“บ้านท่านหมอมู่ใช่หรือไม่”
“ฟางเหนียง! ฟางเหนียง!”
“ท่านพ่อ”
ลูกสาวที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงเรียกขานทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันไป หญิงสาวย่อตัวลงให้ฟางเหนียงลงจากหลัง เขารีบเข้าไปประคองลูกสาวที่เนื้อตัวมอมแมม
“เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา พ่อนึกว่าจะเสียเจ้าไปแล้ว”
“ข้า...ข้า...”
“นางหลงป่า” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนคนที่อ้ำอึ้งอยู่
“หลงป่า? เจ้าเข้าไปทำอะไรในป่า”
“ข้า...ข้า...”
“นางไปหาสมุนไพร ท่านลุงอย่าได้ดุนางเลย นางอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่าน” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนเด็กสาวที่เวลานั้นอายุสิบสี่ปี
“ฟางเหนียง ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปพ่อจะเอาหน้าที่ไหนไปพบแม่ของเจ้าที่ปรโลก”
“ท่านพ่อ ฟางเหนียงผิดไปแล้ว” นางสำนึกผิด “แต่ข้าโชคดีที่พี่หลิ่งหลินมาช่วยไว้”
“ฮืม...คนเราพบกันเพราะมีวาสนา” เคอหลิ่งหลินยืดอกด้วยท่าทางภูมิใจ “ข้าแอบไปฝึกเพลงขลุ่ยในป่าถึงได้เจอน้องฟางเหนียง”
“น้องฟางเหนียง?” ท่านหมอมู่เอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยิน
“ก็นางอายุน้อยกว่าข้า ข้าก็เลยยินดีที่จะเป็นพี่สาวให้นาง ข้าเคอหลิ่งหลินอยู่ในเมืองนี้แหละ ถ้าน้องฟางเหนียงอยากเข้าป่าไปหาสมุนไพรอีก ข้าจะพาไปเอง ข้าเติบโตในป่าชำนาญเรื่องเส้นทางในหุบเขาดี”
“งั้นครั้งหน้าข้าคงต้องรบกวนพี่หลิ่งหลินอีกนะ”
“ครั้งหน้า! เจ้ายังจะกล้าไปอีกเรอะ! แค่นี้พ่อก็แทบจะสิ้นใจอยู่แล้ว!”
“อย่ากังวลไปเลยท่านลุง ข้าเคอหลิ่งหลินจะดูแลน้องฟางเหนียงเอง” นางพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเป็นปกติราวกับเคยชินกับเรื่องเช่นนี้ “แต่ข้าว่าตอนนี้ท่านลุงให้น้องฟางเหนียงได้พักผ่อนก่อนจะดีกว่า ส่วนข้าก็ต้องกลับบ้านแล้วเช่นกัน”
“บ้านเจ้าอยู่ที่ใดรึ”
“บิดามารดาของข้าตายจากไปหลายปี ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่จวนแม่ทัพจ้าว”
เขาไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรอีก คิดว่านางคงเป็นบ่าวไพร่ในจวนแม่ทัพจ้าว ดูแล้วท่าทางนางเป็นคนมีจิตใจดีจึงไม่ได้ห้ามปรามที่ลูกสาวจะมีเพื่อนหรือพี่ นับตั้งแต่นั้นก็เห็นเคอหลิ่งหลินแวะเวียนมาหาฟางเหนียงอยู่เสมอ โดยเฉพาะมาให้ฟางเหนียงสอนเพลงขลุ่ยและอ่านโคลงกลอนต่างๆ
ด้วยความเป็นหมอ มองเพียงปราดเดียวก็สังเกตได้ว่า เคอหลิ่งหลินเคลื่อนไหวร่างกายติดขัด จึงอดเอ่ยปากถามออกไปมิได้
“ข้าซุ่มซ่ามตกม้าเจ้าค่ะ หลังกระแทกพื้นเลยเจ็บนิดหน่อย”
“หากเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าคงไม่ได้มาเดินปร๋อเช่นนี้หรอก”
หญิงสาวได้แต่แสร้งหัวเราะออกมาไม่พูดสิ่งใดอีก
“พี่หลิ่งหลินบาดเจ็บหรือเจ้าคะ ให้ข้าช่วยดูบาดแผลให้นะ” ฟางเหนียงเป็นทุกข์ร้อนที่รู้ว่าพี่สาวของนางบาดเจ็บ
“ไม่ๆ เจ้าไม่ต้องมารักษาข้าเลย ข้าไม่ใช่หมาแมวให้เจ้ามาต่อกระดูกผูกเส้นเอ็นนะ” นางรีบกระโดดหนีแต่เพราะเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจึงเจ็บแปลบตรงที่บวมช้ำ
ท่านหมอมู่ส่ายหน้าไปมา “คงไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก ให้ฟางเหนียงจัดสมุนไพรให้เจ้าเอาไปใส่น้ำแช่ตัวตอนอาบน้ำจะได้บรรเทาเร็วขึ้น”
“จริงรึเจ้าคะ” นางไม่ค่อยมั่นใจนัก ไม่ใช่ไม่มั่นใจในฝีมือการรักษาของฟางเหนียวที่ได้รับความรู้จากบิดา แต่เพราะนางไม่ชอบกินยาอะไรทั้งนั้น ซ้ำยังเคยกระดูกหลุดแล้วฟางเหนียงช่วยต่อกระดูกให้ นางจำได้ว่าร้องลั่นป่าจนเก้งกวางวิ่งแตกกระเจิงเลยทีเดียว
“จริงซิพี่หลิ่งหลิน” ฟางเหนียวหัวเราะน้อยๆ เสียงหัวเราะของนางราวกับเสียงนกร้องเพลง “ว่าแต่ท่านพ่อมีอะไรจะใช้ข้าหรือไม่เจ้าคะ”
“คุณชายเฉินกลับมารักษาตัวที่บ้านสกุลเหวิน ข้าคงต้องออกไปดูเสียหน่อยเลยจะบอกให้เจ้าอยู่ที่นี่ เผื่อมีใครมาให้รักษา เจ้าก็ดูตามสมควร”
“เจ้าค่ะท่านพ่อ”
“คุณชายเฉินมาแล้วหรือ?” เคอหลิ่งหลินไม่เก็บอาการดีใจ ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้มและดวงตาเปล่งประกาย “ท่านหมอมู่ตอนนี้ข้าว่างนะ ข้าช่วยท่านถือของก็ได้”
ท่านหมอมู่รู้ทันจึงส่ายหน้าไปมา “คุณชายเฉินต้องการความสงบในการพักรักษาตัว เจ้าจะไปเสนอหน้าให้คนเขามองเจ้าไม่ดีงั้นเรอะ”
กุลสตรีดีๆ ที่ไหนเขาวิ่งเข้าหาผู้ชายโจ๋งครึ่มแบบนางเล่า
“ข้าแค่ตามท่านไปเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย” เคอหลิ่งหลินแสร้งด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา ทว่าซ่อนแววตาทะเล้นของตนไว้ไม่มิด
“เจ้าชอบคุณชาย หน้าตาเจ้ามันฟ้อง เดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าข้าเอาเจ้าไปยัดเยียดให้คุณชายเฉินนะซิ”
“หน้าตาข้าฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอ” นางกลับยอมรับหน้าตาเฉย ไม่มีความเป็นกุลสตรีเหนียมอายเมื่อพูดถึงชายที่ตนแอบรักสักนิด
“เอาเป็นว่าข้าจะไม่พาเจ้าไปด้วย แล้วก็อย่าแอบตามข้าไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะฟ้องแม่ทัพจ้าว” ท่านหมอมู่ขู่ไปอย่างนั้น ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาสองปี เขายังไม่เคยเจอแม่ทัพจ้าวเลยสักครั้ง
“ได้ๆ ข้าไม่ตามท่านหมอมู่ไปก็ได้”
ท่านหมอมู่มองหญิงสาวที่รับคำโดยง่ายผิดกับทุกครั้ง แต่ไม่มีเวลาที่จะมาใส่ใจเรื่องแบบนี้ จึงได้แต่หมุนตัวแล้วก้าวเท้าออกไป มู่ฟางเหนียงเห็นแผ่นหลังบิดาลับตาไปแล้ว จึงกระแซะ เคอหลิ่งหลินส่งแววตาล้อเลียน
“เพลงขลุ่ยของพี่หลิ่งหลินพัฒนาไปมาก เชื่อว่าชายใดที่ได้ฟังต้องหลงใหลเป็นแน่”
“เจ้าไม่ต้องมายกยอข้าหรอก ขนาดน้องชายตัวดียังไม่ให้กำลังใจข้าเลย”
“พี่หลิ่งหลินจะไม่ตามไปจริงๆ เหรอ”
“ท่านพ่อเจ้าไม่ให้ข้าตามไปนี่” นางทำจมูกย่นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ถ้าข้าไปถึงก่อนก็ไม่เป็นไรใช่ไหม”
เพียงพริบตา เคอหลิ่งหลินก็ใช้วิชาตัวเบากระโจนออกจากห้องเก็บยาไป มู่ฟางเหนียงได้แต่ยิ้ม นางเป็นลูกสาวคนเดียวที่บิดาเอาแต่ทุ่มเทชีวิตเพื่อรักษาผู้อื่น ทว่านางก็ไม่เคยคิดน้อยใจอะไรเพราะเข้าใจในสิ่งที่บิดาทำ แม้จะแรมรอนร่อนเร่อยู่นานจนเหมือนจะคุ้นชิน แต่เอาเข้าจริงนางก็ยังเหงาอยู่บ้างและใช้วิธีศึกษาตำรายาต่างๆ เพื่อแบ่งเบาภาระของบิดา
ทว่าเมื่อได้พบกับ ‘พี่หลิ่งหลิน’ ชีวิตนางก็เปลี่ยนไป แม้จะไม่รู้ว่า ‘พี่หลิ่งหลิน’ ของนางเป็นใคร ทำอะไรกันแน่ แต่ก็รู้สึกว่านางเป็นคนดีที่เชื่อใจได้ นางจะเชี่ยวชาญการรักษาที่บิดาถ่ายทอดความรู้ให้ ทว่านางกลับอ่อนด้อยเรื่องทิศทางยิ่งนัก นางเป็นคนที่จำเส้นทางไม่ค่อยเม่นยำมักหลงทางอยู่บ่อยๆ เพราะอย่างนี้นางจึงไม่ค่อยออกไปไหน เพราะเกรงตัวเองจะเป็นภาระผู้อื่น แต่เมื่อเคอหลิ่งหลินมาหานางจึงได้ไปโน้นไปนี่บ่อยขึ้น โดยเฉพาะขึ้นเขาหาสมุนไพรให้บิดา “อยากเห็นผู้ชายที่ทำให้พี่หลิ่งหลินฝึกเพลงขลุ่ยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้นไปหน้าบ้านซึ่งเป็นทั้งโรงหมอและที่พักอาศัย ปีนี้นางอายุสิบหกแล้วมีแม่สื่อมาทาบทามหลายครั้งแต่นางก็ยังอยากอยู่กับบิดาเช่นนี้ และบิดาก็ตามใจนางสักวันนางคงเจอใครสักคน ที่ทำให้นางอยากบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนหวาน เหมือนอย่างที่พี่หลิ่งหลินก็เป็นได้.หญิงสาวในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินเร็วๆ ตามแผ่นหลังของท่านหมอมู่โดยรักษาระยะห่างไม่เข้าใกล้จนอีกฝ่ายรู้ตัว แค่เพียงคิดถึงคุณชายเฉินผู้ที่มักจะอยู่ในชุดสีขาวปักลายเมฆผู้นั้น ใบหน้าของเคอหลิ่งหลินก็ปรากฏรอยยิ้มอย่า
“เป็นเช่นนั้นเองหรอกหรือ แม่นางช่างมีจิตใจอารีนอกจากจะช่วยแม่นมของข้าแล้วยังเป็นห่วงเป็นใยข้าด้วย”จิตใจอารี? หญิงสาวทำตาโต เกิดมาเพิ่งเคยมีใครพูดแบบนี้กับนางเป็นคนแรก ที่ผ่านมาได้ยินแต่ว่านางโหดเหี้ยมเสียมากกว่า “ข้าจำได้ว่าติดค้างเลี้ยงน้ำชากับแม่นาง”“ไม่เป็นไรๆ” นางโบกไม้โบกมือไปมา มือไม้เริ่มไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน “ข้ายังต้องรบกวนท่านหมอมู่รักษาดูอาการและพักฟื้นที่นี่หลายวัน ถ้าอย่างไร แม่นางผ่านมาก็แวะมาเยี่ยมเยือนได้ทุกเมื่อ”“จริงเหรอ ข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้เหรอ” บุรุษหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบแต่พยักหน้ารับ เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็แทบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่ยังดีที่นางสำรวมกิริยาแล้วเหลือบตามองท่านหมอมู่เหมือนจะขอโทษอยู่ในที ท่านหมอมู่มองหญิงสาวแล้วส่ายหน้าไปมา ดีแล้วที่ลูกสาวของเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่จะว่าอย่างไรได้ ได้ยินว่านางเป็นเด็กกำพร้า คงไม่มีใครบอกนางเรื่องกิริยาที่ควรหรือไม่ควรต่อหน้าบุรุษนัก “วันนี้ข้ามารบกวนท่านแล้ว วันหน้าข้าจะมาใหม่”“ฮืม...”นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เคอหลิ่งหลินมาชะเง้อมองบุรุษหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานดุจเทพเจ้าผู้นั้นมาตลอดสองปี เมื่อไหร่ที
“เหอะ!” จ้าวจิ่นสือทำเสียงในลำคออย่างไม่พอใจนัก “อย่างเจ้าเขาเรียกเจ้าเล่ห์มิใช่ฉลาด”“เอาน่ายังไงข้าก็ได้เป็นพี่สาวเจ้าก็แล้วกัน” ปลายนิ้วจิ้มมาที่หน้าผากของอีกฝ่าย แต่นางชะงักมือไปเล็กน้อย ท่าทางของนางทำให้ จ้าวจิ่นสือขมวดคิ้ว“เป็นอะไรไปรึ” เขาเองก็ชินกับการตีสนิทเสมอตัวของนางแล้ว“เจ้านี่...สูงขึ้นหรือเปล่านะ”“แน่ล่ะ ข้าก็ต้องสูงใหญ่และหล่อเหลาเป็นธรรมดา”“หล่อเหลา? เจ้านี่กล้าประกาศว่าตัวเองหล่อเหลางั้นเหรอ” เคอหลิ่งหลินถึงกับหัวเราะออกมา เติบโตมาพร้อมกัน ตั้งแต่ออกจากบ้านป่านางติดตามท่านแม่ทัพออกศึก ในขณะที่จ้าวจิ่นสือศึกษาตำราและฝึกฝนอยู่ที่วังหลวงเป็นส่วนใหญ่ ปีหนึ่งจะได้เจอกันกันไม่กี่ครั้ง แต่ละครั้งราวครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน แต่เมื่อเขาอายุครบสิบแปดก็มาเป็นเรี่ยวแรงสำคัญให้บิดาของเขา“เจ้าอยู่กับพวกทหารจะรู้ได้ไงว่าบุรุษผู้หล่อเหลาเป็นเช่นไร”ประโยคของจ้าวจิ่นสือทำให้เคอหลิ่งหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ใครว่าละ? นางเพิ่งเจอบุรุษผู้หล่อเหลาเข้าให้แล้ว เขาดูสุภาพนักทั้งที่เพิ่งพบกันครั้งแรกก็ยังมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน นางเติบโตกับบิดาที่เป็นโจรภูเขาแล้วยังมาติดตามท่านแม่ทัพอีก
เคอหลิ่งหลินนิ่งไปอึดใจ มือนางสั่นน้อยๆ ก่อนจะยกขึ้นโบกไปมาเบื้องหน้าเขา ชายหนุ่มผงะไปด้านหลังเล็กน้อยก่อนที่จะยกมือมาจับมือของนางไว้ หัวใจของหญิงสาวเหมือนถูกบีบรัด หากเป็นเวลาปกตินางคงดีใจที่เขาจับมือนางเช่นนี้ “ดูออกชัดขนาดนั้นเชียวหรือ?” เขาหัวเราะเบาๆ ราวกับไม่เดือดร้อนกับอาการของตัวเอง “ท่าน...ทำไม...เกิดอะไรขึ้น” นางถือวิสาสะนั่งบนเตียงข้างเขา สำรวจดูภายนอกไม่เห็นเขามีบาดแผลหรือได้รับบาดเจ็บ ไยเขาจึง...จึงมองไม่เห็นนาง “เป็นเรื่องของสวรรค์” “บ้าซิ!” นางสบถ แต่กลับทำให้ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “จู่ๆ ท่านจะมองไม่เห็นได้อย่างไร” “ข้าเพียงถูกพิษเล่นงาน” เขายังไม่ปล่อยมือเธอ เพียงแต่กำไว้หลวมๆ หวังให้นางรู้สึกผ่อนคลาย เป็นเขาที่มองไม่เห็น แต่ดูนางจะเดือดร้อนกว่าเขาเสียอีก “มีหญิงสาวที่ไหนทำท่านรึ” “อะไรนะ?” “ท่านไปทำอะไรใครถึงโดนยาพิษเข้าล่ะ” “แล้วทำไมแม่นางเคอคิดว่าเป็นผู้หญิงที่เล่นงานข้า” ใช่...แม้แต่เขายังไม่คิด “ก็ท่านหล่อเหลาแบบนี้ อาจเล่นตัวไม่รั
“แต่ฮูหยินกำชับมานะเจ้าคะ” “ก็บอกว่าเจ้าไม่เห็นข้าก็สิ้นเรื่อง ข้าไปล่ะ เจ้าจะได้ไม่เดือดร้อน” “คุณหนู” ชุนเอ๋อร์ได้แต่มองร่างเพรียวในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบกระโดดออกนอกหน้าต่างไป วิชาตัวเบาของเคอหลิ่งหลินไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด คนรับใช้อย่างนางจึงเห็นแต่แผ่นหลังไวไว หายลับตาไป “ท่านไม่อยู่ต่างหากที่ทำให้บ่าวเดือดร้อน” ชุนเอ๋อร์ได้แต่พูดเสียงอ๋อยตามลำพัง เมื่อไหร่เจ้านายของนางจะแต่งตัวงดงามนั่งอยู่ในบ้านนิ่งๆ ในนางได้ปรนนิบัติเหมือนบ่าวไพร่คนอื่นบ้างนะ เคอหลิ่งหลินใช้เวลาไม่นานก็มาถึงเรือนรับรองที่คุณชายเฉินพักอยู่ นางเหวี่ยงตัวนั่งบนกิ่งไม้ใหญ่มองดูร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินออกมาบริเวณสวนหย่อม นางแปลกใจที่เขาเดินได้มั่งคงไม่เหมือนคนตาบอด แต่ยังไม่ทันไร เขาสะดุดกับก้อนหินเข้าให้ ร่างเพรียวผวาเฮือกแล้วกระโจนเข้าไปให้ดึงแขนเขาไว้อย่างรวดเร็ว “ท่านจะทำอะไร” เคอหลิ่งหลินส่งเสียงดุเบาๆ จับไหล่สองข้างของเขาให้ยืนให้มั่นคง “แม่นางเคอ?”เขาเอ่ยชื่อแล้วปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้ารอยยิ้มของเขาทำให้หญิงสาวเก้อเขินจนต้องรีบปล่อ
สภาพครึ่งผีครึ่งคนอย่างเขาความจริงก็เป็นสุขดีไม่น้อย ไม่นับอาการอ่อนเพลียของตนเองแล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี บรรดาน้องชายน้องสาวก็ให้ความเคารพเขาตามสมควร มีเพียงสองเรื่องที่มารบกวนจิตใจของเขาคือการที่เขายังไม่แต่งงานและความวุ่นวายเดียวที่เขารับได้คือ ‘เคอหลิ่งหลิน’ นางชอบเขาอย่างเปิดเผยทว่าจริงใจ หน้าตานางออกจะธรรมดา นิสัยยังโผงผางหรือบางครั้งก็เหมือนเด็กทั้งที่นางบอกว่าตัวเองอายุยี่สิบแล้ว นางไม่เคยถามว่าเขาเป็นใคร นางพอใจกับการเรียกเขาว่า ‘คุณชายเฉิน’ เขาจึงพึ่งพอใจที่จะเรียกนางว่า ‘แม่นางเคอ’ และเมื่อนางไม่ถามเรื่องส่วนตัวของเขา เขาก็ไม่ถามเรื่องของนาง รับรู้เพียงแค่นางชอบม้าและดูแลม้าอยู่จวนแม่ทัพจ้าว นางมักพกกระบี่ไม้ไผ่เสมอแต่ก็ไม่เคยเห็นนางใช้ทำร้ายผู้ใด “แม่นางเคอ”“หือ?” นางเงยหน้าขึ้นมองเขาขณะที่สองมือยังประคองแขนให้เขาเดินไปข้างหน้า“ทำไมข้ารู้สึกเหมือนเจ้าอยู่ข้างกายข้าตลอดเวลาเลยล่ะ เจ้าได้กลับไปจวนแม่ทัพบ้างหรือไม่”“แน่นอน ข้าต้องกลับอยู่แล้ว” นางไม่ได้โกหก หากไม่เพราะนางมีวิชาตัวเบาละก็ นางคงไม่ได้มาหาเขาบ่อยขนาดนี้หรอก เพราะจวนแม่ทัพจ้าวกับบ้านสกุลเ
เคอหลิ่งหลินกลับมาถึงจวนแม่ทัพจ้าว ร่างเพรียวเดินผ่านประตูแล้วชะงักเท้าไป นางเดินเลี้ยวไปที่คอกม้าก่อน แม้จะมีคนดูแลม้าอยู่หลายคนแล้วนางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ม้าก็เปรียบเสมือนอาวุธประจำกายแม่ทัพ แม้ยามสุขสงบก็ต้องดูแลอย่างดี นางแปลกใจที่มีม้าตัวใหม่มาเพิ่ม อาชาสีดำรูปร่างงามสง่า ใบหน้าสวยเผลอยิ้มอย่างไม่รู้ตัว“ม้ามองโกลตัวนี้มาได้อย่างไร”“งามใช่ไหม”“ใช่ งามสง่ามาก” นางตอบไม่หันไปมองเสียงที่เอ่ยถาม นางเดินเข้าไปใกล้ม้าสีดำที่ทำท่าพยศใส่“ระวังด้วย” “ชู่ว์” เคอหลิ่งหลินกระซิบพลางยื่นมือไปแตะปลายจมูกเบาๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไว้ใจนาง นางจึงเลื่อนฝ่ามือลูบไล้มันอย่างปลอบโยน“เจ้าช่างงามสง่านัก” นางกระซิบ “ข้าจะอาบน้ำแปรงขนให้เจ้าอย่างดี”เสียงหัวเราะด้านหลังทำให้นางตื่นจากภวังค์แล้วหันไปมอง ชายคนนั้นยืนมองนางอยู่ ด้วยสายตาที่ออกจะหยามเหยียด ใบหน้าคมเชิดขึ้นอย่างคนเอาแต่ใจ แต่นางกลับถอนหายใจเบาๆ เบื่อหน่ายกับคนประเภทนี้นัก คงเป็นสหายของจ้าวจิ่นสืออีกละซิเจ้าเด็กคนนี้ก็เลือกคบคนได้น่าประทับใจดีแท้“เจ้าไม่กลัวม้าตัวใหญ่ขนาดนี้เลยหรือไง”“ทำไมต้องกลัวม้าที่สง่างามเช่นนี้ด้วย“เจ้าเป็น
“ก็ท่านเคยบอกว่าท่านอยู่จวนแม่ทัพจ้าว ข้าก็จะไปจวนแม่ทัพเจ้า แต่...แต่...”“เอาเถอะๆ ดีแล้วที่เจ้าไม่เป็นอะไร” เคอหลิ่งหลินเกรงว่าเด็กสาวตรงหน้าจะถูกใครล่อลวงเข้าให้ เพราะมู่ฟางเหนียงแสนจะใจดีมีเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ ใครบาดเจ็บหรือป่วยไข้มานางก็รักษาอย่างเต็มกำลังแม้ตัวเองจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใดก็ตาม ไม่นับรวมใบหน้าที่งดงามของนางอีกด้วย“คนที่เป็นไม่ใช่ข้าแต่เป็นคุณชายเฉิน”“อะไรนะ”“พี่หลิ่งหลินรีบไปบ้านสกุลเหวินเถิด พ่อข้าก็อยู่ที่นั้น”“คุณชายเฉิน” เคอหลิ่งหลินเรียกชื่อนั้นเหมือนละเมอ พอตั้งสติได้ก็จับข้อมือเล็กๆ ของมู่ฟางเหนียงไม่ให้ผลัดหลงแล้วรีบเร่งเดินทางไปทางบ้านสกุลเหวินทันทีหญิงสาวทั้งสองมาถึงบ้านสกุลเหวิน เคอหลิ่งหลินเข้าไปที่เรือนพักของคุณชายเฉินอย่างคุ้นเคยแต่มู่ฟางเหนียวอดเหลียวมองคฤหาสน์หลังใหญ่โตด้วยแววตาตื่นเต้นไม่ได้ เพียงหญิงสาวปราดเปรียวในชุดสีเขียวเข้มก้าวเข้ามา สายตาของนางก็ปะทะกับร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ของต้าซื่อ เคอหลิ่งหลินสูดลมหายใจลึก นางเคยอยู่ในสนามรบมานับครั้งไม่ถ้วน ได้เจอคนบาดเจ็บล้มตายมานักต่อนัก แต่เมื่อเห็นบาดแผลของคนคุ้มกันของคุณชายเฉินแล้วหั