นางสวมรองเท้ามือเป็นระวิง เพียงแต่ยิ่งลนลาน ก็ยิ่งทำได้ไม่ดีเดิมทีรองเท้าที่สวมได้อย่างง่ายดายมากเป็นเพราะนางตกตะลึงสวมห้าหกครั้งก็ยังไม่เข้าเยียนเซียวหรานยื่นมือออกไปจับข้อเท้าของนางเอาไว้ นางหันหน้าไปมองเขา เขากลับไม่ได้มองนาง แต่ยกรองเท้าข้างหนึ่งขึ้นมา ค่อย ๆ สวมเข้าไปที่เท้าของนางซือเจ๋อเยว่ “...”นางรู้สึกว่าตนเองในเวลานี้โง่นิด ๆหลังจากเยียนเซียวหรานสวมรองเท้าในนางเสร็จข้างหนึ่งแล้ว ก็สวมอีกข้างอีกให้นางนางกระโดดลงจากเตียงอย่างว่องไว “ลำบากเจ้าแล้ว”นางพูดจบคิดจะหนี กลับถูกเยียนเซียวหรานจับข้อมือขาวเล็กเอาไว้นางมองเขาแล้วถาม “ยังมีธุระอะไรอีกหรือ?”เยียนเซียวหรานไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นมือออกไปแล้วช่วยติดจัดปกคอเสื้อให้นาง ช่วยนางปรับสายคาดเอวให้เรียบร้อย ซือเจ๋อเยว่ “!!!!!”นางหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีเยียนเซียวหรานหวีผมให้นางอีก กล่าวเสียงเรียบ “เสร็จแล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเขา ดวงตาของเขาล้ำลึกตามเดิม นางมองเห็นเงาสะท้อนของตนเองในดวงตาของเขาการเต้นของหัวใจนางเริ่มเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง นางรู้ว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปจะไม่เข้าท่า จึงรีบกระโดดหนีออกทางหน้าต่า
หลังจากหารือเรื่องราวเสร็จ ซือเจ๋อเยว่เกรงว่าเหล่าไท่จวินจะเป็นกังวล จึงเล่าให้เหล่าไท่จวินอย่างคร่าว ๆเหล่าไท่จวินเพียงสั่งให้พวกเขาระวังหน่อยเท่านั้น แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากกินข้าวเช้าแล้ว พวกเขาก็เตรียมตัวออกเดินทางตอนที่พวกเขามาถึงหน้าประตู เยียนซุ่ยซุ่ยเดินตามมา ยื่นสิ่งของห่อหนึ่งให้แก่ซือเจ๋อเยว่กล่าว “ของพวกนี้องค์หญิงรับเอาไว้”“หากนางพบอันตรายเข้าจริง ๆ ตอนที่เหนียนเหนียนกับพี่สามไม่อยู่ข้างกายองค์หญิง ก็แค่ใช้สิ่งของพวกนี้โยนใส่ตัวของพวกเขา”ซือเจ๋อเยว่ถาม “นี่คืออะไร?”เยียนซุ่ยซุ่ยกล่าวด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ของพวกนี้คือยาพิษที่ข้าเพิ่งจะทำขึ้นมาเมื่อเร็ว ๆ นี้”“ก่อนหน้านี้กำลังอยู่ในระหว่างเรียนช่วยชีวิตคน แต่ผลไม่ค่อยดีเท่าใดนัก บัดนี้แม้แต่องค์หญิงป่วยเป็นอะไรก็ยังไม่รู้”“ข้าช่วยชีวิตองค์หญิงไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นก็ทำได้เพียงคิดหาหนทางช่วยเหลือองค์หญิงเท่านั้น”“องค์หญิงออกจากเรือนหลายครั้งก็ต้องเจอเข้ากับอันตรายทุกครั้ง ข้าคิดว่ามียาพิษติดตัว บางทีอาจจะดีกว่า”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าเยียนซุ่ยซุ่ยเป็นแม่นางที่อ่อนโยนจิตใจเมตตามากคนหนึ่ง ปกติไม่กล้าแม้แต่เชื
อวิ๋นเยว่หยางเอ่ยจบยังหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา เช็ดตรงที่นางเพิ่งสัมผัสเมื่อครู่ด้วยความรังเกียจแรงที่เขาใช้ไม่ใช่น้อย ๆ เพียงชั่วพริบตา ใบหน้าของลู่จิ่นเหนียงก็ปูดบวมขึ้นทันที ดูทุลักทุเลอย่างยิ่งลู่จิ่นเหนียงเดิมคิดว่าแค่ได้พบอวิ๋นเยว่หยางก็พอแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจะโดนปฏิบัติเช่นนี้ยามนี้นางแทบจะสติแตก!นางจ้องมองไปที่อวิ๋นเยว่หยางพลางเอ่ยขึ้น “เจ้ากล้าตบข้าอย่างนั้นหรือ!”อวิ๋นเยว่หยางหัวเราะเย็นชาพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นตัวอันใด? อย่าว่าแต่ตบเจ้าเลย ต่อให้ฆ่าเจ้า ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอันใด”ลู่จิ่นเหนียงตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้า! เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ ข้าจะหย่ากับเจ้า! ข้าจะกลับไปอยู่บ้านแม่ข้า!”เมื่ออวิ๋นเยว่หยางได้ยินคำกล่าวนี้ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดัง “หย่าอย่างนั้นหรือ? ลู่จิ่นเหนียง เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร?”“การหย่ามีไว้สำหรับภรรยาเอกเท่านั้น เจ้าเป็นแค่อนุภรรยา” “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอนุภรรยาคืออันใด? อนุภรรยาก็แค่ของเล่นเท่านั้น”“ตั้งแต่วันที่เจ้าเข้ามาในจวนหนิงกั๋วกง ชีวิตของเจ้าก็ไม่อาจออกไปได้อีก”“เจ้าเป็นแค่ของเล่นที่ข้า
นักพรตจื่อหยางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ก็จริง”อวิ๋นเยว่หยางเอ่ยถาม “วิญญาณทารกในตัวนางยังอยู่หรือไม่?”นักพรตจื่อหยางพยักหน้า “ยังอยู่ นางโหดร้ายเกินไปแล้ว เด็กยังไม่ทันจะเป็นรูปเป็นร่าง นางก็ทำแท้งเสียแล้ว”“วิญญาณเช่นนี้ยังไม่เติบโตเต็มที่ จึงดูโง่เง่าเล็กน้อย และติดตามนางไปตลอด”อวิ๋นเยว่หยางสบถออกมาเสียงเบา “ยามนั้นกลัวว่านางจะอยู่ในจวนเยียนอ๋องต่อไป จึงให้พ่อแม่ของนางบอกข่าวว่าข้าต้องการแต่งงานกับนาง”“เดิมคิดว่าเมื่อนางตั้งครรภ์ จวนเยียนอ๋องคงไม่ปล่อยตัวง่าย ๆ อย่างน้อยต้องถ่วงเวลาไปหลายเดือน”“รอให้วิญญาณทารกเติบโตขึ้นอีกนิด และมีความโกรธแค้นต่อจวนเยียนอ๋อง เช่นนี้จะกลายเป็นสิ่งบำรุงร่างชั้นเลิศ”“แต่คิดไม่ถึงว่านางเฒ่าในจวนเยียนอ๋องจะยอมง่าย ๆ ปล่อยนางให้ทันที”“ผลลัพธ์ยามนี้คงลดทอนพลังไปไม่น้อย อัปมงคลจริง ๆ”เขาไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับลู่จิ่นเหนียงจริง ๆ แต่เพราะบังเอิญรู้ว่านางตั้งครรภ์ลูกของเยียนซื่อ นักพรตจื่อหยางกล่าวว่าทารกคนนั้นไม่ธรรมดา หากสามารถหลอมรวมวิญญาณของทารกแล้วกินเข้าไป จะเป็นประโยชน์ต่ออวิ๋นเยว่หยางอย่างมากเมื่ออวิ๋นเยว่หยางรู้เรื่องนี้ ก็เกิดความค
อวิ๋นเยว่หยางคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “ฟังเจ้าเอ่ยแล้ว วันนี้เราฆ่าเยียนเซียวหรานเสียก็สิ้นเรื่อง” “ถึงอย่างไรพลังดวงชะตาของเขาข้าก็ดูดมาเกือบหมดแล้ว เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์” เมื่อนักพรตจื่อหยางได้ยินนามของเยียนเซียวหรานก็โกรธจัดจนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เขากล้าทำให้ข้าบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ สมควรตายตั้งนานแล้ว!” ในเรื่องการฆ่าเยียนเซียวหราน ทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน ในขณะเดียวกันนั้น เยียนเซียวหรานกำลังถอนหญ้าที่ขึ้นอยู่หน้าหลุมศพของเยียนอ๋องแม้จะผ่านมาเพียงสามเดือนหลังการฝังศพ แต่หลุมศพก็เริ่มมีหญ้าขึ้นแล้ว เยียนเซียวหรานมองดูหญ้าพวกนั้น ในใจเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเศร้าสลด แม้เยียนอ๋องจะเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในยามมีชีวิต แต่หลังความตายก็ไม่อาจหลีกหนีพ้นการกลายเป็นธุลีดิน ซือเจ๋อเยว่เห็นเขาเศร้าหมอง จึงปลอบโยนเสียงเบา “ข้าเคยคำนวณชะตาให้เสด็จพ่อมาแล้ว” “ชาตินี้ท่านปกป้องบ้านเมือง สร้างคุณงามความดีมากมาย หลังความตายจะได้ไปเกิดในภพที่ดี” เยียนเซียวหรานรู้ว่าความเป็นและความตายนั้น ในสายตาของซือเจ๋อเยว่ย่อมแตกต่างจากผู้อื่น แต่เมื่อยามได้ฟังคำปลอบของนางแล้วในใจของเขากลับร
เขารู้ว่าสำนักเต๋ามีอาวุธเวทย์ที่ทรงพลัง สามารถเก็บวิญญาณไว้ในนั้นได้ ตัวเขาเองก็มีอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ครั้งหนึ่งเก็บได้เพียงหนึ่งดวงวิญญาณเท่านั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากระบี่ไม้ท้อพันปีที่ซือเจ๋อเยว่ถืออยู่นั้นช่างล้ำเลิศยิ่งนัก นางสามารถเก็บวิญญาณร้ายที่เขาปลุกปั่นขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากในครั้งเดียว!อาวุธเวทย์เช่นนี้ เขาก็ต้องการ!เขานึกถึงกระบี่ไม้ท้อพันปีที่เคยเห็นจากซือเจ๋อเยว่ก่อนหน้านี้ และเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ว่านางไปหาของล้ำค่ามากมายเช่นนี้มาจากที่ใด? ในแววตาของเขาปรากฏความคลุ้มคลั่งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่สนใจว่าสิ่งของเหล่านั้นนางได้มาจากที่ใด ขอแค่วันนี้เขาฆ่านางได้ สมบัติทุกชิ้นก็จะเป็นของเขา! เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีของล้ำค่าที่สามารถจัดการวิญญาณร้ายเหล่านั้นได้ แต่ก็ยังมีอีกมากมาย ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะทำอย่างไร...” คำกล่าวของเขายังไม่ทันจบ ก็เห็นซือเจ๋อเยว่ก้าวเดินด้วยท่าราวกับดวงดาว พลางถือกระบี่ไม้ท้อในมือ ฟาดฟันใส่วิญญาณร้ายเหล่านั้น เพียงกระบี่เดียวก็สังหารได้ กระบี่ไม้ท้อของนางทรงพลังยิ่งนัก ฟันวิญญาณร้ายดวงใดก็ดับสูญสิ้น นักพรตจื่อหยาง: “...
ในชั่วพริบตา มันถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก เยียนเหนียนเหนียนชะงักไปเล็กน้อย พลางมองกระบี่ในมือของตน ก่อนจะนึกถึงยามออกจากบ้านในวันนี้ ซือเจ๋อเยว่เอาแผ่นยันต์มาติดไว้ที่กระบี่ของนาง แผ่นยันต์นั้นแตกต่างจากแผ่นยันต์ที่ซือเจ๋อเยว่เคยให้ก่อนหน้า เมื่อติดลงบนกระบี่แล้วก็เผาไหม้ไปเอง ยามนั้นนางยังสงสัยว่าซือเจ๋อเยว่ทำเช่นนั้นไปเพื่ออันใดจนกระทั่งยามนี้นางจึงเข้าใจ ว่ามันเป็นยันต์ที่แปะลงไปนั้นทรงพลังอย่างมาก ทำให้กระบี่สามารถจัดการกับสิ่งประหลาดเหล่านี้ได้ ซือเจ๋อเยว่ถูกนักพรตจื่อหยางลากเข้าไปในค่ายกลขนาดใหญ่ เมื่อนางเข้าไปก็พบว่าภายในนั้นเต็มไปด้วยหมอกดำหนาทึบ มองไม่เห็นสิ่งใด พลังชั่วร้ายอันแรงกล้าพุ่งมาจากทุกทิศทาง โอบล้อมร่างกายของนางจนหมดในสถานที่แห่งนี้ มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ หรือดวงดาว ไม่อาจสัมผัสถึงผืนดินหรือสายน้ำ และไม่มีแม้กระทั่งสายลม สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตามีเพียงความมืดดำยากหยั่งถึงในความมืดนั้น พลังชั่วร้ายที่เปี่ยมไปด้วยความอำมหิตพันเกี่ยวร่างกายของนางเอาไว้ ราวกับสามารถกลืนกินทุกอย่างได้ ซือเจ๋อเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย พลังเหล่านี้สามารถ
แต่การหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วฟันทันทีแบบนี้ก็ไม่ใช่เหตุผล นางคิดว่าออกจะเกินเลยไปหน่อยนางหลบกระบี่นั่นอย่างจนตรอก กระบี่ฟันเข้ามาอีกครั้ง นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าครั้งนี้ไม่ว่าตนจะหลบอย่างไรก็คงหลบไม่พ้นนางกำลังคิดว่าถึงจะหลบไม่พ้น ถ้าอย่างนั้นขอสู้ตายกับนักพรตจื่อหยางไปเลยดีกว่านางร่ายคาถาด้วยความรวดเร็ว เพียงแต่ยังไม่ทันได้ร่ายคาถาออกไป มือที่แข็งแกร่งข้างหนึ่งก็โอบรอบเอวนาง พานางกระโจนขึ้นท้องฟ้าดาบขนาดใหญ่เล่มนั้น พาดผ่านส้นรองเท้าของนางไปทันทีที่ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไป ก็เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเยียนเซียวหราน นัยน์ตาของเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นนางเกิดความประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ามาได้อย่างไร?”เยียนเซียวหรานตอบ “ข้ามาตามหาท่าน”นักพรตจื่อหยางกล่าวอย่างประหลาดใจ “เดิมทีข้าไม่ได้ตั้งใจที่จากลากเจ้าเข้ามาเอี่ยวด้วย เจ้ากลับเข้ามารนหาที่ตายเอง จิ๊ๆ ช่างเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาเสียจริง”นัยน์ตาของเยียนเซียวหรานเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หยิบคันธนูที่บนหลังขึ้นมา ชักลูกธนูออกมา แล้วยิงธนูเข้าไปใส่จุดที่เขาพูดพวกเขาอยู่ในค่ายกลจึงมองไม่เห็นนักพรตจื่อหยาง ทำได้เ
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
แท้จริงแล้วราชครูมีการไปมาหาสู่กับเยียนอ๋อง ในเมืองหลวงเขาแทบไม่มีสหายที่ใด เยียนอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ครั้งล่าสุดก่อนที่เยียนอ๋องจะออกศึก ราชครูเคยมาพบเยียนอ๋องครั้งหนึ่ง ส่วนพวกเขาหารือเรื่องใดกันนั้น เยียนเซียวหรานไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงทั้งสองทะเลาะกันในห้องหนังสือ หลังจากจวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ราชครูก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในค่ำคืนนั้นเมื่อเยียนเซียวหรานพบราชครูที่เรือนพักในจวนหนิงกั๋วกง เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำของเยียนเซียวหราน ที่ราชครูยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ปกติเมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็มักจะพำนักอยู่ในหอพยากรณ์ดวงดาว ไม่ว่าจะมีเรื่องใดที่ไม่สำคัญจริง เขาจะไม่มีทางออกมา ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความกังวล “แต่ไป๋จื้อเซียนนั้นเป็นภัยใหญ่ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย” “เกรงว่าไม่นานเกินรอเขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น” “ไม่ว่าราชครูจะยินยอมพบข้าหรือไม่ ข้าคงต้องหาวิธีพบเขาให้ได้” เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน” ซือเจ๋อเยว
เขานึกถึงภาพในช่วงหลายวันที่ผ่านมายามนางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีวี่แววของลมหายใจใด ๆ หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นจนแทบทนไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เสมอว่าสภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง แต่ทุกครั้งที่เขาได้พบนาง นางกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมล้นบนใบหน้า ร่างกายของนางดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนที่กำลังจะสิ้นลม และไม่เคยคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะแย่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับเตือนเขา ว่านางบอบบางยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนให้ดีเถอะ”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเสียงเบา “สภาพร่างกายของข้า ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” “เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม” เยียนเซียวหรานขมวดคิ้วแน่น บัดนี้เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘ตาย’ อีกแล้ว ซือเจ๋อเยว่นั่งลงข้างเขา ใช้มือทั้งสองประคองคางของตนเองไว้พลางเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ไป๋จื้อเซียนนั่นเป็นข้าที่ปล่อยออกมาเอง” “เรื่องครั้งนี้จะไปโทษเจ้าไม่ได้หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษข้า” “
เยียนเซียวหรานหลุบตาลง “ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ตอนนี้องค์หญิงฟื้นแล้ว ท่านย่าลงโทษข้าเถิดขอรับ”เหล่าไท่จวินพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ท่านย่า เรื่องนี้โทษน้องสามไม่ได้จริง ๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นสถานการณ์พิเศษ”“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเข้ากับไป๋จื้อเซียนที่นั่น หากไม่ใช่เพราะน้องสามปกป้องข้าจนสุดชีวิตละก็ ข้าก็คงตายไปแล้ว”“ดังนั้นท่านย่าอย่าได้ลงโทษน้องสามเลย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “องค์หญิงไม่ต้องร้องขอความเมตตาแทนเขา เขาเป็นบุรุษ เดิมทีก็ควรปกป้องญาติผู้หญิงในครอบครัวอยู่แล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเยียนเซียวหราน เขายืนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นนางมองมา ก็สบตากับนางแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตาคืนกลับมาซือเจ๋อเยว่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นข้าเห็นเหนียนเหนียนหมดสติไปเช่นกัน เหนียนเหนียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เยียนเหนียนเหนียนโผล่หน้าออกมาจากทางด้านหลังของเหล่าไท่จวิน “ข้าไม่เป็นไร แค่หมดสติเป็นครู่เดียวเท่านั้น ในไม่ช้าก็หายดีแล้ว”“ร่างกายของข้าแข็งแรง องค์หญิ
ตอนที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นยันต์พวกนั้นก็หรี่ตาลงทันที เมื่อตระหนักได้ว่าทรงพลัง ก็โยกหลบอย่างรวดเร็วซือเจ๋อเยว่ฉวยโอกาสยื่นนิ้วออกไป ยันต์พวกนั้นก็ไล่ตามไป๋จื้อเซียนไป ร่างกายของเขามียันต์ห้าอัสนีบาตแผ่นหนึ่งแปะอยู่เขาด่าทอด้วยคำหยาบคาย มองไปทางด้านนอกห้องแวบหนึ่ง รู้ว่าหากวันนี้ไม่หนีไป เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วตอนที่เขาวิ่งหนี เมฆฝนก่อตัวขึ้น ไล่ตามเขาภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ผู้ดูแลพาท่านหมอเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นฉากนี้ ก็ตกใจจนลูกตาเกือบถลนออกมาถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่เขามองเห็นสายฟ้าบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายฟ้าหน้าตาแบบนี้ทันทีที่ไป๋จื้อเซียนวิ่งหนี ห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ตะเกียงน้ำมันที่มุมห้องยังคงสว่างอยู่ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้น ทันทีที่หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ฟันกระบี่ใส่ไป๋จื้อเซียนก็คือเยียนเหนียนเหนียนนางรู้สึกผิดปกติ ต่อให้นางแปะยันต์แผ่นหนึ่งบนกระบี่ของเยียนเหนียนเหนียน กระบี่เล่มนั้นของนางร้ายกาจกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำลายอาณาเขตที่ไป๋จื้อเซียนวางเอาเม
ครู่ต่อมา ซือเจ๋อเยว่หยิบอาวุธเวทย์อีกชิ้นหนึ่งออกมา เพียงแต่นางยังไม่ทันเข้าไปหา ก็ถูกเส้นผมสีดำของเขากวาดลอยกระเด็นออกไปเยียนเซียวหรานอยากจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกผ้าต่วนสีแดงรัดลำคอเอาไว้เขากล่าวอย่างยากลำบาก “องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้นกระอักเลือดออกมา ไป๋จื้อเซียนไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้ตรงหน้าของนางพอดีเลือดพ่นใส่มือของไป๋จื้อเซียน มือของเขาเป็นรูทันทีเขาค่อนข้างประหลาดใจ “นักพรตหญิงน้อย ร่างกายของเจ้ามีความพิเศษนี่นา!”ปากเขาพูดไป มือกลับบีบลำคอของนางเอาไว้ “กินตบะของเจ้า จะต้องบำรุงมากแน่!”ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ เป็นวิญญาณมาหนึ่งพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เจอร่างกายอย่างนางเขาเคยเห็นในหนังสือเล่มหนึ่ง หากได้กินวิญญาณของนาง เท่ากับเป็นการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยประมือกับนางมาก่อน แต่ครั้งก่อนนางไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก เขาไม่รู้ว่านางจะมีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้บัดนี้ค้นพบแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีเพียงแต่คนที่มีร่างกายเช่นนาง เนื่องจากร่างกายพิเศษมากเกินไป ดังนั้นอยากจะกลืนกินนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซือเจ๋อเยว่ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ยื่นมื
พวกเขาร่วมมือกันอยากจะจับตัวไป๋จื้อเซียนเอาไว้เป็นเรื่องที่ยากเย็นยิ่งเรื่องหนึ่งเขารู้ว่าในเวลานี้ไม่มีเวลาห่วงหน้าพะวงหลังอีกแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะนาง นางก็ต้องเป็นคนจบเรื่องนางพูดกับเยียนเซียวหรานเบา ๆ “เจ้าถ่วงเวลาเขาไว้สักสิบวินาที”เยียนเซียวหรานพยักหน้า มือของซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถาอย่างรวดเร็วไป๋จื้อเซียนเห็นสัญลักษณ์มือของนาง ก็แค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะจับตัวข้าเอาไว้อีกอย่างนั้นหรือ?”เขาพูดจบก็พุ่งตัวเข้ามาหานาง พุ่งตรงเข้ามาควักหัวใจของนางกระบี่ไม้ท้อในมือของเยียนเซียวหรานพันเข้าใส่ไป๋จื้อเซียนทันทีทั้งสองอย่างปะทะกัน ทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไป๋จื้อเซียนหัวเราะเบา ๆ “ฮ่า น่าสนุก! แต่วันนี้ ที่ตรงนี้เป็นถิ่นของข้า ข้าเป็นใหญ่!”เส้นผมสีดำของเขาแผ่สยาย ผ้าต่วนสีแดงบนร่างกายพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าใส่เยียนเซียวหรานที่แฝงไปด้วยเจตนาสังหารต่อให้วิชากระบี่ของเยียนเซียวหรานจะดีแค่ไหน กระบี่ไม้ท้อไม่ใช่อาวุธแหลมที่สามารถตัดโลหะหรือหยกได้ จึงถูกพันธนาการเอาไว้ทันทีเขารีบชักกระบี่ติดตัวของตนเองที่อยู่บริเวณเอวของตนเองออกมา ฟันเข้าใส่เส้นผมสี
ค่ำคืนนี้ ซือเจ๋อเยว่มาตามที่คาดไว้!เขามองเยียนเซียวหรานด้วยสายตาเย็นยะเยือก หันหน้ากลับไปมองค่ายกลที่ได้กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วแวบหนึ่ง ยิ้มอย่างชั่วร้ายเขาเฝ้าอยู่ที่ เป็นเพราะกลิ่นอายจากตัวของซือเจ๋อเยว่กับค่ายกลนั่นค่อนข้างคล้ายคลึงกับกลิ่นอายที่เคลื่อนตัวอยู่บนร่างกายหของอวิ๋นเยว่หยางครั้งก่อนที่เขาเจอกับเยียนเซียวหรานแบบรีบร้อนเกินไปหน่อย ประกอบกับซือเจ๋อเยว่ก็อยู่ตรงนั้นด้วย ดังนั้นเขาจำไม่ได้ในทันทีว่ากลิ่นอายบนตัวของอวิ๋นเยว่หยางคือกลิ่นอายของเยียนเซียวหรานในเวลานี้ทันทีที่ค่ายกลถูกทำลาย กลิ่นอายพวกนั้นก็ไหลย้อนกลับ เขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนค่อนข้างเกิดความสนใจเป็นเพราะเขารู้ว่า เป็นการยากที่คนคนหนึ่งจะมีกลิ่นอายของคนอื่นติดอยู่อย่างแท้จริง แม้ว่าจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันก็เป็นไปไม่ได้หากติดแล้ว นั่นก็แสดงว่าโชคชะตาของทั้งสองคนรวมเข้าด้วยกันแล้วไป๋จื้อเซียนมองเยียนเซียวหราน กล่าว “น่าสนุก”เขาหันหน้าไปมองซือเจ๋อเยว่อีกครั้ง “นักพรตหญิงน้อย เจ้าหมอนี่ดีกับเจ้าเหลือเกินนี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีชะตาชีวิตร่วมกันกับเจ้า”เ