Home / โรแมนติก / บุปผาร่ายรัก / Chapter 7. ขลุ่ยไม้ไผ่เซียงเฟย

Share

Chapter 7. ขลุ่ยไม้ไผ่เซียงเฟย

Author: เพลงมีนา
last update Last Updated: 2024-10-29 19:42:56

            “พ่อบ้านตู้กลับมาแล้ว” เคอหลิ่งหลินทักทาย

            “คุณหนูหลิ่งหลิน” พ่อบ้านตู้ก้มศีรษะให้แล้วทำความเคารพแม่ทัพจ้าวและคุณชายจ้าวจิ่นสือ

            “เป็นอย่างไรบ้างจัดการธุระที่บ้านเสร็จแล้วหรือ”

เคอหลิ่งหลินไม่เก็บอาการตื่นเต้นดีใจ ซึ่งมันเด่นชัดเสียจนจิ่นสือเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

            “ขอรับคุณหนู ขอบคุณที่เป็นห่วง”

พ่อบ้านตู้อายุห้าสิบกว่าๆ แต่ยังดูแข็งแรงแม้จะมีผมขาวแซมแล้วก็ตาม เขาลากลับบ้านเกิดเพื่อไปเยี่ยมมารดาของเขา       แววตาเป็นประกายที่และท่าตื่นเต้นเหมือนรอให้อีกฝ่ายออกปากพูดเสียเอง ทำให้พ่อบ้านตู้เผลอหัวเราะในท่าทีเหมือนเด็กน้อยของคุณหนูของเขา   

หลายปีก่อนนั้น เขาเห็นนางยังเป็นเพียงเด็กสาวซุกซนกับบิดาของนาง  เกือบสิบปีที่แล้วเขาหลงป่า คราวนั้นเขาเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความใจร้อนที่เพราะข่าวมารดาป่วยหนักจึงหาทางลัดตามที่เคยได้ยินมา  ทว่ากลับถูกหลอกจากกลุ่มโจรที่หวังแย่งชิงทรัพย์สิน เขาไม่มีวรยุทธอะไรได้แต่วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงจนได้เด็กหญิงตัวน้อยเข้าช่วยเหลือ หลังจากเดินทางกลับถึงบ้านแล้ว อยู่ดูแลปรนนิบัติท่านแม่จนหายดี พอกลับมาอีกครั้งก็สืบเสาะค้นหาผู้มีพระคุณของเขา

เมื่อได้พบและพูดคุยกับบิดาของนาง เขาลองเอ่ยปากชวนให้มาทำงานรับใช้แม่ทัพจ้าวซึ่งกำลังขาดคนที่รู้และเชี่ยวชาญเรื่องการแกะรอย  เงื่อนไขเดียวของเคอตงตงคือที่ใดที่เขาอยู่ที่นั้นต้องมีลูกสาวของเขาอยู่ด้วย เมื่อความสามารถของเคอตงตงเป็นที่ต้องการ ท่านแม่ทัพจำใจต้องยอมรับเงื่อนไขนั้น ทว่าการมีลิงน้อยแสนซนในค่ายทหารไม่ได้ทำให้เสียการปกครองแต่อย่างใด หลายครั้งที่อาศัยความคล่องแคล่วว่องไวของเคอหลิ่งหลินแอบลอบเข้าไปสืบดูเสบียงอาหารของอีกฝ่ายเพื่อประเมินการศึกได้

แม้ผู้หญิงมิควรอยู่ในกองทัพ  แต่ความสามารถของเคอ หลิ่งหลินเป็นที่ยอมรับ กฏเกณฑ์จึงถูกผ่อนปรน ให้ยึดความสามารถของคนเป็นหลัก  หญิงสาวจึงอยู่ในกองทัพเป็นที่ยอมรับและได้รับความเคารพจากเหล่าทหาร  ยามออกรบนางดูเคร่งขรึม แม้เพียงสบตาก็ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวได้ ทว่าเมื่ออยู่กับคนในครอบครัว นางกลับกลายเป็นเพียงหญิงสาวร่าเริงที่ออกจะอ่อนความเป็นกุลสตรีสักนิด บางครั้งนางก็เจ้าเล่ห์เหลือจะกล่าวที่ใช้ความอ่อนหวานทำให้ผู้อื่นใจอ่อนได้ นางจึงดูมีหลายบุคลิกยากเกินคาดเดาได้

            “อ้อ! กลับบ้านครั้งนี้ข้าน้อยได้ขลุ่ยผิวที่ทำด้วยไผ่เซียงเฟย (ลายด่าง) มาฝากคุณหนูหลิ่งหลินด้วย ไม่ทราบว่าจะถูกใจคุณหนูหรือไม่”

            “จริงรึ” นางสืบเท้าเข้าไปใกล้ก็สังเกตเห็นในห่อผ้าของพ่อบ้านมีถุงผ้าอยู่ใบหนึ่งที่เดาได้ไม่ยากว่าใส่ขลุ่ยที่นางปรารถนาไว้เป็นแน่ เพราะนางย้ำหนักหนาให้พ่อบ้านตู้หาขลุ่ยดีๆ ให้นางสักเลา

            “ขลุ่ย?” จ้าวจิ่นสือเอ่ยขึ้นอย่างฉงน แต่เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านตู้ส่งถุงผ้าให้เคอหลิ่งหลินแล้ว นางรีบเปิดถุงออกแล้วหยิบขลุ่ยผิวลักษณะงามออกมาหนึ่งเลา

            “นี่เจ้ายังไม่ถอดใจเรื่องขลุ่ยนี่อีกรึ” เป็นจ้าวจิ่นสืออีกนั้นแหละที่กล้าเอ่ยประโยคทำร้ายจิตใจนางได้ แต่กระนั้นเคอหลิ่งหลินเพียงแค่กระตุกยิ้มที่มุมปากให้

            “เรื่องของข้า” นางไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยเพราะกำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แล้วหันไปหาท่านแม่ทัพที่ทำหน้ายุ่งไม่แพ้บุตรชาย “ท่านพ่อ ข้าฝึกเพลงกระบี่เสร็จแล้ว ขอตัวไปฝึกเพลงขลุ่ยนะเจ้าค่ะ”

            “เอ่อ...เอาซิ”

            “ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยิ้มระรื่นประคองขลุ่ยเลาใหม่ในมือแล้วเดินยิ้มร่าออกไป

            “นางไปฝึกเป่าขลุ่ยที่ใดกัน” บิดาเอ่ยถามทั้งยังนึกขยาดหวาดกลัวอยู่ในใจ

            “คงเข้าป่าเหมือนเคย” 

จ้าวจิ่นสือส่ายหน้าไปมา ถ้าเรื่องความพยายามแล้วนางเป็นเลิศแต่เสียงขลุ่ยที่นางพยายามฝึกฝนช่างแสนร้ายกาจนัก เรียกว่าปวดหูหรือปลุกผีให้ตื่นได้ทั้งป่าช้าเลยทีเดียว และอีกนั้นแหละไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อสองปีก่อนนางก็ลุกขึ้นอยากจะเป็น ‘คุณหนูผู้สูงศักด์’ ขึ้นมา ทั้งที่ก่อนหน้านี้นางเอาดีด้านนี้ไม่ได้เลยสักอย่าง กาพย์กลอนหรือร่ายรำอ่อนด้อยเสียจนบรรดาอาจารย์ที่ท่านแม่เชิญมาสอนต้องขอลาขาด บางรายถึงขั้นไม่ขอรับเงินค่าสอนด้วยซ้ำ ความพยายามนะมี แต่ความสามารถไม่เกิดและพรสวรรค์ก็ไม่ได้ติดปลายเล็บนางมาสักนิด

แต่สองปีก่อนนางกลับขุดทุกสิ่งที่เคยร่ำเรียนมาฝึกปรืออีกครั้ง บางสิ่งเขาช่วยสอนนางได้บ้าง แต่เรื่องเพลงขลุ่ยของนางนั้น เสียงบาดหูทะลุทะลวงไปถึงเครื่องใน  ไม่มีใครกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้านาง มีแต่เขาที่อดรนทนไม่ไหวพูดความจริงกับนางออกไป แทนที่นางจะถอดใจไม่ฝึกเพลงขลุ่ยแต่นางกลับถือขลุ่ยเดินเข้าป่าไปเสียนี่

“เจ้าก็น่าจะติดตามไปดูนางเสียหน่อย” แม่ทัพจ้าวเป็นห่วงลูกสาวบุญธรรม

“ข้าว่าให้นางไปฝึกเพลงขลุ่ยให้ต้นไม้ในป่าฟังนะดีแล้ว” เพราะอย่างน้อยคงไม่มีใครล้มตายเพราะเสียงขลุ่ยของนาง

แม่ทัพจ้าวเองก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ เพราะเขาเองก็เคยฟังเสียงขลุ่ยทะลวงจิตของลูกสาวบุญธรรมาแล้ว ยังเคยคิดอยู่ว่า หากต้องจับเชลยศึกมาล้วงความลับให้คายความจริง ปล่อยให้พวกมันฟังเสียงขลุ่ยของเคอหลิ่งหลิน พวกมันคงวิงวอนขอชีวิตเลยทีเดียว คิดได้แบบนี้แล้วทั้งสามก็ได้แต่ถอนหายใจ ไม่มีใครกล้าติดตามหญิงสาวที่เดินออกไปพร้อมขลุ่ยเลาใหม่ของนาง

ขณะที่เดินออกมาพร้อมหัวใจที่เบิกบาน จ้าวหลิ่นหลิงพลันเห็นกลุ่มคนที่กำลังเตรียมตัวจะเดินทาง นางจำได้ว่าบางคนเป็นคนที่มาพร้อมกับหัวหน้าโจรที่กวาดต้อนกลับมาที่จวนด้วย  หญิงสาวรีบก้าวเข้าไปก็พบใบหน้าเปื้อนยิ้มของทุกคน

“พวกท่านจะไปกลับแล้วหรือ” 

“ขอรับคุณหนู” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ต้องขอบคุณคุณหนูที่ทำให้ท่านแม่ทัพไม่ส่งพวกเราไปอยู่ในคุก”

“ไม่ใช่ข้าหรอก เป็นเพราะท่านแม่ทัพกับคุณชายจิ่นสือต่างหาก” นางหวังให้คนอื่นมองนางเป็นเคอหลิ่งหลินมากกว่าเป็นบุตรบุญธรรมของแม่ทัพจ้าว

            “หากผ่านไปแถวนั้น ข้าจะแวะไปเยี่ยมพวกเจ้า”

            “ขอรับคุณหนู พวกเราหวังใจว่าจะได้ต้อนรับคุณหนู”

Related chapters

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 8. ปิ่นไม้ธรรมดา  

    หญิงสาวมองดูทุกคนด้วยหัวใจชื่นบาน เป็นความคิดของจ้าวจิ่นสือเองที่ใครอยากกลับบ้านเกิดก็ส่งกลับไป ใครอยากสมัครเป็นทหารก็รับไว้ ทำให้หลายคนซาบซึ้งในน้ำใจครั้งนี้ “คุณหนู พวกเราไม่มีของมีค่าอะไรตอบแทนท่าน มีเพียงของเล็กน้อยเพียงนี้ ท่านจะรับน้ำใจของพวกเราไว้ได้หรือไม่” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นปิ่นไม้ธรรมดา แต่ตรงปลายแกะสลักลายโบตั๋นดูงดงามนัก ใบหน้าหวานยิ้มกว้างแล้วรับมาด้วยความดีใจอย่างไม่เสแสร้ง “สวยจัง” “แค่ปิ่นไม้ธรรมดาขอรับ” “สวยมาก ข้าชอบมาก ขอบคุณนะ” นางชอบปิ่นไม้นี้มากและไม่ลังเลที่จะปักปิ่นนั่นทันที ทำให้ใครต่อใครต่างยิ้มปลาบปลื้มชื่นชมในความเป็นกันเองไม่ถือตัวของนาง “ข้าส่งทุกท่านได้แค่นี้ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” “ขอบคุณคุณหนู” หญิงสาวยิ้มรับแต่รู้สึกถึงการมาของอาชาสามตัวที่วิ่งตรงมายังจุดที่นางยืนอยู่ ดวงตาคมหรี่มองอย่างประเมินผู้มาใหม่ บุรุษบนหลังม้าบังคับม้าให้หยุดตรงหน้านาง เสื้อคลุมกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มบ่งบอกว่าไม่ใช่คนธรรมดา เคอหลิ่งหลินจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสงบนิ่งไม่หวาดหวั่นอีกฝ่ายที

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 9. มู่ฟ่างเหนียง

    “บ้านท่านหมอมู่ใช่หรือไม่”“ฟางเหนียง! ฟางเหนียง!” “ท่านพ่อ” ลูกสาวที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงเรียกขานทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันไป หญิงสาวย่อตัวลงให้ฟางเหนียงลงจากหลัง เขารีบเข้าไปประคองลูกสาวที่เนื้อตัวมอมแมม “เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา พ่อนึกว่าจะเสียเจ้าไปแล้ว” “ข้า...ข้า...” “นางหลงป่า” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนคนที่อ้ำอึ้งอยู่ “หลงป่า? เจ้าเข้าไปทำอะไรในป่า” “ข้า...ข้า...” “นางไปหาสมุนไพร ท่านลุงอย่าได้ดุนางเลย นางอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่าน” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนเด็กสาวที่เวลานั้นอายุสิบสี่ปี “ฟางเหนียง ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปพ่อจะเอาหน้าที่ไหนไปพบแม่ของเจ้าที่ปรโลก” “ท่านพ่อ ฟางเหนียงผิดไปแล้ว” นางสำนึกผิด “แต่ข้าโชคดีที่พี่หลิ่งหลินมาช่วยไว้” “ฮืม...คนเราพบกันเพราะมีวาสนา” เคอหลิ่งหลินยืดอกด้วยท่าทางภูมิใจ “ข้าแอบไปฝึกเพลงขลุ่ยในป่าถึงได้เจอน้องฟางเหนียง” “น้องฟางเหนียง?” ท่านหมอมู่เอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยิน “ก็นางอายุน้อยกว่าข้า ข้าก็

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 10. จะไม่ตามไปจริงๆ เหรอ

    ทว่าเมื่อได้พบกับ ‘พี่หลิ่งหลิน’ ชีวิตนางก็เปลี่ยนไป แม้จะไม่รู้ว่า ‘พี่หลิ่งหลิน’ ของนางเป็นใคร ทำอะไรกันแน่ แต่ก็รู้สึกว่านางเป็นคนดีที่เชื่อใจได้ นางจะเชี่ยวชาญการรักษาที่บิดาถ่ายทอดความรู้ให้ ทว่านางกลับอ่อนด้อยเรื่องทิศทางยิ่งนัก นางเป็นคนที่จำเส้นทางไม่ค่อยเม่นยำมักหลงทางอยู่บ่อยๆ เพราะอย่างนี้นางจึงไม่ค่อยออกไปไหน เพราะเกรงตัวเองจะเป็นภาระผู้อื่น แต่เมื่อเคอหลิ่งหลินมาหานางจึงได้ไปโน้นไปนี่บ่อยขึ้น โดยเฉพาะขึ้นเขาหาสมุนไพรให้บิดา “อยากเห็นผู้ชายที่ทำให้พี่หลิ่งหลินฝึกเพลงขลุ่ยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้นไปหน้าบ้านซึ่งเป็นทั้งโรงหมอและที่พักอาศัย ปีนี้นางอายุสิบหกแล้วมีแม่สื่อมาทาบทามหลายครั้งแต่นางก็ยังอยากอยู่กับบิดาเช่นนี้ และบิดาก็ตามใจนางสักวันนางคงเจอใครสักคน ที่ทำให้นางอยากบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนหวาน เหมือนอย่างที่พี่หลิ่งหลินก็เป็นได้.หญิงสาวในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินเร็วๆ ตามแผ่นหลังของท่านหมอมู่โดยรักษาระยะห่างไม่เข้าใกล้จนอีกฝ่ายรู้ตัว แค่เพียงคิดถึงคุณชายเฉินผู้ที่มักจะอยู่ในชุดสีขาวปักลายเมฆผู้นั้น ใบหน้าของเคอหลิ่งหลินก็ปรากฏรอยยิ้มอย่า

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 11. กลัวจะไม่มีใครกล้ามาสามีให้เจ้า

    “เหอะ!” จ้าวจิ่นสือทำเสียงในลำคออย่างไม่พอใจนัก “อย่างเจ้าเขาเรียกเจ้าเล่ห์มิใช่ฉลาด”“เอาน่ายังไงข้าก็ได้เป็นพี่สาวเจ้าก็แล้วกัน” ปลายนิ้วจิ้มมาที่หน้าผากของอีกฝ่าย แต่นางชะงักมือไปเล็กน้อย ท่าทางของนางทำให้ จ้าวจิ่นสือขมวดคิ้ว“เป็นอะไรไปรึ” เขาเองก็ชินกับการตีสนิทเสมอตัวของนางแล้ว“เจ้านี่...สูงขึ้นหรือเปล่านะ”“แน่ล่ะ ข้าก็ต้องสูงใหญ่และหล่อเหลาเป็นธรรมดา”“หล่อเหลา? เจ้านี่กล้าประกาศว่าตัวเองหล่อเหลางั้นเหรอ” เคอหลิ่งหลินถึงกับหัวเราะออกมา เติบโตมาพร้อมกัน ตั้งแต่ออกจากบ้านป่านางติดตามท่านแม่ทัพออกศึก ในขณะที่จ้าวจิ่นสือศึกษาตำราและฝึกฝนอยู่ที่วังหลวงเป็นส่วนใหญ่ ปีหนึ่งจะได้เจอกันกันไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งราวครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน แต่เมื่อเขาอายุครบสิบแปดก็มาเป็นเรี่ยวแรงสำคัญให้บิดาของเขา“เจ้าอยู่กับพวกทหารจะรู้ได้ไงว่าบุรุษผู้หล่อเหลาเป็นเช่นไร”ประโยคของจ้าวจิ่นสือทำให้เคอหลิ่งหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ใครว่าละ? นางเพิ่งเจอบุรุษผู้หล่อเหลาเข้าให้แล้ว เขาดูสุภาพนักทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรกก็ยังมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน นางเติบโตกับบิดาที่เป็นโจรภูเขาแล้วยังมาติดตามท่านแม่ทัพอีก น

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 12. เป็นเช่นนั้น

    “เป็นเช่นนั้นเองหรอกหรือ แม่นางช่างมีจิตใจอารีนอกจากจะช่วยแม่นมของข้าแล้วยังเป็นห่วงเป็นใยข้าด้วย”จิตใจอารี? หญิงสาวทำตาโต เกิดมาเพิ่งเคยมีใครพูดแบบนี้กับนางเป็นคนแรก ที่ผ่านมาได้ยินแต่ว่านางโหดเหี้ยมเสียมากกว่า “ข้าจำได้ว่าติดค้างเลี้ยงน้ำชากับแม่นาง”“ไม่เป็นไรๆ” นางโบกไม้โบกมือไปมา มือไม้เริ่มไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน “ข้ายังต้องรบกวนท่านหมอมู่รักษาดูอาการและพักฟื้นที่นี่หลายวัน ถ้าอย่างไร แม่นางผ่านมาก็แวะมาเยี่ยมเยือนได้ทุกเมื่อ”“จริงเหรอ ข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้เหรอ” บุรุษหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบแต่พยักหน้ารับ เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็แทบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่ยังดีที่นางสำรวมกิริยาแล้วเหลือบตามองท่านหมอมู่เหมือนจะขอโทษอยู่ในที ท่านหมอมู่มองหญิงสาวแล้วส่ายหน้าไปมา ดีแล้วที่ลูกสาวของเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่จะว่าอย่างไรได้ ได้ยินว่านางเป็นเด็กกำพร้า คงไม่มีใครบอกนางเรื่องกิริยาที่ควรหรือไม่ควรต่อหน้าบุรุษนัก “วันนี้ข้ามารบกวนท่านแล้ว วันหน้าข้าจะมาใหม่”“ฮืม...”นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เคอหลิ่งหลินมาชะเง้อมองบุรุษหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานดุจเทพเจ้าผู้นั้นมาตลอดสองปี เมื่อไหร่ที่

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 13. รักษาตัวด้วย

    เคอหลิ่งหลินนิ่งไปอึดใจ มือนางสั่นน้อยๆ ก่อนจะยกขึ้นโบกไปมาเบื้องหน้าเขา ชายหนุ่มผงะไปด้านหลังเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือมาจับมือของนางไว้ หัวใจของหญิงสาวเหมือนถูกบีบรัด หากเป็นเวลาปกตินางคงดีใจที่เขาจับมือนางเช่นนี้ “ดูออกชัดขนาดนั้นเชียวหรือ?” เขาหัวเราะเบาๆ ราวกับไม่เดือดร้อนกับอาการของตัวเอง “ท่าน...ทำไม...เกิดอะไรขึ้น” นางถือวิสาสะนั่งบนเตียงข้างเขา สำรวจดูภายนอกไม่เห็นเขามีบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บ ไยเขาจึง...จึงมองไม่เห็นนาง “เป็นเรื่องของสวรรค์” “บ้าซิ!” นางสบถ แต่กลับทำให้ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “จู่ๆ ท่านจะมองไม่เห็นได้อย่างไร” “ข้าเพียงถูกพิษเล่นงาน” เขายังไม่ปล่อยมือเธอ เพียงแต่กำไว้หลวมๆ หวังให้นางรู้สึกผ่อนคลาย เป็นเขาที่มองไม่เห็น แต่ดูนางจะเดือดร้อนกว่าเขาเสียอีก “มีหญิงสาวที่ไหนทำท่านรึ” “อะไรนะ?” “ท่านไปทำอะไรใครถึงโดนยาพิษเข้าล่ะ” “แล้วทำไมแม่นางเคอคิดว่าเป็นผู้หญิงที่เล่นงานข้า” ใช่...แม้แต่เขายังไม่คิด “ก็ท่านหล่อเหลาแบบนี้ อาจเล่นตัวไม่รั

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 14.  กำชับมา

    “แต่ฮูหยินกำชับมานะเจ้าคะ” “ก็บอกว่าเจ้าไม่เห็นข้าก็สิ้นเรื่อง ข้าไปล่ะ เจ้าจะได้ไม่เดือดร้อน” “คุณหนู” ชุนเอ๋อร์ได้แต่มองร่างเพรียวในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบกระโดดออกนอกหน้าต่างไป วิชาตัวเบาของเคอหลิ่งหลินไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด คนรับใช้อย่างนางจึงเห็นแต่แผ่นหลังไวไว หายลับตาไป “ท่านไม่อยู่ต่างหากที่ทำให้บ่าวเดือดร้อน” ชุนเอ๋อร์ได้แต่พูดเสียงอ๋อยตามลำพัง เมื่อไหร่เจ้านายของนางจะแต่งตัวงดงามนั่งอยู่ในบ้านนิ่งๆ ในนางได้ปรนนิบัติเหมือนบ่าวไพร่คนอื่นบ้างนะ เคอหลิ่งหลินใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเรือนรับรองที่คุณชายเฉินพักอยู่ นางเหวี่ยงตัวนั่งบนกิ่งไม้ใหญ่มองดูร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินออกมาบริเวณสวนหย่อม นางแปลกใจที่เขาเดินได้มั่งคงไม่เหมือนคนตาบอด แต่ยังไม่ทันไร เขาสะดุดกับก้อนหินเข้าให้ ร่างเพรียวผวาเฮือกแล้วกระโจนเข้าไปให้ดึงแขนเขาไว้อย่างรวดเร็ว “ท่านจะทำอะไร” เคอหลิ่งหลินส่งเสียงดุเบาๆ จับไหล่สองข้างของเขาให้ยืนให้มั่นคง “แม่นางเคอ?”เขาเอ่ยชื่อแล้วปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้ารอยยิ้มของเขาทำให้หญิงสาวเก้อเขินจนต้องรีบปล่อ

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 15.เจ้ามาอยู่กับข้าไหม?

    สภาพครึ่งผีครึ่งคนอย่างเขาความจริงก็เป็นสุขดีไม่น้อย ไม่นับอาการอ่อนเพลียของตนเองแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี บรรดาน้องชายน้องสาวก็ให้ความเคารพเขาตามสมควร มีเพียงสองเรื่องที่มารบกวนจิตใจของเขาคือการที่เขายังไม่แต่งงานและความวุ่นวายเดียวที่เขารับได้คือ ‘เคอหลิ่งหลิน’ นางชอบเขาอย่างเปิดเผยทว่าจริงใจ หน้าตานางออกจะธรรมดา นิสัยยังโผงผางหรือบางครั้งก็เหมือนเด็กทั้งที่นางบอกว่าตัวเองอายุยี่สิบแล้ว นางไม่เคยถามว่าเขาเป็นใคร นางพอใจกับการเรียกเขาว่า ‘คุณชายเฉิน’ เขาจึงพึ่งพอใจที่จะเรียกนางว่า ‘แม่นางเคอ’ และเมื่อนางไม่ถามเรื่องส่วนตัวของเขา เขาก็ไม่ถามเรื่องของนาง รับรู้เพียงแค่นางชอบม้าและดูแลม้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าว นางมักพกกระบี่ไม้ไผ่เสมอแต่ก็ไม่เคยเห็นนางใช้ทำร้ายผู้ใด “แม่นางเคอ”“หือ?” นางเงยหน้าขึ้นมองเขาขณะที่สองมือยังประคองแขนให้เขาเดินไปข้างหน้า“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเจ้าอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลาเลยล่ะ เจ้าได้กลับไปจวนแม่ทัพบ้างหรือไม่”“แน่นอน ข้าต้องกลับอยู่แล้ว” นางไม่ได้โกหก หากไม่เพราะนางมีวิชาตัวเบาละก็ นางคงไม่ได้มาหาเขาบ่อยขนาดนี้หรอก เพราะจวนแม่ทัพจ้าวกับบ้านสกุลเ

Latest chapter

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 90 จบ.

    นางจึงให้กินยาบำรุงไป ส่วนคนอื่นก็เจ็บป่วยตามประสาโรคของผู้หญิงจึงมิกล้าเอ่ยปากพูดไป พอเห็นนางเป็นหญิงจึงแทบจะเรียกว่ารุมล้อม จากที่คิดจะเสร็จเร็วจึงใช้เวลาไปมากกว่าที่คิด “อ้อ! ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งเจ้านะ” คณิกานางหนึ่งเอ่ยอย่างเพิ่งนึกได้ เชิญตัวนางมารักษา ต้องมีคนไปส่งนางกลับ เหตุเพราะท่านหมอหญิงผู้นี้ ฝีมือเก่งกาจนัก ทว่ากลับมักจะหลงทิศหลงทางบ่อยๆ “อืม” นางได้แต่พยักหน้ารับ กำลังง่วนกับการเก็บสัมภาระ มือบางก็ถูกยื้อไว้แล้วกำไลหยกวงหนึ่งก็ถูกวางใส่ฝ่ามือของนาง “เห็นว่าเจ้าไม่รับเงิน เจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปแทนเถิด หากจำเป็นเจ้าจะขายหรือทำอย่างไรก็ย่อมได้” “ไม่เป็นไรเจ้าคะ เรื่องเล็กน้อยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงปฏิเสธแต่อีกฝ่ายยืนกรานนางจึงรับไว้ เสี่ยวเอ้อเดินมารับมู่ฟางเหนียง หญิงสาวกล่าวลาแล้วเดินออกมา ทว่าเมื่อเดินผ่านห้องๆ หนึ่ง นางกลับเห็นเงาร่างที่คุ้นตา ยิ่งเมื่อเพ่งตามองผ่านช่องประตูกลับเห็นชายผู้นั้นชัดเจน เขานั่งดื่มสุราอย่างเมามาย “ท่านรองแม่ทัพ” มู่ฟางเหนียงร้องอย่างตกใจ นางรีบผลักบานประตูเข้าไปทันทีโดยไม่สนใจว่าใครจะร้องห้าม “นี่ๆ ใครให้เจ้าเข้ามา” คณิกานางหนึ่งโวยว

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 89.  โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผา 3

    “มิคิดว่าโรงเตี๊ยมเล็กๆ จะมีสุราเลิศรสอย่างนี้” พูดพลางชิมอาหาร “อาหารรสชาติก็ใช้ได้ อีกหน่อยคงโด่งดังมิแพ้โรงเตี๊ยมอื่น” “เป็นอย่างไรล่ะ ผลงานของข้า” นางอวดขึ้นมาทันที “ว่าแต่ท่านรู้ได้อย่างไร ข้าอุตส่าห์แอบเก็บเป็นความลับ ตั้งใจว่าให้โรงเตี๊ยมเข้าที่เข้าทางกว่านี้อีกหน่อยค่อยบอกท่าน” “เจ้าออกจากวังอย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้” องค์ชายไท่หยางส่ายหน้าไปมา ยังดีที่นางบอกใครต่อใครว่าแต่งงานแล้ว มิใช่ทำตัวเป็นสาวน้อย นางคงไม่รู้ตัวว่านับวันนางยิ่งดูเปล่งปลั่งงดงามขึ้นมากกว่าเดิมนัก “ท่านหมอมู่มา เจ้าได้ให้ท่านหมอตรวจร่างกายบ้างหรือไม่” ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่อง เขารู้เรื่องที่ท่านหมอมู่กับบุตรสาวมาเมืองหลวงในช่วงที่เขาไปราชการต่างเมืองพอดี“ข้าให้น้องฟางเหนียงตรวจแล้ว” นางแย้มยิ้ม “นางเขียนใบสั่งยา เป็นยาบำรุงร่างกาย ร่างกายข้าขับพิษออกไปเกือบหมดแล้ว บำรุงตัวเองอีกนิดก็พร้อมมีทายาทให้ท่านได้”เพราะนางบาดเจ็บในครั้งนั้น แม้กำลังภายในจะกลับคืนแต่ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มทีนัก“ข้าห่วงเจ้ามากกว่า เรื่องนั้น ข้ารอได้” เขาแตะหลังมือนาง “สามีไม่โกรธภรรยานะ ข้าแค่อยากช่วยเหลือคนเหล่านี้” นางเคย

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 88.  โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผา 2

    เสี่ยวหลิวกับอาปู้-ลูกชายวัยสิบขวบและอาเหลียง-ลูกสาววัยเจ็ดขวบ รวมถึงคนเฒ่าคนแก่หลายคนที่นางเคยเจอที่ศาลเจ้าร้างเมื่อครั้งที่แอบย่องหนีออกจากวังมาตามหาหัตถ์เทวะ คราแรกนางคิดแค่ว่าอยากมาดูว่าพวกเขายังอยู่ที่นี่หรืออพยพไปแล้ว แต่เมื่อกลับมาก็พบว่าทุกคนยังอยู่ คนไหนที่พอแข็งแรงหน่อยก็ออกไปหาทำงานรับจ้างทั่วๆ ไป พอได้มีข้าวสารมาจุนเจือคนอื่น จากที่คิดว่าจะหาบ้านให้อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งพอคุยกันไปกันมาก็กลายเป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ แห่งนี้ “คนพอใช้งานหรือเปล่า เมื่อครู่ข้าเห็นอาปู้ยกอาหารส่งลูกค้า” เคอหลิ่งหลินถามอย่างเป็นห่วง เขาเป็นแค่เด็กผู้ชายวัยสิบขวบ เพื่อนวัยเดียวกันวิ่งเล่นสนุกสนาน แต่เขากลับต้องทำงานหนัก ครั้งแรกที่เจอกันเขาผายผอมมากแต่ตอนนี้เริ่มมีเนื้อมีหนัง ยามว่างนางก็ให้เขาฝึกหัดเพลงมวยขั้นพื้นฐาน คิดอยู่ว่าจะหาทางให้อาปู้ได้ร่ำเรียนหนังสือหนังหาจะได้มีความรู้และมาช่วยดูแลคนอื่นๆ ได้ “ร้านเพิ่งเปิดค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า อย่าเพิ่งรีบร้อนเลยเจ้าคะ” เสี่ยวหลิวพูดขึ้น “อีกหน่อยอาปู้ต้องไปเรียนหนังสือจะไม่มีคนช่วยงานนะซิ” เคอหลิ่งหลินถอน

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 87.  โรงเตี๊ยมหมื่นบุปผา 1   

    “ก็ได้ ข้าถามใหม่ก็ได้ ท่านจะกลับเมืองหลวงเมื่อไหร่” นางถามทั้งที่ยังเคี้ยวขนมอยู่ “ข้ามาหลายวันแล้ว พรุ่งนี้ได้กำหนดกลับ ยังคิดอยู่ว่าจะได้เจอเจ้าหรือไม่” “โชคดีที่ได้พบกันก่อนท่านจะไป” นางพึมพำ “ระหว่างที่ท่านไม่อยู่ ข้าจะแวะเวียนไปดูแลแม่นมเหมยให้ท่านก็แล้วกัน” ชายหนุ่มมองหญิงสาวที่ยังเอร็ดอร่อยกับขนมในตะกร้า แม่นมเหมยดูแลเขาอยู่หลายปีตั้งแต่อยู่เมืองหลวง เมื่ออายุมากขึ้นจึงขอกลับมาอยู่บ้านเดิม เมื่อเขาเดินทางมาพักฟื้นรักษาร่างกายจึงได้พบกับแม่นมเหมยอีกครั้ง แม้เขาจะไม่ใช่เด็กน้อยแล้วแต่แม่นมเหมยก็ยังคอยทำขนมของกินอร่อยๆ ให้เขาเสมอ ที่ไหนๆ ก็มีบ่อน้ำพุร้อน ทว่าแต่ละที่ที่เคยไป เขามักเบื่อหน่ายกับสตรีมากหน้าหลายตาที่พยายามเข้ามาทำให้ชีวีตคนใกล้ตายอย่างเขาวุ่นวายนัก ร่างกายของเขาอ่อนแอตั้งแต่กำเนิดจะตายวันตายพรุ่งมิอาจรู้ แต่เมื่อมาที่นี่ตามคำเชื้อเชิญของเหวินเฮ่าหลัน กลับได้พบหญิงสาวนิสัยตรงไปตรงมาผู้นี้ นางตรงเสียจนพูดต่อหน้าว่าชอบเขา แต่กลับไม่ได้วุ่นวายในชีวิตเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่น ไปๆ มาๆ เขากลับรู้สึกชอบมองผู้หญิงที่ย

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 86 . ได้ยินว่า

    “แต่คุณหนูเพิ่งเข้ามานะคะ” “ข้าจะพาเมฆเหินไปแช่น้ำร้อน มันอ่อนเพลียมาก” นางบอกไปตามตรง “แต่นายท่านทั้งสองรอคุณหนูอยู่นะเจ้าคะ” “ก็ไปรายงานอย่างที่ข้าบอกนั้นแหละ” หญิงสาวยืนยัน และเมื่อได้เสื้อผ้าเนื้อหยาบแบบสาวชาวบ้านแล้วก็รีบผลัดเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ชุนเอ๋อร์รีบสางผมและเกล้าขึ้นให้คุณหนูใจร้อนของตนเอง ยามอยู่ในชุดทหารนางดูเคร่งขรึมไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ แต่เมื่อถอดเกราะออกแล้ว นางก็เป็นหญิงสาวที่ร่าเริงและซุกซนราวเด็กน้อย หากคุณหนูของนางแต่งกายงดงามเหมือนคุณหนูบ้านอื่นละก็ นางก็งดงามไม่แพ้หญิงใดเลยทีเดียว ร่างเพรียวยกมือขึ้นแตะแก้มชุนเอ๋อร์หยอกล้อเหมือนทุกครั้ง “ข้าไปนะ เดี๋ยวมา” “คุณหนู” ทำได้แค่เรียก แต่คุณหนูของนางก็กระโจนออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับกับหายตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ทำให้คนรับใช้อย่างนางต้องแบกภาระไปรายงานท่านแม่ทัพและฮูหยิน เคอหลิ่งหลินแอบย่องเข้าไปในห้องครัวได้หมั่นโถวมาสองลูกแล้วเดินกัดกินอย่างไม่กังวลเรื่องกิริยามารยาทแล้วเดินมาทางคอกม้า เมฆเหินเห็นนางก็ยกหัวสะบัดไปมาคล้ายจะบ่นที

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 85 จบแล้วสินะ

    หญิงสาวอดคิดถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นไม่ได้ นางเองก็ไม่รู้หรอกว่า โม่ชิงถงถูกหมอกหลอนประสาทไปเห็นภาพอะไรจึงได้ปลิดชีพตนเช่นนั้น แต่นางเข้าใจลวดลายดอกไม้แดงที่ปรากฏแผ่นหลังของนางนั้น เป็นการเผยค่ายกลและที่ซ่อนกระบี่ผงาดฟ้า นางขอร้องให้เหวินเฮ่าหลันหาช่างทำลายดอกไม้แดงบนแผ่นหนังให้เพื่อเก็บไว้ยามจำเป็น เพราะนางจะไม่สำแดงดอกไม้ให้ผู้ใดเห็นอีกนอกจากชายที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางองค์ชายไท่หยางยื่นมือไปดึงร่างบางมานั่งบนตัก กอดรัดนางไว้ดื่มด่ำความอบอุ่นที่ละลายความโดดเดี่ยวในใจของเขาที่เกาะกุมอยู่เนิ่นนาน ‘ทายาทหญิงรุ่นต่อไปเมื่ออายุครบยี่สิบปีดอกไม้แดงจะปรากฏ แม้การปรากฏตัวของดอกไม้แดงจะนำความเจ็บปวดมาให้เจ้าของ ทว่าเมื่อเหยื่อพรหมจรรย์ถูกทำลายความเจ็บปวดนั้นก็มลายไปด้วย เพราะหมายความว่านางจะยอมเสียพรหมจรรย์กับชายคนที่นางรักและเชื่อใจ’เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่สอบถามท่านนักพรตหญิง ปล่อยให้นางเข้าใจไปเถิด เขาจะเก็บความลับรอยสักดอกไม้แดงไว้เอง มือเรียวยกขึ้นคล้องคอเขาไว้และเอียงคอมองเขาด้วยกิริยาน่ารักจนอีกฝ่ายต้องขมวดคิ้ว“ท่านรู้แล้วอย่าแสร้งทำไม่เป็นรู้ซิ” นางทำท่าแง่งอนออกมา“หาเรื่องไปเที่ย

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 84.  ส่งท้าย

    ใครเลยจะคาดคิดว่าบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงและฮูหยินอี้ซิ่วจะถูกตาต้องใจองค์ชายไท่หยาง หลังจากเสร็จงานดูแลราษฏรผู้ประสบอุทกภัยได้เดือนเศษ ทางวังหลวงก็ส่งเกี้ยวมารับเจ้าสาวอย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินหรือเคอหลิ่งหลิน แม้อยู่ในกองทัพจะแลดูดุดันและใบหน้าเรียบนิ่งอยู่เสมอ ทว่าเมื่อมีข่าวมงคลเช่นนี้ เหล่าทหารที่เคยร่วมรบก็อดดีใจมิได้ แน่ชัดแล้วว่านางเป็นที่รักของทุกคนแม้จะโดนนางเคี่ยวกรำฝึกฝนหนักมืออยู่บ้าง กลายเป็นเรื่องเล่าของผู้คนไปทั่ว คราวนั้นนางติดตามฮูหยินอี้ซิ่วเข้าวังหลวง เพียงการพบหน้าครั้งแรก พรหมลิขิตก็บันดาลให้ องค์ชายไท่หยางถึงกับตกหลุมรักบุตรสาวบุญธรรมของแม่ทัพจ้าวเข้าให้จนถอนตัวมิขึ้น บุรุษผู้มีใบหน้าอ่อนโยนแสสุขภาพอ่อนแอมาตั้งแต่กำเนิด กลับหลงรักหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นมือขวาของจ้าวจิ่นสือ บุตรชายของแม่ทัพจ้าวซื่อก่วง องค์ชายไท่หยางขอจัดงานอภิเษกอย่างเรียบง่ายแต่กระนั้นองค์ฮ่องเต้ก็ทรงพระราชทานงานเลี้ยงให้อย่างสมเกียรติ จ้าวหลิ่งหลินขอให้มีการเลี้ยงอาหารแจกทานให้คนยากไร้แทนการมอบของขวัญให้นาง นำพาซึ่งเสียงสรรเสริญแก่คนทั้งสอง ว

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 83. นางยิ่งงดงามเปล่งปลั่งขึ้นเหลือเกิน

    “ข้าโง่งมนักมิรู้จะทำอย่างไรให้ท่านเชื่อใจข้าได้” นางใช้ปลายจมูกถูกไถแผงอกเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วท่านมาหาข้าได้อย่างไรกัน” “ก็ใช้สิทธิ์ขององค์ชายขี้โรคหลบออกมาตามหาเจ้าไงล่ะ” องค์ชายไท่หยางจับมือข้างหนึ่งของนางมากุมไว้แล้วยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตน “เป็นข้าที่ทำให้ท่านเสียการเสียงาน” นางรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้าอีกแล้ว “ใช่...แต่จ้าวจิ่นสือก็บัญชาการได้อย่างดี ทุกอย่างราบรื่น ข้ามิอยู่ตรงนั้นก็ไม่เป็นอะไรหรอก” เขาเริ่มแทะเล็มปลายนิ้วที่ละนิ้วของนาง “เห็นทีข้าต้องไปส่งเจ้าถึงจวนแม่ทัพจ้าวเสียแล้ว” “ข้าไม่อยากเป็นตัวปัญหาของท่าน” นางหายใจติดขัดกับลิ้นชื้นที่ไล้เลียปลายนิ้วของนางอยู่ “หลินเอ๋อร์” เขาเรียกนางด้วยน้ำเสียงรักใคร่ “ข้าควรคุยกับเจ้าให้รู้เข้าใจเสียที” “หือ?” นางช้อนตาขึ้นมอง เห็นแววตาชวนให้หัวใจไหวสั่นแต่ก็ไม่อาจหลบดวงตาคมคู่นี้ได้“อย่างที่เจ้ารู้ ข้าอ่อนแอมาแต่เกิด มิอาจคาดหวังถึงวันพรุ่งนี้ได้ ดังนั้นจึงใช้ชีวิตไปในแต่ละวัน จนเมื่อเจ้าเข้ามาพร้อมไข่มุกหมื่นราตรี ข้าได้มีหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป” เขานิ่

  • บุปผาร่ายรัก   Chapter 82. ลงทัณฑ์

    คนผู้นี้ยามโกรธก็น่ากลัวเหลือเกิน จะขยับร่างกายหนีแต่เตียงก็ไม่ได้กว้างสักเท่าใด เคอหลิ่งหลินทำได้เพียงเบือนหน้าหนีเพราะต้องการตั้งหลักเตรียมรับมือกับโทสะของเขาที่นางเป็นผู้ก่อ ทว่ามือใหญ่กลับยื่นมาจับปลายคางของนางให้หันมามองเขา เห็นเขาอ้าปากจะพูด นางก็ชิงพูดออกมา“ข้าขอโทษๆ ข้าผิดไปแล้ว ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว” เคอหลิ่งหลิงจำใจทำใจกล้าสบตากับดวงตาคู่คมของเขา นางรู้ว่าตนเองทำผิดไป แต่นางตั้งสติได้จะถามว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ก็กลายเป็นริมฝีปากของเขาก็จู่โจมนางอย่างไม่ทันตั้งตัว “อุ๊บ!” ร่างสูงโถมเข้าใส่ปิดปากนางด้วยจุมพิตรุนแรง บดขยี้และขบเม้มริมฝีปากนางจนนางรู้สึกเจ็บ มือเรียวยกดันแผงอกเขาเป็นการประท้วงการลงทัณฑ์อันแสนร้ายกาจของเขา หัวใจชายหนุ่มร้อนระอุ ทั้งห่วงหาอาทร ปวดร้าวใจยิ่งนัก หากไม่เอะใจกับข่าวที่เหวินเฮ่าหลันส่งมากับนกพิราบสื่อสารแล้วละก็ เขาคงควบม้าเร็วตามมาไม่ทันช่วยนางเป็นแน่ มิรู้ว่าเกิดสิ่งใดกับนางบ้าง เขามาถึงเป็นจังหวะที่ร่างใหญ่ยักษ์ของโม่ชิงถงร่วงลงสู่บึงมรกต พอแหงนหน้าขึ้นไปก็เห็นร่างของหญิงสา

DMCA.com Protection Status