นางกล่าวอย่างอึกอัก “ข้า... ข้า...”นางยังหาเหตุผลไม่ได้ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังลอยมาจากด้านนอกเยียนเซียวหรานรู้ว่าจะต้องเป็นฉางเซิงเด็กรับใช้กลับมาแล้ว ในเวลานี้เสื้อผ้าของเขาไม่เรียบร้อย ถ้าหากให้ผู้อื่นพบว่าซือเจ๋อเยว่อยู่ในห้องของเขา จะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเดิมทีเขาก็ไม่ได้นับว่ามีน้ำใจต่อนางสายตาของเขาเคร่งขรึมขึ้นมาทันที จูงมือซือเจ๋อเยว่ ผลักนางไปบนเตียง ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวนางไว้ แล้วก็ปล่อยมุ้งลงเขากลัวโดนฉางเซิงจะระแคะระคาย จึงรีบดีดกระดุมเพื่อดับตะเกียงอีกดวงอย่างรวดเร็วทันทีที่เขาทำเรื่องนี้เสร็จ ฉางเซิงก็เดินเข้ามาพอดี “คุณชาย หนังสือที่คุณชายให้ข้าไปหา หาเจอทั้งหมดแล้ว ให้วางไว้ที่ไหนขอรับ?”หลังจากที่เขาเดินเข้ามาก็พบว่าภายในห้องมืดสนิท จึงกล่าว “เอ๋ ตะเกียงดับตั้งแต่ตอนไหน ข้าจะไปจุดตะเกียงให้คุณชายขอรับ”นับหลังจากที่เยียนอ๋องเกิดเรื่อง เยียนเซียวหรานมักจะร่ำเรียนอย่างขยันขันแข็ง หรืออ่านหนังสือ หรือครุ่นคิดเรื่องบางอย่างทุกคืนแม้ว่าตอนที่เยียนเซียวหรานได้รับบาดเจ็บกลับมาที่จวนอ๋อง ก็ไม่เคยขาดช่วงมาก่อนดังนั้นเมื่อฉางเซิงเห็นว่าแสงภายใ
เมื่อเยียนเซียวหรานได้ยินประโยคนี้ ก็ชักกระบี่ที่แขวนอยู่บริเวณหัวเตียงออกมา วางพาดไว้บนลำคอของนาง “องค์หญิงโปรดระวังคำพูดด้วย!”ซือเจ๋อเยว่เคยเห็นท่าทางการลงมือของเขา เจตนาสังหารคุกรุ่น แต่ในเวลานี้ นางกลับไม่รู้สึกถึงเจตนาสังหารบนร่างกายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียวในทางกลับกัน นางเพียงรู้สึกถึงความลำบากใจและเขินอายของเขาเดิมทีซือเจ๋อเยว่เกรงว่าเขาจะจำนางได้ จะสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็นขึ้นมาในขณะที่นางกำลังค้นพบ หลังจากที่นางนำเรื่องทำลายดวงชะตาที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัยไปฝากไว้ที่เขา นางก็รู้ว่าต่อไปนางก็คงหลีกเลี่ยงเขาไม่พ้นเกรงว่าคืนนี้นางจะต้องใช้วิธีการสกปรกเพื่อหลับนอนกับเขา ใช้ความปราดเปรียวของเขา สุดท้ายก็จะสังเกตเห็น ถึงเวลานั้นจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่นอนในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้นางลองเปลี่ยนวิธีการปฏิบัติตัวกับเขานางเม้มริมฝีปากยิ้มเบา ๆ “น้องสามคิดจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ?”มือที่จับกระบี่ของเยียนเซียวหรานสั่นระริกโดยไม่รู้ตัวซือเจ๋อเยว่ยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาหนีบปลายกระบี่เอาไว้ เหลือบตามองเขากล่าว “น้องสาม อาวุธทำร้ายผู้คนได้ง่าย”“ถ้าหากเจ้าไม่อยากตายละก็
นางไม่มีทางยอมรับ!นางใช้น้ำเสียงสงสัยเอ่ยถาม “เมืองเวิ่นซีอยู่ที่ใด? ที่นั่นเคยเกิดเรื่องอันใดที่มีความหมายอย่างนั้นหรือ?”ร่างกายของนางในที่อยู่ดวงตาของเยียนเซียวหราน ทับซ้อนกับร่างกายของสตรีคนนั้นเมื่อสองปีก่อนหน้าแล้วดวงตาของเยียนเซียวหรานจ้องตรงไปที่นาง คิดจะตามหาเบาะแสจากสีหน้าของนางเพียงแต่แสงตะเกียงภายในห้องถูกเขาดับลงเกือบหมดแล้ว บัดนี้เหลือเพียงแสงสว่างรำไรจากตะเกียงน้ำมันอันหนึ่งที่อยู่บริเวณมุมห้องเท่านั้นแสงสว่างของตะเกียงอันนั้นไม่เพียงพอที่จะส่องสว่างไปทั่วทั้งห้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบนเตียงนอนที่ยังคลุมไปด้วยมุ้งอีกหนึ่งชั้นใบหน้าของนางที่อยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองสีหน้าของนางได้ไม่ชัดเจนเสียด้วยซ้ำเขาเห็นเพียงความสงสัยจากในดวงตาอันแสนงดงามคู่นั้นของนางเท่านั้นเดิมทีเขามั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่หลังจากที่เผชิญกับดวงตาคู่นี้ของนาง กลับกลายเป็นว่าไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรสายตาของเยียนเซียวหรานจดจ้องไปที่นาง นางเลิกคิ้วเล็กน้อย “หรือว่าเคยเกิดเรื่องใหญ่สุดยอดอะไรกับคุณชายเยียนซานอย่างนั้นหรือ?”เขาถอนสายตากลับ ลดกระบี่ลง “เปล่า ข้าก็แค่ถามเฉย ๆ เท่านั้น”เขา
เมื่อเยียนเซียวหรานเห็นป้ายหยกอันนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เนื่องจากเขาเคยเห็นป้ายหยกนั่นมาก่อนซือเจ๋อเยว่ดึงปิ่นปักผมไม้ที่ดูแสนจะธรรมดาอันหนึ่งออกมาจากบนศีรษะ มือทั้งสองข้างทำท่ามุทรา จากนั้นก็แทงลงไปที่ป้ายหยกอันนั้นตอนที่มือของนางแทงลงไป เยียนเซียวหรานได้ยินเสียงกรีดร้องที่แสบแก้วหูเป็นอย่างยิ่งเสียงกรีดร้องนั่นสูงเสียจนแก้วหูของเขารู้สึกเจ็บ หว่างคิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน “เสียงอะไรน่ะ!”พลังสีดำที่อยู่บนป้ายหยกนั่นเหมือนกับว่ากำลังจะก่อตัวกันกลายเป็นอาวุธ กำลังจะพุ่งเข้ามาหาเยียนเซียวหรานซือเจ๋อเยว่ไม่ได้ตอบ ยกมือซ้ายขึ้นทำท่ามุทราอีกครั้ง แล้วกดลงไปด้วยความรุนแรงตอนที่นางกดลงไป เยียนเซียวหรานรู้สึกเพียงว่าเสียงกรีดร้องนั่นแสบแก้วหูยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ซือเจ๋อเยว่สบถคำหยาบออกมา “มารดามันเถอะ วันนี้เจ้าได้ประมือกับข้า ยังคิดว่าจะหนีพ้นอีกหรือ!”นางพูดจบก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาทันที ตอนที่นางยกมือขึ้นพลังสีดำกลุ่มนั้นก็มุดออกไปทางด้านนอกอย่างรวดเร็วนางแค่นเสียงหัวเราะ ใช้ปิ่นปักผมกรีดที่ปลายนิ้วทันควัน เลือดสดๆ ไหลออกมา นางใช้ฝ่ามือที่เปื้อนเลือดข้างนั้น กดพลังสีดำ
นางที่ไม่มีสติสัมปชัญญะ เพียงทำตามสัญชาตญาณของตน ทำเรื่องที่มีผลประโยชน์ต่อตนเองเท่านั้นตอนที่นางชอนไชเข้าไปในปากของเยียนเซียวหราน ก็เป็นเพียงเพราะว่าตรงนั้นทำให้นางรู้สึกสบาย สามารถผ่อนคลายความรู้สึกไม่สบายอันใหญ่หลวงที่เกิดจากการเสียเลือดได้ตอนแรกเยียนเซียวหรานยังพอสามารถรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้ บอกกับตนเองว่าไม่ได้แต่ว่าตอนที่กลิ่นอายของนางแทรกซึมเข้ามาในร่างกายของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ สติสัมปชัญญะของเขาก็พังทลายไปจนหมดสิ้นเขายื่นมือไปโอบที่เอวของนาง กดนางลงไปใต้ร่างกายอย่างรุนแรงตอนที่เขากดเข้ามา อาการข้างเคียงของการเสียเลือดของนางปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ หมดสติไปเรียบร้อยแล้วเรื่องแบบนี้เยียนเซียวหรานไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ไม่มีหนทางอื่น ทั้งหมดเพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณของตนเท่านั้นในไม่ช้าจากที่เขาเป็นฝ่ายตามก็กลายเป็นฝ่ายนำ มือใหญ่ล้วงเข้าไปในกระโปรงของนางในเวลานี้ มีแมวตัวหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนหน้าต่าง ส่งเสียงร้อง ‘เมี้ยว’ เสียงดัง เยียนเซียวหรานได้สติทันที สติที่กระจัดกระจายกลับคืนมาเขาหันหน้ามองซือเจ๋อเยว่ที่หมดสติไปแล้วที่ถูกทับอยู่ใต้ร่างกายของเขา แล้วก็มองปลายจม
จ้าวซือหว่านกุมหน้าอก เปิดประตูตู้ที่อยู่ในห้องพระโพธิสัตว์ใบหน้าเมตตาองค์หนึ่งที่แต่เดิมวางไว้อยู่ในตู้ใบนั้น ในเวลานี้พระโพธิสัตว์ได้แตกสลายกลายเป็นผงอย่างน่าประหลาดหลังจากพระโพธิสัตว์แตกละเอียดแล้ว พลังชั่วร้ายสีดำที่สะสมอยู่ข้างในจึงปลิวไปทั่วสารทิศเมี่อสาวใช้เห็นพระโพธิสัตว์ที่แตกละเอียดแล้ว จึงกล่าวด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ “เมื่อครู่ตอนที่บ่าวเห็นพระโพธิสัตว์ ท่านยังดี ๆ อยู่เลย เหตุใดตอนนี้ถึงได้แตกเองเล่าเจ้าคะ?”จ้าวซือหว่านกำลังจ้องมองพระโพธิสัตว์ที่แตกละเอียดรูปนั้น ดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”สาวใช้เห็นเลือดไหลออกมาจากมุมปากของนาง รีบกล่าว “คุณหนู ข้าจะไปเชิญท่านหมอมาให้ท่าน!”จ้าวซือหว่านกล่าวเสียงขรึม “ไม่ต้องเชิญหมอ ข้าจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง เจ้าช่วยนำไปส่งให้ข้าที่จวนหนิงกั๋วกงทันที มอบให้คุณชายรอง”สาวใช้ไม่ค่อยเข้าใจอยู่ครู่หนึ่ง จ้าวซือหว่านอาเจียนเป็นเลือดแต่กลับไม่ไปเชิญท่านหมอ แต่กลับจะเขียนจดหมายหาคุณชายรองแห่งจวนหนิงกั๋วกงนี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ จึงยืนงงอยู่ตรงนั้นจ้าวซือหว่านไม่อธิบายกับนางเช่นกัน เพียงกล่าว “อย่ามัวแต่
จ้าวซือหว่านพิงไปที่อกของเขา พลางกล่าว “หากท่านสงสารข้าจริง ก็ควรจะแต่งงานกับข้า”อวิ๋นเยว่หยางถอนหายใจ “ตอนนี้เจ้ายังเป็นคู่หมั้นของเยียนเซียวหราน ข้าจะแต่งงานกับเจ้าได้อย่างไร?”“ทันทีที่เยียนเซียวหรานตาย ข้าจะรีบยกขบวนสินสอดมาที่จวนของเจ้าทันที”คำพูดเช่นนี้ จ้าวซือหว่านได้ฟังมาหลายครั้งแล้ว กล่าวเสียงเบา “ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะท่านพอใจในดวงชะตาของเยียนเซียวหราน ข้าจะต้องหมั้นหมายกับเขาหรือ?”“ตอนนี้ท่านยังหยิบยกเรื่องนี้มาแก้ตัวอีก ใจร้ายเกินไปแล้ว!”อวิ๋นเยว่หยางโอบนางเอาไว้กล่าว “นี่ก็เป็นเรื่องที่จนหนทางไม่ใช่หรือไร!”“ในใจของข้า เจ้าเป็นคนสำคัญมาโดยตลอด ข้าพูดคำไหนคำนั้น ขอเพียงเยียนเซียวหรานตาย ข้าจะแต่งงานกับเจ้าแน่นอน”จ้าวซือหว่านดึงมือของเขามาไว้ที่หัวใจของนาง กล่าวเสียงเบา “ทรวงอกของข้าเจ็บปวดมาก”อวิ๋นเยว่หยางหัวเราะออกมาเบา ๆ โอบนางแน่นขึ้นอีกหน่อย “เช่นนั้นข้าจะช่วยนวดให้เจ้าเป็นอย่างดีเลย”การนวดของเขาย่อมต้องเป็นการมีสัมพันธ์สวาทกับจ้าวซือหว่านอย่างแน่นอนเพียงแต่เดิมจ้าวซือหว่านก็มีอาการบาดเจ็บ ที่คืนนี้เชิญเขามา เดิมก็มีเจตนาจะลองหยั่งเชิงดู ท่าทีของเขาในเ
หัวสมองของซือเจ๋อเยว่มีภาพที่ไม่เหมาะกับเด็กเกิดขึ้น เมื่อคืนนี้นางกับเยียนเซียวหรานคงไม่ได้...การคาดเดานี้ทำให้นางกระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเตียง แต่ก็ถูกนางปฏิเสธอย่างรวดเร็วเนื่องจากร่างกายของนางไม่มีความผิดปกติใด ๆนางนั่งลงไปอีกครั้ง คิดว่าอย่างไรเสียเมื่อคืนนี้ก็ต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่นางไม่รู้อย่างแน่นอนในเวลานี้ ประตูห้องของนางถูกเคาะ นางรีบไปเปิดประตู เป็นพระชายาเยียนอ๋องพระชายาเยียนอ๋องเห็นว่านางยังไม่ล้างหน้าแต่งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก ก็ยิ้มบาง ๆ “ข้ามารบกวนการพักผ่อนขององค์หญิงอย่างนั้นหรือ?”ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าตื่นแล้ว”พระชายาเยียนอ๋องจึงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ดี วันนี้ที่ข้ามาหาองค์หญิงตั้งแต่เช้าตรู่ เป็นเพราะมีเรื่องอยากจะหารือกับองค์หญิง”“เสด็จแม่มีอะไรเชิญตรัสมาเพคะ” ซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจเพคะ”พระชายาเยียนอ๋องกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “วันนี้จวนตระกูลจ้าวส่งเทียบเชิญมาตั้งแต่เช้าตรู่ อยากจะนัดข้าไปไหว้พระที่วัดเป้ากั๋วด้วยกัน”“ท่านอ๋องจากไปนานแล้ว สุสานอ๋องก็ได้ปิดซ่อมแซมเสร็จเร
ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยว่หยางคิดว่าวิธีการของนักพรตจื่อหยางโหดเหี้ยมและร้ายกาจมาก คาถาของสำนักเต๋าจะทำให้คนยากที่จะป้องกันแต่ในเวลานี้เขาเพิ่งได้รู้ว่า ความสามารถของนักพรตจื่อหยางเมื่อเทียบกับคนตรงหน้าแล้ว ช่างไม่เอาไหนเลยจริง ๆคนคนนี้กระหายเลือดอย่างขีดสุด พูดว่าจะฆ่าเขาก็หมายความว่าจะฆ่าเขาจริงๆ!เขารู้อยู่แก่ใจ หากในเวลานี้เขาไม่ยอมจำนน ก็มีเพียงความตายเท่านั้นเขาถูกรัดด้วยผ้าต่วนจนหายใจไม่ออก กล่าวอย่างยากลำบาก “ข้ายอมบูชาท่าน!”ไป๋จื้อเซียนเหลือบตาเล็กน้อย การกระทำที่เดิมทีดูยั่วยวนชวนหลงใหลนี้ เมื่อเขาทำขึ้นมา แม้จะสามารถสะกดจิตใจคนได้ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอันตรายถึงขีดสุดไป๋จื้อเซียนดึงผ้าต่วนสีแดงกลับมา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย อวิ๋นเยว่หยางนั่งอยู่บนพื้นไอออกมาอย่างรุนแรงไป๋จื้อเซียนค่อย ๆ ลอยไปที่ตรงหน้าของอวิ๋นเยว่หยาง กล่าวว่า “เจ้ายอมแบบนี้เสียตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจะต้องทำให้ยุ่งยากด้วย?”อวิ๋นเยว่หยางรีบกล่าว “ท่านชี้แนะได้ถูกต้อง”ไป๋จื้อเซียนกล่าวเสียงราบเรียบ “ในเมื่อเจ้าจะบูชาข้า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา”อวิ๋นเยว่หยางรีบก
"น้องสาม เจ้าอย่ามาว่าข้าเลย ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงเจ้าเองก็เอาแต่มาหลบอยู่ที่นี่ ไม่กล้าไปพบหน้านางใช่หรือไม่?" น้องสามที่เขาเอ่ยถึงไม่ใช่ผู้ใดอื่น แต่เป็นอาจารย์สามของซือเจ๋อเยว่ อาจารย์สามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ผู้ใดบอกว่าข้ากลัวจนไม่กล้าไปพบนาง? ข้าว่ายามนี้นางคงมองเห็นคุณค่าของข้าแล้วล่ะ" "เมื่อคราวนั้นนางเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากไม่ใช่เพราะข้าจัดการส่งเยียนเซียวหรานคนนั้นไปต่อหน้านาง ป่านนี้นางคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว" "ข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตนาง นางคงขอบคุณข้าอยู่ในใจเป็นแน่" ราชครูหัวเราะเย็นชา "ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น แล้วเหตุใดจึงไม่ไปพบนางเล่า?" อาจารย์สามนอนเอกเขนกบนเก้าอี้พลางจิบชา "ศิษย์เติบโตแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขเอง" "หากพวกเราเอาแต่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ นาง แล้วนางจะมีความก้าวหน้าได้อย่างไร?" ราชครูมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ "เจ้าก็เอ่ยวาจาเหลวไหล หากไม่กล้าก็เอ่ยมาตรง ๆ อย่าได้หาข้ออ้าง" อาจารย์สามหาวเสียงเบา แล้วตอบอย่างเกียจคร้าน "ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ประเดี๋ยวข้าจะไปพบนาง แล้วถือโอกาสบอกความลับเรื่องตัวตนของเจ้าด้วยเลย"
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
แท้จริงแล้วราชครูมีการไปมาหาสู่กับเยียนอ๋อง ในเมืองหลวงเขาแทบไม่มีสหายที่ใด เยียนอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ครั้งล่าสุดก่อนที่เยียนอ๋องจะออกศึก ราชครูเคยมาพบเยียนอ๋องครั้งหนึ่ง ส่วนพวกเขาหารือเรื่องใดกันนั้น เยียนเซียวหรานไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงทั้งสองทะเลาะกันในห้องหนังสือ หลังจากจวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ราชครูก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในค่ำคืนนั้นเมื่อเยียนเซียวหรานพบราชครูที่เรือนพักในจวนหนิงกั๋วกง เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำของเยียนเซียวหราน ที่ราชครูยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ปกติเมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็มักจะพำนักอยู่ในหอพยากรณ์ดวงดาว ไม่ว่าจะมีเรื่องใดที่ไม่สำคัญจริง เขาจะไม่มีทางออกมา ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความกังวล “แต่ไป๋จื้อเซียนนั้นเป็นภัยใหญ่ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย” “เกรงว่าไม่นานเกินรอเขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น” “ไม่ว่าราชครูจะยินยอมพบข้าหรือไม่ ข้าคงต้องหาวิธีพบเขาให้ได้” เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน” ซือเจ๋อเยว
เขานึกถึงภาพในช่วงหลายวันที่ผ่านมายามนางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีวี่แววของลมหายใจใด ๆ หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นจนแทบทนไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เสมอว่าสภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง แต่ทุกครั้งที่เขาได้พบนาง นางกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมล้นบนใบหน้า ร่างกายของนางดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนที่กำลังจะสิ้นลม และไม่เคยคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะแย่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับเตือนเขา ว่านางบอบบางยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนให้ดีเถอะ”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเสียงเบา “สภาพร่างกายของข้า ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” “เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม” เยียนเซียวหรานขมวดคิ้วแน่น บัดนี้เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘ตาย’ อีกแล้ว ซือเจ๋อเยว่นั่งลงข้างเขา ใช้มือทั้งสองประคองคางของตนเองไว้พลางเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ไป๋จื้อเซียนนั่นเป็นข้าที่ปล่อยออกมาเอง” “เรื่องครั้งนี้จะไปโทษเจ้าไม่ได้หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษข้า” “
เยียนเซียวหรานหลุบตาลง “ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ตอนนี้องค์หญิงฟื้นแล้ว ท่านย่าลงโทษข้าเถิดขอรับ”เหล่าไท่จวินพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ท่านย่า เรื่องนี้โทษน้องสามไม่ได้จริง ๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นสถานการณ์พิเศษ”“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเข้ากับไป๋จื้อเซียนที่นั่น หากไม่ใช่เพราะน้องสามปกป้องข้าจนสุดชีวิตละก็ ข้าก็คงตายไปแล้ว”“ดังนั้นท่านย่าอย่าได้ลงโทษน้องสามเลย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “องค์หญิงไม่ต้องร้องขอความเมตตาแทนเขา เขาเป็นบุรุษ เดิมทีก็ควรปกป้องญาติผู้หญิงในครอบครัวอยู่แล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเยียนเซียวหราน เขายืนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นนางมองมา ก็สบตากับนางแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตาคืนกลับมาซือเจ๋อเยว่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นข้าเห็นเหนียนเหนียนหมดสติไปเช่นกัน เหนียนเหนียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เยียนเหนียนเหนียนโผล่หน้าออกมาจากทางด้านหลังของเหล่าไท่จวิน “ข้าไม่เป็นไร แค่หมดสติเป็นครู่เดียวเท่านั้น ในไม่ช้าก็หายดีแล้ว”“ร่างกายของข้าแข็งแรง องค์หญิ
ตอนที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นยันต์พวกนั้นก็หรี่ตาลงทันที เมื่อตระหนักได้ว่าทรงพลัง ก็โยกหลบอย่างรวดเร็วซือเจ๋อเยว่ฉวยโอกาสยื่นนิ้วออกไป ยันต์พวกนั้นก็ไล่ตามไป๋จื้อเซียนไป ร่างกายของเขามียันต์ห้าอัสนีบาตแผ่นหนึ่งแปะอยู่เขาด่าทอด้วยคำหยาบคาย มองไปทางด้านนอกห้องแวบหนึ่ง รู้ว่าหากวันนี้ไม่หนีไป เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วตอนที่เขาวิ่งหนี เมฆฝนก่อตัวขึ้น ไล่ตามเขาภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ผู้ดูแลพาท่านหมอเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นฉากนี้ ก็ตกใจจนลูกตาเกือบถลนออกมาถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่เขามองเห็นสายฟ้าบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายฟ้าหน้าตาแบบนี้ทันทีที่ไป๋จื้อเซียนวิ่งหนี ห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ตะเกียงน้ำมันที่มุมห้องยังคงสว่างอยู่ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้น ทันทีที่หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ฟันกระบี่ใส่ไป๋จื้อเซียนก็คือเยียนเหนียนเหนียนนางรู้สึกผิดปกติ ต่อให้นางแปะยันต์แผ่นหนึ่งบนกระบี่ของเยียนเหนียนเหนียน กระบี่เล่มนั้นของนางร้ายกาจกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำลายอาณาเขตที่ไป๋จื้อเซียนวางเอาเม
ครู่ต่อมา ซือเจ๋อเยว่หยิบอาวุธเวทย์อีกชิ้นหนึ่งออกมา เพียงแต่นางยังไม่ทันเข้าไปหา ก็ถูกเส้นผมสีดำของเขากวาดลอยกระเด็นออกไปเยียนเซียวหรานอยากจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกผ้าต่วนสีแดงรัดลำคอเอาไว้เขากล่าวอย่างยากลำบาก “องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้นกระอักเลือดออกมา ไป๋จื้อเซียนไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้ตรงหน้าของนางพอดีเลือดพ่นใส่มือของไป๋จื้อเซียน มือของเขาเป็นรูทันทีเขาค่อนข้างประหลาดใจ “นักพรตหญิงน้อย ร่างกายของเจ้ามีความพิเศษนี่นา!”ปากเขาพูดไป มือกลับบีบลำคอของนางเอาไว้ “กินตบะของเจ้า จะต้องบำรุงมากแน่!”ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ เป็นวิญญาณมาหนึ่งพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เจอร่างกายอย่างนางเขาเคยเห็นในหนังสือเล่มหนึ่ง หากได้กินวิญญาณของนาง เท่ากับเป็นการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยประมือกับนางมาก่อน แต่ครั้งก่อนนางไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก เขาไม่รู้ว่านางจะมีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้บัดนี้ค้นพบแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีเพียงแต่คนที่มีร่างกายเช่นนาง เนื่องจากร่างกายพิเศษมากเกินไป ดังนั้นอยากจะกลืนกินนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซือเจ๋อเยว่ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ยื่นมื