อวิ๋นเยว่หยางเอ่ยจบยังหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา เช็ดตรงที่นางเพิ่งสัมผัสเมื่อครู่ด้วยความรังเกียจแรงที่เขาใช้ไม่ใช่น้อย ๆ เพียงชั่วพริบตา ใบหน้าของลู่จิ่นเหนียงก็ปูดบวมขึ้นทันที ดูทุลักทุเลอย่างยิ่งลู่จิ่นเหนียงเดิมคิดว่าแค่ได้พบอวิ๋นเยว่หยางก็พอแล้ว แต่กลับคิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าจะโดนปฏิบัติเช่นนี้ยามนี้นางแทบจะสติแตก!นางจ้องมองไปที่อวิ๋นเยว่หยางพลางเอ่ยขึ้น “เจ้ากล้าตบข้าอย่างนั้นหรือ!”อวิ๋นเยว่หยางหัวเราะเย็นชาพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าเป็นตัวอันใด? อย่าว่าแต่ตบเจ้าเลย ต่อให้ฆ่าเจ้า ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอันใด”ลู่จิ่นเหนียงตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้า! เจ้าทำกับข้าเช่นนี้ ข้าจะหย่ากับเจ้า! ข้าจะกลับไปอยู่บ้านแม่ข้า!”เมื่ออวิ๋นเยว่หยางได้ยินคำกล่าวนี้ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดัง “หย่าอย่างนั้นหรือ? ลู่จิ่นเหนียง เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร?”“การหย่ามีไว้สำหรับภรรยาเอกเท่านั้น เจ้าเป็นแค่อนุภรรยา” “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอนุภรรยาคืออันใด? อนุภรรยาก็แค่ของเล่นเท่านั้น”“ตั้งแต่วันที่เจ้าเข้ามาในจวนหนิงกั๋วกง ชีวิตของเจ้าก็ไม่อาจออกไปได้อีก”“เจ้าเป็นแค่ของเล่นที่ข้า
นักพรตจื่อหยางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ก็จริง”อวิ๋นเยว่หยางเอ่ยถาม “วิญญาณทารกในตัวนางยังอยู่หรือไม่?”นักพรตจื่อหยางพยักหน้า “ยังอยู่ นางโหดร้ายเกินไปแล้ว เด็กยังไม่ทันจะเป็นรูปเป็นร่าง นางก็ทำแท้งเสียแล้ว”“วิญญาณเช่นนี้ยังไม่เติบโตเต็มที่ จึงดูโง่เง่าเล็กน้อย และติดตามนางไปตลอด”อวิ๋นเยว่หยางสบถออกมาเสียงเบา “ยามนั้นกลัวว่านางจะอยู่ในจวนเยียนอ๋องต่อไป จึงให้พ่อแม่ของนางบอกข่าวว่าข้าต้องการแต่งงานกับนาง”“เดิมคิดว่าเมื่อนางตั้งครรภ์ จวนเยียนอ๋องคงไม่ปล่อยตัวง่าย ๆ อย่างน้อยต้องถ่วงเวลาไปหลายเดือน”“รอให้วิญญาณทารกเติบโตขึ้นอีกนิด และมีความโกรธแค้นต่อจวนเยียนอ๋อง เช่นนี้จะกลายเป็นสิ่งบำรุงร่างชั้นเลิศ”“แต่คิดไม่ถึงว่านางเฒ่าในจวนเยียนอ๋องจะยอมง่าย ๆ ปล่อยนางให้ทันที”“ผลลัพธ์ยามนี้คงลดทอนพลังไปไม่น้อย อัปมงคลจริง ๆ”เขาไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับลู่จิ่นเหนียงจริง ๆ แต่เพราะบังเอิญรู้ว่านางตั้งครรภ์ลูกของเยียนซื่อ นักพรตจื่อหยางกล่าวว่าทารกคนนั้นไม่ธรรมดา หากสามารถหลอมรวมวิญญาณของทารกแล้วกินเข้าไป จะเป็นประโยชน์ต่ออวิ๋นเยว่หยางอย่างมากเมื่ออวิ๋นเยว่หยางรู้เรื่องนี้ ก็เกิดความค
อวิ๋นเยว่หยางคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยขึ้น “ฟังเจ้าเอ่ยแล้ว วันนี้เราฆ่าเยียนเซียวหรานเสียก็สิ้นเรื่อง” “ถึงอย่างไรพลังดวงชะตาของเขาข้าก็ดูดมาเกือบหมดแล้ว เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์” เมื่อนักพรตจื่อหยางได้ยินนามของเยียนเซียวหรานก็โกรธจัดจนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เขากล้าทำให้ข้าบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ สมควรตายตั้งนานแล้ว!” ในเรื่องการฆ่าเยียนเซียวหราน ทั้งสองเห็นพ้องต้องกัน ในขณะเดียวกันนั้น เยียนเซียวหรานกำลังถอนหญ้าที่ขึ้นอยู่หน้าหลุมศพของเยียนอ๋องแม้จะผ่านมาเพียงสามเดือนหลังการฝังศพ แต่หลุมศพก็เริ่มมีหญ้าขึ้นแล้ว เยียนเซียวหรานมองดูหญ้าพวกนั้น ในใจเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเศร้าสลด แม้เยียนอ๋องจะเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในยามมีชีวิต แต่หลังความตายก็ไม่อาจหลีกหนีพ้นการกลายเป็นธุลีดิน ซือเจ๋อเยว่เห็นเขาเศร้าหมอง จึงปลอบโยนเสียงเบา “ข้าเคยคำนวณชะตาให้เสด็จพ่อมาแล้ว” “ชาตินี้ท่านปกป้องบ้านเมือง สร้างคุณงามความดีมากมาย หลังความตายจะได้ไปเกิดในภพที่ดี” เยียนเซียวหรานรู้ว่าความเป็นและความตายนั้น ในสายตาของซือเจ๋อเยว่ย่อมแตกต่างจากผู้อื่น แต่เมื่อยามได้ฟังคำปลอบของนางแล้วในใจของเขากลับร
เขารู้ว่าสำนักเต๋ามีอาวุธเวทย์ที่ทรงพลัง สามารถเก็บวิญญาณไว้ในนั้นได้ ตัวเขาเองก็มีอยู่ชิ้นหนึ่ง แต่ครั้งหนึ่งเก็บได้เพียงหนึ่งดวงวิญญาณเท่านั้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่ากระบี่ไม้ท้อพันปีที่ซือเจ๋อเยว่ถืออยู่นั้นช่างล้ำเลิศยิ่งนัก นางสามารถเก็บวิญญาณร้ายที่เขาปลุกปั่นขึ้นมาได้เป็นจำนวนมากในครั้งเดียว!อาวุธเวทย์เช่นนี้ เขาก็ต้องการ!เขานึกถึงกระบี่ไม้ท้อพันปีที่เคยเห็นจากซือเจ๋อเยว่ก่อนหน้านี้ และเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ว่านางไปหาของล้ำค่ามากมายเช่นนี้มาจากที่ใด? ในแววตาของเขาปรากฏความคลุ้มคลั่งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่สนใจว่าสิ่งของเหล่านั้นนางได้มาจากที่ใด ขอแค่วันนี้เขาฆ่านางได้ สมบัติทุกชิ้นก็จะเป็นของเขา! เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีของล้ำค่าที่สามารถจัดการวิญญาณร้ายเหล่านั้นได้ แต่ก็ยังมีอีกมากมาย ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะทำอย่างไร...” คำกล่าวของเขายังไม่ทันจบ ก็เห็นซือเจ๋อเยว่ก้าวเดินด้วยท่าราวกับดวงดาว พลางถือกระบี่ไม้ท้อในมือ ฟาดฟันใส่วิญญาณร้ายเหล่านั้น เพียงกระบี่เดียวก็สังหารได้ กระบี่ไม้ท้อของนางทรงพลังยิ่งนัก ฟันวิญญาณร้ายดวงใดก็ดับสูญสิ้น นักพรตจื่อหยาง: “...
ในชั่วพริบตา มันถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนไม่เหลือแม้แต่เศษซาก เยียนเหนียนเหนียนชะงักไปเล็กน้อย พลางมองกระบี่ในมือของตน ก่อนจะนึกถึงยามออกจากบ้านในวันนี้ ซือเจ๋อเยว่เอาแผ่นยันต์มาติดไว้ที่กระบี่ของนาง แผ่นยันต์นั้นแตกต่างจากแผ่นยันต์ที่ซือเจ๋อเยว่เคยให้ก่อนหน้า เมื่อติดลงบนกระบี่แล้วก็เผาไหม้ไปเอง ยามนั้นนางยังสงสัยว่าซือเจ๋อเยว่ทำเช่นนั้นไปเพื่ออันใดจนกระทั่งยามนี้นางจึงเข้าใจ ว่ามันเป็นยันต์ที่แปะลงไปนั้นทรงพลังอย่างมาก ทำให้กระบี่สามารถจัดการกับสิ่งประหลาดเหล่านี้ได้ ซือเจ๋อเยว่ถูกนักพรตจื่อหยางลากเข้าไปในค่ายกลขนาดใหญ่ เมื่อนางเข้าไปก็พบว่าภายในนั้นเต็มไปด้วยหมอกดำหนาทึบ มองไม่เห็นสิ่งใด พลังชั่วร้ายอันแรงกล้าพุ่งมาจากทุกทิศทาง โอบล้อมร่างกายของนางจนหมดในสถานที่แห่งนี้ มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ หรือดวงดาว ไม่อาจสัมผัสถึงผืนดินหรือสายน้ำ และไม่มีแม้กระทั่งสายลม สิ่งที่ประจักษ์แก่สายตามีเพียงความมืดดำยากหยั่งถึงในความมืดนั้น พลังชั่วร้ายที่เปี่ยมไปด้วยความอำมหิตพันเกี่ยวร่างกายของนางเอาไว้ ราวกับสามารถกลืนกินทุกอย่างได้ ซือเจ๋อเยว่หรี่ตาลงเล็กน้อย พลังเหล่านี้สามารถ
แต่การหยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วฟันทันทีแบบนี้ก็ไม่ใช่เหตุผล นางคิดว่าออกจะเกินเลยไปหน่อยนางหลบกระบี่นั่นอย่างจนตรอก กระบี่ฟันเข้ามาอีกครั้ง นางรู้ดีอยู่แก่ใจว่าครั้งนี้ไม่ว่าตนจะหลบอย่างไรก็คงหลบไม่พ้นนางกำลังคิดว่าถึงจะหลบไม่พ้น ถ้าอย่างนั้นขอสู้ตายกับนักพรตจื่อหยางไปเลยดีกว่านางร่ายคาถาด้วยความรวดเร็ว เพียงแต่ยังไม่ทันได้ร่ายคาถาออกไป มือที่แข็งแกร่งข้างหนึ่งก็โอบรอบเอวนาง พานางกระโจนขึ้นท้องฟ้าดาบขนาดใหญ่เล่มนั้น พาดผ่านส้นรองเท้าของนางไปทันทีที่ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไป ก็เห็นใบหน้าอันหล่อเหลาของเยียนเซียวหราน นัยน์ตาของเขาในเวลานี้เต็มไปด้วยความเคียดแค้นนางเกิดความประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ามาได้อย่างไร?”เยียนเซียวหรานตอบ “ข้ามาตามหาท่าน”นักพรตจื่อหยางกล่าวอย่างประหลาดใจ “เดิมทีข้าไม่ได้ตั้งใจที่จากลากเจ้าเข้ามาเอี่ยวด้วย เจ้ากลับเข้ามารนหาที่ตายเอง จิ๊ๆ ช่างเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาเสียจริง”นัยน์ตาของเยียนเซียวหรานเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หยิบคันธนูที่บนหลังขึ้นมา ชักลูกธนูออกมา แล้วยิงธนูเข้าไปใส่จุดที่เขาพูดพวกเขาอยู่ในค่ายกลจึงมองไม่เห็นนักพรตจื่อหยาง ทำได้เ
ซือเจ๋อเยว่ถึงได้พบว่า ในเวลานี้นางเกาะติดอยู่บนตัวของเยียนเซียวหรานราวกับปลาหมึกยักษ์นางรีบกระโดดลงจากตัวของเยียนเซียวหราน “เมื่อครู่นี้สถานการณ์คับขัน ข้ากับน้องสามร่วมมือกันสังหารนักพรตจื่อหยาง”เยียนเหนียนเหนียนร้อง “อ้อ” ออกมา นางเป็นแม่นางที่ใจกว้าง ถึงแม้จะคิดว่าทั้งสองคนทำแบบนี้จะไม่ค่อยถูกต้องเท่าใดนัก แต่ว่าก็พอจะมีเหตุผลอยู่บ้างนางรีบเดินเข้ามาหาแล้วถาม “พวกท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่เห็นนางไม่ได้ซักไซ้อีก ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกนางไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เยียนเซียวหรานเพื่อปกป้องนางแล้ว กลับถูกมีดดาบฟันจนได้รับบาดเจ็บมีดดาบเล่มนั้นชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่ง บาดแผลของเยียนเซียวหรานมีไอสีดำแผ่ออกมาซือเจ๋อเยว่หน้าถอดสี ร่ายคาถาแล้วกดลงไปที่บริเวณบาดแผลของเขาเมื่อครู่นี้อวิ๋นเยว่หยางรออยู่ที่ด้านนอก มองเห็นได้ไม่ชัดเจนเลยแม้แต่น้อยว่าด้านเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่เขามองเห็นชัดเจน พวกซือเจ๋อเยว่ทั้งสามคนก็หลุดพ้นออกมาได้แล้ว และนักพรตจื่อหยางก็ตายไปแล้วก่อนหน้าที่อวิ๋นเยว่หยางคิดมาตลอดว่านักพรตจื่อหยางเก่งกล้าสามารถ คิดไม่ถึงว่าเขาจะตายไปแบบนี้!เขารู้ว่าเยี
“ว่ามาเถอะ ท่านวางค่ายกลที่ขโมยดวงชะตาของน้องสามเอาไว้ที่ไหน”อวิ๋นเยว่หยางกล่าวเสียงเย็นชา “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร”เยียนเหนียนเหนียนจับศีรษะของเขาโขกเข้ากับขั้นบันไดหินที่ด้านหน้าหลุมศพของเยียนอ๋องทำให้เขารู้สึกมึนงงไปครู่หนึ่ง จนเกิดอาการหน้ามืดเล็กน้อยซือเจ๋อเยว่ “...”ตอนที่เยียนเหนียนเหนียนลงมือช่างโหดเหี้ยมและรุนแรงเสียจริง!นางยกนิ้วโป้งให้เยียนเหนียนเหนียน เยียนเหนียนเหนียนจับศีรษะของเขาแล้วจะโขกลงไปอีกครั้ง เขาตกใจจนอกสั่นขวัญแขวนขืนยังถูกโขกต่อไปแบบนี้ เขาคาดว่าจะต้องถูกเยียนเหนียนเหนียนตีตายแน่นอน!เขารีบกล่าว “ข้ายอมพูดแล้ว ข้ายอมพูด!”เยียนเหนียนเหนียนกล่าวด้วยความทอดถอนใจเล็กน้อย “เจ้ารอให้ข้าเอาศีรษะของเจ้าโขกให้เสร็จก่อนแล้วค่อยพูดก็ได้”“เจ้ายอมให้ความร่วมมือดีขนาดนี้ อีกเดี๋ยวข้าจะกล้าลงมือรุนแรงได้อย่างไร?”อวิ๋นเยว่หยาง “...”อวิ๋นเยว่หยาง “!!!!!!”ก่อนหน้านี้เขาได้ยินมาว่าเยียนอ๋องมีบุตรสาวคนหนึ่งถึงแม้จะสถานะสูงส่ง แต่กลับมีท่าทางเหมือนบุรุษ ชื่นชอบการฝึกฝนวรยุทธ์ เมื่อลองคิดดูก็น่าจะเป็นนังเด็กคนนี้เขาแอบสาบานในใจ หลังจากที่เขารอดจากอ
ไป๋จื้อเซียนเห็นว่านางมองเขา สุดท้ายแล้วเขาก็อธิบายอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่อยากให้ฆ่าสังหารผู้คน ข้าไม่สังหารก็สิ้นเรื่อง”ที่เขาสังหารคนก็เพราะว่าในใจของเขาไม่มีความสุข คนทั่วไปสำหรับเขาเป็นเหมือนมดแมลง สามารถบีบให้ตายได้ตามใจชอบซือเจ๋อเยว่ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็ลูบจมูกเบา ๆ ทีหนึ่ง ถามเขา “เพราะฉะนั้น ข้าเป็นสหายเก่าเมื่อหนึ่งพันปีก่อนของเจ้าจริง ๆ หรือ?”ไป๋จื้อเซียนพยักหน้า “ถูกต้อง เจ้าให้สัญญากับข้าว่าจะเจอกันหนึ่งพันปีหลังจากนั้น”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก “ต้องขออภัยจริง ๆ เรื่องพวกนั้นข้าจำมันไม่ได้แล้ว”“ข้ารู้” ไป๋จื้อเซียนกล่าวเสียงราบเรียบ “ตอนนี้ข้าได้สาบานกับสวรรค์แล้ว ตอนนี้พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วใช่หรือไม่?”ครึ่งประโยคหลังเขายังไม่ได้พูด เขายังไม่รู้ว่า เมื่อหนึ่งพันปีก่อนนางใส่ใจเขามาก ไม่อย่างนั้นไม่มีทางเหลือความทรงจำเมื่อหนึ่งพันปีช่วงนั้นเอาไว้มีเพียงเพราะหมกมุ่นมากถึงได้เก็บความทรงจำเอาไว้นานขนาดนี้ตอนนี้นางจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร เขาจะค่อย ๆ ทำให้นางจำเขาให้ได้ก่อนหน้านี้นางมีความทรงจำที่ไม่ดีต่อเขาก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้เข
เขาถึงขนาดคิดว่า ในใจของนาง เขาก็เป็นคนที่พิเศษคนนั้นเช่นกันเมื่อเขาคิดเช่นนี้ ในใจของเขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากเขาหยิบสิ่งของอย่างหนึ่งออกมา พลังชั่วร้ายพวกนั้นทั้งหมดถูกดูดไปอย่างสะอาดหมดจดแล้ว จากนั้นก็ลอยจากท้องฟ้ามาที่ตรงหน้าของสีหน้าของเยียนเซียวหรานเปลี่ยนไปเล็กน้อย มือถือกระบี่ไม้ท้อก้าวไปข้างหน้า มือของซือเจ๋อเยว่กดที่บนมือของเขาจนถึงตอนนี้ ความแตกต่างของความสามารถระหว่างพวกเขามีมากเกินไป ไม่สามารถเอาชนะเขาได้เลยวันนี้หากต้องลงมือกันจริง ๆ เกรงว่าพวกเขาจะต้องจบชีวิตอยู่ที่นี่ทั้งหมด แล้วก็สังหารไป๋จื้อเซียนไม่ได้อีกด้วยในเรื่องการกำจัดปีศาจ ซือเจ๋อเยว่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ได้ตลอดครั้งนี้เอาชนะไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าค่อยหาตัวช่วยที่จะทำให้เสมอกัน แล้วค่อยหาโอกาสลงมือกับเขาอีกครั้งการกระทำนี้ของนางทำให้ไป๋จื้อเซียนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก ยกมือขึ้น แล้วโบกมือใส่เยียนเซียวหรานทันทีเยียนเซียวหรานถือกระบี่ไม้ท้อขวางเอาไว้ จึงต้านทานการโจมตีครั้งนี้ของไป๋จื้อเซียนได้ เพียงแต่เขาก็ถอยหลังไปหลายก้าวเช่นกันไป๋จื้อเซียนมีความประหลาดใจเล็กน้อย “โอ้ ไอ
นางเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งสำนักเต๋า ดังนั้นการร่ายคาถาก็เหมือนกับกินข้าวกินน้ำ แต่สำหรับคนในสำนักเต๋าทั่วไปแล้ว กลับเป็นเรื่องที่ยากมากทว่าตอนนี้เยียนเซียวหรานไม่เพียงเคยเห็นนางร่ายคาถาไม่กี่ครั้ง ก็สามารถร่ายคาถาได้แล้ว นี่ถึงจะเรียกว่าผู้มีพรสวรรค์!นางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ในเมื่อเจ้าร่ายคาถาเป็น เช่นนั้นพวกเรามาเผชิญหน้าด้วยกัน!”เยียนเซียวหรานพยักหน้าหลังจากที่เขารู้จักนาง ถึงได้เข้าใจเรื่องพวกนี้ทั้งหมดก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจคาถาเต๋า แต่ตอนหลังเขาได้ไปเรียนรู้ดาววิบัติดวงนั้นเข้าใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาตั้งรับเตรียมพร้อมตอนที่ห่างจากพวกเขาไปประมาณสิบกว่าจั้ง เยียนเซียวหรานสัมผัสได้ถึงปราณชั่วร้ายที่รุนแรงเป็นอย่างยิ่งหลังจากที่ปราณชั่วร้ายกลุ่มนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นอีกนิด คมราวกับมีด ก็เกิดความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อพัดโดนหน้าซือเจ๋อเยว่ร่ายคาถาปกป้องร่างกายของพวกเขาเอาไว้ ตอนที่เตรียมที่จะพุ่งตัวเข้าไปต่อสู้ด้วยนั้น ข้าง ๆ ก็มีสีแดงปรากฏขึ้นแวบหนึ่งจากนั้นพลังชั่วร้ายที่เย็นยะเยือกที่เดิมทีรุนแรงมากก็สลายหายไปภายในชั่วพริบตาเยียนเซียวหรานสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลง
วิธีการพูดแบบนี้ของซือเจ๋อเยว่ อันที่จริงเป็นคำศัพท์เฉพาะของสำนักเต๋าคำศัพท์นี้หมายถึงไม่ใช่ดาวฤกษ์ที่อยู่บนท้องฟ้า ทว่าใช้ทักษะชั่วร้ายมารวมตัวกันจนกลายเป็นพลังชั่วร้ายพลังชั่วร้ายประเภทนี้ไม่ใช่วิญญาณทั่วไปที่ตายด้วยความโกรธแค้นจนกลายเป็นพลังชั่วร้าย แต่เป็นพลังชั่วร้ายที่ก่อตัวมาจากความคิดชั่วร้ายและวิญญาณชั่วร้ายที่สะสมของโลกใบนี้หลังจากที่บรรดาเต๋าสายดำตามหาพลังชั่วร้ายประเภทนี้จนเจอ ค่อยใช้การฝึกพลังเฉพาะสกัดให้บริสุทธิ์ แล้วนำพวกมันมารวมไว้ด้วยกัน ก็เหมือนกับสิ่งที่เห็นอยู่ในตอนนี้พลังชั่วร้ายประเภทนี้หลังจากที่ถูกเจ้าของฝึกฝนมานาน ก็จะกลายเป็นอาวุธที่ดีที่สุดในมือของเต๋าสายดำเมื่อเจ้าของของพลังชั่วร้ายตอนที่สั่งให้พวกมันไปจัดการคนคนหนึ่ง พวกมันก็สามารถกลืนกินคนคนนั้นได้จากนั้นพวกเขาค่อยให้มนุษย์เกิดความคิดชั่วร้าย แล้วค่อยใช้ความคิดชั่วร้ายเป็นอาหารบำรุงพวกมัน ทว่าคนที่อยู่ที่นั่น ได้กลายเป็นหุ่นเชิดที่มีชีวิต มีพวกเขาคอยควบคุมซือเจ๋อเยว่จ้องมองดาววิบัติที่เข้าใกล้พวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อยดาววิบัติดวงนี้ใหญ่กว่าที่นางเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ ในเวลาเด
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่ตอนนั้นเขาเข้าไปในค่ายกลแล้ว ตกอยู่ในภาพลวงตา เหมือนเช่นเยียนเซียวหรานในตอนนี้ตัวประหลาดนั่นโหดเหี้ยมน่ากลัวเกินไป ภายในร่างกายกักขังเศษวิญญาณเอาไว้มากมายขนาดนั้นนางไม่จำเป็นต้องเดา เศษวิญญาณที่ตัวประหลาดกักขังเอาไว้ภายในร่างกายพวกนั้น เกรงว่าทั้งหมดจะเป็นองครักษ์ของเยียนอ๋องซื่อจื่อเมื่อนางนึกถึงเรื่องศพอันไม่สมบูรณ์ของเยียนอ๋องซื่อจื่อที่ถูกขนกลับมายังจวนเยียนอ๋อง เกรงว่าจะไม่ได้โดนสัตว์ป่ากัดเอา ทว่าถูกตัวประหลาดนี้ฉีกนางไม่สามารถจินตนาการได้ เยียนอ๋องซื่อจื่อและกลุ่มคนถูกขังอยู่ภายในค่ายกลนี้ ตอนที่ถูกตัวประหลาดฉีกกินทั้งเป็น จะน่าเวทนาและหมดหนทางมากขนาดไหน!ทว่าเรื่องทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงแค่ต้องการฆ่าปิดปากพวกเขา จากนั้นก็ทำเป็นตาค่ายกล ถูกกักขังระหว่างหยินกับหยางตลอดไป กลับชาติมาเกิดใหม่ไม่ได้ต่อให้วิญญาณที่ไม่สมบูรณ์จะหนีไปแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ หากไม่โง่ ปัญญาอ่อน ก็จะอายุสั้น เพราะดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์ ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะกลับชาติมาเกิดคนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทำให้รู้สึกโกรธมากจริง ๆ!พวกเขาวิ่งไปข้างหน้าอยู่ครู่หนึ่งถึงได้หยุดลงแล
ตัวประหลาดจับลูกธนูดอกนั้นไว้แล้วโยนใส่พวกเขาเยียนเซียวหรานหลบด้วยความรวดเร็ว ธนูดอกนั้นลอยเฉียดหัวของเขาไปซือเจ๋อเยว่ส่งเสียงร้องประหลาดใจออกมาเบา ๆ พลังสังหารของตัวประหลาดตัวนี้มากเสียจนน่าหวาดกลัวสีหน้าของเยียนเซียวหรานเองก็ค่อนข้างดูแย่เช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปอยากจะยิงให้ถูกตัวประหลาดอีกก็คงกลายเป็นเรื่องที่ยากมากตอนที่ซือเจ๋อเยว่เห็นตัวประหลาดไล่ตามมา พลังชั่วร้ายสีดำที่แผ่ซ่านออกมาจากมือ นางจึงมีวิธีการแล้วนางหยิบลูกธนูดอกหนึ่งขึ้นมาแล้วติดยันต์ที่ด้านบน ให้เยียนเซียวหรานยิงอีกครั้งตัวประหลาดในเวลานี้อยู่ใกล้กับพวกเขามาก เยียนเซียวหรานทำได้เพียงหลบไปก่อน แล้วค่อยยิงธนูดอกนั้นออกไปตัวประหลาดตัวนั้นมองเห็นการเคลื่อนไหวนี้ของเขา ในดวงตาปรากฏความเหยียดหยามขึ้นมาแวบหนึ่ง ใช้วิธีการเดิมซ้ำอีกครั้งเพื่อจับธนูดอกนั้นเพียงแต่ครั้งนี้ตอนที่มันจับลูกธนูดอกนั้นเอาไว้ ทันใดนั้นยันต์ห้าอัสนีบาตรก็ทำงาน ภายในชั่วพริบตา เสียงฟ้าร้องคำรามลั่น ฟ้าผ่ามันจนไหม้เกรียมเยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าทำแบบนี้น่าจะผ่าจนตัวประหลาดตายแล้ว ทว่าครู่ต่อมา ตัวประหลาดก็ขยับอ
ตลอดทาง เขากลับทำให้ตัวประหลาดนั่นไม่ต้องครุ่นคิดอีก วิ่งไล่ตามชื่อปาเลี่ยไปทันทีในระหว่างที่ซือเจ๋อเยว่กำลังพูด ตัวประหลาดก็ได้โจมตีชื่อปาเลี่ยหลายรอบแล้วชื่อปาเลี่ยในเวลานี้ได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว กลัวว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้ เขาจำต้องคิดหาหนทางช่วยเหลือตัวเองศักยภาพของร่างกายเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ไม่นึกเลยว่าเขาจะหลบการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนของตัวประหลาดได้อย่างหวุดหวิดเขาในเวลานี้พลางร้องอย่างสิ้นหวัง พลางหลบอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นเจ้าอ้วนที่คล่องแคล่วที่สุดในใต้หล้านี้ได้สำเร็จเมื่อซือเจ๋อเยว่มองเห็นท่าทางที่ตกอยู่ในอันตรายของเขา ทั้งรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร แล้วก็อยากจะขำอีกด้วย เนื่องจากตอนที่เขาหลบ เรียกได้ว่าไม่ได้สนใจภาพลักษณ์เลยสักนิดนางกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ถึงแม้ในหนังสือจะไม่ได้บอกวิธีการที่สามารถสังหารตัวประหลาดประเภทนี้เอาไว้ สิ่งของบนโลกใบนี้อยากจะให้หายไปก็มีเพียงสองวิธี”“หนึ่งคือการโจมตีทางกายภาพ อีกอย่างก็คือการโจมตีแบบลี้ลับ”“ในเมื่อการโจมตีทางกายเมื่อครู่นี้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องลองการโจมตีแบบลี้ลับดูเสียหน่อย”ครั้งก่อนนางวาดยันต์สำรองเอาไว
ตอนนี้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็คือสัตว์ยักษ์สีแดงที่สูงประมาณหนึ่งจั้งตัวหนึ่งสัตว์ยักษ์ตัวนั้นมีดวงตาสีดำที่คล้ายกับระฆัง ไม่มีคิ้ว ไม่มีขนตาจมูกมีเพียงรูจมูกสองรู ปากไม่มีริมฝีปาก ปรากฏให้เห็นฟันแหลมคมเต็มปาก ภายใต้ฟันอันแหลมคม เวลานี้ยังมีของเหลวสีเหลืองไหลย้อยออกมาเพียงแค่พวกนี้ก็พอทนแล้ว ร่างกายของเขายังมีตุ่มสีแดงเต็มตัวตุ่มพวกนั้นห้อยอยู่บนร่างกายของสัตว์ยักษ์ ปกคลุมร่างกายของมันที่เดิมทีเต็มไปด้วยขนสีดำ มองดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ซือเจ๋อเยว่ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความรู้กว้างขวางมาโดยตลอด กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้ชื่อปาเลี่ยร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่มันตัวบ้าอะไรกันเนี่ย!”นี่เป็นคำถามที่เยี่ยมมากจริง ๆ ซือเจ๋อเยว่เองก็อยากรู้เช่นกันว่านี่มันคือตัวบ้าอะไรสัตว์ยักษ์ที่กำลังน้ำลายไหลตัวนั้นเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขา ทันทีที่มันเข้าใกล้ กลิ่นคาวกลุ่มนั้นก็รุนแรงขึ้นซือเจ๋อเยว่สะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก!ตอนที่เยียนเซียวหรานมองเห็นสัตว์ยักษ์ตัวนั้น เสียงเตือนภายในใจของเขาก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งตอนที่สัตว์ยักษ์ตัวนั้นเดินเ
นางมีแววตาเปล่งประกายล้ำลึก “ช่างเป็นฝีมือที่สูงส่งยิ่งนัก!” เยียนเซียวหรานมองนาง นางจึงเอ่ยต่อ "ฟ้าคือหยาง ดินคือหยิน ยามหยินหยางกลับตาลปัตร สรรพสิ่งพลิกผัน กฎแห่งฟ้าดินถูกตัดขาด!" “แต่สิ่งใดที่หลอกลวงได้ชั่วคราว ย่อมไม่อาจปิดบังไปชั่วชีวิต!” “เหล่าดวงวิญญาณผู้ซื่อสัตย์แห่งสนามรบ ท่านทั้งหลายที่คืนสู่แผ่นดิน ณ ที่แห่งนี้ โปรดร่วมมือกับข้ากำจัดภาพลวงที่ปกคลุมโลกใบนี้ จงสลายม่านมายา! ทำลายมันเสีย!” นางฟาดฝ่ามือลงกับพื้นดิน สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงแตกร้าวดังมาจากรอบทิศ ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น พื้นดินสีดำสนิทรอบตัวก็พลันหายไป อาการหายใจที่ยากลำบากบัดนี้กลับมาเป็นปกติ ต้นไม้ที่เคยหายไปปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและความเสื่อมสลาย ขุนเขาเช่นนี้ หาได้มีภาพของทัศนียภาพอันงดงามเหนือจินตนาการอย่างที่ชื่อปาเลี่ยที่เคยบอกเอาไว้ไม่ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นดินแดนรกร้างที่ไร้ซึ่งชีวิต! เกรงว่าภาพที่เยียนอ๋องเห็นในอดีตก็คงจะเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น เพียงแค่นางยังไม่เข้าใจเหตุผล ผู้ที่วางค่ายกลนี้ เหตุใดจึงต้องสร้างภาพลวงเช่น