ซือเจ๋อเยว่ไม่มีทางยอมรับอย่างแน่นอน “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้ากำลังดีใจแทนเจ้า” “เสด็จแม่บอกว่าแม่นางจ้าวรักมั่นต่อน้องสาม รออีกสามปี พวกเจ้าแต่งงานกัน ไม่นานก็จะมีทายาทให้จวนอ๋องได้” หากก่อนหน้านี้เยียนเซียวหรานรู้สึกแค่ว่านางกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น คราวนี้เขายิ่งมั่นใจโดยสิ้นเชิงแล้ว เขาอยู่กับซือเจ๋อเยว่มานาน เข้าใจนิสัยของนางอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเขาถามนางว่า “เจ้าคิดว่าจ้าวซือหว่านไม่ดีหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “นางดีหรือไม่ ข้าไม่ได้เป็นคนตัดสิน เจ้าต่างหากที่เป็นคนตัดสิน”นางกล่าวจบก็เดินผ่านเขาไป ตั้งใจจะตรงกลับไปที่ห้องแต่เยียนเซียวหรานคว้าแขนของนางไว้ นางจึงมองมาที่เขา “มีอะไรหรือ?”เยียนเซียวหรานเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วถามนางว่า “ท่านมีคนที่ชมชอบหรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “มีสิ!”เยียนเซียวหรานประหลาดใจอยู่บ้าง ดวงตาของซือเจ๋อเยว่โค้งขึ้นเล็กน้อย “ข้าแต่งงานกับพี่ชายใหญ่ของเจ้า ย่อมต้องชอบพี่ชายใหญ่ของเจ้าสิ!” นางกล่าวจบก็สลัดมือของเขาออก ก่อนจะก้าวยาว ๆ เดินไปข้างหน้านางเดินพลางยื่นมือไปบีบนวดแขน ปากก็พึมพำว่า “นี่โตมากับการกินผักขมตั้งแต่เด็
เฟิ่งจือเซี่ยตอบกลับว่า “ความฝันของน้องสามไม่ใช่การเป็นแม่ทัพที่ออกศึกในสนามรบ แต่เป็นบัณฑิตผู้ยิ่งใหญ่ที่เขียนตำราเผยแพร่ทฤษฎีของตนเอง” “เสด็จพ่อคิดว่าสมองของเขามีปัญหา ก่อนหน้านี้จึงฟาดเขาไปไม่น้อยเลย”“เมื่อก่อนเขาคัดลอกหลักคำสอนของคัมภีร์และคำกล่าวโบราณลับหลังเสด็จพ่อไว้ไม่น้อย แต่ก็เผาทิ้งทั้งหมดก่อนที่เสด็จพ่อจะกลับบ้าน”“วันนี้เขาเผาของพวกนี้ น่าจะคงคิดว่าของพวกนี้ไม่มีประโยชน์แล้วจริงๆ”อันที่จริงซือเจ๋อเยว่ไม่ค่อยเข้าใจพฤติกรรมนี้ของเยียนเซียวหราน รู้ทั้งรู้ว่าไร้ประโยชน์ แต่ก็ยังเขียนไปด้วย เผาไปด้วยนางฟังเรื่องพวกนี้แล้วกลอกตารอบหนึ่ง นึกถึงวิธีการที่สามารถจูบเขาได้หลังจากที่นางส่งเฟิ่งจือเซี่ยกลับไปแล้ว นางก็แอบเข้าไปในเรือนของเยียนเซียวหราน นับตั้งแต่ที่จวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง บ่าวรับใช้ในจวนก็ถูกไล่ออกไปไม่น้อย ในเรือนของเยียนเซียวหรานมีเด็กรับใช้เพียงคนเดียวชื่อว่าฉางเซิงก่อนที่ซือเจ๋อเยว่จะเข้ามาก็ได้สอบถามไว้เรียบร้อยแล้วว่า เยียนเซียวหรานไม่ชอบให้มีคนอยู่ในห้องตอนที่เขาพักผ่อน เมื่อนางเข้ามา ฉางเซิงก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องของบ่าวไพร่แล้ว หากเยียนเซียวหราน
นางกล่าวอย่างอึกอัก “ข้า... ข้า...”นางยังหาเหตุผลไม่ได้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมาจากด้านนอกเยียนเซียวหรานรู้ว่าจะต้องเป็นฉางเซิงเด็กรับใช้กลับมาแล้ว ในเวลานี้เสื้อผ้าของเขาไม่เรียบร้อย ถ้าหากให้ผู้อื่นพบว่าซือเจ๋อเยว่อยู่ในห้องของเขา จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเดิมทีเขาก็ไม่ได้นับว่ามีน้ำใจต่อนางสายตาของเขาเคร่งขรึมขึ้นมาทันที จูงมือซือเจ๋อเยว่ ผลักนางไปบนเตียง ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวนางไว้ แล้วก็ปล่อยมุ้งลงเขากลัวโดนฉางเซิงจะระแคะระคาย จึงรีบดีดกระดุมเพื่อดับตะเกียงอีกดวงอย่างรวดเร็วทันทีที่เขาทำเรื่องนี้เสร็จ ฉางเซิงก็เดินเข้ามาพอดี “คุณชาย หนังสือที่คุณชายให้ข้าไปหา หาเจอทั้งหมดแล้ว ให้วางไว้ที่ไหนขอรับ?”หลังจากที่เขาเดินเข้ามาก็พบว่าภายในห้องมืดสนิท จึงกล่าว “เอ๋ ตะเกียงดับตั้งแต่ตอนไหน ข้าจะไปจุดตะเกียงให้คุณชายขอรับ”นับหลังจากที่เยียนอ๋องเกิดเรื่อง เยียนเซียวหรานมักจะร่ำเรียนอย่างขยันขันแข็ง หรืออ่านหนังสือ หรือครุ่นคิดเรื่องบางอย่างทุกคืนแม้ว่าตอนที่เยียนเซียวหรานได้รับบาดเจ็บกลับมาที่จวนอ๋อง ก็ไม่เคยขาดช่วงมาก่อนดังนั้นเมื่อฉางเซิงเห็นว่าแสงภายใ
เมื่อเยียนเซียวหรานได้ยินประโยคนี้ ก็ชักกระบี่ที่แขวนอยู่บริเวณหัวเตียงออกมา วางพาดไว้บนลำคอของนาง “องค์หญิงโปรดระวังคำพูดด้วย!”ซือเจ๋อเยว่เคยเห็นท่าทางการลงมือของเขา เจตนาสังหารคุกรุ่น แต่ในเวลานี้ นางกลับไม่รู้สึกถึงเจตนาสังหารบนร่างกายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียวในทางกลับกัน นางเพียงรู้สึกถึงความลำบากใจและเขินอายของเขาเดิมทีซือเจ๋อเยว่เกรงว่าเขาจะจำนางได้ จะสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็นขึ้นมาในขณะที่นางกำลังค้นพบ หลังจากที่นางนำเรื่องทำลายดวงชะตาที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัยไปฝากไว้ที่เขา นางก็รู้ว่าต่อไปนางก็คงหลีกเลี่ยงเขาไม่พ้นเกรงว่าคืนนี้นางจะต้องใช้วิธีการสกปรกเพื่อหลับนอนกับเขา ใช้ความปราดเปรียวของเขา สุดท้ายก็จะสังเกตเห็น ถึงเวลานั้นจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอนในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้นางลองเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติตัวกับเขานางเม้มริมฝีปากยิ้มเบา ๆ “น้องสามคิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ?”มือที่จับกระบี่ของเยียนเซียวหรานสั่นระริกโดยไม่รู้ตัวซือเจ๋อเยว่ยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาหนีบปลายกระบี่เอาไว้ เหลือบตามองเขากล่าว “น้องสาม อาวุธทำร้ายผู้คนได้ง่าย”“ถ้าหากเจ้าไม่อยากตายละก็
นางไม่มีทางยอมรับ!นางใช้น้ำเสียงสงสัยเอ่ยถาม “เมืองเวิ่นซีอยู่ที่ใด? ที่นั่นเคยเกิดเรื่องอันใดที่มีความหมายอย่างนั้นหรือ?”ร่างกายของนางในที่อยู่ดวงตาของเยียนเซียวหราน ทับซ้อนกับร่างกายของสตรีคนนั้นเมื่อสองปีก่อนหน้าแล้วดวงตาของเยียนเซียวหรานจ้องตรงไปที่นาง คิดจะตามหาเบาะแสจากสีหน้าของนางเพียงแต่แสงตะเกียงภายในห้องถูกเขาดับลงเกือบหมดแล้ว บัดนี้เหลือเพียงแสงสว่างรำไรจากตะเกียงน้ำมันอันหนึ่งที่อยู่บริเวณมุมห้องเท่านั้นแสงสว่างของตะเกียงอันนั้นไม่เพียงพอที่จะส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบนเตียงนอนที่ยังคลุมไปด้วยมุ้งอีกหนึ่งชั้นใบหน้าของนางที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองสีหน้าของนางได้ไม่ชัดเจนเสียด้วยซ้ำเขาเห็นเพียงความสงสัยจากในดวงตาอันแสนงดงามคู่นั้นของนางเท่านั้นเดิมทีเขามั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หลังจากที่เผชิญกับดวงตาคู่นี้ของนาง กลับกลายเป็นว่าไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรสายตาของเยียนเซียวหรานจดจ้องไปที่นาง นางเลิกคิ้วเล็กน้อย “หรือว่าเคยเกิดเรื่องใหญ่สุดยอดอะไรกับคุณชายเยียนซานอย่างนั้นหรือ?”เขาถอนสายตากลับ ลดกระบี่ลง “เปล่า ข้าก็แค่ถามเฉย ๆ เท่านั้น”เขา
เมื่อเยียนเซียวหรานเห็นป้ายหยกอันนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากเขาเคยเห็นป้ายหยกนั่นมาก่อนซือเจ๋อเยว่ดึงปิ่นปักผมไม้ที่ดูแสนจะธรรมดาอันหนึ่งออกมาจากบนศีรษะ มือทั้งสองข้างทำท่ามุทรา จากนั้นก็แทงลงไปที่ป้ายหยกอันนั้นตอนที่มือของนางแทงลงไป เยียนเซียวหรานได้ยินเสียงกรีดร้องที่แสบแก้วหูเป็นอย่างยิ่งเสียงกรีดร้องนั่นสูงเสียจนแก้วหูของเขารู้สึกเจ็บ หว่างคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน “เสียงอะไรน่ะ!”พลังสีดำที่อยู่บนป้ายหยกนั่นเหมือนกับว่ากำลังจะก่อตัวกันกลายเป็นอาวุธ กำลังจะพุ่งเข้ามาหาเยียนเซียวหรานซือเจ๋อเยว่ไม่ได้ตอบ ยกมือซ้ายขึ้นทำท่ามุทราอีกครั้ง แล้วกดลงไปด้วยความรุนแรงตอนที่นางกดลงไป เยียนเซียวหรานรู้สึกเพียงว่าเสียงกรีดร้องนั่นแสบแก้วหูยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ซือเจ๋อเยว่สบถคำหยาบออกมา “มารดามันเถอะ วันนี้เจ้าได้ประมือกับข้า ยังคิดว่าจะหนีพ้นอีกหรือ!”นางพูดจบก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทันที ตอนที่นางยกมือขึ้นพลังสีดำกลุ่มนั้นก็มุดออกไปทางด้านนอกอย่างรวดเร็วนางแค่นเสียงหัวเราะ ใช้ปิ่นปักผมกรีดที่ปลายนิ้วทันควัน เลือดสดๆ ไหลออกมา นางใช้ฝ่ามือที่เปื้อนเลือดข้างนั้น กดพลังสีดำ
นางที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ เพียงทำตามสัญชาตญาณของตน ทำเรื่องที่มีผลประโยชน์ต่อตนเองเท่านั้นตอนที่นางชอนไชเข้าไปในปากของเยียนเซียวหราน ก็เป็นเพียงเพราะว่าตรงนั้นทำให้นางรู้สึกสบาย สามารถผ่อนคลายความรู้สึกไม่สบายอันใหญ่หลวงที่เกิดจากการเสียเลือดได้ตอนแรกเยียนเซียวหรานยังพอสามารถรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้ บอกกับตนเองว่าไม่ได้แต่ว่าตอนที่กลิ่นอายของนางแทรกซึมเข้ามาในร่างกายของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ สติสัมปชัญญะของเขาก็พังทลายไปจนหมดสิ้นเขายื่นมือไปโอบที่เอวของนาง กดนางลงไปใต้ร่างกายอย่างรุนแรงตอนที่เขากดเข้ามา อาการข้างเคียงของการเสียเลือดของนางปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ หมดสติไปเรียบร้อยแล้วเรื่องแบบนี้เยียนเซียวหรานไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ไม่มีหนทางอื่น ทั้งหมดเพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณของตนเท่านั้นในไม่ช้าจากที่เขาเป็นฝ่ายตามก็กลายเป็นฝ่ายนำ มือใหญ่ล้วงเข้าไปในกระโปรงของนางในเวลานี้ มีแมวตัวหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนหน้าต่าง ส่งเสียงร้อง ‘เมี้ยว’ เสียงดัง เยียนเซียวหรานได้สติทันที สติที่กระจัดกระจายกลับคืนมาเขาหันหน้ามองซือเจ๋อเยว่ที่หมดสติไปแล้วที่ถูกทับอยู่ใต้ร่างกายของเขา แล้วก็มองปลายจม
จ้าวซือหว่านกุมหน้าอก เปิดประตูตู้ที่อยู่ในห้องพระโพธิสัตว์ใบหน้าเมตตาองค์หนึ่งที่แต่เดิมวางไว้อยู่ในตู้ใบนั้น ในเวลานี้พระโพธิสัตว์ได้แตกสลายกลายเป็นผงอย่างน่าประหลาดหลังจากพระโพธิสัตว์แตกละเอียดแล้ว พลังชั่วร้ายสีดำที่สะสมอยู่ข้างในจึงปลิวไปทั่วสารทิศเมี่อสาวใช้เห็นพระโพธิสัตว์ที่แตกละเอียดแล้ว จึงกล่าวด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “เมื่อครู่ตอนที่บ่าวเห็นพระโพธิสัตว์ ท่านยังดี ๆ อยู่เลย เหตุใดตอนนี้ถึงได้แตกเองเล่าเจ้าคะ?”จ้าวซือหว่านกำลังจ้องมองพระโพธิสัตว์ที่แตกละเอียดรูปนั้น ดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”สาวใช้เห็นเลือดไหลออกมาจากมุมปากของนาง รีบกล่าว “คุณหนู ข้าจะไปเชิญท่านหมอมาให้ท่าน!”จ้าวซือหว่านกล่าวเสียงขรึม “ไม่ต้องเชิญหมอ ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง เจ้าช่วยนำไปส่งให้ข้าที่จวนหนิงกั๋วกงทันที มอบให้คุณชายรอง”สาวใช้ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง จ้าวซือหว่านอาเจียนเป็นเลือดแต่กลับไม่ไปเชิญท่านหมอ แต่กลับจะเขียนจดหมายหาคุณชายรองแห่งจวนหนิงกั๋วกงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จึงยืนงงอยู่ตรงนั้นจ้าวซือหว่านไม่อธิบายกับนางเช่นกัน เพียงกล่าว “อย่ามัวแต่
นางสวมรองเท้ามือเป็นระวิง เพียงแต่ยิ่งลนลาน ก็ยิ่งทำได้ไม่ดีเดิมทีรองเท้าที่สวมได้อย่างง่ายดายมากเป็นเพราะนางตกตะลึงสวมห้าหกครั้งก็ยังไม่เข้าเยียนเซียวหรานยื่นมือออกไปจับข้อเท้าของนางเอาไว้ นางหันหน้าไปมองเขา เขากลับไม่ได้มองนาง แต่ยกรองเท้าข้างหนึ่งขึ้นมา ค่อย ๆ สวมเข้าไปที่เท้าของนางซือเจ๋อเยว่ “...”นางรู้สึกว่าตนเองในเวลานี้โง่นิด ๆหลังจากเยียนเซียวหรานสวมรองเท้าในนางเสร็จข้างหนึ่งแล้ว ก็สวมอีกข้างอีกให้นางนางกระโดดลงจากเตียงอย่างว่องไว “ลำบากเจ้าแล้ว”นางพูดจบคิดจะหนี กลับถูกเยียนเซียวหรานจับข้อมือขาวเล็กเอาไว้นางมองเขาแล้วถาม “ยังมีธุระอะไรอีกหรือ?”เยียนเซียวหรานไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นมือออกไปแล้วช่วยติดจัดปกคอเสื้อให้นาง ช่วยนางปรับสายคาดเอวให้เรียบร้อย ซือเจ๋อเยว่ “!!!!!”นางหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีเยียนเซียวหรานหวีผมให้นางอีก กล่าวเสียงเรียบ “เสร็จแล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเขา ดวงตาของเขาล้ำลึกตามเดิม นางมองเห็นเงาสะท้อนของตนเองในดวงตาของเขาการเต้นของหัวใจนางเริ่มเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง นางรู้ว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปจะไม่เข้าท่า จึงรีบกระโดดหนีออกทางหน้าต่า
ตอนนี้สมองของซือเจ๋อเยว่ไม่พอใช้แล้ว เมื่อได้ยินเขาถามแบบนี้ นางตอบว่า‘อืม’ทีหนึ่ง ไม่ได้เข้าใจความหมายของเขาจริง ๆเยียนเซียวหรานจับมือของนาง ดึงแขนเสื้อของนางขึ้น เส้นแดงที่อยู่ภายในก็ปรากฏขึ้นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าว “ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่”ในที่สุดซือเจ๋อเยว่ก็เข้าใจความหมายของเขา นางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับกล่าวขึ้น “อาจจะเป็นเพราะห่างกันไปหน่อย”ครู่ต่อมา มือของเขาประคองเอวนาง ทันทีที่ออกแรงเพียงเล็กน้อย ก็อุ้มนางขึ้นมาวางไว้บนต้นขาของเขาซือเจ๋อเยว่ “...”ซือเจ๋อเยว่ “!!!!!”อยู่ ๆ เขากลายเป็นคนที่เร่าร้อนจนเกินไป นางรับมือไม่ค่อยไหว!เยียนเซียวหรานสูงกว่านางมาก แล้วก็แข็งแรงกว่านางมาก ถูกเขากอดไว้ในอ้อมแขน ชุดนอนของเขาคลุมไว้แค่ครึ่งเดียว นางรู้สึกเหมือนกับถูกฝังอยู่ในอ้อมอกของเขาภายในหัวใจของซือเจ๋อเยว่มีความตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไร ทั้งยังจูบลงมาบนริมฝีปากนางนางใช้มือดันแผ่นออกของเขาอย่างไม่รู้ตัว เขาหันไปมองนาง ภายในดวงตาที่ดำขลับคู่นั้นสะท้อนให้เห็นถึงแววตาที่เขามองไม่ออกน้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย “มีขั้นตอนไหนที่ข้าทำไม
ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ถาม “เจ้ามีธุระอะไรอีกอย่างนั้นหรือ?”มุมปากของเยียนเซียวหรานยกขึ้นเล็กน้อย “ไหน ๆ คืนนี้องค์หญิงก็มาแล้ว ไม่เติมอายุขัยสักหน่อยแล้วค่อยไปหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางร้อง‘หา’ทีหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้สติอยู่ครู่หนึ่งเยียนเซียวหรานเหลือบตาขึ้น สายตาจดจ้องไปที่นางกล่าว “องค์หญิงอยากจะอายุยืนยาวร้อยปีไม่ใช่หรือ?”“ข้าเกรงว่าข้าไม่ให้ความร่วมมือ วันข้างหน้าองค์หญิงจะมาหาเรื่องข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางคิดว่าเขาค่อนข้างผูกพยาบาทวันนั้นนางก็แค่พูดเล่นกับเขาต่อหน้าของเหล่าไท่จวินเท่านั้น เขากลับจำได้อย่างแม่นยำในเวลานี้นางรู้ว่านางมีตัวเลือกอยู่สองข้อ ข้อแรกคืออยู่ต่อเสียเลย ข้อสองคือรีบหนีไปอย่างแรกจะน่าอายเกินไปหน่อย อย่างหลังจะขี้ขลาดเกินไปหน่อยนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง คิดว่าถึงอย่างไรก็เป็นแบบนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเริ่มจากทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของตัวเองหากทำตัวขี้ขลาดในเวลาแบบนี้ ต่อไปนางจะมาหาเขาได้อย่างไร? ต่อให้มาหาเขาด้วยอย่างหน้าด้านอีก คิดว่าก็อาจจะถูกเขาหัวเราะเยาะเอาได้ดังนั้นนางจึงถอดรองเท้า แล้วกระโ
ตอนที่นางได้ยินก็ไม่ได้ประหลาดใจมากเท่าใดนัก ดวงสมรสของลู่จิ่นเหนียง นั่นก็ทำได้เพียงเป็นอนุของคนอื่นเท่านั้นปกติการเป็นอนุ ขอเพียงแค่ฝั่งผู้ชายชอบนาง ทุกอย่างจะปรากฏขึ้นในดวงสมรสสิ่งเหล่านี้สามารถยืนยันได้ว่า อวิ๋นเยว่หยางรับลู่จิ่นเหนียงเป็นอนุเพราะมีจุดประสงค์อื่น เขาไม่ได้ชอบลู่จิ่นเหนียงเมื่อซือเจ๋อเยว่นึกถึงท่าทางที่หยิ่งผยองเกินความเป็นจริงของลู่จิ่นเหนียง รู้ว่าหากครั้งนี้ลู่จิ่นเหนียงไม่เอาชีวิตไปทิ้งที่จวนหนิงกั๋วกง ก็ต้องได้รับบาดเจ็บทางร่างกายหรือจิตใจเพียงแต่เรื่องนี้ตามที่เหล่าไท่จวินได้กล่าว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจวนอ๋องแล้ว นางก็คร้านจะช่วยเป็นธุระให้ลู่จิ่นเหนียงบัดนี้สิ่งที่นางเป็นกังวลยิ่งกว่าก็คือเรื่องที่อวิ๋นเยว่หยางขโมยดวงชะตาของเยียนเซียวหรานไปสองครั้งก่อนนางได้ตามหาค่ายกลนั่นแต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลว แล้วก็ตามหาค่ายกลอันนั้นไม่เจออีก เกรงว่าดวงชะตาของเยียนเซียวหรานจะถูกขโมยไปจนหมดแล้วหลายวันมานี้ซือเจ๋อเยว่คิดอยู่หลายวิธี หลังจากตัดออกไปจำนวนหนึ่ง ก็รู้สึกว่าถ้ามีปัญหาแบบนี้หรือว่าแบบนั้น ความเสี่ยงก็มากทั้งนั้นนางคิดอยู่หลายตลบ คิดว่าบางทีอาจจะสาม
ซุ่ยซุ่ยของนางยังไม่ออกเรือน สถานการณ์ของจวนเยียนอ๋องเป็นแบบนี้ นางต้องปลุกใจให้ฮึกเหิมเสียหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ควรเป็นภาระของพวกเขาเหล่าไท่จวินที่อยู่ข้าง ๆ กล่าว “แม้ว่าวันนี้เวินชิงจะรับปากองค์หญิง ต้องทำตามที่รับปาก”“ต่อไปเจ้ามีเวลาว่าง ก็มาอยู่เป็นเพื่อนคนแก่อย่างข้า”เบ้าตาของจู้อี๋เหนียงแดงเล็กน้อย คุกเข่าลงบนพื้นกล่าวเสียงเบา “ลูกอกตัญญู ทำให้เหล่าไท่จวินต้องเป็นห่วง”เหล่าไท่จวินยื่นมือออกไปประคองนางลุกขึ้น จับมือของนางแล้วตบเบา ๆ “เรื่องในอดีตก็ให้ผ่านไป พวกเราต้องมองไปข้างหน้า”จู้อี๋เหนียงเช็ดน้ำตากล่าว “ข้าเชื่อฟังเหล่าไท่จวิน”ซือเจ๋อเยว่ชอบบรรยากาศของจวนเยียนอ๋องที่สุด เหล่าไท่จวินเป็นคนชราที่เฉลียวฉลาด ถึงแม้คนในจวนจะมากมาย แต่นางกลับน่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งตอนที่จวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง คนที่ได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุดไม่ใช่เหล่าไท่จวิน แล้วก็ไม่ใช่พระชายาเยียนอ๋อง แต่ทว่าเป็นจู้อี๋เหนียงก่อนหน้านี้จู้อี๋เหนียงเป็นคนอมทุกข์มาตลอด ออกจากเรือนน้อยมากเหล่าไท่จวินไปปลอบใจจู้อี๋เหนียงเป็นประจำในจวนมีของของดีอะไร เหล่าไท่จวินก็จะคิดถึงนาง ไม่ใช่เพราะว่านางเป็
“อย่างไรเสียจวนหนิงกั๋วกงก็ดีกว่าจวนเยียนอ๋อง สิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงของจวนเยียนอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินดีช่วยพี่ชายของเจ้าให้เลื่อนตำแหน่ง”“ตามที่ข้ามอง จวนเยียนอ๋องที่ไม่มีน้ำใจ ไม่รู้จักปรับตัวเช่นนี้ก็สมควรล่มสลาย!”ลู่จิ่นเหนียงได้ฟังคำพูดพวกนี้ก็ไม่ได้รู้สึกมีตรงไหนผิดปกติ เดิมทีจวนเยียนอ๋องก็ยึดติดกับหลักการมากเกินไปต่อให้เยียนซื่อจะปฏิบัติต่อนางดีมากแค่ไหน ทันทีที่นางพูดเรื่องที่ให้เขาช่วยเหลือ เขาก็จะชักสีหน้าทันทีเมื่อเปรียบเทียบกัน จวนหนิงกั๋วกงมีความเปิดกว้างมากกว่า แล้วก็เต็มไปด้วยความจริงใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีเรื่องนี้ เมื่อนางมองเห็นเครื่องประดับและผ้าเหล่านี้ ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นแบบเก่าอีกแล้วลู่ฮูหยินกล่าวอีกว่า “คุณชายรองให้ความสำคัญกับเจ้าเป็นอย่างมาก อยากจะให้เจ้ารีบเจ้าจวนเร็วหน่อย”“วันนี้ข้าได้ปรึกษากับท่านพ่อของเจ้าแล้ว พรุ่งนี้จะส่งตัวเจ้าเข้าจวนหนิงกั๋วกง ตามความต้องการของจวนกั๋วกง”ลู่จิ่นเหนียงตกตะลึงไปทันที “ไปจวนหนิงกั๋วกงวันพรุ่งนี้? นี่มันจะรีบเกินไปหน่อยหรือไม่?”ลู่ฮูหยินตอบ “รีบที่ไหนกัน นี่เห็นได้ชัดเจนว่าจวนหนิงกั๋วกงให้ความสำคัญกับ
นางพ่นลมหายใจกล่าว “องค์หญิงอย่างไรเสียก็จัดการเรื่องของตนเองให้ดีเถอะ เลิกริษยาคนอื่น ใจกว้าง บางทีอาจจะสามารถมีชีวิตได้ถึงสิบแปดปี!”เมื่อซือเจ๋อเยว่ได้ยินคำพูดถากถางของลู่จิ่นเหนียงไม่เพียงไม่โกรธ ทั้งยังรู้สึกน่าขันเล็กน้อยนางทำอะไรด้วยใจมาตลอด ในเวลานี้เตือนสติลู่จิ่นเหนียงก็เป็นเพราะเยียนซื่อแต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้ความคิดบิดเบี้ยวตั้งแต่ภายใน กระเสือกกระสนรนหาที่ตาย ต่อให้เทพต้าหลัวมาที่นี่ เกรงว่าก็คงจะช่วยชีวิตนางเอาไว้ไม่ได้นางพยักหน้ากล่าว “ข้าคิดว่าที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผลมาก คนที่จิตใจคับแคบ จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานจริง ๆ”นางพูดจบก็คร้านจะสนใจลู่จิ่นเหนียงอีก กล่าวกับเยียนเซียวหราน “น้องสาม พวกเราไปกันเถอะ!”ลู่จิ่นเหนียงยังอยากจะพูดอะไรบางอย่างอีก เยียนเซียวหรานมองนางด้วยสายตาเย็นยะเยือกแวบหนึ่งสายตานั้นเย็นยะเยือกเข้ากระดูก ความน่าสะพรึงกลัวเต็มเปี่ยม ลู่จิ่นเหนียงเห็นก็รู้สึกกลัวจนขนลุกขนพอง คำพูดที่กำลังจะพูดออกมาก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวทันใดนั้นนางก็พบว่า เยียนเซียวหรานแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง บนร่างกายของเขามีพลังอำนาจอันแข็งแกร่ง ที่ไม
นางกับเยียนเซียวหรานตรงไปยังร้านขายเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งด้านในร้านมีผ้าหลากหลายที่สุดเยียนเซียวหรานกลัวว่านางจะเกิดเรื่อง จึงเดินตามหลังนางตลอดทุกฝีก้าวซือเจ๋อเยว่เลือกผ้าให้แต่ละคน รวมกันทั้งหมดสิบกว่าพับ พวกเขาไม่สะดวกถือไปด้วย จึงให้เถ้าแก่มอบหมายให้คนส่งไปที่จวนเยียนอ๋องทันทีที่ซือเจ๋อเยว่จ่ายเงินเสร็จ ก็เห็นลู่จิ่นเหนียงพาสาวใช้เดินเข้ามาหา ทั้งสองคนพบกันโดยบังเอิญ จึงมีความประหลาดใจเล็กน้อยลู่จิ่นเหนียงเป็นเพราะครั้งก่อนซือเจ๋อเยว่เคยฉีกหน้านาง นางจึงไม่ชอบซือเจ๋อเยว่เป็นอย่างยิ่งในเวลานี้เมื่อเจอกัน นางยังคงกล่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “องค์หญิง ไม่เจอกันนานเลย”ซือเจ๋อเยว่คุ้นเคยกับการมองหน้านางแวบหนึ่ง ใต้ตาของนางดำคล้ำ คาดว่านางน่าจะเอาเด็กออกแล้ว ต่อไปก็คงจะไม่มีลูกของตัวเองอีกนอกจากนี้แล้ว ชีวิตในวังหลวงของนางมีเต็มความซับซ้อน เมื่อเห็นฉากนี้ ต่อไปลู่จิ่นเหนียงคงจะใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างขรุขระสีหน้าของนางยังนับว่าพอถูไถไปได้ ใบหน้าเหมือนว่ายังพอมีความสุขอยู่บ้างในเมื่ออีกฝ่ายยอมรับผิดแล้วก็ย่อมให้อภัย ซือเจ๋อเยว่ยิ้มตอบ ตั้งใจที่จะออกไปพร้อมกั
ซือเจ๋อเยว่ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าว “อวิ๋นไท่เฟยหมดสติไปเพราะตื่นเต้นเกินไป พวกท่านส่งนางกลับไปเถอะ”คำพูดที่นางพูดกับอวิ๋นไท่เฟยเมื่อครู่นี้ บรรดาคนในวังหลวงที่อยู่ใกล้ต่างก็ได้ยินกันหมดพวกเขามองซือเจ๋อเยว่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในเวลานี้มีคนหลายคนร่วมแรงกันประคองอวิ๋นไท่เฟยขึ้นมา แล้วรีบวิ่งออกไปคนของวังหลวงที่ถูกวิญญาณรายล้อมคนนั้น ในเวลานี้วิญญาณปล่อยนางไปแล้ว ทันทีที่นางได้รับอิสระ ก็รีบวิ่งหนีอย่างโซซัดโซเซกลางวันแสก ๆ เลยนะ!พวกเขาเจอเรื่องแบบนี้ น่ากลัวมากเกินไปจริง ๆ!ฮองเฮามองไม่เห็นวิญญาณ เห็นเพียงซือเจ๋อเยว่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้อวิ๋นไท่เฟยตกใจจนหมดสติไปทันที จากนั้นกลุ่มคนก็วิ่งหนีกันฉี่ราดสารรูปเช่นนี้ของพวกเขา ตอนที่มาอวดดีมากขนาดไหน ตอนกลับไปก็ดูไม่จืดมากเท่านั้นฮองเฮากับอวิ๋นไท่เฟยประมือกันมาหลายครั้ง ถึงแม้นางจะชนะมากกว่าแพ้ แต่นั่นก็เป็นเพียงการสู้กันด้วยวาจา ไฉนเลยจะมีความสุขเท่าครั้งนี้?นางมองซือเจ๋อเยว่กล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไรพวกเขา?”ซือเจ๋อเยว่ตอบ “หม่อมฉันก็อาศัยอยู่ในสำนักเต๋ามาเป็นเวลานาน ถึงอย่างไรก็ยังพอมีความสามารถเป็นของ