นางจึงให้กินยาบำรุงไป ส่วนคนอื่นก็เจ็บป่วยตามประสาโรคของผู้หญิงจึงมิกล้าเอ่ยปากพูดไป พอเห็นนางเป็นหญิงจึงแทบจะเรียกว่ารุมล้อม จากที่คิดจะเสร็จเร็วจึงใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด “อ้อ! ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งเจ้านะ” คณิกานางหนึ่งเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ เชิญตัวนางมารักษา ต้องมีคนไปส่งนางกลับ เหตุเพราะท่านหมอหญิงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจนัก ทว่ากลับมักจะหลงทิศหลงทางบ่อยๆ “อืม” นางได้แต่พยักหน้ารับ กำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ มือบางก็ถูกยื้อไว้แล้วกำไลหยกวงหนึ่งก็ถูกวางใส่ฝ่ามือของนาง “เห็นว่าเจ้าไม่รับเงิน เจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปแทนเถิด หากจำเป็นเจ้าจะขายหรือทำอย่างไรก็ย่อมได้” “ไม่เป็นไรเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงปฏิเสธแต่อีกฝ่ายยืนกรานนางจึงรับไว้ เสี่ยวเอ้อเดินมารับมู่ฟางเหนียง หญิงสาวกล่าวลาแล้วเดินออกมา ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องๆ หนึ่ง นางกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อเพ่งตามองผ่านช่องประตูกลับเห็นชายผู้นั้นชัดเจน เขานั่งดื่มสุราอย่างเมามาย “ท่านรองแม่ทัพ” มู่ฟางเหนียงร้องอย่างตกใจ นางรีบผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะร้องห้าม “นี่ๆ ใครให้เจ้าเข้ามา” คณิกานางหนึ่งโวยว
เด็กหญิงตัวน้อยเหวี่ยงตัวบนไปนั่งบนกิ่งไม้แล้วมองการเคลื่อนไหวด้านล่าง เสียงผู้คนวุ่นวายทำลายความรื่นรมย์ของเด็กหญิงวัยแปดขวบที่มีนามว่า ‘เคอหลิ่งหลิน’ หมดลง เด็กหญิงตัวเล็กแม้จะมอมแมมไปสักหน่อยแต่ก็มีเค้าโครงหน้างดงามเด็กน้อยจำใจต้องปล่อยเจ้ากวางน้อยที่วิ่งไล่จับเมื่อครู่แล้วทำตัวเป็นวานรปีนป่ายต้นไม้ขึ้นมาบนกิ่งสูงนี้เพียงเพื่อมองหาที่มาของเสียงดังน่ารำคาญ รูปร่างปราดเปรียวและซุกซนจนบิดาผู้เป็น ‘ขุนโจรแห่งหุบเขาชิงซาน’ ไม่มั่นใจว่าตนเองมีบุตรหญิงหรือชายกันแน่ หากนับความเฉลียวฉลาดในการเอาตัวรอดของนางและฝีมือด้านวรยุทธแล้วละก็ นางก็ได้ชื่อเป็นเป็นบุตรของ ‘เคอตงตง จอมโจรแห่งหุบเขาชิงซาน’ แล้ว ครู่ต่อมานางก็รู้ว่ามีลิงตัวใหญ่ยักษ์ห้อยโหนมานั่งบนกิ่งไม้เดียวกับนาง สายตาคมเกินเด็กหันไปจ้องมองแล้วยกนิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เงียบ เจ้าลิงยักษ์กลับทำท่าเลียนแบบนาง เด็กหญิงจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมาแล้วมันก็ยังทำตามเช่นเดิมดวงตากลมมองเห็นกลุ่มคนกำลังไล่ล่าบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง รูปร่างผอมบางราวสตรีแม้มีกระบี่ในมือแต่ดูเหมือนเขาจะแทบไร้เรี่ยวแรงที่จะยกมันขึ้นเพื่อป้องกันตัวเอง เค
อาชาสีน้ำตาลเข้มพุ่งทะยานไปดุจลูกธนูที่พุ่งออกจากเกาทัณฑ์ รวดเร็วพอที่จะเข้าขวางไม่ให้คนที่อยู่บนอาชาอีกตัวฟาดดาบลงทำร้ายคนอีกผู้หนึ่งได้สำเร็จ ดวงตาคมกริบตวัดมองอย่างยากจะคาดเดาอารมณ์ บังคับบังเหียนม้าด้วยมือเพียงข้างเดียวขณะที่ยกกระบี่จ่อที่ลำคอของอีกฝ่ายที่ล่วงรู้ความพ่ายแพ้ของตนแล้ว“จะฆ่าก็ฆ่าเลย ข้าไม่ต้องการความปราณีของพวกเจ้า!” คิ้วงามขมวดอย่างครุ่นคิดแต่สีหน้ายังเรียบนิ่ง หางตารับรู้การเคลื่อนไหวของคนบนหลังอาชาสีขาวงามสง่า มือใหญ่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทุกคนล่วงรู้ว่าหัวหน้าโจรป่าพ่ายแพ้ในการสู้รบครั้งนี้แล้ว“เจ้าตายก็มิได้อะไรขึ้นมา สู้รักษาชีวิตอยู่กับลูกเมียไม่ดีกว่าหรือ?” เป็นน้ำเสียงของ จ้าวจิ่นสือ บุรุษหนุ่มผู้นำทหารมาปราบเหล่าโจรป่าที่ดักซุ่มปล้นเสบียงของทางราชสำนักหลายครั้ง “พวกเจ้าหมายความเช่นใดกัน”“ความตายไม่ช่วยอะไร แต่กลับตัวกลับใจเป็นฝ่ายเดียวกับทางการ ชีวิตเจ้ายังจะมีประโยชน์เสียกว่า” คราวนี้เป็นน้ำเสียงของหญิงสาว ทำให้คนฟังตะลึงไป เพราะเจ้าของเสียงถือกระบี่จ่อที่คอของโจรป่า “เหอะ! ทางการนะเรอะ! ข้าไม่หลงเชื่อพวกเจ้าหรอก! เ
เคอหลิ่นหลิงใช้ชีวิตในป่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องเส้นทางในป่าและการแกะรอย บิดาของนางฝึกวรยุทธให้นาง มารดาของนางจากไปตั้งแต่นางไม่ถึงขวบและบิดาไม่แต่งภรรยาใหม่ บิดาจึงเลี้ยงดูนางเหมือนเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงเพียงเพราะให้นางดูแลตัวเองได้ยามเมื่อไร้เงาของบิดา เมื่อชายแดนสงบแม่ทัพจ้าวได้กลับมาอยู่จวนกับครอบครัว นางกับบิดาก็ติดตามกลับมาด้วย ฮูหยินอี้ซิ่วมีใจเมตตาต่อนาง ยิ่งรู้ว่านางเป็นกำพร้าต้องติดตามบิดาไปร่วมรบกับท่านแม่ทัพก็ยิ่งสงสาร ฮูหยินมีบุตรชายเพียงคนเดียวซึ่งเกิดปีเดียวกับนางแต่อ่อนเดือนกว่าชื่อจ้าวจิ่นสือ “ข้าอยากมีลูกสาวมานานแล้ว เจ้ามาเป็นลูกสาวของข้าได้ไหม หลิ่งหลิน” หญิงสาวจำได้ว่าตอนนั้นนางเอาแต่สั่นหน้าปฏิเสธจนผมยาวสะบัดไปมา การปฏิเสธครั้งนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง มีเพียงจ้าวจิ่นสือที่แสดงท่าทางไม่พอใจเหมือนเด็กที่กลัวถูกแย่งความรักจากพ่อแม่... ก็แน่ละ บิดาของเขาไปอยู่ชายแดนนานหลายเดือน เขาแทบไม่ได้เจอบิดาของตนเลย แต่นางกลับได้อยู่ใกล้บิดาของเขาซ้ำบิดายังฝึกเพลงกระบี่ให้อีกด้วยจะไม่เขาริษยาได้อย่างไรกัน หญิงสาวกลั้นหัวเราะ
จากชีวิตที่ไร้พี่น้องมาสิบสี่ปี มาบัดนี้นางมีน้องชายตัวโตแถมอายุห่างกันเพียงห้าเดือนเท่านั้น เช้าวันต่อมานางจึงได้อยู่จวนแม่ทัพในฐานะบุตรบุญธรรม แต่กระนั้นนางมักบอกผู้อื่นด้วยนามสกุลเดิมของบิดาเสมอ นางได้มีที่ซุกหัวนอนแถมยังเป็นที่นอนอุ่นๆ อาหารการกินไม่อดยากและยังได้ร่ำเรียนหนังสือด้วย ผิดก็ตรงที่นางไม่อาจเป็นกุลสตรีอย่างที่จ้าวฮูหยินคาดหวัง เพราะนางแก่นแก้วซุกซนนัก ให้นางฝึกกระบี่ยังก้าวหน้ากว่าเขียนภาพ เล่นดนตรี เดินหมาก หรือร่ายรำเสียอีก เคอหลิ่งหลินหัวเราะให้กับความคิดคำนึงของตัวเอง นางติดตามแม่ทัพจ้าวออกรบหลายครั้ง แม้นางเป็นเด็กแต่เรื่องพื้นที่การแกะรอยนั้นแม่นยำนัก รวมทั้งจ้าวจิ่นสือที่บิดาฝึกให้เรียนรู้กลศึกต่างๆ นางเองคอยติดตามเขาเสมือนเงาไปอย่างไม่รู้ตัว หญิงสาวมองดูผู้คนที่ทยอยเข้าไปในจวนแม่ทัพหมดแล้วก็ลงจากหลังม้า ส่งม้าให้เด็กรับใช้นำม้าไปเก็บแล้วเดินไปที่ห้องพักของตนเอง ชุนเอ๋อร์เห็นผู้เป็นนายกลับมาแล้วก็รีบเข้าไปช่วยปลดผ้าคลุมไหล่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินออก “คุณชายจิ่นสือให้บ่าวเตรียมน้ำอุ่นให้คุณหนู บ่าวชะเง้อมองจนคอแทบเคล
ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ มือใหญ่ของนักรบผู้กล้าใช้ตะเกียบคีบขาห่านส่งเข้าปากนาง ด้วยความหิวและความโกรธนางงับลงทันที กว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลเจ้าน้องชายเข้าให้ก็ตอนที่นางลิ้มรสนุ่มละมุ่นของห่านอบน้ำผึ้งในปากของนางเอง เคอหลิ่งหลินจำใจนั่งลงที่เดิมแล้วใช้มือหยิบจับอาหารเป็นปกติ โธ่! นางอุตส่าห์แอบฝึกมารยาทมาอย่างดี แต่ก็ต้องหลงกลน้องชายเผยนิสัยเดิมออกมาได้ ท่านแม่ทัพและฮูหยินหันมามองหน้ากันแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ความใฝ่ฝันของฮูหยินอี้ ซิ่วคือบุตรีน่ารักน่าเอ็นดู แม้รับเคอหลิ่งหลินมาเป็นบุตรบุญธรรม แต่นิสัยนางซุกซนเหมือนเด็กรวมทั้งกิริยามารยาทไม่ได้อ่อนหวานนัก ขัดกับใบหน้าที่ละมุนละไมของนางมาก “เอาเถิด แบบนี้ซิถึงจะดูเป็นครอบครัวเดียวกัน”แม่ทัพจ้าวโบกมือห้ามไม่ให้สองพี่น้องปะทะคารมกันอีกไม่ถือสานิสัยของเคอหลิ่งหลิน เพราะรู้ดีว่านางใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขามาตั้งแต่เด็กก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในกองทัพเช่นนี้ “ลำบากเจ้าดูแลจิ่นสือจริงๆ” ฮูหยินอี้ซิ่วมองหญิงสาวอย่างเอ็นดู เพราะเคอหลิ่งหลินค่อยติดตามสามีนางในสนามรบจนบัดนี้ก็มาค่อยดูแลบุตรชายคนเดียวของนางอีก ทั้งที่เป็นหญิงไม่ได้ใช้ชี
“เดี๋ยวๆ เจ้าอย่ามาโบ้ยใส่ข้านะ” จ้าวจิ่นสือหันไปถลึงตาใส่เคอหลิ่งหลิน “ถ้าจิ่นสือยังไม่แต่งงาน ข้าจะออกเรือนก่อนได้อย่างไรกัน” เคอหลิ่งหลินชิงพูดขึ้นมาก่อน แสร้งทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยน้องชายที่อายุอ่อนกว่าเพียงครึ่งปีเท่านั่น “แต่ว่ากันตามจริงคนเป็นพี่สมควรออกเรือนก่อนน้องมิใช่หรือ”เอาซิ! หากนางอยากเป็นพี่สาวนัก เขาก็ยกตำแหน่งให้นางได้แต่งงานก่อนเขา “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ยิ่งเจ้าเห็นข้าเป็นพี่ พี่สาวคนนี้มีหน้าที่ต้องดูแลน้องชายให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน” นางประสานสายตาอย่างไม่ยอมแพ้ “พอเถอะๆ จะเกี่ยงกันไปไย ถึงอย่างไรพวกเจ้าทั้งสองต้องแต่งงาน” แม่ทัพจ้าวอาศัยความเป็นบิดามากำราบเด็กสองคนที่ไม่รู้จักโตเสียนิ่งสนิท “จะใครแต่งก่อนแต่งหลังก็ต้องแต่งด้วยกันทั้งคู่นั้นแหละ” “เอาล่ะๆ เรื่องนี้คุยกันวันหลังก็ได้ เจ้าทั้งสองเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า” “เจ้าค่ะท่านแม่” แม่ทัพกับฮูหยินออกจากห้องไป เคอหลิ่งหลินถอนหายใจยาวแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเดินออกมาด้านนอก “ที่หลังของ
“พ่อบ้านตู้กลับมาแล้ว” เคอหลิ่งหลินทักทาย “คุณหนูหลิ่งหลิน” พ่อบ้านตู้ก้มศีรษะให้แล้วทำความเคารพแม่ทัพจ้าวและคุณชายจ้าวจิ่นสือ “เป็นอย่างไรบ้างจัดการธุระที่บ้านเสร็จแล้วหรือ”เคอหลิ่งหลินไม่เก็บอาการตื่นเต้นดีใจ ซึ่งมันเด่นชัดเสียจนจิ่นสือเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ขอรับคุณหนู ขอบคุณที่เป็นห่วง”พ่อบ้านตู้อายุห้าสิบกว่าๆ แต่ยังดูแข็งแรงแม้จะมีผมขาวแซมแล้วก็ตาม เขาลากลับบ้านเกิดเพื่อไปเยี่ยมมารดาของเขา แววตาเป็นประกายที่และท่าตื่นเต้นเหมือนรอให้อีกฝ่ายออกปากพูดเสียเอง ทำให้พ่อบ้านตู้เผลอหัวเราะในท่าทีเหมือนเด็กน้อยของคุณหนูของเขา หลายปีก่อนนั้น เขาเห็นนางยังเป็นเพียงเด็กสาวซุกซนกับบิดาของนาง เกือบสิบปีที่แล้วเขาหลงป่า คราวนั้นเขาเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความใจร้อนที่เพราะข่าวมารดาป่วยหนักจึงหาทางลัดตามที่เคยได้ยินมา ทว่ากลับถูกหลอกจากกลุ่มโจรที่หวังแย่งชิงทรัพย์สิน เขาไม่มีวรยุทธอะไรได้แต่วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงจนได้เด็กหญิงตัวน้อยเข้าช่วยเหลือ หลังจากเดินทางกลับถึงบ้านแล้ว อยู่ดูแลปรนนิบัติท่านแม่จนหายดี พอกลับมาอีกครั้งก็สืบเสาะค้นหาผ
นางจึงให้กินยาบำรุงไป ส่วนคนอื่นก็เจ็บป่วยตามประสาโรคของผู้หญิงจึงมิกล้าเอ่ยปากพูดไป พอเห็นนางเป็นหญิงจึงแทบจะเรียกว่ารุมล้อม จากที่คิดจะเสร็จเร็วจึงใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด “อ้อ! ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งเจ้านะ” คณิกานางหนึ่งเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ เชิญตัวนางมารักษา ต้องมีคนไปส่งนางกลับ เหตุเพราะท่านหมอหญิงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจนัก ทว่ากลับมักจะหลงทิศหลงทางบ่อยๆ “อืม” นางได้แต่พยักหน้ารับ กำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ มือบางก็ถูกยื้อไว้แล้วกำไลหยกวงหนึ่งก็ถูกวางใส่ฝ่ามือของนาง “เห็นว่าเจ้าไม่รับเงิน เจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปแทนเถิด หากจำเป็นเจ้าจะขายหรือทำอย่างไรก็ย่อมได้” “ไม่เป็นไรเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงปฏิเสธแต่อีกฝ่ายยืนกรานนางจึงรับไว้ เสี่ยวเอ้อเดินมารับมู่ฟางเหนียง หญิงสาวกล่าวลาแล้วเดินออกมา ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องๆ หนึ่ง นางกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อเพ่งตามองผ่านช่องประตูกลับเห็นชายผู้นั้นชัดเจน เขานั่งดื่มสุราอย่างเมามาย “ท่านรองแม่ทัพ” มู่ฟางเหนียงร้องอย่างตกใจ นางรีบผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะร้องห้าม “นี่ๆ ใครให้เจ้าเข้ามา” คณิกานางหนึ่งโวยว
“มิคิดว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ จะมีสุราเลิศรสอย่างนี้” พูดพลางชิมอาหาร “อาหารรสชาติก็ใช้ได้ อีกหน่อยคงโด่งดังมิแพ้โรงเตี๊ยมอื่น” “เป็นอย่างไรล่ะ ผลงานของข้า” นางอวดขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์แอบเก็บเป็นความลับ ตั้งใจว่าให้โรงเตี๊ยมเข้าที่เข้าทางกว่านี้อีกหน่อยค่อยบอกท่าน” “เจ้าออกจากวังอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้” องค์ชายไท่หยางส่ายหน้าไปมา ยังดีที่นางบอกใครต่อใครว่าแต่งงานแล้ว มิใช่ทำตัวเป็นสาวน้อย นางคงไม่รู้ตัวว่านับวันนางยิ่งดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นมากกว่าเดิมนัก “ท่านหมอมู่มา เจ้าได้ให้ท่านหมอตรวจร่างกายบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขารู้เรื่องที่ท่านหมอมู่กับบุตรสาวมาเมืองหลวงในช่วงที่เขาไปราชการต่างเมืองพอดี“ข้าให้น้องฟางเหนียงตรวจแล้ว” นางแย้มยิ้ม “นางเขียนใบสั่งยา เป็นยาบำรุงร่างกาย ร่างกายข้าขับพิษออกไปเกือบหมดแล้ว บำรุงตัวเองอีกนิดก็พร้อมมีทายาทให้ท่านได้”เพราะนางบาดเจ็บในครั้งนั้น แม้กำลังภายในจะกลับคืนแต่ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มทีนัก“ข้าห่วงเจ้ามากกว่า เรื่องนั้น ข้ารอได้” เขาแตะหลังมือนาง “สามีไม่โกรธภรรยานะ ข้าแค่อยากช่วยเหลือคนเหล่านี้” นางเคย
เสี่ยวหลิวกับอาปู้-ลูกชายวัยสิบขวบและอาเหลียง-ลูกสาววัยเจ็ดขวบ รวมถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนที่นางเคยเจอที่ศาลเจ้าร้างเมื่อครั้งที่แอบย่องหนีออกจากวังมาตามหาหัตถ์เทวะ คราแรกนางคิดแค่ว่าอยากมาดูว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่หรืออพยพไปแล้ว แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าทุกคนยังอยู่ คนไหนที่พอแข็งแรงหน่อยก็ออกไปหาทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป พอได้มีข้าวสารมาจุนเจือคนอื่น จากที่คิดว่าจะหาบ้านให้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งพอคุยกันไปกันมาก็กลายเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ “คนพอใช้งานหรือเปล่า เมื่อครู่ข้าเห็นอาปู้ยกอาหารส่งลูกค้า” เคอหลิ่งหลินถามอย่างเป็นห่วง เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายวัยสิบขวบ เพื่อนวัยเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนาน แต่เขากลับต้องทำงานหนัก ครั้งแรกที่เจอกันเขาผายผอมมากแต่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนัง ยามว่างนางก็ให้เขาฝึกหัดเพลงมวยขั้นพื้นฐาน คิดอยู่ว่าจะหาทางให้อาปู้ได้ร่ำเรียนหนังสือหนังหาจะได้มีความรู้และมาช่วยดูแลคนอื่นๆ ได้ “ร้านเพิ่งเปิดค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยเจ้าคะ” เสี่ยวหลิวพูดขึ้น “อีกหน่อยอาปู้ต้องไปเรียนหนังสือจะไม่มีคนช่วยงานนะซิ” เคอหลิ่งหลินถอน
“ก็ได้ ข้าถามใหม่ก็ได้ ท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่” นางถามทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่ “ข้ามาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ได้กำหนดกลับ ยังคิดอยู่ว่าจะได้เจอเจ้าหรือไม่” “โชคดีที่ได้พบกันก่อนท่านจะไป” นางพึมพำ “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ ข้าจะแวะเวียนไปดูแลแม่นมเหมยให้ท่านก็แล้วกัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยังเอร็ดอร่อยกับขนมในตะกร้า แม่นมเหมยดูแลเขาอยู่หลายปีตั้งแต่อยู่เมืองหลวง เมื่ออายุมากขึ้นจึงขอกลับมาอยู่บ้านเดิม เมื่อเขาเดินทางมาพักฟื้นรักษาร่างกายจึงได้พบกับแม่นมเหมยอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วแต่แม่นมเหมยก็ยังคอยทำขนมของกินอร่อยๆ ให้เขาเสมอ ที่ไหนๆ ก็มีบ่อน้ำพุร้อน ทว่าแต่ละที่ที่เคยไป เขามักเบื่อหน่ายกับสตรีมากหน้าหลายตาที่พยายามเข้ามาทำให้ชีวีตคนใกล้ตายอย่างเขาวุ่นวายนัก ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดจะตายวันตายพรุ่งมิอาจรู้ แต่เมื่อมาที่นี่ตามคำเชื้อเชิญของเหวินเฮ่าหลัน กลับได้พบหญิงสาวนิสัยตรงไปตรงมาผู้นี้ นางตรงเสียจนพูดต่อหน้าว่าชอบเขา แต่กลับไม่ได้วุ่นวายในชีวิตเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ไปๆ มาๆ เขากลับรู้สึกชอบมองผู้หญิงที่ย
“แต่คุณหนูเพิ่งเข้ามานะคะ” “ข้าจะพาเมฆเหินไปแช่น้ำร้อน มันอ่อนเพลียมาก” นางบอกไปตามตรง “แต่นายท่านทั้งสองรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” “ก็ไปรายงานอย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ” หญิงสาวยืนยัน และเมื่อได้เสื้อผ้าเนื้อหยาบแบบสาวชาวบ้านแล้วก็รีบผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชุนเอ๋อร์รีบสางผมและเกล้าขึ้นให้คุณหนูใจร้อนของตนเอง ยามอยู่ในชุดทหารนางดูเคร่งขรึมไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถอดเกราะออกแล้ว นางก็เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและซุกซนราวเด็กน้อย หากคุณหนูของนางแต่งกายงดงามเหมือนคุณหนูบ้านอื่นละก็ นางก็งดงามไม่แพ้หญิงใดเลยทีเดียว ร่างเพรียวยกมือขึ้นแตะแก้มชุนเอ๋อร์หยอกล้อเหมือนทุกครั้ง “ข้าไปนะ เดี๋ยวมา” “คุณหนู” ทำได้แค่เรียก แต่คุณหนูของนางก็กระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับกับหายตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนรับใช้อย่างนางต้องแบกภาระไปรายงานท่านแม่ทัพและฮูหยิน เคอหลิ่งหลินแอบย่องเข้าไปในห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูกแล้วเดินกัดกินอย่างไม่กังวลเรื่องกิริยามารยาทแล้วเดินมาทางคอกม้า เมฆเหินเห็นนางก็ยกหัวสะบัดไปมาคล้ายจะบ่นที
หญิงสาวอดคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ นางเองก็ไม่รู้หรอกว่า โม่ชิงถงถูกหมอกหลอนประสาทไปเห็นภาพอะไรจึงได้ปลิดชีพตนเช่นนั้น แต่นางเข้าใจลวดลายดอกไม้แดงที่ปรากฏแผ่นหลังของนางนั้น เป็นการเผยค่ายกลและที่ซ่อนกระบี่ผงาดฟ้า นางขอร้องให้เหวินเฮ่าหลันหาช่างทำลายดอกไม้แดงบนแผ่นหนังให้เพื่อเก็บไว้ยามจำเป็น เพราะนางจะไม่สำแดงดอกไม้ให้ผู้ใดเห็นอีกนอกจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางองค์ชายไท่หยางยื่นมือไปดึงร่างบางมานั่งบนตัก กอดรัดนางไว้ดื่มด่ำความอบอุ่นที่ละลายความโดดเดี่ยวในใจของเขาที่เกาะกุมอยู่เนิ่นนาน ‘ทายาทหญิงรุ่นต่อไปเมื่ออายุครบยี่สิบปีดอกไม้แดงจะปรากฏ แม้การปรากฏตัวของดอกไม้แดงจะนำความเจ็บปวดมาให้เจ้าของ ทว่าเมื่อเหยื่อพรหมจรรย์ถูกทำลายความเจ็บปวดนั้นก็มลายไปด้วย เพราะหมายความว่านางจะยอมเสียพรหมจรรย์กับชายคนที่นางรักและเชื่อใจ’เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่สอบถามท่านนักพรตหญิง ปล่อยให้นางเข้าใจไปเถิด เขาจะเก็บความลับรอยสักดอกไม้แดงไว้เอง มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาไว้และเอียงคอมองเขาด้วยกิริยาน่ารักจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้ว“ท่านรู้แล้วอย่าแสร้งทำไม่เป็นรู้ซิ” นางทำท่าแง่งอนออกมา“หาเรื่องไปเที่ย
ใครเลยจะคาดคิดว่าบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงและฮูหยินอี้ซิ่วจะถูกตาต้องใจองค์ชายไท่หยาง หลังจากเสร็จงานดูแลราษฏรผู้ประสบอุทกภัยได้เดือนเศษ ทางวังหลวงก็ส่งเกี้ยวมารับเจ้าสาวอย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินหรือเคอหลิ่งหลิน แม้อยู่ในกองทัพจะแลดูดุดันและใบหน้าเรียบนิ่งอยู่เสมอ ทว่าเมื่อมีข่าวมงคลเช่นนี้ เหล่าทหารที่เคยร่วมรบก็อดดีใจมิได้ แน่ชัดแล้วว่านางเป็นที่รักของทุกคนแม้จะโดนนางเคี่ยวกรำฝึกฝนหนักมืออยู่บ้าง กลายเป็นเรื่องเล่าของผู้คนไปทั่ว คราวนั้นนางติดตามฮูหยินอี้ซิ่วเข้าวังหลวง เพียงการพบหน้าครั้งแรก พรหมลิขิตก็บันดาลให้ องค์ชายไท่หยางถึงกับตกหลุมรักบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวเข้าให้จนถอนตัวมิขึ้น บุรุษผู้มีใบหน้าอ่อนโยนแสสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด กลับหลงรักหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของจ้าวจิ่นสือ บุตรชายของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง องค์ชายไท่หยางขอจัดงานอภิเษกอย่างเรียบง่ายแต่กระนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ทรงพระราชทานงานเลี้ยงให้อย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินขอให้มีการเลี้ยงอาหารแจกทานให้คนยากไร้แทนการมอบของขวัญให้นาง นำพาซึ่งเสียงสรรเสริญแก่คนทั้งสอง ว
“ข้าโง่งมนักมิรู้จะทำอย่างไรให้ท่านเชื่อใจข้าได้” นางใช้ปลายจมูกถูกไถแผงอกเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วท่านมาหาข้าได้อย่างไรกัน” “ก็ใช้สิทธิ์ขององค์ชายขี้โรคหลบออกมาตามหาเจ้าไงล่ะ” องค์ชายไท่หยางจับมือข้างหนึ่งของนางมากุมไว้แล้วยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตน “เป็นข้าที่ทำให้ท่านเสียการเสียงาน” นางรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอีกแล้ว “ใช่...แต่จ้าวจิ่นสือก็บัญชาการได้อย่างดี ทุกอย่างราบรื่น ข้ามิอยู่ตรงนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาเริ่มแทะเล็มปลายนิ้วที่ละนิ้วของนาง “เห็นทีข้าต้องไปส่งเจ้าถึงจวนแม่ทัพจ้าวเสียแล้ว” “ข้าไม่อยากเป็นตัวปัญหาของท่าน” นางหายใจติดขัดกับลิ้นชื้นที่ไล้เลียปลายนิ้วของนางอยู่ “หลินเอ๋อร์” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงรักใคร่ “ข้าควรคุยกับเจ้าให้รู้เข้าใจเสียที” “หือ?” นางช้อนตาขึ้นมอง เห็นแววตาชวนให้หัวใจไหวสั่นแต่ก็ไม่อาจหลบดวงตาคมคู่นี้ได้“อย่างที่เจ้ารู้ ข้าอ่อนแอมาแต่เกิด มิอาจคาดหวังถึงวันพรุ่งนี้ได้ ดังนั้นจึงใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน จนเมื่อเจ้าเข้ามาพร้อมไข่มุกหมื่นราตรี ข้าได้มีหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” เขานิ่
คนผู้นี้ยามโกรธก็น่ากลัวเหลือเกิน จะขยับร่างกายหนีแต่เตียงก็ไม่ได้กว้างสักเท่าใด เคอหลิ่งหลินทำได้เพียงเบือนหน้าหนีเพราะต้องการตั้งหลักเตรียมรับมือกับโทสะของเขาที่นางเป็นผู้ก่อ ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เห็นเขาอ้าปากจะพูด นางก็ชิงพูดออกมา“ข้าขอโทษๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เคอหลิ่งหลิงจำใจทำใจกล้าสบตากับดวงตาคู่คมของเขา นางรู้ว่าตนเองทำผิดไป แต่นางตั้งสติได้จะถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็กลายเป็นริมฝีปากของเขาก็จู่โจมนางอย่างไม่ทันตั้งตัว “อุ๊บ!” ร่างสูงโถมเข้าใส่ปิดปากนางด้วยจุมพิตรุนแรง บดขยี้และขบเม้มริมฝีปากนางจนนางรู้สึกเจ็บ มือเรียวยกดันแผงอกเขาเป็นการประท้วงการลงทัณฑ์อันแสนร้ายกาจของเขา หัวใจชายหนุ่มร้อนระอุ ทั้งห่วงหาอาทร ปวดร้าวใจยิ่งนัก หากไม่เอะใจกับข่าวที่เหวินเฮ่าหลันส่งมากับนกพิราบสื่อสารแล้วละก็ เขาคงควบม้าเร็วตามมาไม่ทันช่วยนางเป็นแน่ มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับนางบ้าง เขามาถึงเป็นจังหวะที่ร่างใหญ่ยักษ์ของโม่ชิงถงร่วงลงสู่บึงมรกต พอแหงนหน้าขึ้นไปก็เห็นร่างของหญิงสา