เรื่องในครั้งนี้ ทำให้เขาได้รู้ซึ้งถึงความสามารถในการทำนายชะตาของซือเจ๋อเยว่อย่างชัดเจนเพียงแต่เมื่อเขานึกถึงเรื่องที่นางจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินอายุสิบแปดปี ก็ขมวดคิ้วอีกครั้งเยียนเซียวหรานเห็นแล้ว ซือเจ๋อเยว่ก็เห็นแล้วเช่นกัน นางมองเห็นนิ้วโป้งที่เขาชูขึ้นมา เลิกคิ้วเบาๆ ทีหนึ่งขบวนเคลื่อนศพไปยังสุสานไปตามเส้นทางที่ซือเจ๋อเยว่วางไว้ สามารถหลีกเลี่ยงกับดักที่วางไว้สำหรับจวนเยียนอ๋องได้อย่างสวยงามครั้งนี้หลังจากซือเจ๋อเยว่บอกเส้นทาง เยียนเซียวหรานได้เตรียมการบางอย่างตามสถานที่ที่หลีกเลี่ยงเหล่านั้นและก่อนหน้านี้เขาจงใจเปิดเผยเส้นทางการเคลื่อนศพไปยังสุสานครั้งนี้ของเยียนอ๋อง ครั้งนี้เขาจะกำจัดหูตาทั้งหมดที่ซ่อนตัวอยู่ในจวนเยียนอ๋องแม้ก่อนหน้านี้ เยียนเซียวหรานไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสถานที่ที่ซือเจ๋อเยว่หลีกเลี่ยง แต่ที่เขาเตรียมการไว้ ล้วนเป็นไปอย่างเหมาะเจาะพอดีประกอบกับความร่วมมือของซูเซียง พวกคนที่ดักรออยู่ตามเส้นทางที่คิดว่าขบวนเคลื่อนศพไปยังสุสานของจวนเยียนอ๋องต้องผ่านแน่นอน ล้วนถูกคนถ่วงเอาไว้พวกเขาไปไม่ทันขบวนเคลื่อนศพไปยังสุสาน เพื่อทำตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้
ผู้ดูแลก้มหน้ากล่าว “ขอรับ ข้าน้อยไปจัดการเดี๋ยวนี้”หลังจากผู้ดูแลไปแล้ว คนสวมชุดคลุมสีดำยืนข้างหน้าต่าง มองออกไปทางสุสานของจวนเยียนอ๋อง มุมปากเผยอขึ้นเล็กน้อยเขาไม่เชื่อว่าครั้งนี้จวนเยียนอ๋องยังสามารถหลบพ้น!เวลานี้ ขบวนเคลื่อนศพไปยังสุสานของจวนเยียนอ๋องได้ออกจากเมืองอย่างราบรื่น สุสานของจวนเยียนอ๋องอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งนอกเมือง ไม่นานพวกเขาก็ไปถึงแล้วในฐานะที่เป็นเซี่ยวจื่อ[1] เยียนเซียวหรานคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหลุมศพของเยียนอ๋อง ดวงตาแดงก่ำเรื่องที่เยียนอ๋องตายในสงครามครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนใช้กลอุบายเยียนเซียวหรานสาบานในใจ เขาจะต้องหาความจริงและหลักฐานการตายในสงครามของเยียนอ๋องให้เจอ หลังจากนั้นบอกความจริงให้โลกรู้!เหล่าคุณหนูกับลูกสะใภ้ทั้งหลายของจวนอ๋องยืนข้างหลังเขา คุกเข่าลงต่อหน้าหลุมศพของเยียนอ๋อง และโขกศีรษะคำนับแรงๆ ตามเขา เวลานี้มีมีลมกระโชกพัดเข้ามา ม้วนกระดาษเงินกระดาษทองขึ้นไปบนท้องฟ้าซือเจ๋อเยว่เงยหน้า มองเห็นเงารางๆ หลายสายปรากฏตรงหน้าหลุมศพซือเจ๋อเยว่เคยพบแค่เยียนอ๋องกับซื่อจื่อในบรรดาคนกลุ่มนี้ และเป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับคุณชายอีกสี่ท่านตามกฎแ
เวลานี้ทั้งสองพลางสูดจมูกพลางกล่าว “พี่สาม เจ้าก็ช่วยดูแลอี๋เหนียง[1]แทนพวกเราด้วย”เยียนเซียวหรานพลางสะอื้นพลางกล่าว “ได้”เยียนซื่อลังเลครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ข้ากับจิ่นเหนียงเพิ่งแต่งงานกันหนึ่งปี หาก…”“หากนางอยากแต่งงานใหม่ เจ้าช่วยข้าเกลี้ยกล่อมท่านแม่กับท่านย่าด้วย ไม่ต้องไปขวาง”เยียนอู่ก็กล่าวเช่นกัน “ข้ากับซิ่วเอ๋อร์เพิ่งแต่งงานกันครึ่งปี ยิ่งไม่สามารถให้นางเป็นหม้ายเพราะข้า”“วัยสาวของเด็กผู้หญิงนั้นแสนสั้น หลังจากนางไปจากจวนเยียนอ๋อง หากได้พบกับคนที่เหมาะสม เจ้าช่วยข้าเตรียมของขวัญแสดงความยินดีให้นางด้วย”เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ได้”เยียนอู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สาม ที่จริงเมื่อก่อนข้าไม่ได้อยากเป็นคู่แข่งกับเจ้าเลย แต่เพราะเจ้าอวดเก่งเกินไป ไม่เหลือทางรอดให้คนอื่นเลย”เยียนซื่อก็กล่าวเช่นกัน “ใช่! เจ้าฉลาดจนน่ากลัวตั้งแต่เด็ก แค่อ่านบทความก็ท่องจำได้แล้ว กระบวนท่าวรยุทธ์แค่ชี้แนะก็เข้าใจ”“เจ้าเป็นแล้วก็ช่างเถอะ ยังมากพวกเราก็แค่อิจฉาเจ้า”เยียนอู่กล่าวต่อ “แต่หลังจากที่เจ้าเรียนรู้แล้ว ก็มักจะมาโอ้อวดต่อหน้าพวกเรา อันนี้ยากมากเลย เจ้าต้องอ่านถึงหนึ่งเค่อจึงจะอ่านจบ
เยียนลิ่วมองซือเจ๋อเยว่แล้วกล่าว “องค์หญิงพี่สะใภ้ พวกเรารู้ทุกอย่างที่ท่านทำเพื่อจวนเยียนอ๋อง พวกเราทุกคนรู้สึกซาบซึ้งมาก”ดวงตาซือเจ๋อเยว่โก่งทันที “เจ้าเรียกข้าพี่สะใภ้ พวกเราก็คือคนครอบครัวเดียวกัน คนครอบครัวเดียวกันไม่ต้องเกรงใจกัน”เยียนลิ่วเห็นท่าทางที่นางยิ้ม เหม่อไปครู่หนึ่งแล้วกล่าว “เวลาท่านยิ้มสวยจัง”คราวนี้ซือเจ๋อเยว่ยิ้มจนคิ้วโก่งแล้วเยียนลิ่วหันไปมองซื่อจื่อที่เอาแต่ยืนพึมพำอยู่ข้างๆ กล่าวเสียงเบา “ตอนพี่ใหญ่ข้ายังมีชีวิต เขาเป็นคนที่ดีมากๆ”“แม้เขาดีมาก แต่ตอนที่องค์หญิงพี่สะใภ้แต่งเข้าจวนอ๋อง เขาก็ได้ตายแล้ว”“เรื่องนี้น่าเสียดายจริงๆ หากพี่ใหญ่ยังมีชีวิต พวกท่านต้องเข้ากันได้ดีแน่นอน”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะ มองซื่อจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ แวบหนึ่ง แล้วหันไปมองเยียนเซียวหรานแวบหนึ่ง นางรู้สึกว่าเรื่องนี้มันก็พูดยากจริงนั่นล่ะร่างของพวกเขาในเวลานี้ค่อยๆ จางลง ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าถึงเวลาของพวกเขาแล้วเยียนลิ่วรีบกล่าวกับเยียนเซียวหราน “พี่สาม จ้าวซือหว่านไม่คู่ควรกับท่าน”“ท่านรีบถอนหมั้นกับนางเสีย หาคนดีๆ สักคนที่เหมือน… เอ่อ…เหมือนองค์หญิงพี่สะใภ้”เยียนอ๋องเขม่นใส่เ
เมื่อซือเจ๋อเยว่เห็นสีหน้าเช่นนี้ของเขา แน่นหน้าอกฉับพลัน บนใบหน้ากลับกล่าวอย่างสงบ “ของข้าเอง”เยียนเซียวหรานมองนางแวบหนึ่ง แล้วมองดอกกล้วยไม้ที่อยู่ข้างบนอย่างละเอียดเหมือนดอกกล้วยไม้บนผ้าเช็ดหน้าที่ผู้หญิงคนนั้นลืมไว้เมื่อสองปีก่อนไม่มีผิดเพี้ยนลายปักดอกกล้วยไม้บนผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แตกต่างไปจากที่นิยมในปัจจุบัน และมีความประณีตสูงมากถุงเงินหนึ่งใบคือเรื่องบังเอิญ แต่ผ้าเช็ดหน้าก็เหมือนกันอีก ก็ไม่มีทางเป็นเรื่องบังเอิญแล้ว เขาถามซือเจ๋อเยว่ “ท่านเป็นคนปักเองหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ส่ายศีรษะ “ข้าทำงานเย็บปักถักร้อยไม่เป็น ข้าซื้อผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มาจากตำบลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่นอกสำนัก”“ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มีอะไรไม่เหมาะสมหรือ”เยียนเซียวหรานไม่ได้ตอบ เอาแต่ใช้ดวงตาสีเข้มคู่นั่นจ้องนางซือเจ๋อเยว่ถูกเขามองจนรู้สึกกลัว “เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไม?”“เป็นเพราะผ้าเช็ดหน้ามีปัญหา? เช่นนั้นเจ้าก็สืบยากแล้ว เพราะผ้าเช็ดหน้าเช่นนี้ ที่ร้านเย็บปักนั่นไม่มีหมื่นผืนก็มีหลายพันผืน”คำพูดนี้ของนางเป็นความจริง นางเป็นคนวาดลายดอกกล้วยไม้นี้ให้ร้านเย็บปักดูเถ้าแก่ร้านเย็บปักเห็นว่าลายดอกไม้เช่นนี้พ
ซือเจ๋อเยว่รู้สึกว่า ต่อไปเวลาอยู่ต่อหน้าเยียนเซียวหราน นางต้องระวังให้มากๆเพียงแต่คืนนั้นมันบ้ามาก หลังเกิดเรื่องนางแทบวิ่งหนีกระเจิงตอนนี้นางจำไม่ได้ว่า ลืมของอะไรไว้ที่เขา และเขาเห็นอะไรนางรู้สึกว่า ต้องทิ้งของทุกอย่างที่เคยใช้ ไม่เช่นนั้นหากเขาพบอะไรอีก นางไม่รู้จะอธิบายอย่างไรแล้วเยียนซุ่ยซุ่ยเห็นพวกเขาเดินมา รู้สึกว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาค่อนข้างผิดปกติแต่ชั่วขณะนางก็บอกไม่ถูกว่ามีอะไรผิดปกติหลังจากฝังเยียนอ๋อง ช่างฝีมือทุกคนมารวมตัวกันตามกฎแล้ว ช่วงนี้เยียนเซียวหรานต้องเฝ้าอยู่ที่สุสาน หลังจากเฝ้าครบสี่สิบเก้าวันจึงจะกลับบ้านได้เวลานี้เขาเดินไปกล่าวกับเยียนซุ่ยซุ่ยและคนอื่น “ช่วงนี้พวกเจ้าดูแลท่านย่ากับท่านแม่ให้ดี”เยียนซุ่ยซุ่ยกล่าว “พี่สามวางใจเถอะ ข้าจะดูแลท่านย่ากับท่านแม่อย่างดี”ซือเจ๋อเยว่ล้วงของห่อหนึ่งจากหน้าอกส่งให้เขา “เจ้าอยู่ข้างนอกคนเดียว ต้องระวังตัวด้วย”“นี่คือผงยาที่อาจารย์สามมอบให้ข้า เขาบอกว่าใช้ดีมาก แต่ข้าไม่เคยลองใช้ ไม่รู้ว่ามีผลอย่างไร”เยียนเซียวหราน “...”นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่ามีคนกล้ามอบยาผงให้ผู้อื่นใช้ โดยที่ไม่รู้สรรพคุณ
เยียนซุ่ยซุ่ยกล่าวอย่างเป็นห่วง “หากท่านไม่สบายตรงไหน บอกข้านะ”นางกล่าวถึงตรงนี้ก็เขินอายเล็กน้อย “แม้ฝีมือการแพทย์ของข้าไม่ดีนัก แต่โรคเล็กๆ น้อยๆ ข้ายังพอรักษาได้”ซือเจ๋อเยว่ยิ้มเล็กน้อย “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ”นางพักอยู่ที่จวนเยียนอ๋องมาหลายวันแล้ว รู้จักคนเหล่านี้ของจวนเยียนอ๋องเป็นอย่างดีเยียนซุ่ยซุ่ยเป็นคนพูดน้อย ปกติมักจะหมกตัวอ่านตำราแพทย์และศึกษายาในห้อง ตอนที่นางเจอซือเจ๋อเยว่ครั้งแรก ก็คำนับอย่างสุภาพ เวลายิ้มมีลักยิ้มสองข้าง น่านักมากส่วนเยียนเหนียนเหนียนที่อยู่ข้างๆ กล่าว “ตอนออกจากบ้าน ท่านย่าเคยกำชับข้า ให้ข้าดูแลองค์หญิงให้ดี”“หากองค์ไม่สบาย ข้าแบกองค์หญิงกลับบ้านได้”เยียนเหนียนเหนียนเป็นบุตรสาวภรรยาอีก อายุมากกว่าเยียนซุ่ยซุ่ยเล็กน้อย เมื่อเทียบกับความเงียบของเยียนซุ่ยซุ่ย นิสัยของนางก็ค่อนข้างฉุนเฉียวแล้วหลายวันนี้ นางใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการฝึกยุทธ์ในสนามแสดงยุทธ์ของจวนเยียนอ๋อง วรยุทธ์ของนางค่อนข้างดี ก่อนหน้านี้ตอนเยียนเซียวหรานจับคนชุดดำ นางก็เคยออกแรง และยังเคยตีศีรษะของคนที่คิดจะลอบเข้าจวนเยียนอ๋องแตก ซือเจ๋อเยว่รีบโบกมือแล้วก
เวลานี้ลู่จิ่นเหนียงถึงกับไม่รู้ว่า ควรถามซือเจ๋อเยว่ว่าทำนายเห็นอะไรดีหรือไม่ นางกลัวได้ยินสิ่งที่ไม่ดีแต่ถ้าหากไม่รู้ ก็รู้สึกจั๊กจี้ในใจซือเจ๋อเยว่รู้ความคิดของนาง ยิ้มแล้วยิ้มอีก กลับไม่พูดสักคำเยียนซุ่ยซุ่ยถามซือเจ๋อเยว่ “องค์หญิงดูดวงชะตาเป็นจริงๆ หรือ?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ข้าเติบโตในสำนักเต๋า อาจารย์ทั้งเก้าท่านของข้า มีหลายท่านที่เก่งทางด้านนี้มาก ข้าได้เรียนรู้กับพวกเขาไม่น้อย”นางเห็นเยียนซุ่ยซุ่ยอยากรู้อยากเห็น จึงกล่าว “แม้ทั้งชีวิตของเจ้ามีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ขอแค่เจ้ายืนหยัดเป็นตัวของตัวเอง ต้องประสบความสำเร็จแน่นอน”เยียนซุ่ยซุ่ยถามนาง “จริงหรือ? ข้าสามารถเป็นหมอที่เก่งมากๆ ได้จริงหรือ?”ซือเจ๋อเยว่มอบคำตอบที่แน่ชัดให้นาง “จริงสิ เจ้ามีพรสวรรค์ด้านฝีมือการแพทย์มาก”“เพียงแต่ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยได้ไหว้อาจารย์ เรียนฝีมือการแพทย์ดีๆ ประกอบกับผู้คนไม่เชื่อถือหมอหญิง ก็เลยบั่นทอนความมั่นใจของเจ้า”“ดังนั้นเวลาที่เรียนแพทย์ เจ้ามักจะสงสัยในตัวเอง ที่จริงวันที่ตรวจโรคให้ข้า ก็ตรวจได้แม่นมาก เจ้าต้องเชื่อมั่นในตัวเอง”เยียนซุ่ยซุ่ยพยักหน้าแรงๆ “ได้ ต่อไปข้าจะพยายา
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
แท้จริงแล้วราชครูมีการไปมาหาสู่กับเยียนอ๋อง ในเมืองหลวงเขาแทบไม่มีสหายที่ใด เยียนอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ครั้งล่าสุดก่อนที่เยียนอ๋องจะออกศึก ราชครูเคยมาพบเยียนอ๋องครั้งหนึ่ง ส่วนพวกเขาหารือเรื่องใดกันนั้น เยียนเซียวหรานไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงทั้งสองทะเลาะกันในห้องหนังสือ หลังจากจวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ราชครูก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในค่ำคืนนั้นเมื่อเยียนเซียวหรานพบราชครูที่เรือนพักในจวนหนิงกั๋วกง เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำของเยียนเซียวหราน ที่ราชครูยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ปกติเมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็มักจะพำนักอยู่ในหอพยากรณ์ดวงดาว ไม่ว่าจะมีเรื่องใดที่ไม่สำคัญจริง เขาจะไม่มีทางออกมา ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความกังวล “แต่ไป๋จื้อเซียนนั้นเป็นภัยใหญ่ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย” “เกรงว่าไม่นานเกินรอเขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น” “ไม่ว่าราชครูจะยินยอมพบข้าหรือไม่ ข้าคงต้องหาวิธีพบเขาให้ได้” เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน” ซือเจ๋อเยว
เขานึกถึงภาพในช่วงหลายวันที่ผ่านมายามนางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีวี่แววของลมหายใจใด ๆ หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นจนแทบทนไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เสมอว่าสภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง แต่ทุกครั้งที่เขาได้พบนาง นางกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมล้นบนใบหน้า ร่างกายของนางดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนที่กำลังจะสิ้นลม และไม่เคยคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะแย่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับเตือนเขา ว่านางบอบบางยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนให้ดีเถอะ”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเสียงเบา “สภาพร่างกายของข้า ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” “เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม” เยียนเซียวหรานขมวดคิ้วแน่น บัดนี้เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘ตาย’ อีกแล้ว ซือเจ๋อเยว่นั่งลงข้างเขา ใช้มือทั้งสองประคองคางของตนเองไว้พลางเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ไป๋จื้อเซียนนั่นเป็นข้าที่ปล่อยออกมาเอง” “เรื่องครั้งนี้จะไปโทษเจ้าไม่ได้หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษข้า” “
เยียนเซียวหรานหลุบตาลง “ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ตอนนี้องค์หญิงฟื้นแล้ว ท่านย่าลงโทษข้าเถิดขอรับ”เหล่าไท่จวินพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ท่านย่า เรื่องนี้โทษน้องสามไม่ได้จริง ๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นสถานการณ์พิเศษ”“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเข้ากับไป๋จื้อเซียนที่นั่น หากไม่ใช่เพราะน้องสามปกป้องข้าจนสุดชีวิตละก็ ข้าก็คงตายไปแล้ว”“ดังนั้นท่านย่าอย่าได้ลงโทษน้องสามเลย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “องค์หญิงไม่ต้องร้องขอความเมตตาแทนเขา เขาเป็นบุรุษ เดิมทีก็ควรปกป้องญาติผู้หญิงในครอบครัวอยู่แล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเยียนเซียวหราน เขายืนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นนางมองมา ก็สบตากับนางแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตาคืนกลับมาซือเจ๋อเยว่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นข้าเห็นเหนียนเหนียนหมดสติไปเช่นกัน เหนียนเหนียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เยียนเหนียนเหนียนโผล่หน้าออกมาจากทางด้านหลังของเหล่าไท่จวิน “ข้าไม่เป็นไร แค่หมดสติเป็นครู่เดียวเท่านั้น ในไม่ช้าก็หายดีแล้ว”“ร่างกายของข้าแข็งแรง องค์หญิ
ตอนที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นยันต์พวกนั้นก็หรี่ตาลงทันที เมื่อตระหนักได้ว่าทรงพลัง ก็โยกหลบอย่างรวดเร็วซือเจ๋อเยว่ฉวยโอกาสยื่นนิ้วออกไป ยันต์พวกนั้นก็ไล่ตามไป๋จื้อเซียนไป ร่างกายของเขามียันต์ห้าอัสนีบาตแผ่นหนึ่งแปะอยู่เขาด่าทอด้วยคำหยาบคาย มองไปทางด้านนอกห้องแวบหนึ่ง รู้ว่าหากวันนี้ไม่หนีไป เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วตอนที่เขาวิ่งหนี เมฆฝนก่อตัวขึ้น ไล่ตามเขาภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ผู้ดูแลพาท่านหมอเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นฉากนี้ ก็ตกใจจนลูกตาเกือบถลนออกมาถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่เขามองเห็นสายฟ้าบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายฟ้าหน้าตาแบบนี้ทันทีที่ไป๋จื้อเซียนวิ่งหนี ห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ตะเกียงน้ำมันที่มุมห้องยังคงสว่างอยู่ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้น ทันทีที่หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ฟันกระบี่ใส่ไป๋จื้อเซียนก็คือเยียนเหนียนเหนียนนางรู้สึกผิดปกติ ต่อให้นางแปะยันต์แผ่นหนึ่งบนกระบี่ของเยียนเหนียนเหนียน กระบี่เล่มนั้นของนางร้ายกาจกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำลายอาณาเขตที่ไป๋จื้อเซียนวางเอาเม
ครู่ต่อมา ซือเจ๋อเยว่หยิบอาวุธเวทย์อีกชิ้นหนึ่งออกมา เพียงแต่นางยังไม่ทันเข้าไปหา ก็ถูกเส้นผมสีดำของเขากวาดลอยกระเด็นออกไปเยียนเซียวหรานอยากจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกผ้าต่วนสีแดงรัดลำคอเอาไว้เขากล่าวอย่างยากลำบาก “องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้นกระอักเลือดออกมา ไป๋จื้อเซียนไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้ตรงหน้าของนางพอดีเลือดพ่นใส่มือของไป๋จื้อเซียน มือของเขาเป็นรูทันทีเขาค่อนข้างประหลาดใจ “นักพรตหญิงน้อย ร่างกายของเจ้ามีความพิเศษนี่นา!”ปากเขาพูดไป มือกลับบีบลำคอของนางเอาไว้ “กินตบะของเจ้า จะต้องบำรุงมากแน่!”ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ เป็นวิญญาณมาหนึ่งพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เจอร่างกายอย่างนางเขาเคยเห็นในหนังสือเล่มหนึ่ง หากได้กินวิญญาณของนาง เท่ากับเป็นการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยประมือกับนางมาก่อน แต่ครั้งก่อนนางไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก เขาไม่รู้ว่านางจะมีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้บัดนี้ค้นพบแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีเพียงแต่คนที่มีร่างกายเช่นนาง เนื่องจากร่างกายพิเศษมากเกินไป ดังนั้นอยากจะกลืนกินนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซือเจ๋อเยว่ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ยื่นมื
พวกเขาร่วมมือกันอยากจะจับตัวไป๋จื้อเซียนเอาไว้เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งเรื่องหนึ่งเขารู้ว่าในเวลานี้ไม่มีเวลาห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องเป็นคนจบเรื่องนางพูดกับเยียนเซียวหรานเบา ๆ “เจ้าถ่วงเวลาเขาไว้สักสิบวินาที”เยียนเซียวหรานพยักหน้า มือของซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถาอย่างรวดเร็วไป๋จื้อเซียนเห็นสัญลักษณ์มือของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะจับตัวข้าเอาไว้อีกอย่างนั้นหรือ?”เขาพูดจบก็พุ่งตัวเข้ามาหานาง พุ่งตรงเข้ามาควักหัวใจของนางกระบี่ไม้ท้อในมือของเยียนเซียวหรานพันเข้าใส่ไป๋จื้อเซียนทันทีทั้งสองอย่างปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไป๋จื้อเซียนหัวเราะเบา ๆ “ฮ่า น่าสนุก! แต่วันนี้ ที่ตรงนี้เป็นถิ่นของข้า ข้าเป็นใหญ่!”เส้นผมสีดำของเขาแผ่สยาย ผ้าต่วนสีแดงบนร่างกายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่เยียนเซียวหรานที่แฝงไปด้วยเจตนาสังหารต่อให้วิชากระบี่ของเยียนเซียวหรานจะดีแค่ไหน กระบี่ไม้ท้อไม่ใช่อาวุธแหลมที่สามารถตัดโลหะหรือหยกได้ จึงถูกพันธนาการเอาไว้ทันทีเขารีบชักกระบี่ติดตัวของตนเองที่อยู่บริเวณเอวของตนเองออกมา ฟันเข้าใส่เส้นผมสี
ค่ำคืนนี้ ซือเจ๋อเยว่มาตามที่คาดไว้!เขามองเยียนเซียวหรานด้วยสายตาเย็นยะเยือก หันหน้ากลับไปมองค่ายกลที่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างชั่วร้ายเขาเฝ้าอยู่ที่ เป็นเพราะกลิ่นอายจากตัวของซือเจ๋อเยว่กับค่ายกลนั่นค่อนข้างคล้ายคลึงกับกลิ่นอายที่เคลื่อนตัวอยู่บนร่างกายหของอวิ๋นเยว่หยางครั้งก่อนที่เขาเจอกับเยียนเซียวหรานแบบรีบร้อนเกินไปหน่อย ประกอบกับซือเจ๋อเยว่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ดังนั้นเขาจำไม่ได้ในทันทีว่ากลิ่นอายบนตัวของอวิ๋นเยว่หยางคือกลิ่นอายของเยียนเซียวหรานในเวลานี้ทันทีที่ค่ายกลถูกทำลาย กลิ่นอายพวกนั้นก็ไหลย้อนกลับ เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนค่อนข้างเกิดความสนใจเป็นเพราะเขารู้ว่า เป็นการยากที่คนคนหนึ่งจะมีกลิ่นอายของคนอื่นติดอยู่อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันก็เป็นไปไม่ได้หากติดแล้ว นั่นก็แสดงว่าโชคชะตาของทั้งสองคนรวมเข้าด้วยกันแล้วไป๋จื้อเซียนมองเยียนเซียวหราน กล่าว “น่าสนุก”เขาหันหน้าไปมองซือเจ๋อเยว่อีกครั้ง “นักพรตหญิงน้อย เจ้าหมอนี่ดีกับเจ้าเหลือเกินนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีชะตาชีวิตร่วมกันกับเจ้า”เ