Share

Chapter 9. มู่ฟ่างเหนียง

“บ้านท่านหมอมู่ใช่หรือไม่”

“ฟางเหนียง! ฟางเหนียง!”  

“ท่านพ่อ” 

            ลูกสาวที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงเรียกขานทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันไป หญิงสาวย่อตัวลงให้ฟางเหนียงลงจากหลัง เขารีบเข้าไปประคองลูกสาวที่เนื้อตัวมอมแมม

            “เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา พ่อนึกว่าจะเสียเจ้าไปแล้ว”

            “ข้า...ข้า...”

            “นางหลงป่า” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนคนที่อ้ำอึ้งอยู่

            “หลงป่า? เจ้าเข้าไปทำอะไรในป่า”

            “ข้า...ข้า...”

            “นางไปหาสมุนไพร ท่านลุงอย่าได้ดุนางเลย นางอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่าน” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนเด็กสาวที่เวลานั้นอายุสิบสี่ปี 

            “ฟางเหนียง ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปพ่อจะเอาหน้าที่ไหนไปพบแม่ของเจ้าที่ปรโลก”

            “ท่านพ่อ ฟางเหนียงผิดไปแล้ว” นางสำนึกผิด “แต่ข้าโชคดีที่พี่หลิ่งหลินมาช่วยไว้”

            “ฮืม...คนเราพบกันเพราะมีวาสนา” เคอหลิ่งหลินยืดอกด้วยท่าทางภูมิใจ “ข้าแอบไปฝึกเพลงขลุ่ยในป่าถึงได้เจอน้องฟางเหนียง”

            “น้องฟางเหนียง?” ท่านหมอมู่เอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยิน

            “ก็นางอายุน้อยกว่าข้า ข้าก็เลยยินดีที่จะเป็นพี่สาวให้นาง ข้าเคอหลิ่งหลินอยู่ในเมืองนี้แหละ ถ้าน้องฟางเหนียงอยากเข้าป่าไปหาสมุนไพรอีก ข้าจะพาไปเอง ข้าเติบโตในป่าชำนาญเรื่องเส้นทางในหุบเขาดี”

            “งั้นครั้งหน้าข้าคงต้องรบกวนพี่หลิ่งหลินอีกนะ”

            “ครั้งหน้า! เจ้ายังจะกล้าไปอีกเรอะ! แค่นี้พ่อก็แทบจะสิ้นใจอยู่แล้ว!”

            “อย่ากังวลไปเลยท่านลุง  ข้าเคอหลิ่งหลินจะดูแลน้องฟางเหนียงเอง” นางพูดด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงเป็นปกติราวกับเคยชินกับเรื่องเช่นนี้ “แต่ข้าว่าตอนนี้ท่านลุงให้น้องฟางเหนียงได้พักผ่อนก่อนจะดีกว่า ส่วนข้าก็ต้องกลับบ้านแล้วเช่นกัน”

            “บ้านเจ้าอยู่ที่ใดรึ”

            “บิดามารดาของข้าตายจากไปหลายปี ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่จวนแม่ทัพจ้าว”

            เขาไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรอีก  คิดว่านางคงเป็นบ่าวไพร่ในจวนแม่ทัพจ้าว  ดูแล้วท่าทางนางเป็นคนมีจิตใจดีจึงไม่ได้ห้ามปรามที่ลูกสาวจะมีเพื่อนหรือพี่ นับตั้งแต่นั้นก็เห็นเคอหลิ่งหลินแวะเวียนมาหาฟางเหนียงอยู่เสมอ โดยเฉพาะมาให้ฟางเหนียงสอนเพลงขลุ่ยและอ่านโคลงกลอนต่างๆ

            ด้วยความเป็นหมอ มองเพียงปราดเดียวก็สังเกตได้ว่า     เคอหลิ่งหลินเคลื่อนไหวร่างกายติดขัด จึงอดเอ่ยปากถามออกไปมิได้

            “ข้าซุ่มซ่ามตกม้าเจ้าค่ะ หลังกระแทกพื้นเลยเจ็บนิดหน่อย”

            “หากเป็นเช่นนั้นจริงเจ้าคงไม่ได้มาเดินปร๋อเช่นนี้หรอก”

            หญิงสาวได้แต่แสร้งหัวเราะออกมาไม่พูดสิ่งใดอีก

            “พี่หลิ่งหลินบาดเจ็บหรือเจ้าคะ ให้ข้าช่วยดูบาดแผลให้นะ” ฟางเหนียงเป็นทุกข์ร้อนที่รู้ว่าพี่สาวของนางบาดเจ็บ

            “ไม่ๆ เจ้าไม่ต้องมารักษาข้าเลย ข้าไม่ใช่หมาแมวให้เจ้ามาต่อกระดูกผูกเส้นเอ็นนะ” นางรีบกระโดดหนีแต่เพราะเคลื่อนไหวเร็วเกินไปจึงเจ็บแปลบตรงที่บวมช้ำ 

            ท่านหมอมู่ส่ายหน้าไปมา “คงไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก ให้ฟางเหนียงจัดสมุนไพรให้เจ้าเอาไปใส่น้ำแช่ตัวตอนอาบน้ำจะได้บรรเทาเร็วขึ้น”

            “จริงรึเจ้าคะ” นางไม่ค่อยมั่นใจนัก ไม่ใช่ไม่มั่นใจในฝีมือการรักษาของฟางเหนียวที่ได้รับความรู้จากบิดา แต่เพราะนางไม่ชอบกินยาอะไรทั้งนั้น ซ้ำยังเคยกระดูกหลุดแล้วฟางเหนียงช่วยต่อกระดูกให้ นางจำได้ว่าร้องลั่นป่าจนเก้งกวางวิ่งแตกกระเจิงเลยทีเดียว

            “จริงซิพี่หลิ่งหลิน” ฟางเหนียวหัวเราะน้อยๆ เสียงหัวเราะของนางราวกับเสียงนกร้องเพลง “ว่าแต่ท่านพ่อมีอะไรจะใช้ข้าหรือไม่เจ้าคะ”

            “คุณชายเฉินกลับมารักษาตัวที่บ้านสกุลเหวิน ข้าคงต้องออกไปดูเสียหน่อยเลยจะบอกให้เจ้าอยู่ที่นี่ เผื่อมีใครมาให้รักษา เจ้าก็ดูตามสมควร”

            “เจ้าค่ะท่านพ่อ”

            “คุณชายเฉินมาแล้วหรือ?” เคอหลิ่งหลินไม่เก็บอาการดีใจ ใบหน้าสวยเต็มไปด้วยรอยยิ้มและดวงตาเปล่งประกาย “ท่านหมอมู่ตอนนี้ข้าว่างนะ ข้าช่วยท่านถือของก็ได้”

            ท่านหมอมู่รู้ทันจึงส่ายหน้าไปมา “คุณชายเฉินต้องการความสงบในการพักรักษาตัว  เจ้าจะไปเสนอหน้าให้คนเขามองเจ้าไม่ดีงั้นเรอะ”

            กุลสตรีดีๆ ที่ไหนเขาวิ่งเข้าหาผู้ชายโจ๋งครึ่มแบบนางเล่า

            “ข้าแค่ตามท่านไปเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย”  เคอหลิ่งหลินแสร้งด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา ทว่าซ่อนแววตาทะเล้นของตนไว้ไม่มิด

            “เจ้าชอบคุณชาย หน้าตาเจ้ามันฟ้อง เดี๋ยวคนอื่นจะมองว่าข้าเอาเจ้าไปยัดเยียดให้คุณชายเฉินนะซิ”

            “หน้าตาข้าฟ้องขนาดนั้นเลยเหรอ” นางกลับยอมรับหน้าตาเฉย ไม่มีความเป็นกุลสตรีเหนียมอายเมื่อพูดถึงชายที่ตนแอบรักสักนิด

            “เอาเป็นว่าข้าจะไม่พาเจ้าไปด้วย แล้วก็อย่าแอบตามข้าไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าจะฟ้องแม่ทัพจ้าว” ท่านหมอมู่ขู่ไปอย่างนั้น ตั้งแต่อยู่ที่นี่มาสองปี เขายังไม่เคยเจอแม่ทัพจ้าวเลยสักครั้ง

            “ได้ๆ ข้าไม่ตามท่านหมอมู่ไปก็ได้” 

            ท่านหมอมู่มองหญิงสาวที่รับคำโดยง่ายผิดกับทุกครั้ง  แต่ไม่มีเวลาที่จะมาใส่ใจเรื่องแบบนี้  จึงได้แต่หมุนตัวแล้วก้าวเท้าออกไป มู่ฟางเหนียงเห็นแผ่นหลังบิดาลับตาไปแล้ว จึงกระแซะ เคอหลิ่งหลินส่งแววตาล้อเลียน

“เพลงขลุ่ยของพี่หลิ่งหลินพัฒนาไปมาก เชื่อว่าชายใดที่ได้ฟังต้องหลงใหลเป็นแน่”

            “เจ้าไม่ต้องมายกยอข้าหรอก ขนาดน้องชายตัวดียังไม่ให้กำลังใจข้าเลย”

“พี่หลิ่งหลินจะไม่ตามไปจริงๆ เหรอ”

            “ท่านพ่อเจ้าไม่ให้ข้าตามไปนี่” นางทำจมูกย่นแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์ “แต่ถ้าข้าไปถึงก่อนก็ไม่เป็นไรใช่ไหม”

            เพียงพริบตา เคอหลิ่งหลินก็ใช้วิชาตัวเบากระโจนออกจากห้องเก็บยาไป มู่ฟางเหนียงได้แต่ยิ้ม นางเป็นลูกสาวคนเดียวที่บิดาเอาแต่ทุ่มเทชีวิตเพื่อรักษาผู้อื่น ทว่านางก็ไม่เคยคิดน้อยใจอะไรเพราะเข้าใจในสิ่งที่บิดาทำ แม้จะแรมรอนร่อนเร่อยู่นานจนเหมือนจะคุ้นชิน  แต่เอาเข้าจริงนางก็ยังเหงาอยู่บ้างและใช้วิธีศึกษาตำรายาต่างๆ เพื่อแบ่งเบาภาระของบิดา

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status