถึงต้องหมั้น แต่ตอนนี้...” อาทิตย์ยังพูดไม่ทันจบ รวิชาก็ลุกพรวดแล้วหันไปหาผู้เป็นมารดาที่นั่งอยู่อีกด้าน“คุณแม่คะ ดูคุณพ่อสิพูดอะไรก็ไม่รู้ หมั้นอะไรกันน่ะ” เธอต้องการตัวช่วยเพื่อยืนยันคำพูดของบิดาว่าเป็นแค่เรื่องล้อเล่น แต่พอเห็นสีหน้าและแววตาของท่านทั้งสอง หญิงสาวถึงกับทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตามเดิม ใบหน้างอง้ำอย่างไม่พอใจ แล้วนั่งนิ่งเพื่อรอฟังเหตุผลจากบิดา“ฟังพ่อนะ ที่พ่อกับแม่ให้หนูหมั้นกับอาภีมก็เพราะว่าจะได้กันตาวิชรไม่ให้มายุ่งกับหนู หนูรู้หรือเปล่าว่าทุกวันนี้ลุงบุญทรงยังมาทาบทามหนูให้ลูกชายเขาอยู่เลย ถึงแม้พ่อจะปฏิเสธไปแล้วก็เถอะ พ่อไม่อยากให้เขามาลำเลิกบุญคุณเก่า ๆ ที่เคยช่วยพ่อตอนเปิดบริษัท หนูเป็นลูกสาวของพ่อ ทำไมพ่อจะไม่รู้ว่าหนูไม่ชอบหน้าตาวิชร เพราะฉะนั้นพ่อถึงให้หนูหมั้นกับอาภีมเสีย ทางนั้นจะได้ไม่
ฐานะทางบ้านของอารดาไม่ได้ร่ำรวยนัก ค่อนข้างขัดสนด้วยซ้ำเพราะมีมารดาเพียงคนเดียวที่คอยหาเลี้ยงทั้งครอบครัวด้วยการรับจ้างเย็บผ้า ส่วนบิดาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุตั้งแต่อารดายังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา อารดามีน้องสาวหนึ่งคนเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนเดียวกัน ค่าเทอมและค่าใช้จ่ายบางส่วนนั้นอารดาอาศัยกองทุนกู้ยืมจากรัฐบาลมาช่วย และโชคดีที่เธอสอบเข้าโรงเรียนมัธยมสตรีล้วนชื่อดังซึ่งเป็นโรงเรียนของรัฐบาลได้ ค่าเทอมจึงไม่แพงนักถ้าเทียบกับโรงเรียนเอกชนแต่ถึงกระนั้น ทุกครั้งที่ปิดเทอม อารดามักจะหางานพิเศษทำเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว ฉะนั้นเวลาที่เพื่อนฝูงนัดกันไปเที่ยว หรือเดินเล่นที่ห้างสรรพสินค้าหลังเลิกเรียน อารดาจึงไม่ค่อยได้ไปสังสรรค์เท่าไร เพราะต้องเก็บเงินไว้ใช้จ่ายในบ้านบางครั้งเพื่อนในกลุ่มรวมถึงรวิชาต้องบังคับขู่เข็ญให้ไปด้วยกัน โดยไม่ต้องให้อารดาควักกระเป๋าจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว เพราะรู้ว่าเพื่อนไม่ได้มีฐานะเหมือนพวกตน ซึ่งอารดาเองก็ไปบ้างไม่ไปบ้างเพราะความเกรงใจที่ต้องให้เพื่อนมาคอยจ่ายให้เกือบทุกครั้ง“อืม...จะว่าไปฉันก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะหมั
“พ่อกับแม่ต้องไปทำงานนะลูก เอาไว้ถ้าทุกอย่างลงตัวเมื่อไรพ่อจะพาหนูไปด้วย เพราะอีกหน่อยหนูต้องมาช่วยพ่อกับแม่ดูแลบริษัทของเรา ยังมีอีกหลายอย่างเลยละที่น้องอายต้องเรียนรู้” อาทิตย์พาบุตรสาวมานั่งที่โซฟา ก่อนจะเริ่มพูดถึงเรื่องที่ได้คุยกับภีมพลเมื่อคืน“อาภีมมาบอกกับพ่อแล้วนะว่าวันที่เจ็ดเดือนหน้าคือวันหมั้น พ่อกับแม่จะกลับมาก่อนวันงานสองวันนะลูก” บิดาพูดจบ รวิชาก็ทำตาโตทันที“วันที่เจ็ดเดือนหน้า งั้นก็อีกแค่...สองอาทิตย์เองสิคะ! ทำไมเร็วจัง”รวิชาทำหน้าง้ำ เหลือเวลาอีกแค่สิบกว่าวัน หลังจากนั้นเธอก็ต้องกลายเป็นคนที่มีห่วงผูกคอเสียแล้ว“เขาเอาฤกษ์สะดวกน่ะ เพราะวันที่สิบเดือนหน้า คุณพ่อคุณแม่ของอาภีมจะต้องไปเมืองนอก เลยอยากให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนไป” อาทิตย์ตอบบุตรสาว ก่อนจะกำชับเรื่องการดูแลตัวเองอีกครั้ง“ช่วงที่พ่อกับแม่ไม่อยู่น้องอายต้องดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก เพื่อนคนไหนที่เคยชวนไปเที่ยวกลางคืน ถ้าเขาโทร. มาชวนอีกก็ไม่ต้องไปกับเขา หลังจากที่พ่อไปแล้วอาภีมอาจจะมาดูแลบ้างเป็นครั้งคราว เดี๋ยวพ่อจะส่งไ
“คุณหนูอาย คุณนมให้มาตามค่ะ” เสียงจากแม่บ้านทำให้รวิชาเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์แล้วส่งยิ้มให้มาลัย หญิงสาวลุกขึ้นยืน หยิบกระป๋องน้ำอัดลมกับหนังสือการ์ตูนที่นำติดมือมาทั้งที่ยังไม่ได้เปิดอ่านกลับเข้าไปในบ้านด้วยรวิชาหัดทำบัวลอยไข่หวานกับนมพิมใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงเศษ แม้จะใช้เวลานาน แต่เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่หญิงสาวไม่เคยทำจึงไม่นึกเบื่อแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เธอกลับอึ้งไม่น้อยกับกรรมวิธีการผลิตในแต่ละขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการผสมแป้งนวดแป้ง ซึ่งนมพิมบอกว่าแต่ละคนจะมีสูตรการผสมที่ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงการปรุงน้ำให้หอมอร่อย ไม่หวาน และไม่เค็มกะทิจนเกินไป กว่าจะได้บัวลอยไข่หวานมาสักถ้วยช่างดูยากเย็นเหลือเกินในความรู้สึกของสาวน้อยที่เคยแต่รับประทานเพียงอย่างเดียว“กว่าจะได้แต่ละถ้วย ยากเหมือนกันนะคะนม” รวิชาเปรยขึ้นระหว่างที่ปั้นแป้งบัวลอยเป็นก้อนกลมเล็ก ๆ หย่อนใส่ในหม้อที่น้ำกำลังเดือด“ไม่ยากหรอกค่ะ ถ้าทำบ่อย ๆ แป๊บเดียวก็เสร็จ”“แล้วที่เขาทำเป็นสี ๆ ที่มีทั้งชมพู เขียว ม่วง ฟ้า นั่นเขาใส่สีผสมอาหารใช่ไ
ภีมพลยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของสาวน้อย เขารู้ว่าเจ้าตัวกำลังเขินแต่พยายามเก็บอาการอย่างเต็มที่ชายหนุ่มรู้ว่าเด็กสาววัยรุ่นเป็นวัยที่อ่อนไหวกับเพศตรงข้ามมากแค่ไหน เขาจึงค่อย ๆ ‘ตะล่อม’ ด้วยการเข้าใกล้หัวใจของเธอทีละนิด ถึงแม้จะรู้ว่าความคิดส่วนหนึ่งของรวิชากำลังต่อต้านการหมั้นหมายแบบเงียบ ๆ ตามประสาคนที่ไม่ชอบการถูกบังคับ อีกทั้งช่องว่างระหว่างวัย จึงทำให้สาวน้อยอย่างรวิชาอาจจะรู้สึกอายเพื่อนฝูงบ้าง หากต้องบอกกับเพื่อน ๆ ว่ามีคู่หมั้นอายุสามสิบกว่าปี แต่เขาก็เชื่อว่าถ้าตนสามารถทลายกรอบความคิดตรงนี้ของรวิชาลงได้ เมื่อนั้นเขาจะได้คู่หมั้นที่น่ารักน่ากอดเป็นรางวัลสำหรับความพยายามครั้งนี้แน่นอนรวิชาเดินเคียงข้างภีมพลอยู่ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมือง เธอมองไปรอบตัวเพราะเกรงว่าจะเจอคนรู้จัก หรือเพื่อนที่เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกัน เธอยังไม่อยากเจอใครทั้งนั้นในตอนนี้ ไม่อยากตอบคำถาม ไม่อยากตกเป็นเป้าการพูดถึงของใครต่อใคร และไม่อยากกลายเป็นหัวข้อสนทนาในชั่วข้ามคืนว่า มาเดินควงกับผู้ชายมีอายุ!ถึงแม้ภีมพลจ
สาวสวยหุ่นดีที่นั่งกระแซะอยู่ข้างกายมีดีกรีเป็นถึงดาวคณะ เขาใช้เวลาจีบเธอแค่สัปดาห์เดียวก็สามารถพาขึ้นเตียงได้แล้ว ตอนนี้เขาจึงเดินยืดได้เต็มที่ในมหาวิทยาลัยเมื่อมีหญิงสาวคนนี้เดินเกาะแขนไม่ห่าง ท่ามกลางสายตาอิจฉาของผู้ชายคนอื่นที่เรียงแถวกันมาจีบเธอแต่ไม่ติดแต่ก็นั่นแหละ สำหรับเขาแล้ว ผู้หญิงคนนี้ก็แค่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ในเมื่อเขาพาเธอขึ้นเตียงได้ง่าย ๆ คนอื่นที่เคยคบกับเธอมาก็คงพาขึ้นเตียงได้ง่ายไม่ต่างกัน ต่อให้สวยเลิศเลอแค่ไหนเขาก็ไม่คิดจะจริงจังอยู่ดี เพราะเขาเชื่อว่าหากหลุดจากเขาไป สาวสวยคนนี้ก็มีหนุ่มรายใหม่มาเดินอยู่ข้างกายไม่เคยขาดอยู่แล้วแต่ที่แน่ ๆ กลวิชรจะไม่รามือจากรวิชาแน่นอน เขาอยากแก้เผ็ดไอ้เจ้าพ่อคลับซุสที่บังอาจมาชุบมือเปิบคนของเขาไป อยากรู้นักว่ามันจะทำหน้าอย่างไรถ้ารู้ว่าเขาเอาผู้หญิงของมันมานอนกกได้“ผมมาดูแหวนหมั้นครับ” ภีมพลแจ้งความประสงค์กับพนักงานขายที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าตู้โชว์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พนักงานสาวรีบกุลีกุจอแนะนำหนุ่มสาวทั้งคู่อย่างกระตือรือร้น“ชอบแบบไหนคะ เพชรเม
รวิชาอยากเห็นโรงงานในส่วนที่เป็นการปฏิบัติการบ้าง ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดสนใจในธุรกิจของครอบครัวเลยสักครั้ง น่าแปลกที่พอได้มาคุยกับภีมพล เธอกลับคิดเรื่องการทำงานมากขึ้น“คิดอย่างนั้นได้ก็ดี อาว่าถึงเวลาแล้วนะที่น้องอายต้องเข้าไปศึกษางานของครอบครัว ค่อย ๆ หัดค่อย ๆ เรียนรู้ไป กว่าน้องอายจะเรียนจบป่านนั้นความรู้ความสามารถก็แข็งแกร่งพอที่จะช่วยพ่อกับแม่ได้แล้ว ถ้างั้นพรุ่งนี้อาจะมารับไปที่โรงงานแล้วกันนะ”ภีมพลรีบอาสา ตั้งใจไว้ว่าในช่วงสองอาทิตย์ก่อนถึงวันหมั้น เขาต้องทำตัวติดกับรวิชาเพื่อลดความตึงเครียดของเธอเมื่อต้องเข้าพิธีหมั้นทั้งที่อายุยังน้อย“ให้พี่บุญเกิดขับไปส่งก็ได้ค่ะ ลำบากอาภีมเปล่า ๆ”รวิชารีบปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เธอรู้ว่าเขางานยุ่งมากแค่ไหนเพราะต้องทำงานทั้งกลางวันกลางคืน เวลาพักผ่อนก็มีน้อย จนสงสัยว่าเขาเอาเวลาที่ไหนไปนอน“อาเคยบอกแล้วไงว่าถ้าเกี่ยวกับเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรอายอมลำบากทั้งนั้นแหละ”ชายหนุ่มวางมือบนศีรษะเธอแล้วโยกไปมา ก่อนจะเลื่อนมือลงมาเกาะบ่าบอบบางแบบเนียน ๆภีมพลหัน
ร่างสูงใหญ่ของภีมพลก้าวเดินอย่างเชื่องช้าอยู่ตรงลานจอดรถสำหรับพนักงาน ในมือถือโทรศัพท์ไว้โดยที่สายตาก็จดจ่ออยู่แต่หน้าจอ ใบหน้าระบายยิ้มอ่อนโยน บางคราวก็หัวเราะขลุกขลักในลำคอ เวลาที่ชายหนุ่มก้มลงพิมพ์ข้อความเขาจะหยุดเดิน ราวกับกลัวว่าจะพิมพ์ผิดแล้วต้องเสียเวลาพิมพ์ใหม่ด้วยความที่มัวแต่สนใจกับแชตในโทรศัพท์ จึงทำให้ไม่รู้ตัวว่าเจ้าของรถยุโรปคันหรูที่เข้ามาจอดเทียบกับเขาเมื่อครู่นั้น กำลังเดินตามหลังมาด้วยแววตาระยิบระยับพลางหันไปพยักพเยิดกับหญิงสาวที่ตนกำลังโอบเอวอยู่“ม็อทครับ ผมว่าพักหลังมานี้ไอ้ภีมเพื่อนผมดูมันกำลังอินเลิฟยังไงก็ไม่รู้” พชรพูดกับสาวสวยข้างกาย ทำทีเป็นไม่เห็น และไม่สนใจภีมพลที่เดินนำอยู่“ยังไงหรือคะ” ช่อมาลีแสร้งรับมุกทำเป็นไม่เห็นภีมพลบ้าง ขณะเดินผ่านคนที่กำลังพูดถึง“ก็ยิ้มคนเดียว หัวเราะคนเดียว แชตไปยิ้มไป ผมสงสัยว่ามันกำลังจีบสาวสักคนแน่ ๆ”พชรแกล้งเอาหัวไหล่กระทบกับไหล่ของภีมพลตอนเดินแซงไปข้างหน้า คนถูกชนได้แต่ยิ้มไม่พูดอะไร แต่สาวเท้าก้าวตามคู่รักเข้าอาคารไปเงียบ ๆ เขามองพ
“เฮ้อ แย่เนอะ สมัยพวกเราเรียนมัธยมยังไม่เห็นมีแบบนี้เลย”ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันต่อ เตชินทร์ก็เดินเข้ามาหา แล้วทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับรวิชาอย่างถือวิสาสะ เขาหันมาส่งยิ้มให้อารดาเล็กน้อย ก่อนจะหันไปคุยกับรวิชา“แย่หน่อยนะครับ เจอใครไม่เจอดันไปเจอไอ้วิชร”ชายหนุ่มเปิดรอยยิ้มกว้างจนตายิบหยี ใบหน้าหล่อเหลาขาวใสสไตล์หนุ่มเกาหลีที่กำลังนิยมทำเอาคนมองอย่างอารดาตาพร่า เสียงทุ้มของเขายามเอื้อนเอ่ยฟังดูนุ่มนวลชวนหลงใหล แม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้คุยและยิ้มให้กับเธอ แต่หญิงสาวก็อดเผลอนั่งจ้องเขาไม่ได้“ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยนะคะที่ช่วยไว้ พี่ชื่อ...”รวิชาพูดค้างไว้แค่นั้น เตชินทร์จึงแนะนำตัวเอง“เตชินทร์ครับ เรียกพี่ชินทร์เฉย ๆ ก็ได้ พี่อยู่ปีสามคณะเดียวกับน้องนั่นละ แต่ช่วงวันปฐมนิเทศพี่ติดธุระเลยไม่ได้มาร่วมงาน น้องอายเลยไม่เคยได้เจอหน้าพี่ แต่พี่เห็นน้องอายบ่อยเลยนะเพียงแต่ไม่กล้าเข้ามาทัก”เตชินทร์คลี่ยิ้มกว้างอีกครั้ง คราวนี้อารดาต้องแอบจิกเนื้อของตัวเอง เตือนสติให้เลิกมองเขา หัว
รวิชาเดินเข้ามหาวิทยาลัยเพียงลำพัง เมื่อคืนเธอได้แชตกับเพื่อนสนิททั้งสองคนเกี่ยวกับภาพข่าวที่ออกมา และปฏิกิริยาของคนที่เข้ามาโพสต์ อดแปลกใจไม่ได้ว่าบางคนนั้นไม่เคยรู้จักเธอด้วยซ้ำ แต่มาพูดต่อว่าเธอเสีย ๆ หาย ๆ ราวกับรู้จักกันมาเนิ่นนาน จึงลงความเห็นกันว่าเธอคงไม่ค่อยเป็นที่ปรารถนาของนักศึกษาผู้หญิงเท่าไร ไม่ว่าจะรุ่นเดียวกันหรือรุ่นพี่เธอเดาว่าอาจเป็นพราะการที่ตนเป็นจุดเด่นมากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตนเป็นจุดสนใจของเพศตรงข้าม รวมไปถึงการใช้กระเป๋าและนาฬิกาแบรนด์หรูมาเรียน รวิชาจึงพยายามลดความเป็นจุดเด่นของตัวเองลง โดยเริ่มปรับปรุงเกี่ยวกับเรื่องเครื่องประดับติดกายพวกนี้ก่อนวันนี้เธอสะพายกระเป๋าแฮนด์เมดใบละไม่กี่ร้อยที่ซื้อจากตลาดนัดสวนจตุจักรตั้งแต่สมัยมัธยมมาเรียน ใส่นาฬิกาเรือนเดิมที่เคยใส่ตอนเรียนมัธยมปลาย การที่ตัวเองเป็นเด็กใหม่แต่ถ้าทำตัวให้น่าหมั่นไส้แม้จะไม่ตั้งใจก็ตาม ก็อาจจะทำให้เธอใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยได้ไม่ราบรื่นนักเสียงกระหึ่มของรถสปอร์ตคันหรูที่ดังอยู่ด้านหลังไม่ได้ทำให้รวิชาสนใจจนต้องหันไปมอง หญิงสาวยังคงเดินไปเรื่อย ๆ
แต่ภีมพลกลับไม่ยอมให้เธอหลบหน้าไปทางไหน เขาเอานิ้วดันคางมนให้เชิดขึ้นแล้วก้มหน้าลงกระซิบ“งั้น...อาขอคำสุดท้ายนะ”ไม่ต้องรอให้เธออนุญาต เขาก็ยื่นหน้าเข้าไปละเลียดชิมอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาชิมไม่นานนัก เพราะเห็นใจสาวน้อยที่ขัดเขินจนสะท้านไปทั้งร่าง ก่อนจะผละออกแล้วกดจมูกลงไปที่แก้มแดง ๆ ของเธอเต็มฟอดพอเห็นเขาหยิบถ้วยบัวลอยขึ้นมาถือไว้ในมือ รวิชาได้ทีก็รีบเด้งตัวขึ้นจากตักแล้วเดินอ้อมไปนั่งฝั่งตรงข้ามทันที หญิงสาวเบนสายตาไปดูเวลาที่นาฬิกาบนโต๊ะทำงานของเขาแล้วพูดขึ้น“น้องอายไปก่อนนะคะ วันนี้ต้องเข้าโรงงานกับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ”“ครับ อาก็คงนั่งทำงานที่นี่ ไม่ได้ไปไหน ค่ำ ๆ ก็ออกไปที่คลับเหมือนเดิม ถ้าน้องอายกลับมาจากโรงงานแล้วจะแวะมานั่งเล่นอยู่กับอาก็ได้นะ”ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ รวิชาพยักหน้ารับเร็ว ๆ ก่อนจะโบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องด้วยหัวใจพองโตสุนิตาคลิกเมาส์เพื่อเลื่อนดูฟีดข่าวของหน้าเฟซบุ๊กแล้วหยุดค้างอยู่ที่ข้อความที่พาดพิงถึงเพื่อนสาวในกลุ่ม เพื่อนที่เธอไม่ค่อยอยากนับเ
เสียงของรวิชานิ่งงันไปเมื่อเห็นภาพของตัวเองเด่นหราอยู่ในหน้าเฟซบุ๊กในกรุ๊ปของนักศึกษาคณะบริหารที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า “สาวใสคณะบริหาร” ซึ่งในกรุ๊ปนี้จะมีแต่เฉพาะนักศึกษาสถาบันนี้เท่านั้นที่จะเข้าเป็นสมาชิกได้ และรูปที่มีมือดีแอบถ่ายเอาไว้แถมแต่งภาพทำกรอบให้เสียสวยงามนั้นก็เป็นรูปของเธอกับภีมพลที่ไปเที่ยวด้วยกันเมื่อคืนนั่นเอง เธอจะไม่เดือดร้อนเลยถ้าหากใต้รูปนั้นจะไม่บรรยายไปในทางเสื่อมเสีย“น้องอาย ขวัญใจหนุ่ม ๆ ทั้งหลายไม่ใช่สาวใสอย่างที่ใคร ๆ คิดเสียแล้วที่แท้ก็เด็กเสี่ยนี่เอง ไม่รู้ว่าขายตัวด้วยหรือเปล่า”“โห...แรงอ่ะ ใครโพสต์เนี่ย”รวิชาหน้างอง้ำ ยิ่งได้อ่านข้อความด้านล่างที่มีคนมาคอมเมนต์ต่อ ๆ กันก็ยิ่งรู้สึกแย่ บางคนยังไม่เคยพบปะพูดคุยกับเธอด้วยซ้ำ แต่กลับกล้าวิจารณ์เธอไปในเรื่องที่ไม่รู้ว่าไปขุดมาจากไหน“เดี๋ยวฉันสืบให้ เครือข่ายฉันพอมี แต่ฉันว่าก็คงเป็นอีพวกที่ไม่ค่อยชอบหน้าแกนั่นแหละ จะมีใคร ว่าแต่แกเถอะจะแก้ข่าวยังไงยะ จะบอกคู่หมั้นหรือเปล่าเรื่องนี้น่ะ” คิดแล้วก็อดห่วงเพื่อนสาวไม่ได้ เพราะถ้ามีคนเชื่อข
หลังจากวางสาย เขาก็เดินออกจากฮอลล์อีกประตูแล้วอ้อมจากด้านหน้าที่มีการตรวจบัตร เดินผ่านเลยไปยังที่จอดรถสำหรับพนักงานแล้วเข้าประตูหลังเพื่อขึ้นไปยังออฟฟิศด้านบน พอเปิดประตูเข้าไปก็เห็นพนักงานตรวจบัตรนั่งรออยู่ในห้องก่อนแล้ว“อ้าว มาแล้วหรือ พวกนายมานี่สิฉันจะให้ดูอะไร”ภีมพลเดินนำไปที่กระจกบานใหญ่ซึ่งสามารถมองลงไปเห็นฮอลล์ด้านล่างได้ทั้งหมด แต่คนข้างล่างไม่สามารถมองขึ้นมาเห็นคนในห้องนี้ได้ จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังโต๊ะของสุนิตา“พวกนายได้ตรวจบัตรของลูกค้าโต๊ะนั้นหรือเปล่า” พนักงานหนุ่มสองคนนั้นมองตามนิ้วมือของเขาแล้วพยักหน้า“ตรวจครับ พวกเราตรวจทุกคน ไม่มีใครที่เราไม่ได้ตรวจแล้วจะปล่อยให้เข้าไปข้างในได้แน่นอนครับคุณภีม”“นายแน่ใจนะ กลุ่มนั้นเขาเลยยี่สิบกันแล้วหรือ” ภีมพลยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมสุนิตาถึงเข้ามาที่นี่ได้ทั้งที่ด้านหน้าก็มีการตรวจบัตรอย่างเข้มงวด หนึ่งในพนักงานหนุ่มจึงพูดขึ้น“เลยแล้วครับผมจำได้ เพราะถ้าใครที่อายุไม่ถึงยี่สิบ เราไม่ให้เข้าอยู่แล้ว ยิ่งโต๊ะนั้นผมยิ่งจำได้ เพราะน้องชุด
พชร หุ้นส่วนและเพื่อนสนิทของภีมพลเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาแล้วต้องส่ายหน้ากับภาพที่เห็นภีมพลนั่งหลังตรงอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอร์ สีหน้าจริงจังราวกับสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นโครงการสำคัญระดับชาติ แค่นั้นเขาก็รู้ทันทีว่าเพื่อนรักกำลังทำอะไรอยู่“สนุกนักหรือวะ เห็นพักหลังมานี่แกติดมันงอมแงมเลยนะ ว่างเป็นไม่ได้ฉันเห็นแกต้องเล่นตลอด”พชรถามพลางเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ออกมาหนึ่งกระป๋อง แล้วเดินมานั่งที่โซฟาตัวยาว ภีมพลไม่ตอบคำถามเพราะสายตาเอาแต่คอยจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมแทบไม่กะพริบ มือสองข้างก็ถือจอยสำหรับควบคุมเกมไว้แน่น“ได้ข่าวว่าแกโดนวิคกี้รุกอีกแล้วหรือ”พชรยังคงถามต่อแบบยิ้ม ๆ เขาเองก็รู้มาเหมือนกันว่านักร้องสาวอะคูสติกพยายามจะเข้าหาภีมพล ทีแรกก็ไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่พอช่อมาลียืนยันหนักแน่นด้วยอีกคน เขาจึงลองจับตามอง ถึงได้เห็นว่าวิธีการอ่อยเหยื่อของเจ้าหล่อนนั้นใช้ไม่ได้ผลกับภีมพลแน่นอน“แกก็จัดให้เขาสักทีสองที เดี๋ยวก็คงเลิกไปเองแหละมั้ง”พชรยังคงแกล้งเย้าแหย่เพื่อน เพราะรู้ดีว่าอย่า
“หายใจไม่ทันหรือคะน้องอาย” ถึงเขาจะผละออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะห่างไปไหน ยังคงประพรมจูบทั่วปากอิ่มที่เผยอเล็กน้อยราวกับเชิญชวน“ค่ะ” รวิชาตอบเสียงแผ่วไม่กล้ามองสบสายตาคมกล้าเป็นประกายแม้จะอยู่ในที่มืดสลัว หัวใจดวงเล็กสั่นระรัว ทั้งเขินทั้งอายแต่ก็อุ่นซ่านหวามไหวในคราวเดียวกัน“โกรธอาหรือเปล่าคะที่อาทำอย่างนี้” ถามแล้วก็เหมือนไม่สนใจฟังคำตอบ ริมฝีปากร้อนร้ายยังคงเคลื่อนไหวแผ่วเบาไปตามผิวแก้มทั้งสองข้างระเรื่อยไปจนถึงปลายคางก่อนจะจบลงที่ปากอิ่มหญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ รู้สึกเนื้อตัวร้อนรุ่มราวกับจับไข้ ยิ่งได้ยินเขาพูด คะ ขา กับเธอแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจพองโตคับอก เพราะเขาน่ารักอย่างนี้ไงเล่า เธอถึงหวงเขา ไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนได้มาอยู่ใกล้ หรือมาทำท่าทางสนอกสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สุนิตา เพื่อนในกลุ่มเธอเอง“แล้วถ้าอาจะขอจูบน้องอายอย่างนี้ทุกครั้งก่อนเข้าบ้านเป็นรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ น้องอายคงไม่ว่าอาใช่ไหมคะ”ชายหนุ่มใช้หลังนิ้วไล้เบา ๆ ที่แก้มสุกปลั่งของหญิงสาวระหว่างรอฟังคำตอบ ซึ่งสาวน้อยก็ส่ายหน้าอีกเช่นเค
“เอ่อ...คนเยอะมากเลยค่ะอาภีม น้องอายไม่ขึ้นชิงช้าแล้วก็ได้นะคะ เราเดินเล่นกันอย่างเดียวก็ได้”รวิชาช้อนสายตาขึ้นมองเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ นึกว่าเขาจะพยักหน้าเห็นด้วยกับที่เธอบอก กลับกลายเป็นว่าเขาเดินโอบบ่ารั้งให้เธอเข้าไปต่อแถวซื้อตั๋วขึ้นชิงช้าสวรรค์ด้วยกัน“ไม่ขึ้นได้ยังไงกันครับอุตส่าห์มาถึงนี่แล้วทั้งที ไม่เป็นไรหรอกน่า...คนอื่นยังรอกันได้เราก็ต้องรอได้สิครับ”ชายหนุ่มยังคงโอบเธอไว้อย่างนั้นกระทั่งถึงตอนที่ต้องหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจ่ายเงินค่าตั๋ว มือของเขาจึงได้เลื่อนลงไปกุมมือนุ่มของเธอแทนทุกอิริยาบถของคนทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของใครคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว และคนคนนั้นก็ตามเก็บภาพของทั้งสองคนตั้งแต่ลานจอดเลยก็ว่าได้“โธ่เอ๊ย! นังเด็กปีหนึ่งคนนี้นี่ไอ้เราก็นึกว่าเป็นลูกคุณหนูไฮโซมาจากไหน ที่แท้ก็เป็นไซด์ไลน์มีเสี่ยเลี้ยงนี่เอง”มุมปากของคนพูดกระตุกยิ้มเหยียด ก่อนจะหันไปซุบซิบกับเพื่อนที่มาด้วยกัน พลางส่งต่อรูปที่ถ่ายมาได้ให้เพื่อนในกลุ่มเพื่อช่วยกันกระจายข่าว!ภีมพลรู้สึกผิดหวังราวกับ
“ใครจะมองยังไงก็เรื่องของเขา เราไปห้ามความคิดคนอื่นไม่ได้หรอก คนคิดดีกับเราก็มีคนคิดร้ายกับเราก็เยอะ แค่เรารู้ตัวเองก็พอแล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่ คนอื่นจะคิดยังไงก็ช่างเขาอย่าไปใส่ใจเลยครับ” ชายหนุ่มบีบมือเธอเบา ๆ“หรือว่าเราอาย” ภีมพลหันหน้าไปถามก่อนจะหันไปมองถนนเบื้องหน้าต่อ“อายอะไรคะ อาภีมหมายถึงอะไร”“เราอายเพื่อนหรือเปล่าที่อาไปรับที่มหาวิทยาลัยทุกวัน หรือว่าอายเพื่อนไหมที่ต้องบอกว่าอาเป็นคู่หมั้น น้องอายบอกอาได้นะ อาอยากให้เราเปิดใจคุยกันทุกเรื่องให้เข้าใจ”ภีมพลกระแอมเล็กน้อย นึกกลัวคำตอบอยู่เหมือนกัน แต่เขาก็อยากรู้ว่าเธอคิดอย่างไรกับการที่ต้องมีคู่หมั้นอายุห่างกันถึงสิบสี่ปี เด็กสาวอย่างเธอจะนึกอายเพื่อนบ้างหรือเปล่าเวลาที่ต้องแนะนำใครต่อใครว่าเขาคือคู่หมั้น“เปล่าค่ะ ไม่ได้อาย”รวิชาตอบเขาสั้น ๆ นึกอยากถามกลับไปบ้างว่าเขาล่ะอายเพื่อนบ้างหรือเปล่าที่ต้องมีคู่หมั้นเป็นเด็กน้อยปีหนึ่งอย่างเธอ ในขณะที่รอบตัวเขามีแต่สาวสวยเซ็กซี่วนเวียนมาทอดไมตรีให้ตลอด หญิงสาวชั่งใจอยู่สักพักก่อ