ฮึ...เขาว่าแล้ว เธอต้องไม่ยอมเปิดปากพูดความจริง ปากแข็งหรือ อยากรู้นักจะแข็งไปได้สักกี่น้ำ ถ้าเป็นผู้ชายเขามีวิธีทรมานแบบไม่เจ็บก็นอนหยอดข้าวต้มไปจนถึงพิการ แต่เมื่อเธอเป็นหญิงหุ่นอวบอัดเต็มไม้เต็มมืออย่างนี้ แถมเนื้อตัวยังหอมกรุ่นราวกับกลิ่นดอกไม้อย่างนี้ มีวิธีให้เขาเริงรื่นในการรีดเอาความลับจนฉ่ำปอดเชียวแหละ
ฝ่ามือร้อนระอุคลึงเคล้นเจ้าก้อนเนื้อนุ่ม พลางปากหนาอุ่นขบกัดผิวเนื้อนุ่มเบาๆ ไล่เลื่อนขึ้นไปตามซอกนวลเนียนหอม ขบกัดติ่งหูสลับกระเซ้าเย้าแหย่ช่องหูนุ่ม “แน่ใจนะว่าจะไม่ยอมบอกฉัน”
“อือ...นะ...แน่ใจ ไม่ใช่นะ คุณถอยออกไปก่อนนะ อยู่แบบนี้ฉันอึดอัด หายใจไม่ออก แล้วคิดอะไรไม่ออกด้วย”
ทาบมือผลักร่างหนาให้ถอยห่างไป แต่ก็เหมือนกับเธอเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง เพราะมันไม่แม้แต่จะขยับเคลื่อนด้วยซ้ำ แล้วอีตายักษ์กินคนยังจะแกล้งบดเบียดเรือนกายแนบชิดมากยิ่งขึ้น สายลมร้อนผ่าวทำให้ระบบในเรือนกายทำงานผิดปรกติ ท้องไส้ปั่นป่วนราวกับมีเกลียวสายน้ำถาโถมเข้ามาระรอกแล้วระรอกเล่า ในหัวใจหรือก็หวั่นไหวแบบแปลกๆ อย่างไม่ควรจะเป็น จากไอ้ตัวยักษ์ที่จะเป็นคนทำร้ายเธอ!
“ไม่ล่ะ...ฉันไม่ไว้วางใจ เธอมันพวกฤทธิ์มาก แสบใช่ย่อย ถ้าฉันเผลอ เธออาจร้องตะโกนขอให้พักพวกวิ่งลมมากระหน่ำบาทา รุมสะกรัมฉันก็ได้นี่น่า อีกอย่างอยู่แบบนี้ก็ดี ถ้าเธอออกฤทธิ์ออกเดช ฉันชอบวิธีที่ใช้ปราบ”
ไม่ต้องบอกซ้ำว่าวิธีการของเขาคืออะไร เพราะปากหนาขบเคลื่อนไปทั่ววงหน้านวลนุ่ม คลอเคลียจูบซับแก้มอิ่มหอม มือหรือก็ไม่หยุดนิ่งฟ้อนอกอิ่มสร้างความปั่นป่วนให้คนตัวเล็กกว่าร้องอืออา อย่างไม่รู้จะปล่อยเลยตามเลย หรือขัดขืนห้ามปรามดี
“ยะ...หยุดนะ คุณทำอย่างนี้ไม่ได้ ฉันไม่ใช้ผู้หญิงอย่างที่คุณเคยเจอนะ” เอ่ยห้ามเสียงกระท่อนกระแท่น เบือนหน้าหลบจมูกโด่งและปากอุ่นร้อนที่เคลื่อนไคล้ไปบนแก้มนุ่ม
“แต่ถ้าเธอขืนทำปากกล้าพูดมาก ไม่ตอบในสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอาจเปลี่ยนใจจากที่แค่จูบเฉยๆ เป็นดันตัวเธอลงนอนบนพื้นทราย ดึงเอาเสื้อผ้าโยนทิ้งไปให้หมด แล้วก็...”
‘อี๊...ไอ้...’ ไม่รู้ว่าจะด่าอีกฝ่ายว่ายังไงดี เห็นเธอเป็นผู้หญิงแถมตัวก็เล็กกว่า รังแกได้รังแกเอาใช่ไหม อย่าให้หลุดออกไปแล้วกัน แม่จะแพ่นกะบานให้เลือดอาบเชียว
“อือ...ยะยอมแล้ว ยอมแล้ว คุณจะถามอะไรก็ถามมา ฉันตอบได้จะตอบให้หมดทุกข้อ” อยู่แบบนี้ยังไงๆ เธอก็เสียเปรียบวันยังค่ำ ยิ่งปล่อยเวลาให้เนิ่นนานผ่านไป ไอ้อาการไหววูบแปลก ๆ นี่ก็ดูท่าจะเพิ่มมากขึ้น ไม่ดีต่อตัวและหัวใจอย่างรุนแรง
“เธอทำงานให้ใคร อ๊ะ...อย่าบอกว่าไม่รู้นะ” ดึงกายนุ่มนิ่มห่างออกมาจากผนังปูนเล็กน้อย ก่อนสอดมือหนาไปลูบไล้แผ่นหลังนวลเนียน ป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณตะขอเสื้อชั้นใน
ก็เธอไม่รู้เรื่องที่เขาถามจริง ๆ นี่น่า แล้วจะให้ตอบไปว่าไงละ คิดสิ...ลูกไก่ แกไม่ถึงกับเก่งมากมาย แต่ก็ไม่ได้โง่นะเว้ย คิดสิ...คิดให้ออก “ตอนนี้ฉันมีตั้งหลายงาน คุณก็ต้องบอกมาก่อน งานที่ถามนี่เป็นงานอะไร ฉันจะได้ตอบให้ตรงกับที่คุณต้องการไง” หวังว่าคำตอบนี้จะสามารถยืดเวลาออกไปเล็กน้อย พอให้เธอคิดหาหนทางหนีได้
หือ...อันเจโล่ครางในลำคอ ทำไมเรื่องมันง่ายกว่าที่คิดนะ พวกนกต่อนี่จะต้องเป็นพวกปากแข็งสิ ไม่ว่าจะรีดเค้นอย่างไรก็ต้องไม่ยอมเปิดปากบอกความจริงง่าย ๆ แม่ตัวเล็กนี่คิดจะทำอะไรหรือเปล่า
บรรยากาศยามนี้ไม่ได้เงียบงัน เพราะสายลมและคลื่นน้ำทะเลที่สาดซัดเข้าหาฝั่ง เสียงเพลงหวานแว่วแผ่วเบาสลับคึกคักครื้นเครงดังตามสายลมมาเป็นระยะ สอดแทรกเสียงบางซึ่งกฤติกาไม่น่าจะได้ยินด้วยซ้ำ แต่เมื่อมันแตะที่ช่องหูของเธอแล้ว มันกลับดังก้องสะท้อนในช่องหูจนไม่อาจสลัดออกไปได้
แต่...เอาไงดีละ ถ้าจะให้ทำอย่างที่ได้ยินเมื่อครู่ “ที่รักขา...อุ๊ย อย่าทำอย่างนี้สิคะ อื้อ...ไม่เอาคะ อย่าจับตรงนั้นสิคะ ฉัน...” ก่อนตามติดมาด้วยเสียงของฝ่ายชายที่เธอฟังไม่ถนัดหรอกว่าพูดอะไร เพราะมันช่างเบาหวิวซะเหลือเกิน แต่ที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามีไฟร้อนผ่าววิ่งไหลวนจากไหนก็ไม่รู้ มารวมตัวกันที่พวงแก้มนุ่มกับเสียงที่ดังตามติดมาต่างหากล่ะ เสียงที่บ่งบอกว่าเธอคนนั้นกำลังลอยละล่องไปบนท้องนภากว้าง ที่ทำให้มีคำถามผุดเข้ามา เธอจะกล้าทำอย่างนั้นได้หรือ
“ถ้าเธอผิดคำพูดล่ะ จะให้ฉันทำยังไง”
“แหม...คุณจะกลัวอะไร ฉันก็แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่เปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมือ จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด ยังไงฉันก็สู้แรงผู้ชายตัวใหญ่หุ่นล่ำอย่างคุณไม่ได้หรอกค่ะ”
‘ใจกล้า ๆ หน่อยสิยายลูกไก่ ถ้าแกทำได้ รอดนะโว้ย’ กฤติกาพยายามเรียกความกล้าในกายออกมา แต่มันช่างยากเย็นเสียเหลือเกิน
“ใครจะไปรู้ละ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างกับลูกไก่ อาจเป็นพวกลูกไก่สารพัดพิษ ที่ไม่ถึงที่สุดก็ไม่ยอมคายความลับน่ะ” ผู้ชายว่าร้ายแล้ว แต่ผู้หญิงทั้งร้ายและน่ากลัวที่สุด เขาบอกว่าจิตใจผู้หญิงยากแท้หยั่งถึง เห็นเธอหงิมๆ บอบบางอย่างนี้ สามารถฆ่าผู้ชายได้ทั้งที่ใบหน้ายังยิ้มแย้มอยู่ก็เป็นไปได้ ดังนั้น...ไม่ควรเชื่อใจใครยกเว้นตัวเอง
“แหม...คุณนี่ คิดไปได้ยังไงกัน อย่างฉันนี่หรือคะ จะกล้าทำอย่างที่คุณว่า ฉันน่ะกลัวคุณจนตัวสั่นแล้ว ต้องอ้อนวอนคุณเสียด้วยซ้ำ อย่าทำอะไรฉันเลย ฉันขอร้องนะคะ...” ท้ายสุดกฤติกาทอดเสียงหวานนุ่ม ทำใจหาญกล้าลากไล้นิ้วเย็นยะเยือกราวกับมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่บนอกกว้างเบา ๆ เมื่อเห็นคนตัวใหญ่ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้าน หัวใจที่เต้นอ่อนไหวหวาดหวั่นเกิดความฮึกเหิมขึ้นมา...เล็กน้อย!
“ไม่คิดว่าคนปากเสียอย่างเธอก็ปากหวานเป็นด้วย แถมหวานใช่เล่นเสียด้วยสิ แต่แปลกที่ฉันดันไม่เชื่อ” ก็เขาเคยเจอในลุกที่เธอนั้นจำแลงแปลงกายเป็นนางยักษ์ขมูขีมาแล้วนี่น่า มาทำปากหวานแสบไส้อย่างนี้ เชื่อเถอะ ได้เป็นอันลงมือทำอะไรที่เขาคาดไม่ถึงแน่นอน
“กลัวความหวานเคลือบยาพิษ กินแล้วติดคอตายก่อนได้ขึ้นสวรรค์”
‘โอ๊ย!! จะฉลาดมากไปแล้วนะ เออ...แล้วไงยะ เดี๋ยวฉันจะทำให้ผู้ชายหน้าไม่อาย ชอบรังแกผู้หญิงอย่างนายน่ะ รู้ไว้ว่า อย่าแหยมมายุ่งกับผู้หญิงเล็กพริกขี้หนูอย่างเธอ’ กฤติกากัดฟันกรอด ๆ อยากมีอะไรอยู่ในมือ จะได้ฟาดเปรี้ยงไปบนหัวคนตัวใหญ่ให้เบะออก เลือดไหลเหมือนกับแตงโมงที่ผลัดตกลงบนถนนเสียจริง
“แหม...ผู้ชายตัวใหญ่อย่างคุณนี่น่ะหรือคะ จะกลัวผู้หญิงตัวเท่ามด (คันไฟ) อย่างฉัน รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่นนะคะ” ฉวยโอกาสตอนที่อีกฝ่ายติดพันอยู่กับการต่อปากต่อคำด้วย ยอมเสี่ยงกับอารมณ์แปลกๆ ที่ไม่เคยรู้จัก บดเบียดกายอรชรกับกายแกร่ง เพื่อทำให้เท้าถึงพื้นดินให้จงได้ แต่เหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันหรือเปล่า เพราะเธอได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเต็มชัด ๆ ก้องทั้งสองหูเลย
“คิดจะทำอะไร ไม่กลัวโดนฉันปล้ำบนพื้นทรายหรือไง เอ๊ะ...หรือเธอติดใจ อยากลองสักครั้ง” ยอมคลายร่างอรชรจนสองเท้าบอบบางเหยียบพื้นทราย “ได้สิ จะเอารสชาติแบบไหนล่ะ ดุเด็ดเผ็ดมัน หรือวาบหวามซาบซ่านตรึงใจดี” จูบไซ้คลอเคลียบนแก้มนุ่มเรื่อยลงไปขบกัดซอกคอระหง ฝ่ามือร้อนผ่าวลูบไล้บัวตูมเต่งตึงอย่างหนักหน่วงจนคนตัวเล็กสั่นสะท้านไหว“ปะ...เปล่านะ แค่ฉัน...ฉันอึดอัด หายใจไม่ออกก็เท่านั้น” ตอบกลับเสียงอ่อยและตะกุกตะกัก ด้วยวาบหวามปั่นป่วน เมื่อคนตัวใหญ่ลูบไล้ฝ่ามือคลึงเคล้นไปทั่วร่าง เน้นหนักที่อกอิ่มนุ่มนิ่ม จนสมองหมุนเร็วจี๋ราวกับล้อรถที่วิ่งลิ่วไปอย่างไร้เบรก เพื่อพาตัวเองให้รอดพ้นจากสถานการณ์อันตรายนี้ให้จงได้ เริ่มสะดุดบางทีก็ขาดตอนไปเสียเฉย ๆ คล้ายแผ่นเสียงตกร่อง“งั้นเธอก็ตอบมา...ทำงานให้ใคร” ปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อนานเกินไปแล้ว สมควรแก่เวลาเชือด...ไก่!อยากรู้ว่าเธอทำงานให้ใครงั้นหรือ อืม...เอาใครดี ฟันซี่เล็กขบกัดกลีบปากจนเจ็บ แต่นึกไม่ออกว่าจะอ้างชื่อใคร ที่มีน้ำหนักทำให้คนตรงหน้าเชื่อได้“ว่าไง” ถามซ้ำ รวบสองมือเล็กที่ทำเหมือนจะลูบไล้กายเขา ทว่าแม่ตัวเล็กกลับกดปลายเล็บลากจนเขาสะดุ้งอยู่บ่อยครั
“เฮ้ย!! อย่าบอกนะยายลูกเจี๊ยบ แกไปถูกใครจับปล้ำมาน่ะ”คำที่เพื่อนเอ่ยถาม เหมือนมีดปลายแหลมมาสะกิดต่อมความรู้สึก ที่เธอพยายามจะจับใส่กล่องลั่นกุญแจและโยนเจ้าลูกกุญแจทิ้งไป ก่อนฝังกลบให้อยู่ในซอกส่วนลึกสุด ๆ ในที่ซึ่งจะไม่มีอะไรหรือใครไปควานหามาได้ แรงกดดันมาจากไหนไม่รู้โอบล้อมรอบเรือนกาย อึดอัดจนหายใจไม่ออกเอาเสียเลย“แกจะบ้าหรือไงไอ้ผิวหมึก ถามอะไรบ้า ๆ อย่างนี้ ฉันเป็นลูกผู้หญิง มีพ่อมีแม่นะโว้ย จะไปทำอย่างที่แกว่าได้ยังไง” ตวาดแว้ดใส่คนถามเสียงขุ่นเขียวกลบเกลื่อนเรื่องที่ถูกถาม แล้วยังตวัดค้อนคม ๆ ส่งให้ ก่อนปรามซ้ำด้วยสายตาแข็งกร้าวอีกตลบ“อ้าว...” แสงกล้าทำหน้าเหรอ “ใครมันจะไปรู้ล่ะ ก็เห็นที่คอแกมีรอยแดงเป็นจ้ำ ๆ อย่างกับถูกใครประทับจูบแสดงความเป็นเจ้าของมา” สายตาจับจ้องมองอย่างพินิจพิจารณา ก็ได้เห็นถึงความผิดปรกติจากคนตัวเล็กที่ดูหลุกหลิกลุกลนราวกับไปทำอะไรผิดมาอย่างนั้นแหละยิ่งถูกถามก็ยิ่งเข้าตัว “แกมาทำไม ไม่ทำงานหรือไง” กฤติการีบหาทางพาออกนอกเรื่อง“กฤติกา!”“อะไร...เรียกทำไม” ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ผุดลุกเดินไปที่ตู้เหล็กสามชั้นที่ภายในบรรจุเอกสารเกี่ยวกับร้านและรายละเอียดของการ
ถ้าให้นั่ง ๆ นอน ๆ รอฟังข่าวจากเดโก้และมาริโอ้อยู่ในห้องพัก เขาคงเป็นบ้าแน่ ๆ เลยเลือกที่จะเดินออกมาสูดอากาศอันสดชื่นแจ่มใสด้านนอก แต่ดูเหมือนภายนอกจะทำให้เขาร้อนรนยิ่งกว่าเดิม เดินไปมาก็หลายรอบรอบ สอดส่ายสายตาไปทั่วทุกหนแห่ง ควานหาแม่ตัวแสบ ที่ครานี้ไม่มีเหตุบังเอิญให้เขาได้เจอเธออย่างใจหวังดังเช่นเมื่อคืนเลย กระโดดน้ำทะเลก็หลายรอบแล้ว แต่ยังทำให้ใจที่ร้อนรุ่มอยู่เย็นลงได้เลย จนตอนนี้มานอนอยู่บนเก้าอี้ริมหาดสีส้มสดแล้วก็เหมือนกับเขานั่งอยู่บนกองเพลิงไฟเสียมากกว่าลมทะเลพัดโบกจนต้นตีนเป็ดน้ำ โพธิ์ทะเลและมะพร้าวความสูงลดหลั่น ขึ้นเป็นทิวแถวไหวสะบัด ท้องฟ้าสีฟ้าครามและปุยเมฆสีขาวเป็นกลุ่มก้อนหลากหลายรูปแบบแล้วแต่คนมองจะจินตนาการ ทาบตัดกับน้ำทะเลสีเขียวใสราวกับมรกต แสงตะวันถักทอล้อเล่นบนผืนน้ำเกิดเป็นประกายระยิบระยับไม่ได้ทำให้ใจสดชื่นรื่นเริงขึ้นมาได้เลยกรามหนาขบกัดจนแก้มตอบนูนขึ้นสัน นัยน์ตาคมเข้มสีเทาอมเขียวขี้ม้ากวาดมองไปทั่วหาดที่มีผู้คนมาเล่นน้ำเพียงแค่หยิบมืออย่างหงุดหงิด เขาสั่งให้ลูกน้องทั้งสองคนที่มาด้วย ตามหาแม่ตัวแสบให้พบโดยเร็วไว พร้อมตามข่าวเรื่องการนัดพบซื้อขายข้อมูล แต่ต
เพราะรู้ว่าคนตัวเล็กนั้นฤทธิ์เดชมากเพียงใด ครานี้ชายหนุ่มเลยไม่ประมาท แหวกว่ายทาบหลังและสอดแขนแกร่งข้างหนึ่งรัดรอบกายอรชร ทาบมืออีกข้างปิดปากอิ่มนุ่มไม่ให้เธอร้องเรียกหนุ่มผิวหมึกให้มาช่วย “ไม่คิดว่าจะเจอกันในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้เลยนะแม่ตัวแสบ” อันเจโล่เอ่ยเสียงทุ้มพร่า พลางแนบปากบนต้นคอนวลเนียน "ฉันนอนคิดถึงรสปากหวานของเธอแทบทั้งคืนเลย เธอล่ะคิดถึงฉันไหม”ถึงไม่เห็นหน้าเพราะถูกจับจากด้านหลัง แต่สัมผัสจาบจ้วงและคำพูดหยาบคายระคนหื่นกระหายอย่างนี้...เธอจำได้ติดหูเลยเชียวหละ ไอ้...ไอ้คิงคองยักษ์ ไอ้ผู้ชายบ้าที่ขู่จะปล้ำ แล้วยังกระทำการอุกอาจหยาบโลนกับเธอเมื่อคืนด้วยอย่างนี้เขาไม่ได้เรียกว่าดวงไม่ดีแล้วล่ะ แต่เรียกว่าดวงซวยแบบโคตร ๆ ซวยเลยต่างหาก เป็นบ้าอะไร ทำไมถึงได้หนีอีตายักษ์เลวนี่ไม่พ้นเสียที ดูสิแค่ได้ยินเสียงเท่านั้น สัมผัสที่เธอพยายามจับมัดใส่กล่องแล้วปิดฝาปิดผนึก โยนลูกกุญแจทิ้งไปก่อนฝังกลบลงไปในดิน กลับเปิดอ้าโดยไม่ต้องใช้ลูกกุญแจด้วย มันจะบ้าเกินไปแล้ว‘ไม่...เลิกคิด ๆ นะยายลูกไก่ เลิกคิดถึงเรื่องบ้า ๆ นั่นได้แล้ว’ถึงตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น นัยน์ตากลมโตเบิกกว้าง ทว่าเมื่
“อยากให้ฉันทำอย่างนี้กับเธอใช่ไหมตัวเล็ก” ปากหนาร้อนทาบเคลื่อนไปทั่วใบหน้านุ่มนิ่ม ซบซุกกับลำคอระหงขบเม้มผิวเนื้อขาวเนียนเบา ๆ พอให้เป็นรอยเหมือนโดนใครจูบมาเพื่อตีตราจอง ลูบไล้ฝ่ามือไปตามลำแขนกลมกลึง ค่อย ๆ จับลำแขนเสลาให้โอบรัดรอบลำคอแกร่ง เพื่อที่เขาจะได้ไล้ลูบจับต้องกายนุ่มนิ่มอย่างถนัดถนี่‘อือ...ไม่รู้ อย่ามาถามได้ไหม’ กฤติกาซึ่งหลงอยู่กับรสชาติของจุมพิตหวานระคนร้อนที่เหมือนจะสูบเอาเรี่ยวแรงที่มีออกไปจากกายทีละน้อย จิกเล็บบนต้นคอแกร่งระบายความรู้สึกวาบหวามซ่านเสียวที่ไหลพลุ่งพล่านอยู่ในท้องน้อยริมฝีปากอุ่นร้อนขบเคลื่อนมาประกบบนเรียวปากนุ่มอีกครั้ง เมื่อคนตัวเล็กนอกจากไม่ขัดขืนแล้วยังให้ความร่วมมือด้วย ทำให้เขาขบกัดบดคลึงเน้นน้ำหนักลงไปพร้อมเปิดแยกสอดแทรกปลายลิ้นอุ่นชื้นซอกซอนเข้าไปตวัดไล้เที่ยวท่องทั่วโพรงปากนุ่ม กวาดไล้ซึมซับดื่มด่ำกับน้ำผึ้งหวานฉ่ำนุ่มอย่างปลื้มเปรมฝ่ามือใหญ่ลากไล้เรื่อยไปตามลำตัวกลมกลึง ค่อย ๆ สอดเข้าไปครอบครองปทุมถันอวบอิ่ม ส่งแรงฟอนเฟ้นหนักสลับเบา ตั้งแต่ฐานรากจนถึงปลายยอดเม็ดบัวที่ชูช่อไหวระริกสู้มือเสียงครางผะแผ่วไม่รู้จากคนใดดังมาเป็นระรอก กลีบปากอิ่มน
อันเจโล่ดันกายอรชรให้ถอยห่าง ก่อนจับชายเสื้อยืดขึ้นและดึงออกจากสองแขนกลมกลึง แต่ยังคงให้เสื้อนั้นค้างอยู่บนลำคอระหง เพราะถ้าหากปล่อยทิ้งไป มีหวังมันลอยห่างไปจนตามหาไม่เจอ แล้วทีนี้คนตัวเล็กก็จะต้องเดินแทบจะเปลือยเปล่าอวดเรือนร่างอรชรให้คนอื่นได้เห็น แค่คิดเท่านั้นคลื่นแห่งความไม่พอใจก็ถามโถมมาอย่างเร็วไวอื้อหื้อ...อันเจโล่ถึงกับร้องครางเสียงอู้ในลำคอ ปทุมถันกลมกลึงชูช่อราวดอกไม้ผลิบานอยู่ในมีกรวยสีหวานลอยอิ่มปริ่มน้ำ ผ้าลูกไม้บางเบาแนบไปกับผิวเนื้อนวลเนียน ขับเน้นให้เห็นความงดงามจนไฟในกายหนุ่มถึงกับลุกโชนถึงไม่ได้เปลือยเปล่า อาบน้ำห่มฟ้า แต่ก็เกือบเปลือยอยู่ดีนั่นแหละ กฤติกาอายจนพวงแก้มแดงปลั่งเรื่อยลงไปถึงลำคอ อยากยกมือปกปิดทรวง แต่เพราะสายตาคมเข้มตรึงไว้จนเธอเคลื่อนไหวไม่ได้ จำต้องปล่อยให้พ่อคนตัวใหญ่จ้องเรือนกายราวกับจะทะลุไปถึงเนื้อใน“สวยมาก...” อันเจโล่พูดออกไปพร้อมเสียงคราง ตวัดไล่สายตาเรื่อยลงไป หน้าท้องแบนราบเรียบไร้ไขมันส่วนเกิน รับกับเอวคอดกิ่วและสะโพกอวบอัด ก่อนไล่กลับขึ้นมามองทรวงอกอิ่มอย่างไม่คลาดสายตา ขนาดของมันใหญ่กว่าที่เห็นภายนอกมาก แต่ก็รับกับเอวเล็กคอด สำคัญที่สุ
“ลูกไก่...ลูกไก่อยู่ไหน...ยายลูกเจี๊ยบโว้ย!!”มีเสียงบางอย่างดังลอยละลิ่วมากับกระแสลม ทำให้คนตัวเล็กที่พลัดตกลงไปในหลุมเสน่หาจนไกลเกือบกู่ไม่แล้ว กลับฟื้นคืนสติขึ้นมาได้เล็กน้อย สอดแทรกมาด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีและ...ความอายที่แผ่ซ่านขึ้นราวกับไฟที่ได้รับเชื้อเพลิงชั้นดีแม้พายุจะพัดพาเอาความสยิวซ่านเสียวโหมกระหน่ำมาไม่ขาดสาย กฤติกากัดฟันข่มกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถ บอกกับใจว่าเธอจะต้องไม่ยอมพ่ายแพ้แก่เพลิงอารมณ์และคนตัวใหญ่ ซึ่งกระทำหยามเกียรติเธออยู่ ลำแขนเสลาและสองขาเรียวยาวให้เคลื่อนออกจากกายหนาอย่างสุดความสามารถ เมื่อเป็นอิสระได้ก็รีบยกมือขึ้น ฝาดหมัดลุ่น ๆ ไปบนกกหูคนตัวใหญ่ที่ยังคงสำเริงสำราญลุ่มหลงอยู่ในรสเสน่หาจนลืมระวังตัวอันเจโล่แผดเสียงคำราม เมื่อถูกผลักให้พลัดตกลงมาจากหน้าผาสูงลิ่ว กว่าจะฟื้นคืนสติที่มึนงงเพราะฤทธิ์มัดน้อยๆ แม่ตัวแสบก็ว่ายน้ำหนีไปไกลแล้ว ชายหนุ่มไม่เชื่อว่าเขาจะตามจับยายตัวร้ายไม่ได้ แล้วคราวนี้ก็เตรียมตัวเอาไว้เลย จะทั้งพิษและรีดเอาความจริงจากปากอิ่มให้ห้องนอนเร่าร้อนด้วยเพลิงพิศวาสตลอดเท่าที่ต้องการกฤติการู้เพียงแค่วินาทีนี้เธอต้องรีบหนีให้เร็วที
“อ้าว...ตกลงว่ายังไงกันคุณ” คนที่เหมือนจะเข้ามาเป็นตัวแทรกกลางระหว่างสองคนเอ่ยถาม มองสาวในอ้อมแขนสลับกับคนตัวใหญ่ที่เขาเป็นผู้ชายด้วยกันมองออกแหละว่าไม่พอใจอย่างหนัก วงหน้าถึงได้ถมึงทึง นัยน์ตาฉายแววดุร้ายกราดเกรี้ยวใส่เขาถึงเพียงนี้“โธ่...ลูกไก่ ฉันขอโทษแล้วไง อย่างอนสิ” ทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้า ส่งยิ้มหวานๆ ละลายหัวใจคนตัวเล็กอีกรอบ “นะ...กลับห้องเรากันเถอะนะ”คำพูดที่ได้ยิน ทำเอาเอากฤติกาถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้ว่าจะเอาคืนคนตัวใหญ่ยังไง... แต่แล้วกลีบปากอิ่มนุ่มก็คลี่ยิ้มเมื่อคิดได้ “ฉันไม่ได้โกรธ ไม่ได้งอน แล้วก็ไม่ได้เป็นแฟนคุณด้วย ถ้าใช่...ฉันก็ต้องรู้จักกำพืด เถือกเถาเหล่าก่อคุณสิ นี่ชื่อคุณฉันยังไม่รู้จกเลย แล้วจะเป็นแฟนกันได้ไง” สวนกลับอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า เชิดหน้าขึ้นสูงอย่างไม่กลัวคอจะหักอันเจโล่แสร้งส่ายหน้าอย่างระอิดระอา “ต่อให้ฉันบอกไปกี่ครั้งๆ เธอก็ยังจำไม่ได้หรอกลูกไก่ เพราะตอนที่ฉันบอกไปนะเรากำลัง...”“หยุด!!” กฤติกายกมือชี้หน้าคนตัวใหญ่ อย่างรู้ตัวว่าตัวเองเสียท่าให้อีตาคิงคองจอมเจ้าเล่ห์เข้าให้แล้ว แต่ชิ...นึกว่าจะยอมแพ้ง่าย ๆ หรือไง ไม่มีทางเสียล่ะ“อ้าว...ทำไมล่ะ”
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ใคร...มันเป็นใครกล้ามาอยู่ห้องลูกไก่” คิ้วเข้มขมวดมุ่นเข้าหากัน “ทำอย่างนี้ได้ยังไงลูกไก่ ไหนสัญญาแล้วไง เธอจะรอฉันน่ะ” ชายหนุ่มแสร้งถามทั้งที่ก็รู้ดีว่าไม่มีผู้ชายคนไหนเข้าใกล้แม่ลูกไก่น้อยของเขาได้ในระยะห้าเมตร ด้วยเขามีผู้ช่วยมือดีคอยดูแลให้อยู่ ซึ่งถ้าหากเธอรู้ละก็...มีหวังคนส่งข่าวคงกลายเป็นกระสอบทรายไม่แพ้เขานัยน์ตาเข้าสีเทาปนเขียวขี้ม้าเป็นประกายแพรวพราวระยับอย่างน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง “เป็นใครแล้วคุณยุ่งอะไรด้วยละ ไม่ได้เป็นอะไรกับฉันสักหน่อย” ตอบกลับอย่างยียวน คอยจับตามองคนตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยพิรุธมากมาย “อีกอย่างถ้าฉันแต่งงานมีสามีเป็นตัวเป็นตน มันผิดแปลกตรงไหน คนมันสวยนี่น่า” หญิงสาวเอ่ยพร้อมเชิดหน้าขึ้นสูงอันเจโล่เกือบจะกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่ไหว นี่คงไม่รู้สิน่าว่าเขารู้การเคลื่อนไหวของเธอตลอดเวลานะ “ไม่จริง ก็ไหน...” แสร้งเอ่ยถามอย่างร้อนรน แต่กลับหลุดบางอย่างออกไปจนคนตัวเล็กจับพิรุธมองมาอย่างจ้องจับผิด“ไหนอะไร” กฤติกายกมือเท้าสะเอว จ้องเข้าไปในดวงตาซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ไม่มิด “บอกมานะ ไม่งั้นลูกไก่โกรธจริง ๆ ด้วย” เธอพยายามขู่เสียงเข้มให้อีกฝ่ายกลัว ทว่าแปลกยิ่งนักที่อั
“ยิ้มนะลูกไก่ ให้กำลังใจฉันไปทำหน้าที่ของตัวเอง เอาชนะพวกมารและจะได้รีบกลับมาหาเธอ” บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าเขาตั้งใจเอ่ยคำนี้หรือเปล่า แต่เอ่ยออกไปแล้วก็ไม่ได้เสียใจ เมื่อเห็นรอยยิ้มดีใจของแม่เนื้อนุ่มหวาน“คุณเจ” หัวใจถึงกับโป่งพองราวลูกโป่งอัดแก๊ส จนลอยลิ่วไปบนฟากฟ้าสีครามสดใส ก่อนดวงหน้าผ่องพรรณจะหมองหม่นลงเมื่อเสียงประกาศเตือนดังมาอีกครั้ง ที่ทำให้เธอตัดสินใจทำอย่างแสงกล้าพูด...เอ่ยบอกเขาให้รู้ความจริงในใจ ดีกว่าเก็บเอาไว้ในอกพร้อมความเจ็บช้ำ ได้บอกรักแม้ต้องผิดหวัง ยังดีกว่าไม่ได้บอกให้เขารู้กฤติกาจับมือใหญ่ มองเข้าไปในแววตาเข้ม “ลูกไก่มาเพราะมีเรื่องสำคัญอยากบอกคุณเจค่ะ...” สูดลมหายใจเข้าปอด รวมรวมความกล้า“ลูกไก่...รักคุณเจค่ะ” กฤติกาเอ่ยเสียงเข้มและหนักแน่นอันเจโล่เต็มตื้นกับคำรักที่ได้ยินจนหัวใจคล้ายลูกโป่งที่ถูกสูบแก็สอัดไปจนเต็มลอยพุ่งขึ้นบนฟากฟ้าในทันควัน “ลูกไก่!” สมควรเป็นเขาที่ต้องเอ่ยบอกคำนี้ออกไปก่อน แต่นี่คนตัวเล็กกลับ...เขายอมแพ้ใจเธอจริงๆ แขนกำยำสอดรวบกอดร่างเล็กแนบอก“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี คงมีแค่คำนี้...ขอบใจนะลูกไก่ที่รักคนนิสัยไม่ดีอย่างฉัน” คำเล็ก ๆ ที่มีอาน
อันเจโล่ผ่อนลมหายใจออกจากปอดแผ่วเบา แม้อยากยืดเวลาออกไปแม้แค่เสียววินาที เพื่อให้ตัวเองได้เฝ้ารอด้วยความหวังอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็จำต้องยอมรับความจริง กฤติกาไม่มาร่างหนาผุดลุกจากเก้าอี้ที่นั่งด้วยเท้าที่หนักอึ้งจนแทบเดินต่อไม่ไหว ในหัวใจราวกับถูกเศษแก้วแตกที่ฝังอยู่ในก้อนเนื้อบาดเฉือนทุกการหายใจ เหมือนโลกที่ยืนอยู่แปรปรวน แผ่นดินไหวโยกทำให้เขายืนทรงตัวไม่อยู่ จนต้องเฝ้าถามย้ำกับตัวเองอีกครั้ง เป็นอะไรไป?“นายครับ”“มีอะไร”“จะเปลี่ยนใจก็ยังทันนะครับ” กลับไปคราวนี้ศึกหนักหนาสาหัสรอนายอยู่ แล้วก็ไม่รู้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ถึงสามารถเคลียร์เรื่องราวให้มันจบลงไปด้วยดี เขาอยากให้นายได้มีเวลาอยู่กับกฤติกาอีกหน่อย ได้เก็บช่วงเวลานี้ไว้เป็นกำลังใจยามที่ต้องต่อสู้กับเรื่องร้าย“ฉันไม่เป็นไร” อาการเขาคงหนักมากจริงๆ แม้กระทั่งลูกน้องยังสังเกตเห็นได้“จะให้คุณ...”“อย่าเลย” รู้ว่าเดโก้จะเสนออะไร เขาเองก็เคยคิดแวบ ๆ แต่คิดแล้วคิดอีกหลายตลบอยู่ ส่วนหนึ่งก็เพื่อความปลอดภัยของกฤติกา แต่อีกส่วนก็มาจากตัวเองที่ดันปากหนักเองช่วยไม่ได้ ถ้าเอ่ยปากชวนแม่เนื้อนุ่มไปด้วยนะ ป่านนี้ก็มีเธอข้างกายเรียบร้
“ลูกไก่” เอ่ยเรียกเสียงแหบพร่า ฝ่ามือหนาไล้ลูบอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน ริมฝีปากร้อนผ่าวทาบทับจุมพิตไต่เลื่อนเคลื่อนไปบนผิวกายเนียนนุ่มลื่นราวกับแพรไหมอย่างเชื่องช้า“ขา...” กฤติกาขานรับ เพียงแค่มองสบนัยน์ตากับอีกฝ่ายก็รู้แล้วว่าเขาต้องการสิ่งใด ไม่จำเป็นต้องเอ่ยด้วยคำพูดอีกแล้ว... “เมื่อไหร่คะคุณเจ” เธออยากรู้ มีเวลานานเท่าไหร่ในอ้อมแขนแกร่งนี้“พรุ่งนี้” ตอบกลับเสียงพร่าแหบราวกับในอกถูกก้อนหินไร้น้ำหนักกดทับอยู่“เร็วจังเลยนะคะ” เปรยเสียงแหบแห้ง อยากขอเขาว่าอย่างเพิ่งไปได้ไหม อยู่กับเธออีกสักวันได้ไหม แต่กฤติกาก็พูดไม่ออก ด้วยรู้ถึงความอึดอัดใจของอีกฝ่าย คงทำได้แค่...ใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีค่าที่สุด เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำในวันต้องจากร้างห่างลากัน“ฉัน...” ถ้าเธอพูดอะไรนอกจากนี้สักคำ เขาคงรู้สึกดีกว่าการได้รับรอยยิ้มแห้งๆ นัยน์ตาหวานเศร้าอมโศกอย่างนี้นิ้วยาวเล็กยื่นไปทาบบนปากหนา “ไม่เป็นไรค่ะ ลูกไก่รู้ว่าคุณเจจำเป็น แค่...คืนนี้ เรา...” ปวดร้าวไปหมดทั้งทรวงจนพูดไม่ออก“ฉันรู้...คืนนี้ จนถึงเวลานั้น” ไม่อยากพูดถึงเวลาจำต้องลาจาก “เราจะมีกันและกันใช่ไหมลูกไก่”“ค่ะ...เราจะมีกันและกัน” กฤติกา
“ว่าไงอันเจโล่ จะบอก หรือจะให้ลูกไก่เจ็บมากกว่านี้”“อย่านะคุณเจ อย่า...‘บอก’” กลายเป็นเสียงกรีดร้องแทน เมื่อบาดแผลถูกกดเปิดออกจนเลือดไหลซึมออกมา“ลูกไก่!” กัดฟันกรอด อยากลุกขึ้นไปช่วยแม่หวานใจจนตัวสั่น แต่เพราะถูกจับเอาไว้เลยต้องทนเห็นแม่เนื้อนุ่มร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด จะไม่สัญญาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่มีโอกาสพาตัวเองหลุดรอดไปเมื่อไหร่ ริวาโก้ต้องรับผิดชอบในความเจ็บของลูกไก่น้อย แน่นอน!“ว่าไงอันเจโล่ หรือจะให้ฉัน...” ไม่ได้ยินดีกับความเจ็บปวดของใคร แต่มันจำเป็น“ได้” กัดฟันกรอดขณะตอบอีกฝ่าย “ฉันยอมบอก แต่แกห้ามทำร้ายลูกไก่”“ไม่นะคุณเจ! ยะ...อย่า...” กฤติการ้องห้ามก่อนเสียงจะขาดหายไป ด้วยเจ็บและหน้ามืด พ่วงด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งร่าง แต่กลับรู้สึกเหมือนมีเหงื่อผุดไหลข้างขมับและแผ่นหลัง“อย่าคิดตุกติกนะอันเจโล่ แกทำเมื่อไหร่ เตรียมตัวเห็นลูกไก่กลายเป็นคนที่มีร่างที่ไร้วิญญาณแน่นอน” ไม่ได้ขู่แม้แต่นิดเดียว เอาจริงทุกคำพูดด้วย เขายอมทำทุกอย่างทุกทางเพื่อให้อันเจโล่และครอบครัวประสบกับความหายนะ แก้แค้นให้กับตัวเองและทุกๆ คนที่ถูกกระทำจากครอบครัวนี้ให้สาสม!อันเจโล่มองดวงหน้าผุดผาดขาวซีด
อันเจโล่หน้าตึง ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ บิดามีเบื้องลึกเบื้องหลังอันไม่ดี แต่ไม่ว่าจะยังไง ท่านก็คือบิดาผู้ให้กำเนิด “พ่อฉันไปทำอะไรแก อย่าพูดใส่ความคนอื่นลอย ๆ ถ้าหากไม่มีหลักฐาน” พ่อเขาคงไม่ได้ไปฆ่าไปแกพ่อแม่หรือผู้มีพระคุณของอีกฝ่าย ให้ต้องตามมาจองล้างจองพลาญตอนโต อย่างกับนิยายน้ำเน่าหรอกนะฮึ...ริวาโก้ปาดเหงื่อบนหน้า หันไปยิ้มหยันใส่พ่อลูกชายสุดแสนเลิศประเสริฐศรี ที่ถึงตอนนี้ยังให้ความรักและเคารพไอ้พ่อเลว ๆ ที่ทำร้ายลูกตัวเองลับหลังได้ลงคอ อยากรู้นักถ้าได้รู้ความจริง คู่ควงของตัวเองลับหลังถูกคนเป็นพ่อลากเข้าห้อง ปู้ยี้ปู้ยำไปไม่รู้สักกี่คนต่อกี่คน อันเจโล่รับได้หรือเปล่าชายหนุ่มพาร่างเพรียวเดินคล้ายคนเมา ทรงตัวไม่ได้ไปหยุดและค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งเบื้องหน้าอันเจโล่ นิ้วยาวไล้บนแก้มตอบเรื่อยลงมาถึงคางบึกบึน ก่อนลากเลยไปถึงจอนหูอีกฝั่ง โน้มใบหน้าไปแนบกับหู หลับตา ซึมซับเอาความอับอายและเจ็บปวดจากการถูกผู้ชายวัยคราวพ่อสั่งให้ถูกน้องจับเอาตัวขึ้นรถ ลากเข้าโรงแรมแล้วทำอย่างกับว่าเขาเป็นผู้หญิงขายเรือนร่าง น้ำตาอุ่น ๆ เอ่อล้นคลอหน่วยตา“พ่อแกข่มขืนฉัน!”“แกเอาเรื่องบ้าบอเฮงซวยอะไรมาใส่ความพ่อฉ
“จะไปไหนลูกไก่ มานี่เลยยายตัวดี” ยื่นมือไปอย่างเร็วจนคว้าเอาเส้นผมหนานุ่มดึงกลับมาอย่างไม่ปรานีปราศรัย วงหน้าแดงปลั่งด้วยเพลิงโทสะ นัยน์ตาฉายแววเกรี้ยวกราดกฤติการ้องโอ๊ยดังลั่น สองมือจับผมบนศีรษะ ดวงหน้าผ่องพรรณเหยเกบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บจากแรงกระตุก พลางสาวก้าวเท้าถอยกลับไปด้านหลังอย่างเร็วรี่ เพราะถ้าขืนดันทุรังไป จะทำให้ตัวเองต้องเจ็บตัวมากขึ้น“ปล่อยฉันนะริวาโก้” กฤติกาพูดเมื่อทนไม่ไหว เจ็บจนน้ำตาแทบไหล เมื่อพูดไปแล้วริวาโก้กระตุกจนในหูได้ยินเสียงดังกราว ราวกับเส้นผมจะหลุดร่วงออกมาทั้งแผง“อย่าทำอะไรลูกไก่นะไอ้ริวาโก้”“ตัวมึงเอง มึงยังเอาไม่รอดเลย ยังจะมาห่วงคนอื่น” หัวเราะใส่หน้า พลางสอดมือมาจับกุมลำคอระหง “ถ้ากูจะหักคอสวย ๆ นี่ทิ้ง มึงจะทำอะไรกูหา...ไอ้อันเจโล่”“ไอ้เลว!” อันเจโล่ฮึดฮัด แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองก็ถูกคุมอยู่ จนแขนแทบจะหักออกเป็นสองท่อน “ถ้ากูหลุดไปได้ มึง...พลั่ก!!” พูดไม่ทันจบหมัดหนัก ๆ ก็สวนเข้ามาที่มุมปากเสียก่อน ชายหนุ่มเหลียวไปมองคนที่ทำให้เขาเจ็บด้วยนัยน์ตาดุร้ายราวกับเสือลำบาก ที่พร้อมสู้ไม่เหลียวหลังหนีอีกแล้ว“เอาตัวเองให้รอดก่อนดีกว่าไหมคุณอันเจโล่
“ลูกไก่ไม่เป็นอะไรค่ะ แต่คุณเจน่ะสิ รู้อยู่แล้วว่าคนพวกนั้นเขาต้องการอะไร ยังจะ...” ถ้าเธอไม่บ้าจนเพี้ยนฟังอะไรผิดพลาดไปจนจนกลายเป็นความสะเพร่า ปล่อยให้ตัวเองถูกจับเอาตัวมาเพื่อต่อรองกับอันเจโล่ละก็ ป่านนี้ชายหนุ่มจัดการพวกตัวร้ายพวกนี้จนหมอบราบคาบแก้วไปแล้วบ้าจริง...กลีบปากอิ่มนุ่มขบเม้มเข้าหากัน ก้มหน้าหมองเศร้าด้วยความรู้สึกผิด น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นคลอเบ้า เพราะเสียใจที่ตัวเองกลายเป็นต้นเหตุให้อันเจโล่ต้องเพลี่ยงพล้ำ แล้วยังกลายเป็นตัวภาระให้ชายหนุ่มต้องคอยกังวลในความปลอดภัยอีก“ร้องไห้ทำไมล่ะลูกไก่” อันเจโล่จับรั้งปลายคางมนให้แหงนขึ้นมองสบตาด้วย นิ้วยาวร้อยไกล่เกลี่ยกดซับหยดน้ำที่เอ่อล้นไหลซึมลงมาตามร่องแก้ม “หรือกลัวฉันเป็นอันตรายฮึ”“แต่ถ้าไม่มีลูกไก่สักคน คุณเจก็คงไม่...”อันเจโล่รีบยกมือปิดปากคนตัวเล็ก ศีรษะทุยสะบัดส่ายเบาๆ “ถึงไม่มีเธอ ริวาโก้ก็ต้องหาทางเล่นงานฉันจนได้นั่นแหละ เพียงแค่ประจวบเหมาะเล็กน้อยเท่านั้นเอง ไม่เป็นไรหรอกเรื่องขี้ปะติ๋ว ฉันรับมือได้สบายมาก” แม้จะกังวล ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีเอาเสียเลย หนทางหนีแทบปิดตาย ด้วยเมื่อมองไปรอบทิศทั่วทุกทางก็ล้วนแล้วแต่ท้อ