ใบหน้านวลผุดผ่องถึงกับบึ้งตึง เธอรึก็พูดออกจะเสียงดัง ทว่าชายหนุ่มร่างหนาใหญ่ จนทำให้นึกถึงตัวเจ้าลิงตัวโตราวกับตึกสามชั้นนามคิงคองยักษ์ที่เพิ่งดูผ่านไปเมื่อไม่กี่วันนี้เอง กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง อ้อ...ไม่ใช่ไม่มีนะ มีเป็นรัศมีเย็นๆ ปะปนด้วยความเกรี้ยวกราดลอยมามากระทบ ทำให้ต้องรีบสาวเท้าบอบบางถอยร่นออกมา แต่การไพล่ไปสะดุดอะไรก็ไม่รู้ของเธอกลายเป็นปัญหา เพราะเมื่อทิ้งน้ำหนักลงไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น อาการปวดแปลบที่ข้อเท้าก็แผ่ซ่านขึ้นมาเป็นสาย
“อูย!!” กฤติกาเผลอร้องเบาๆ เจ็บจนหน้านิ่ว รีบเอียงตัวลงจับ ดูเหมือนวันนี้จะเป็นวันซวยของเธอจริงๆ ตั้งแต่เช้าที่เมื่อตื่นนอนเพราะฝันร้ายเลยพลัดตกจากเตียงนอนขนาดสามฟุต มีผ้าห่มนวมผืนโตห่อมัดกายราวกับมัมมี่ เปิดประตูห้องน้ำก็ดันเอาหน้าผากโขกไปกับประตู ดีว่าหัวไม่โนให้อับอายแสงกล้าที่หากรู้จะต้องเอามากัด ก่อนขึ้นรถมานี่ก็ดันไปเหยียบเอาเปลือกกล้วยถลาเกือบจะล้มตะครุบกบ ดีว่าเอามือยันตัวรถไว้ได้เสียก่อน
“เป็นอะไร” ชายหนุ่มถามเสียงดุไม่แพ้วงหน้าที่เรียบเฉยจนเป็นเย็นชา ยื่นมือไปช่วยจับร่างเล็กที่เอียงจะล้มแหล่มิล้มแหล่อย่างเร็ว
‘คิดจะอ่อยเขาด้วยการแสร้งทำเป็นว่าตัวเองเจ็บหรือไง’ แต่เมื่อเห็นน้ำตาที่เอ่อล้นคลอหน่วย กับสีหน้าเผือดซีด หัวตาขมวดนิ่วเข้าหากัน กลีบปากอิ่มสีชมพูระเรื่องขบเม้มเข้าหากัน ก็พอจะให้ทำใจเชื่อได้เล็กน้อย ยายเบอะซุ่มซ่ามนี่เจ็บจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งแกล้งเรียกร้องความสนใจ
อันเจโล่แทบจะผ่อนลมหายใจออกจากปอด รีบพาร่างเล็กไปนั่งบนเก้าอี้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนอยู่ ไม่ได้แค่พาธรรมดาแต่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นการลาก...หิ้วปีกแม่จอมซุ่มซ่ามไปมากกว่า ไม่ได้อยากสนใจหรอกนะ แต่เห็นเป็นผู้หญิง แล้วมาคนเดียวด้วย ครั้นจะไม่ให้การช่วยเหลือก็ดูจะเป็นคนใจดำเกินไป
“เฮ้ย!! โอ๊ย!! เจ็บนะคุณ จะลากฉันไปไหนนี่ เบา ๆ หน่อยสิ คนนะ ไม่ใช้ลูกหมูลูกหมาที่จะให้คุณลากจูงอย่างนี้” ร้องเสียงดังโวยวาย พยายามสะบัดแขนออกจากมือแกร่งที่ไม่เพียงบีบกำรอบแขน ยังจะถูกหิ้วปีกแล้วลากราวกับเธอเป็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่มีน้ำหนัก
ใช่ว่าจะไม่คุ้นชินมือชายถูกเนื้อต้องตัว ด้วยเธอมีเพื่อนชายหลายคนที่การโอบกอดบ่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่เคยมีใครทำให้รู้สึกเช่นการถูกเนื้อต้องตัวของผู้ชายคนนี้ มือหนาที่ทาบอยู่บนต้นแขนกลมกลึงพัดพาเอาความร้อนวูบวาบราวกับอังไฟ
“ปล่อย...ปล่อย!!” เมื่อเห็นอีกฝ่ายสูงใหญ่กว่ามากมายราวกับเสาโทรเลขกับขวดโหล กฤติกาเลยเลือกใช้เสียงที่แผดออกมาเต็มสปีดเข้าข่ม
“หุบปาก!” ไม่ได้ตวาดเสียงดังลั่น แค่พูดเสียงลอดไรฟัน แต่ก็ทันได้เห็นแววตื่นตระหนกขลาดกลัวที่ผุดขึ้นมาในดวงตากลมใส ก่อนแปลเปลี่ยนเป็นเปล่งประกายดุกร้าววาววับอย่างกับนัยน์ตาแมวยาวค่ำคืน ไม่ต้องให้เขาเดาก็พอจะรู้ได้ว่ายายตัวเล็กจอมซุ่มซ่านนี่ มีนิสัยดื้อด้านไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ใบหน้านวลผุดผ่องใสจนเห็นผิวแก้มเนียนเป็นสีชมพูระเรื่อ โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางแต่งแต้มงอง้ำบึงตึง อย่างที่ต้องยอมรับว่าน่ามองมิใช่น้อยแต่...
อันเจโล่กลับต้องหวนทบทวน เขาคิดผิดหรือเปล่าที่ให้การช่วยเหลือไปยายตัวเล็กเสียงแปดหลอดนี่นะ หวีดดังออกมาที ทำเอาหูอื้อไปหมด แก้วหูลั่นเปรี๊ยะ ๆ ปวดลิ่ว ๆ ไล่ตั้งแต่เหนือหัวคิ้วขึ้นไปจรดกระหม่อมเลยทีเดียว
“เฮ้ยคุณ!! พูดอย่างนี้ได้ยังไง ฉันเป็นผู้หญิงนะโว้ย ขอโทษคุณแล้วด้วย คุณนั่นแหละที่ผิด ยืนเกะกะขวางทางทำให้ฉันเจ็บ แล้วยังจะลากฉันหลุนๆ อย่างกับลูกขนุนอีก แล้วนั่น...” ชี้มือชี้ไม้ไปที่กระเป๋าสีดำซึ่งยังนอนนิ่งอยู่บนพื้นโดยไม่มีใครเก็บ
“กระเป๋าฉันล่ะ ทำไมไม่เอามาด้วยหา” กฤติกาแผดเสียงร้องสำทับไปอีกหนอย่างไม่สนใจสีหน้าเย็นชาและนัยน์ตาดุที่สาดมองมาราวกับเธอไปทำผิดคิดร้ายฆ่าใครตาย
“หุบปากถ้ายังไม่อยากถูกฉันหักคอทิ้ง” คนถูกต่อว่าหันไปพยักหน้ากับลูกน้องร่างหนาใหญ่ไม่ผิดเขา อย่างเดโก้และมาริโอ้ ซึ่งเดินตามมาติดๆ ให้ไปเก็บกระเป๋ามาให้แม่สาวเรื่องมาก
“ฉันไม่ได้คิดจะสนใจเธอหรอกนะ” ยิ่งได้เห็นใกล้ๆ ก็ยิ่งต้องยอมรับ แม่ตัวเล็กหน้าตาดีใช่เล่น วงหน้ารูปหัวใจ แก้มป่องๆ นวลเนียนใส นัยน์ตากลมโตใสแจ๋วพราวระยับ จมูกเล็กโด่ง ริมฝีปากจิ้มลิ้มดูน่ากดปากแนบลงไป แต่...เพราะเธอพูดมาก กวนประสาท เลยทำให้คนที่กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ นึกอยากจับปั้นๆ ให้เป็นลูกกลมๆ แล้วเตะโด่งไปให้ไกลๆ แทนเสียมากกว่าอยากกอดจูบ
“ก็แล้วคุณลากฉันมาทำไมล่ะยะ” กฤติกาถามเสียงอ่อนลงเล็กน้อย แหม...อุตส่าห์ดีใจแล้วนะนี่ ถูกชายหนุ่มหน้าตาหล่อขั้นเทพกอดเอาเต็ม ๆ น่ะ
‘อ๊าย...ตายแล้ว เธอคิดอย่างนี้ได้ยังไงนะ แหม...ไม่เป็นกุลสตรีเอาเสียเลย อย่างนี้ถ้าพ่อกับแม่รู้เข้า คงต้องยกมือกุมขมับ ทอดสายตามองอย่างระอิดระอาใจแน่เลย ดีไม่ดี เผลอ ๆ อาจได้รับขนมทองหยิกแถมอีกด้วย แต่แหม...แม่จ๋า ก็อีตาคิงคองยักษ์นี่หล่อดีจริง ๆ นี่น่า อภัยให้ลูกสาวหน่อยเถอะนะจ๊ะ ที่คิดแตะอั๋งผู้ชายด้วยสายตาน่ะจ้ะ’
แต่คงไม่ต้องถึงพ่อกับแม่แล้วละ แค่เห็นหน้าอีตาคิงคองยักษ์นี่...ก็หมดอารมณ์ไปซะเยอะแระ คงรู้ว่าตัวเองหล่อล่ะสิ ถึงได้ตีหน้าตายสนิท แต่เกือบแยกเขี้ยวโง้งราวกับยักษ์วัดแจ้งใส่มา พร้อมนัยน์ตาดุกร้าว ราวกับเธอทำความผิดใหญ่หลวงใส่
ชิ...ไม่ต้องมาตีหน้ายักษ์ใส่หรอกย่ะ ยังไงเธอก็ไม่กลัว ถึงหุ่นจะต่าง เพราะอีกฝ่ายน่ะโคตรจะทั้งหนาและใหญ่เลยแหละ เริ่มจากความสูงที่คิดว่าอยู่ราว ๆ สองเมตรเห็นจะได้ อย่างนี้เดินตรงๆ เข้าบ้านเธอไม่ได้นะ ทำไมนะเหรอ ก็ดันตัวสูงกว่าขอบประตูบ้านนะสิ ส่วนเธอน่ะมันพวกหุ่นกะทัดรัดแบบพริกขี้หนูบ้านมากกว่า ขืนทะเล่อทะล่าเข้ามา แม่จะฟาดก้านคอให้ร่วงทั้งหลับเลยเชียว
“ไม่ได้อยากถูกเนื้อต้องตัวเธอหรอก แต่ไม่อยากเห็นตัวตุ่นคลานต้วมเตี้ยม นอกจากจะน่ารำคาญแล้วยังเกะกะขวางทางคนที่เขาจะเดินไปเดินมาด้วย แล้วนี่เป็นอะไรมากหรือเปล่า ต้องให้พาไปส่งโรงพยาบาลไหม จะได้ให้หมอจัดการทั้งไอ้ขาที่เจ็บ แล้วก็เย็บปากที่ร้องแรกแหกกระเชออยู่นี่ด้วย ผู้หญิงอะไร ปากจัด ไม่รักษามารยาทกุลสตรีเสียบ้างเลย” เป็นน้องเป็นนุ่งของเขานะ เขาคงต้องพาไปเรียนมารยาทใหม่
“อย่างนี้จะมีผู้ชายคนไหนคว้าไปทำเมีย” เอ่ยเหมือนจะปรารภแต่เพราะมีเสียงออกมามันเลยดังไปกระแทกใจคนฟังปึกใหญ่!
ริ้วลมแห่งความโกรธพุ่งลิ่วขึ้นมา จนดวงหน้าผุดผ่องแดงปลั่ง นัยน์ตาเป็นประกายวาววับเจิดจ้า ราวตาแมวเหมียวที่ได้พบกับศัตรูคู่อาฆาตตลอดกาล
กฤติการู้เพียงแค่ว่าวินาทีนี้เธออยากกรีดร้องอย่างนางมารร้ายที่ถูกนางเอกแย่งแฟนอย่างในละครทีวีเสียเหลือเกิน ผู้ชายอะไรบ้าชะมัด...ปากจัดยิ่งกว่ากรรไกรโรงพยาบาล ต่อให้หน้าตาคมเข้มหล่อเหลาราวกับพระเอกหนัง แต่อ้าปากพูดแล้วเหมือนกับเพาะพันธุ์ไอ้ด่างสี่ขาไว้จนเต็มอย่างนี้ จากคะแนนสิบเต็มที่ให้เมื่อแรกเจอ ตอนนี้น่ะหรือลดฮวบฮามแถมติดลบสิบด้วย กลายเป็นผู้ชายที่สมควรจะจรลีหลีกหนีไปให้ไกล ๆ ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเอามาทำพันธุ์!“เฮ้ย!! จะทำอะไรนะ โอ๊ย!! ไอ้คิงคอง ฉันเจ็บนะโว้ย ปล่อย!!” ทุบไปบนร่างหนายักษ์ที่ยังไงก็ไม่ได้สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด แถมยังจะเงยหน้าเย็นชา นัยน์ตาดุกร้าวมองมา โดยมือยังจับอยู่ที่ข้อเท้าของเธอ“จะหักขาทำให้เธอให้เดินไม่ได้ แทนการหาผ้าขี้ริ้วมาอุดปากเธอ” ชายหนุ่มขู่เสียงต่ำในลำคอ แยกเขี้ยวโง้งใส่ คำพูดจากปากหนายังไม่ทันจะขาดดี ความเจ็บร้าวราวกับกระดูกจะหักกร๊อบดังสะเทือนเลื่อนลั่นในหูกฤติกา“โอ๊ย!! ไอ้คิงคอง แกจะฆ่าฉัน...หรือไงหา ไอ้บ้า!!” กลีบปากสีชมพูอิ่มระเรื่อหวีดร้องเสียงหลง น้ำตาหยดแหมะลงบนร่องแก้ม อีตาคิงคองยักษ์นี่หักขาเธอทิ้งแล้วใช่ไหม!ดวงหน้านวลงอง้ำ ขบกัดกลีบปากท
ถึงแม้ไม่มีหลักฐานใดบ่งบอกและเหตุผลรองรับ ทำไมเขาถึงได้เลือกตามสามคนนั้นมาเมืองไทย ไม่เลือกตามอีกกลุ่มเขาไป คงเป็นเพราะเชื่อในสัญชาติญาณที่บ่งบอกว่า สามคนนี้มีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติไป ซึ่งเขาจะต้องตามหาตัวให้เจอ พร้อมหาหลักฐานมาผูกมัดตัวคนพวกนั้น หรือใครคนใดคนหนึ่งที่กล้ากระตุกหนวดเสือร้ายอย่างเขาให้จงได้เหตุการณ์ในครานี้บอกให้เขาได้ล่วงรู้ว่า คนที่ทำเรื่องนี้มีพวกด้วยเช่นกัน การเดินทางที่สมควรเป็นความลับ ด้วยเขาปิดทุกคนแม้กระทั่งคนในครอบครัว แต่ก็ยังมีคนล่วงรู้จนได้ แล้วยังส่งยายผู้หญิงปากเสียมาแย่งชิงคอมพิวเตอร์ไปอีก คงคิดว่าข้อมูลสำคัญนั่นจะอยู่ในเครื่องล่ะสิ เขาไม่โง่ซ้ำสองซ้ำสามแบบนั้นหรอก อีกอย่างเกิดเหตุการณ์นี้ก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้รู้ว่าการมาหาหลักฐานครั้งนี้มีมารคอยขัดขวางอยู่ จะได้ระมัดระวังตัวไม่ให้ตัวเองและลูกน้องที่ตามมาเป็นอันตราย“ครับ” ที่รับปากน่ะไม่ใช่เพราะจะตามหาตัว แต่งุนงงต่างหาก ด้วยคำพูดคนเป็นนายนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ให้หาด้วยจิตพิศวาสแต่อย่างใด หากแต่หาด้วยจิตมุ่งหมายคิดร้ายเสียมากกว่า เจอกันเพียงครั้งเดียว แม่ตัวเล็กนั่นไปทำอะไรให้นายเขาไม่พอใจ จึงจัดให้ถึงเพี
“จริงหรือ” กิ่งแก้วเท้าศอกบนเคาร์เตอร์ไม้ จ้องเข้าไปในดวงตากลมใส คลี่ยิ้มเหมือนกำลังเยาะเย้ย ด้วยไม่เชื่อในคำพูดที่ได้ยิน ข่าวลือนะไปไวเสมอแหละ ยิ่งข่าวร้าย ๆ นี่ยิ่งแพร่สะบัดไปไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่งอีก ยิ่งเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันร้ายแรงเกินกว่าคนในพื้นที่หลาย ๆ คนจะรับได้ แม้จะรู้ซึ้งและเข้าใจถึงสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป ทว่าการมีสิ่งไม่ดีที่ทำให้อนาคตของลูกหลานต้องย่อยยับก็เป็นที่ยอมรับไม่ได้“แต่ที่ฉันได้ข่าวมา ดูท่าจะทำให้เธอกินไม่ได้นอนไม่หลับไปหลายวันเลยเชียวนะ”นั่นไง ว่าแล้วเชียว สุดท้ายก็ไม่พ้นเรื่องนี้บ้า ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันนี้ตอนสายจริง ๆ ด้วย เฮ้อ...กลอกตากลมใสไปมา เบะกลีบปากอิ่มใส่คนถามอย่าเบื่อหน่ายจับใจ ใช่...เรื่องที่เกิดขึ้นมาในวันนี้ทำให้เธอเป๋ไม่ไม่น้อย กินข้าวเย็นอย่างฝืดคอนิด ๆ คืนนี้อาจนอนไม่หลับด้วย เพราะมัวแต่คิดมากหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมหาทางแก้ปัญหาที่จะตามติดมาเป็นระรอกคลื่น แต่ปัญหาทุกปัญหาย่อมมีทางออก ใช่ว่าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วฟ้าจะไม่กระจ่างสดใสนี่น่าไหล่มลเลิกขึ้นอย่างระอิดระอาใจ คนเรานี่เป็นยังไงกันนะ ทำไมถึงได้สอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่น
“กิ่ง...กิ่ง” เรียกหลายครั้งแล้วแต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะได้ยิน แล้วยังจะหันหน้าไปมองอะไรก็ไม่รู้ “กิ่ง” คราวนี้กฤติการ้องเรียกพร้อมกับยกมือวางบนแขนเรียวยาวเขย่าเบา ๆ เรียกสติอีกฝ่าย“หือ...” กิ่งแก้วละสายตาจากสองหนุ่มหน้าตาหล่อหันมองเพื่อนสาว คิ้วโก่งดกดำจากการวาดเลิกขึ้นเล็กน้อย “มีอะไร”“ดึกแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะ พรุ่งนี้ต้องเปิดร้านอีก กลัวไม่ไหวน่ะ”“อือ...อยากกลับก็กลับสิ ใครไปรั้งเธอไว้ล่ะ ความจริงน่าจะกลับมาไปเสียตั้งนานแล้ว เธอนี่น่ารำคาญจริง ๆ แล้วนี่ยังคิดจะเปิดร้านอีกหรือ ไม่กลัวไม่มีลูกค้าเข้าร้านหรือไง ข่าวออกจะดังขนาดนั้น”กฤติกาส่ายศีรษะอย่างระอิดระอาที่กิ่งแก้วยังไม่วายแขวะกัด “ฉันไม่ได้ทำอะไรนี่น่า คนทำเขาก็ได้รับกรรมของเขาแล้ว อีกอย่าง ไม่เปิดร้านหาเงินแล้วจะให้ฉันเอาเงินที่ไหนซื้อข้าวกินล่ะ จะให้มาทำงานอย่างเธอหรือ ฉันก็ทำไม่ได้ซะด้วย กลัวจะทนไม่ไหว เอาแก้วเหล้าสาดน้ำพวกฝรั่งชีกอแทน”“อ้าว...แล้วเธอทำทัวร์อย่างนั้น คิดว่าจะไม่เจอหรือไง ถ้าจะเพี้ยนนะเธอนี่ คิดไปได้ อยากกลับก็ตามใจสิ ฉันไม่ได้ห้าม ไม่ได้มัดเธอไว้กับเก้าอี้สักหน่อย รีบกลับเร็ว ๆ ก็ดีนะ ขืนอยู่ดึกกว
เสียงเข้มดุกร้าวที่ดังเข้ามาอีกละรอก พอทำให้กฤติกาเริ่มคลายความตื่นตระหนกและเบาใจลงมาเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้มั่นใจว่าไอ้คนที่กอดรัดอยู่จะทำตามคำพูด เธอจะต้องคิดหาหนทางพาตัวให้รอด ที่ตอนนี้เขาพูดว่าอะไรก็จำต้องยอมรับเอาไว้ก่อน เพื่อตัวเองจะไม่เป็นอันตรายไปมากกว่านี้ ศีรษะทุยจึงผงกรับบอกตกลง“ห้ามร้อง ขืนหลุดปากมาแม้คำเดียว เธอโดนดีแน่” ชายหนุ่มขู่ซ้ำ พลางยกดันร่างเล็กไปจนแผ่นหลังอิงแอบแนบกับแผ่นพื้นซึ่งลาดยกขึ้นสูง ด้านบนคือพื้นถนน กดสองขาเรียวยาวที่ลอยขึ้นเหนือพื้นเล็กน้อยกับสองขาแข็งแกร่ง ตรึงซ้ำด้วยเรือนร่างแข็งกระด้างที่แนบชิดเนื้อนุ่มนิ่มไปเสียทุกส่วน“อือ...” กฤติการับคำขลุกขลักในลำคอ รับปากเอาไว้ก่อน รอสบโอกาสเมื่อไหร่ รับรองได้ว่าเธอเอาคืนเป็นเท่าตัว ไม่เจ็บจนคางเหลือง ปากเจ่อทานน้ำพริกไม่ได้ไปหลายวันเชียวล่ะ คนอย่างเธอไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกนะ แต่ก็ไม่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ ยิ่งโดนทำร้ายกันอย่างนี้ มีหรือที่จะไม่เอาคืนน่ะแสงสว่างสาดส่องมาแวบหนึ่ง ทำให้ชายหนุ่มได้เห็นประกายเกรี้ยวกราดจากนัยน์ตากลมโตที่ฉายออกมา กลีบปากหนาหยักยกขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาวาววับ “รู้ไหมถ้าเธอผิดคำพู
แม้ถูกกอดรัดเสียจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ อีกทั้งปากอิ่มนุ่มก็ยังตออยู่ภายใต้การครอบครองของเขา ทว่าแม่คนตัวเล็กก็ยังไม่ยอมแพ้ จนอันเจโล่รู้สึกว่าได้เจอเข้ากับพริกเม็ดเล็ก ที่แม้ตอนกินเข้าไปจะเผ็ดร้อน แต่รสเนื้อกลับหวานล้ำเมื่อยามได้เคี้ยว ยิ่งแม่ตัวเล็กต่อต้านมากเท่าไหร่ ความอยากเอาชนะที่อยู่ในสายเลือด ทำให้เขาเลือกที่จะรุกรานแม่สาวตัวแสบต่อไปจนสุดกู่ชายหนุ่มกดแนบริมฝีปากหนาร้อน ขมเม้มปากอิ่มนุ่มมอบจุมพิตวาบหวามใจให้กับสาวน้อยตัวแสบอย่างหนักหน่วง แต่ก็ไม่ลืมที่จะล่อหลอกด้วยชั้นเชิงอันจัดเจน เรียกร้องให้คนตัวเล็กค่อย ๆ คลายความแข็งขืนลงไป ปลายลิ้นสากระคายและร้อนผ่าว ตวัดลากไล้วนเวียนพยายามสอดแทรกเข้าไปหาความหวานภายในโพรงปากนุ่ม ถึงเรือนกายจะเริ่มอ่อนระทวย แรงต่อต้านจะลดลงไปเยอะ แต่แม่ตัวเล็กก็ยังไม่ยอมให้ความร่วมมือเท่าไหร่กฤติการ้องครางแผ่วเบา เรือนกายอรชรสั่นสะท้านด้วยไม่รู้ว่าจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรดี อ้อมแขนกำยำกดกอดรัดราวกับงูรัดเหยื่อ จูบแรก...ที่เธอคิดฝันเอาไว้ นอกจากจะไม่อ่อนโยนแล้วยังเต็มไปด้วยอาการกระแทกกระทั้นดุดัน อยากร้องไห้ แต่ก็ไม่มีน้ำตาไม่ไหลออกมา กลับมีความเจ
ฮึ...เขาว่าแล้ว เธอต้องไม่ยอมเปิดปากพูดความจริง ปากแข็งหรือ อยากรู้นักจะแข็งไปได้สักกี่น้ำ ถ้าเป็นผู้ชายเขามีวิธีทรมานแบบไม่เจ็บก็นอนหยอดข้าวต้มไปจนถึงพิการ แต่เมื่อเธอเป็นหญิงหุ่นอวบอัดเต็มไม้เต็มมืออย่างนี้ แถมเนื้อตัวยังหอมกรุ่นราวกับกลิ่นดอกไม้อย่างนี้ มีวิธีให้เขาเริงรื่นในการรีดเอาความลับจนฉ่ำปอดเชียวแหละฝ่ามือร้อนระอุคลึงเคล้นเจ้าก้อนเนื้อนุ่ม พลางปากหนาอุ่นขบกัดผิวเนื้อนุ่มเบาๆ ไล่เลื่อนขึ้นไปตามซอกนวลเนียนหอม ขบกัดติ่งหูสลับกระเซ้าเย้าแหย่ช่องหูนุ่ม “แน่ใจนะว่าจะไม่ยอมบอกฉัน”“อือ...นะ...แน่ใจ ไม่ใช่นะ คุณถอยออกไปก่อนนะ อยู่แบบนี้ฉันอึดอัด หายใจไม่ออก แล้วคิดอะไรไม่ออกด้วย”ทาบมือผลักร่างหนาให้ถอยห่างไป แต่ก็เหมือนกับเธอเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง เพราะมันไม่แม้แต่จะขยับเคลื่อนด้วยซ้ำ แล้วอีตายักษ์กินคนยังจะแกล้งบดเบียดเรือนกายแนบชิดมากยิ่งขึ้น สายลมร้อนผ่าวทำให้ระบบในเรือนกายทำงานผิดปรกติ ท้องไส้ปั่นป่วนราวกับมีเกลียวสายน้ำถาโถมเข้ามาระรอกแล้วระรอกเล่า ในหัวใจหรือก็หวั่นไหวแบบแปลกๆ อย่างไม่ควรจะเป็น จากไอ้ตัวยักษ์ที่จะเป็นคนทำร้ายเธอ!“ไม่ล่ะ...ฉันไม่ไว้วางใจ เธอมันพวกฤทธิ์มาก แสบ
“คิดจะทำอะไร ไม่กลัวโดนฉันปล้ำบนพื้นทรายหรือไง เอ๊ะ...หรือเธอติดใจ อยากลองสักครั้ง” ยอมคลายร่างอรชรจนสองเท้าบอบบางเหยียบพื้นทราย “ได้สิ จะเอารสชาติแบบไหนล่ะ ดุเด็ดเผ็ดมัน หรือวาบหวามซาบซ่านตรึงใจดี” จูบไซ้คลอเคลียบนแก้มนุ่มเรื่อยลงไปขบกัดซอกคอระหง ฝ่ามือร้อนผ่าวลูบไล้บัวตูมเต่งตึงอย่างหนักหน่วงจนคนตัวเล็กสั่นสะท้านไหว“ปะ...เปล่านะ แค่ฉัน...ฉันอึดอัด หายใจไม่ออกก็เท่านั้น” ตอบกลับเสียงอ่อยและตะกุกตะกัก ด้วยวาบหวามปั่นป่วน เมื่อคนตัวใหญ่ลูบไล้ฝ่ามือคลึงเคล้นไปทั่วร่าง เน้นหนักที่อกอิ่มนุ่มนิ่ม จนสมองหมุนเร็วจี๋ราวกับล้อรถที่วิ่งลิ่วไปอย่างไร้เบรก เพื่อพาตัวเองให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันตรายนี้ให้จงได้ เริ่มสะดุดบางทีก็ขาดตอนไปเสียเฉย ๆ คล้ายแผ่นเสียงตกร่อง“งั้นเธอก็ตอบมา...ทำงานให้ใคร” ปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อนานเกินไปแล้ว สมควรแก่เวลาเชือด...ไก่!อยากรู้ว่าเธอทำงานให้ใครงั้นหรือ อืม...เอาใครดี ฟันซี่เล็กขบกัดกลีบปากจนเจ็บ แต่นึกไม่ออกว่าจะอ้างชื่อใคร ที่มีน้ำหนักทำให้คนตรงหน้าเชื่อได้“ว่าไง” ถามซ้ำ รวบสองมือเล็กที่ทำเหมือนจะลูบไล้กายเขา ทว่าแม่ตัวเล็กกลับกดปลายเล็บลากจนเขาสะดุ้งอยู่บ่อยครั
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ยิ้มนะลูกไก่ ให้กำลังใจฉันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เอาชนะพวกมารและจะได้รีบกลับมาหาเธอ” บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาตั้งใจเอ่ยคำนี้หรือเปล่า แต่เอ่ยออกไปแล้วก็ไม่ได้เสียใจ เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจของแม่เนื้อนุ่มหวาน“คุณเจ” หัวใจถึงกับโป่งพองราวลูกโป่งอัดแก๊ส จนลอยลิ่วไปบนฟากฟ้าสีครามสดใส ก่อนดวงหน้าผ่องพรรณจะหมองหม่นลงเมื่อเสียงประกาศเตือนดังมาอีกครั้ง ที่ทำให้เธอตัดสินใจทำอย่างแสงกล้าพูด...เอ่ยบอกเขาให้รู้ความจริงในใจ ดีกว่าเก็บเอาไว้ในอกพร้อมความเจ็บช้ำ ได้บอกรักแม้ต้องผิดหวัง ยังดีกว่าไม่ได้บอกให้เขารู้กฤติกาจับมือใหญ่ มองเข้าไปในแววตาเข้ม “ลูกไก่มาเพราะมีเรื่องสำคัญอยากบอกคุณเจค่ะ...” สูดลมหายใจเข้าปอด รวมรวมความกล้า“ลูกไก่...รักคุณเจค่ะ” กฤติกาเอ่ยเสียงเข้มและหนักแน่นอันเจโล่เต็มตื้นกับคำรักที่ได้ยินจนหัวใจคล้ายลูกโป่งที่ถูกสูบแก็สอัดไปจนเต็มลอยพุ่งขึ้นบนฟากฟ้าในทันควัน “ลูกไก่!” สมควรเป็นเขาที่ต้องเอ่ยบอกคำนี้ออกไปก่อน แต่นี่คนตัวเล็กกลับ...เขายอมแพ้ใจเธอจริงๆ แขนกำยำสอดรวบกอดร่างเล็กแนบอก“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี คงมีแค่คำนี้...ขอบใจนะลูกไก่ที่รักคนนิสัยไม่ดีอย่างฉัน” คำเล็ก ๆ ที่มีอาน
อันเจโล่ผ่อนลมหายใจออกจากปอดแผ่วเบา แม้อยากยืดเวลาออกไปแม้แค่เสียววินาที เพื่อให้ตัวเองได้เฝ้ารอด้วยความหวังอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็จำต้องยอมรับความจริง กฤติกาไม่มาร่างหนาผุดลุกจากเก้าอี้ที่นั่งด้วยเท้าที่หนักอึ้งจนแทบเดินต่อไม่ไหว ในหัวใจราวกับถูกเศษแก้วแตกที่ฝังอยู่ในก้อนเนื้อบาดเฉือนทุกการหายใจ เหมือนโลกที่ยืนอยู่แปรปรวน แผ่นดินไหวโยกทำให้เขายืนทรงตัวไม่อยู่ จนต้องเฝ้าถามย้ำกับตัวเองอีกครั้ง เป็นอะไรไป?“นายครับ”“มีอะไร”“จะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะครับ” กลับไปคราวนี้ศึกหนักหนาสาหัสรอนายอยู่ แล้วก็ไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงสามารถเคลียร์เรื่องราวให้มันจบลงไปด้วยดี เขาอยากให้นายได้มีเวลาอยู่กับกฤติกาอีกหน่อย ได้เก็บช่วงเวลานี้ไว้เป็นกำลังใจยามที่ต้องต่อสู้กับเรื่องร้าย“ฉันไม่เป็นไร” อาการเขาคงหนักมากจริงๆ แม้กระทั่งลูกน้องยังสังเกตเห็นได้“จะให้คุณ...”“อย่าเลย” รู้ว่าเดโก้จะเสนออะไร เขาเองก็เคยคิดแวบ ๆ แต่คิดแล้วคิดอีกหลายตลบอยู่ ส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยของกฤติกา แต่อีกส่วนก็มาจากตัวเองที่ดันปากหนักเองช่วยไม่ได้ ถ้าเอ่ยปากชวนแม่เนื้อนุ่มไปด้วยนะ ป่านนี้ก็มีเธอข้างกายเรียบร้
“ลูกไก่” เอ่ยเรียกเสียงแหบพร่า ฝ่ามือหนาไล้ลูบอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน ริมฝีปากร้อนผ่าวทาบทับจุมพิตไต่เลื่อนเคลื่อนไปบนผิวกายเนียนนุ่มลื่นราวกับแพรไหมอย่างเชื่องช้า“ขา...” กฤติกาขานรับ เพียงแค่มองสบนัยน์ตากับอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเขาต้องการสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องเอ่ยด้วยคำพูดอีกแล้ว... “เมื่อไหร่คะคุณเจ” เธออยากรู้ มีเวลานานเท่าไหร่ในอ้อมแขนแกร่งนี้“พรุ่งนี้” ตอบกลับเสียงพร่าแหบราวกับในอกถูกก้อนหินไร้น้ำหนักกดทับอยู่“เร็วจังเลยนะคะ” เปรยเสียงแหบแห้ง อยากขอเขาว่าอย่างเพิ่งไปได้ไหม อยู่กับเธออีกสักวันได้ไหม แต่กฤติกาก็พูดไม่ออก ด้วยรู้ถึงความอึดอัดใจของอีกฝ่าย คงทำได้แค่...ใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีค่าที่สุด เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำในวันต้องจากร้างห่างลากัน“ฉัน...” ถ้าเธอพูดอะไรนอกจากนี้สักคำ เขาคงรู้สึกดีกว่าการได้รับรอยยิ้มแห้งๆ นัยน์ตาหวานเศร้าอมโศกอย่างนี้นิ้วยาวเล็กยื่นไปทาบบนปากหนา “ไม่เป็นไรค่ะ ลูกไก่รู้ว่าคุณเจจำเป็น แค่...คืนนี้ เรา...” ปวดร้าวไปหมดทั้งทรวงจนพูดไม่ออก“ฉันรู้...คืนนี้ จนถึงเวลานั้น” ไม่อยากพูดถึงเวลาจำต้องลาจาก “เราจะมีกันและกันใช่ไหมลูกไก่”“ค่ะ...เราจะมีกันและกัน” กฤติกา
“ว่าไงอันเจโล่ จะบอก หรือจะให้ลูกไก่เจ็บมากกว่านี้”“อย่านะคุณเจ อย่า...‘บอก’” กลายเป็นเสียงกรีดร้องแทน เมื่อบาดแผลถูกกดเปิดออกจนเลือดไหลซึมออกมา“ลูกไก่!” กัดฟันกรอด อยากลุกขึ้นไปช่วยแม่หวานใจจนตัวสั่น แต่เพราะถูกจับเอาไว้เลยต้องทนเห็นแม่เนื้อนุ่มร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด จะไม่สัญญาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มีโอกาสพาตัวเองหลุดรอดไปเมื่อไหร่ ริวาโก้ต้องรับผิดชอบในความเจ็บของลูกไก่น้อย แน่นอน!“ว่าไงอันเจโล่ หรือจะให้ฉัน...” ไม่ได้ยินดีกับความเจ็บปวดของใคร แต่มันจำเป็น“ได้” กัดฟันกรอดขณะตอบอีกฝ่าย “ฉันยอมบอก แต่แกห้ามทำร้ายลูกไก่”“ไม่นะคุณเจ! ยะ...อย่า...” กฤติการ้องห้ามก่อนเสียงจะขาดหายไป ด้วยเจ็บและหน้ามืด พ่วงด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง แต่กลับรู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดไหลข้างขมับและแผ่นหลัง“อย่าคิดตุกติกนะอันเจโล่ แกทำเมื่อไหร่ เตรียมตัวเห็นลูกไก่กลายเป็นคนที่มีร่างที่ไร้วิญญาณแน่นอน” ไม่ได้ขู่แม้แต่นิดเดียว เอาจริงทุกคำพูดด้วย เขายอมทำทุกอย่างทุกทางเพื่อให้อันเจโล่และครอบครัวประสบกับความหายนะ แก้แค้นให้กับตัวเองและทุกๆ คนที่ถูกกระทำจากครอบครัวนี้ให้สาสม!อันเจโล่มองดวงหน้าผุดผาดขาวซีด
อันเจโล่หน้าตึง ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ บิดามีเบื้องลึกเบื้องหลังอันไม่ดี แต่ไม่ว่าจะยังไง ท่านก็คือบิดาผู้ให้กำเนิด “พ่อฉันไปทำอะไรแก อย่าพูดใส่ความคนอื่นลอย ๆ ถ้าหากไม่มีหลักฐาน” พ่อเขาคงไม่ได้ไปฆ่าไปแกพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณของอีกฝ่าย ให้ต้องตามมาจองล้างจองพลาญตอนโต อย่างกับนิยายน้ำเน่าหรอกนะฮึ...ริวาโก้ปาดเหงื่อบนหน้า หันไปยิ้มหยันใส่พ่อลูกชายสุดแสนเลิศประเสริฐศรี ที่ถึงตอนนี้ยังให้ความรักและเคารพไอ้พ่อเลว ๆ ที่ทำร้ายลูกตัวเองลับหลังได้ลงคอ อยากรู้นักถ้าได้รู้ความจริง คู่ควงของตัวเองลับหลังถูกคนเป็นพ่อลากเข้าห้อง ปู้ยี้ปู้ยำไปไม่รู้สักกี่คนต่อกี่คน อันเจโล่รับได้หรือเปล่าชายหนุ่มพาร่างเพรียวเดินคล้ายคนเมา ทรงตัวไม่ได้ไปหยุดและค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งเบื้องหน้าอันเจโล่ นิ้วยาวไล้บนแก้มตอบเรื่อยลงมาถึงคางบึกบึน ก่อนลากเลยไปถึงจอนหูอีกฝั่ง โน้มใบหน้าไปแนบกับหู หลับตา ซึมซับเอาความอับอายและเจ็บปวดจากการถูกผู้ชายวัยคราวพ่อสั่งให้ถูกน้องจับเอาตัวขึ้นรถ ลากเข้าโรงแรมแล้วทำอย่างกับว่าเขาเป็นผู้หญิงขายเรือนร่าง น้ำตาอุ่น ๆ เอ่อล้นคลอหน่วยตา“พ่อแกข่มขืนฉัน!”“แกเอาเรื่องบ้าบอเฮงซวยอะไรมาใส่ความพ่อฉ
“จะไปไหนลูกไก่ มานี่เลยยายตัวดี” ยื่นมือไปอย่างเร็วจนคว้าเอาเส้นผมหนานุ่มดึงกลับมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย วงหน้าแดงปลั่งด้วยเพลิงโทสะ นัยน์ตาฉายแววเกรี้ยวกราดกฤติการ้องโอ๊ยดังลั่น สองมือจับผมบนศีรษะ ดวงหน้าผ่องพรรณเหยเกบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บจากแรงกระตุก พลางสาวก้าวเท้าถอยกลับไปด้านหลังอย่างเร็วรี่ เพราะถ้าขืนดันทุรังไป จะทำให้ตัวเองต้องเจ็บตัวมากขึ้น“ปล่อยฉันนะริวาโก้” กฤติกาพูดเมื่อทนไม่ไหว เจ็บจนน้ำตาแทบไหล เมื่อพูดไปแล้วริวาโก้กระตุกจนในหูได้ยินเสียงดังกราว ราวกับเส้นผมจะหลุดร่วงออกมาทั้งแผง“อย่าทำอะไรลูกไก่นะไอ้ริวาโก้”“ตัวมึงเอง มึงยังเอาไม่รอดเลย ยังจะมาห่วงคนอื่น” หัวเราะใส่หน้า พลางสอดมือมาจับกุมลำคอระหง “ถ้ากูจะหักคอสวย ๆ นี่ทิ้ง มึงจะทำอะไรกูหา...ไอ้อันเจโล่”“ไอ้เลว!” อันเจโล่ฮึดฮัด แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองก็ถูกคุมอยู่ จนแขนแทบจะหักออกเป็นสองท่อน “ถ้ากูหลุดไปได้ มึง...พลั่ก!!” พูดไม่ทันจบหมัดหนัก ๆ ก็สวนเข้ามาที่มุมปากเสียก่อน ชายหนุ่มเหลียวไปมองคนที่ทำให้เขาเจ็บด้วยนัยน์ตาดุร้ายราวกับเสือลำบาก ที่พร้อมสู้ไม่เหลียวหลังหนีอีกแล้ว“เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าไหมคุณอันเจโล่
“ลูกไก่ไม่เป็นอะไรค่ะ แต่คุณเจน่ะสิ รู้อยู่แล้วว่าคนพวกนั้นเขาต้องการอะไร ยังจะ...” ถ้าเธอไม่บ้าจนเพี้ยนฟังอะไรผิดพลาดไปจนจนกลายเป็นความสะเพร่า ปล่อยให้ตัวเองถูกจับเอาตัวมาเพื่อต่อรองกับอันเจโล่ละก็ ป่านนี้ชายหนุ่มจัดการพวกตัวร้ายพวกนี้จนหมอบราบคาบแก้วไปแล้วบ้าจริง...กลีบปากอิ่มนุ่มขบเม้มเข้าหากัน ก้มหน้าหมองเศร้าด้วยความรู้สึกผิด น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นคลอเบ้า เพราะเสียใจที่ตัวเองกลายเป็นต้นเหตุให้อันเจโล่ต้องเพลี่ยงพล้ำ แล้วยังกลายเป็นตัวภาระให้ชายหนุ่มต้องคอยกังวลในความปลอดภัยอีก“ร้องไห้ทำไมล่ะลูกไก่” อันเจโล่จับรั้งปลายคางมนให้แหงนขึ้นมองสบตาด้วย นิ้วยาวร้อยไกล่เกลี่ยกดซับหยดน้ำที่เอ่อล้นไหลซึมลงมาตามร่องแก้ม “หรือกลัวฉันเป็นอันตรายฮึ”“แต่ถ้าไม่มีลูกไก่สักคน คุณเจก็คงไม่...”อันเจโล่รีบยกมือปิดปากคนตัวเล็ก ศีรษะทุยสะบัดส่ายเบาๆ “ถึงไม่มีเธอ ริวาโก้ก็ต้องหาทางเล่นงานฉันจนได้นั่นแหละ เพียงแค่ประจวบเหมาะเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรหรอกเรื่องขี้ปะติ๋ว ฉันรับมือได้สบายมาก” แม้จะกังวล ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีเอาเสียเลย หนทางหนีแทบปิดตาย ด้วยเมื่อมองไปรอบทิศทั่วทุกทางก็ล้วนแล้วแต่ท้อ