เคอหลิ่นหลิงใช้ชีวิตในป่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องเส้นทางในป่าและการแกะรอย บิดาของนางฝึกวรยุทธให้นาง มารดาของนางจากไปตั้งแต่นางไม่ถึงขวบและบิดาไม่แต่งภรรยาใหม่ บิดาจึงเลี้ยงดูนางเหมือนเด็กชายมากกว่าเด็กหญิงเพียงเพราะให้นางดูแลตัวเองได้ยามเมื่อไร้เงาของบิดา
เมื่อชายแดนสงบแม่ทัพจ้าวได้กลับมาอยู่จวนกับครอบครัว นางกับบิดาก็ติดตามกลับมาด้วย ฮูหยินอี้ซิ่วมีใจเมตตาต่อนาง ยิ่งรู้ว่านางเป็นกำพร้าต้องติดตามบิดาไปร่วมรบกับท่านแม่ทัพก็ยิ่งสงสาร ฮูหยินมีบุตรชายเพียงคนเดียวซึ่งเกิดปีเดียวกับนางแต่อ่อนเดือนกว่าชื่อจ้าวจิ่นสือ
“ข้าอยากมีลูกสาวมานานแล้ว เจ้ามาเป็นลูกสาวของข้า
ได้ไหม หลิ่งหลิน”
หญิงสาวจำได้ว่าตอนนั้นนางเอาแต่สั่นหน้าปฏิเสธจนผมยาวสะบัดไปมา การปฏิเสธครั้งนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้าง มีเพียงจ้าวจิ่นสือที่แสดงท่าทางไม่พอใจเหมือนเด็กที่กลัวถูกแย่งความรักจากพ่อแม่... ก็แน่ละ บิดาของเขาไปอยู่ชายแดนนานหลายเดือน เขาแทบไม่ได้เจอบิดาของตนเลย แต่นางกลับได้อยู่ใกล้บิดาของเขาซ้ำบิดายังฝึกเพลงกระบี่ให้อีกด้วยจะไม่เขาริษยาได้อย่างไรกัน
หญิงสาวกลั้นหัวเราะ นางไม่อยากหัวเราะเพราะมันทำให้รู้สึกเจ็บในกาย แต่กระนั้นก็อดคิดถึงวัยเด็กของตนไม่ได้ ในปีถัดมานางอายุสิบสี่เป็นปี่ที่บิดาตายไปเพราะช่วยชีวิตแม่ทัพจ้าวจากการถูกลอบสังหาร นางเหลือตัวคนเดียวแล้วจริงๆ เพราะออกจากหุบเขาชิงซานมานานจนไม่แน่ใจว่านางเคยมีญาติพี่น้องที่ใดหรือไม่ นางควรจะร้องไห้ให้การจากไปของบิดา ทว่ากลับไม่มีน้ำตารินไหล หลายคืนล่วงผ่านนางยืนมองเงาจันทร์ในสระบัวของจวนแม่ทัพจ้าว ขณะครุ่นคิดถึงหนทางชีวิตของตัวเองอยู่นั้น ร่างของจ้าวจิ่น สือก็ปรากฏอยู่เบื้องหลัง พร้อมเสียงกระแอมไอให้นางรู้ตัวถึงการมาของเขา
“คุณชายจิ่นสือมีอะไรจะให้ข้ารับใช้เหรอเจ้าคะ” นางถูกบิดาสั่งสอนมาให้วางตัวเสมือนเป็นหญิงรับใช้ เมื่ออยู่กับบุตรชายแม่ทัพจ้าว
นางเคยเถียงบิดาหลายครั้ง ก็ทำไมนางต้องกลายเป็นหญิงรับใช้ด้วยเล่า? นางก็อยู่ของนางดีๆ ไยให้ไปรับใช้ผู้อื่น แต่ตอนนี้สถานะนางเปลี่ยนไป นางไม่มีที่ไปแถมไม่มีที่ซุกหัวนอนอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าจะอยู่ในจวนแม่ทัพจ้าวในฐานะอะไร นอกจากหญิงรับใช้ที่บิดาเคยบอก
“ข้าจะมาใช้เจ้าทำไมกัน คนรับใช้มีเยอะแยะไป” เขาขมวดคิ้ว แม้จะอายุเท่ากันแต่เขาดูสง่างามสมกับเป็นบุตรของฮูหยินอี้ซิ่วและท่านแม่ทัพ
“อ้าว” มือน้อยๆ ของนางยกขึ้นเกาศีรษะอย่างงุนงง
“แล้วเจ้ามายืนคนเดียวที่นี่ทำไมตั้งนาน ดึกแล้วน้ำค้างแรงนัก”
“อ่อ” นางพยักหน้าอย่างนึกได้แล้วเพิ่งรู้สึกว่าน้ำค้างแตะไหล่จนซึมทะลุผ่านเสื้อเนื้อหยาบที่สวมอยู่ มือเล็กปัดหยดน้ำที่บ่าแล้วบ่นพึมพำ
“ข้ามีเสื้อผ้าไม่เยอะเสียด้วยซิ ซักบ่อยจะเปื่อยเอาเสียก่อน”
คิ้วเข้มของเขาขมวดยุ่งและฮึดฮัดกับท่าทางไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับโชคชะตาของตนเอง จ้าวจิ่นสือยอมรับว่าสงสารนาง เขาบังเอิญได้ยินบิดาและมารดาสนทนากันเรื่องเคอหลิ่งหลิน ชีวิตนางน่าสงสาร ถ้าบิดาของนางไม่สละชีวิตของตนเองปกป้องบิดาของเขาแล้ว คงเป็นเขาเองนั้นแหละที่จะเป็นกำพร้า เช่นนั้นแล้วการที่บิดาของเขาจะรับนางเป็นบุตรบุณธรรมจึงเป็นเรื่องที่สมควรอยู่ ปัญหาอยู่ที่นางไม่อยากอยู่ที่นี่แต่นางเองก็ไม่มีที่จะไป
“ถ้าเจ้าเป็นคนสกุลจ้าวเมื่อไหร่ อยากได้เสื้อผ้ามากแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา”
เด็กหญิงเอียงคอฟังอีกฝ่ายแล้วทำหน้าฉงนในสิ่งที่ได้ยิน นั้นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มหงุดหงิด
“เสื้อผ้าข้ามีพออยู่แล้ว เพียงแค่ข้าขี้เกียจซักน่ะ”
“ถ้าเจ้าเป็นคนสกุลจ้าวเมื่อไหร่ เสื้อผ้าก็ไม่ต้องซักเอง” นางช่างทึ่มนัก นี่นะหรือเด็กสาวแสนชาญฉลาดที่บิดาเขากล่าวชมอยู่เสมอ “นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็ยังมีอาหารการกิน เจ้าชอบกินหมั่นโถวไม่ใช่เรอะ”
“จริงเหรอ ข้าจะได้กินหมั่นโถวด้วยเหรอ”
โธ่! เรื่องกินนี่เรื่องใหญ่จริง
“ใช่...จะกินเท่าไหร่ก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ด้วย ถ้าเจ้าอยู่ที่นี่นะ”
“ข้าอยู่ที่นี่ได้จริงๆ เหรอ” เด็กสาวถามอย่างไม่มั่นใจ
“ได้ซิ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็อยากให้เจ้าอยู่ที่นี่”
“แล้วเจ้าล่ะ?”
“ข้า?”
“อืม...ข้าก็ชอบที่นี่นะ มีที่ซุกหัวนอน มีของอร่อยให้กิน แต่ข้าไม่อยากเป็นคนรับใช้นี่”
“ใครจะให้เจ้าเป็นคนรับใช้กันเล่า”
“แล้วจะให้ข้าอยู่ที่นี่ทำอะไรล่ะ” นางยังเกาศีรษะน้อยๆอย่างไม่เข้าใจ
“ก็มาเป็นพี่น้องกับข้าไง” จ้าวจิ่นสือพูดอย่างหมดความอดทน
“ห๋า!” นางร้องเสียงดังอย่างตกใจ
“ใช่! ไม่ดีหรือไง!”
“ก็...ถ้าข้าเป็นน้องของเจ้า เจ้าก็ต้องข่มเหงข้านะซิ”
เด็กหนุ่มตบหน้าผากตัวเอง นางโง่และทึ่มอย่างที่สุดแต่เขาก็สงสารนาง ยิ่งเห็นนางยืนเหม่อลำพังก็รู้ดีว่านางต้องเหงาและทุกข์ใจมากเพียงใด
“ถ้าเช่นนั้นข้าให้เจ้าเป็นพี่สาวของข้าก็ได้ เจ้าจะได้เลิกกังวลว่าจะมีใครรังแกเจ้ารวมทั้งข้าด้วย”
ใบหน้าเด็กสาวค่อยๆ ระบายยิ้มและยังเป็นยิ้มกว้างจนจ้าวจิ่นสือขมวดคิ้วก่อนจะร้องออกมา
“เจ้าแกล้งข้าใช่ไหม! หลิ่งหลิน!”
“บุรุษพูดแล้วไม่คืนคำ เจ้ายกตำแหน่งพี่สาวให้ข้าแล้ว ข้าย่อมยินดีรับไว้ด้วยความเต็มใจ”
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แววตาที่เป็นประกายนั้นยืนยันว่านางได้ชัยชนะในครั้งนี้แล้ว
จากชีวิตที่ไร้พี่น้องมาสิบสี่ปี มาบัดนี้นางมีน้องชายตัวโตแถมอายุห่างกันเพียงห้าเดือนเท่านั้น เช้าวันต่อมานางจึงได้อยู่จวนแม่ทัพในฐานะบุตรบุญธรรม แต่กระนั้นนางมักบอกผู้อื่นด้วยนามสกุลเดิมของบิดาเสมอ นางได้มีที่ซุกหัวนอนแถมยังเป็นที่นอนอุ่นๆ อาหารการกินไม่อดยากและยังได้ร่ำเรียนหนังสือด้วย ผิดก็ตรงที่นางไม่อาจเป็นกุลสตรีอย่างที่จ้าวฮูหยินคาดหวัง เพราะนางแก่นแก้วซุกซนนัก ให้นางฝึกกระบี่ยังก้าวหน้ากว่าเขียนภาพ เล่นดนตรี เดินหมาก หรือร่ายรำเสียอีก เคอหลิ่งหลินหัวเราะให้กับความคิดคำนึงของตัวเอง นางติดตามแม่ทัพจ้าวออกรบหลายครั้ง แม้นางเป็นเด็กแต่เรื่องพื้นที่การแกะรอยนั้นแม่นยำนัก รวมทั้งจ้าวจิ่นสือที่บิดาฝึกให้เรียนรู้กลศึกต่างๆ นางเองคอยติดตามเขาเสมือนเงาไปอย่างไม่รู้ตัว หญิงสาวมองดูผู้คนที่ทยอยเข้าไปในจวนแม่ทัพหมดแล้วก็ลงจากหลังม้า ส่งม้าให้เด็กรับใช้นำม้าไปเก็บแล้วเดินไปที่ห้องพักของตนเอง ชุนเอ๋อร์เห็นผู้เป็นนายกลับมาแล้วก็รีบเข้าไปช่วยปลดผ้าคลุมไหล่ที่เต็มไปด้วยฝุ่นดินออก “คุณชายจิ่นสือให้บ่าวเตรียมน้ำอุ่นให้คุณหนู บ่าวชะเง้อมองจนคอแทบเคล
ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ มือใหญ่ของนักรบผู้กล้าใช้ตะเกียบคีบขาห่านส่งเข้าปากนาง ด้วยความหิวและความโกรธนางงับลงทันที กว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลเจ้าน้องชายเข้าให้ก็ตอนที่นางลิ้มรสนุ่มละมุ่นของห่านอบน้ำผึ้งในปากของนางเอง เคอหลิ่งหลินจำใจนั่งลงที่เดิมแล้วใช้มือหยิบจับอาหารเป็นปกติ โธ่! นางอุตส่าห์แอบฝึกมารยาทมาอย่างดี แต่ก็ต้องหลงกลน้องชายเผยนิสัยเดิมออกมาได้ ท่านแม่ทัพและฮูหยินหันมามองหน้ากันแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ความใฝ่ฝันของฮูหยินอี้ ซิ่วคือบุตรีน่ารักน่าเอ็นดู แม้รับเคอหลิ่งหลินมาเป็นบุตรบุญธรรม แต่นิสัยนางซุกซนเหมือนเด็กรวมทั้งกิริยามารยาทไม่ได้อ่อนหวานนัก ขัดกับใบหน้าที่ละมุนละไมของนางมาก “เอาเถิด แบบนี้ซิถึงจะดูเป็นครอบครัวเดียวกัน”แม่ทัพจ้าวโบกมือห้ามไม่ให้สองพี่น้องปะทะคารมกันอีกไม่ถือสานิสัยของเคอหลิ่งหลิน เพราะรู้ดีว่านางใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขามาตั้งแต่เด็กก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในกองทัพเช่นนี้ “ลำบากเจ้าดูแลจิ่นสือจริงๆ” ฮูหยินอี้ซิ่วมองหญิงสาวอย่างเอ็นดู เพราะเคอหลิ่งหลินค่อยติดตามสามีนางในสนามรบจนบัดนี้ก็มาค่อยดูแลบุตรชายคนเดียวของนางอีก ทั้งที่เป็นหญิงไม่ได้ใช้ชี
“เดี๋ยวๆ เจ้าอย่ามาโบ้ยใส่ข้านะ” จ้าวจิ่นสือหันไปถลึงตาใส่เคอหลิ่งหลิน “ถ้าจิ่นสือยังไม่แต่งงาน ข้าจะออกเรือนก่อนได้อย่างไรกัน” เคอหลิ่งหลินชิงพูดขึ้นมาก่อน แสร้งทำหน้าเป็นห่วงเป็นใยน้องชายที่อายุอ่อนกว่าเพียงครึ่งปีเท่านั่น “แต่ว่ากันตามจริงคนเป็นพี่สมควรออกเรือนก่อนน้องมิใช่หรือ”เอาซิ! หากนางอยากเป็นพี่สาวนัก เขาก็ยกตำแหน่งให้นางได้แต่งงานก่อนเขา “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ยิ่งเจ้าเห็นข้าเป็นพี่ พี่สาวคนนี้มีหน้าที่ต้องดูแลน้องชายให้เป็นฝั่งเป็นฝาเสียก่อน” นางประสานสายตาอย่างไม่ยอมแพ้ “พอเถอะๆ จะเกี่ยงกันไปไย ถึงอย่างไรพวกเจ้าทั้งสองต้องแต่งงาน” แม่ทัพจ้าวอาศัยความเป็นบิดามากำราบเด็กสองคนที่ไม่รู้จักโตเสียนิ่งสนิท “จะใครแต่งก่อนแต่งหลังก็ต้องแต่งด้วยกันทั้งคู่นั้นแหละ” “เอาล่ะๆ เรื่องนี้คุยกันวันหลังก็ได้ เจ้าทั้งสองเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนกันก่อนดีกว่า” “เจ้าค่ะท่านแม่” แม่ทัพกับฮูหยินออกจากห้องไป เคอหลิ่งหลินถอนหายใจยาวแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารเดินออกมาด้านนอก “ที่หลังของ
“พ่อบ้านตู้กลับมาแล้ว” เคอหลิ่งหลินทักทาย “คุณหนูหลิ่งหลิน” พ่อบ้านตู้ก้มศีรษะให้แล้วทำความเคารพแม่ทัพจ้าวและคุณชายจ้าวจิ่นสือ “เป็นอย่างไรบ้างจัดการธุระที่บ้านเสร็จแล้วหรือ”เคอหลิ่งหลินไม่เก็บอาการตื่นเต้นดีใจ ซึ่งมันเด่นชัดเสียจนจิ่นสือเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ขอรับคุณหนู ขอบคุณที่เป็นห่วง”พ่อบ้านตู้อายุห้าสิบกว่าๆ แต่ยังดูแข็งแรงแม้จะมีผมขาวแซมแล้วก็ตาม เขาลากลับบ้านเกิดเพื่อไปเยี่ยมมารดาของเขา แววตาเป็นประกายที่และท่าตื่นเต้นเหมือนรอให้อีกฝ่ายออกปากพูดเสียเอง ทำให้พ่อบ้านตู้เผลอหัวเราะในท่าทีเหมือนเด็กน้อยของคุณหนูของเขา หลายปีก่อนนั้น เขาเห็นนางยังเป็นเพียงเด็กสาวซุกซนกับบิดาของนาง เกือบสิบปีที่แล้วเขาหลงป่า คราวนั้นเขาเดินทางกลับบ้านเกิด ด้วยความใจร้อนที่เพราะข่าวมารดาป่วยหนักจึงหาทางลัดตามที่เคยได้ยินมา ทว่ากลับถูกหลอกจากกลุ่มโจรที่หวังแย่งชิงทรัพย์สิน เขาไม่มีวรยุทธอะไรได้แต่วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงจนได้เด็กหญิงตัวน้อยเข้าช่วยเหลือ หลังจากเดินทางกลับถึงบ้านแล้ว อยู่ดูแลปรนนิบัติท่านแม่จนหายดี พอกลับมาอีกครั้งก็สืบเสาะค้นหาผ
หญิงสาวมองดูทุกคนด้วยหัวใจชื่นบาน เป็นความคิดของจ้าวจิ่นสือเองที่ใครอยากกลับบ้านเกิดก็ส่งกลับไป ใครอยากสมัครเป็นทหารก็รับไว้ ทำให้หลายคนซาบซึ้งในน้ำใจครั้งนี้ “คุณหนู พวกเราไม่มีของมีค่าอะไรตอบแทนท่าน มีเพียงของเล็กน้อยเพียงนี้ ท่านจะรับน้ำใจของพวกเราไว้ได้หรือไม่” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมยื่นปิ่นไม้ธรรมดา แต่ตรงปลายแกะสลักลายโบตั๋นดูงดงามนัก ใบหน้าหวานยิ้มกว้างแล้วรับมาด้วยความดีใจอย่างไม่เสแสร้ง “สวยจัง” “แค่ปิ่นไม้ธรรมดาขอรับ” “สวยมาก ข้าชอบมาก ขอบคุณนะ” นางชอบปิ่นไม้นี้มากและไม่ลังเลที่จะปักปิ่นนั่นทันที ทำให้ใครต่อใครต่างยิ้มปลาบปลื้มชื่นชมในความเป็นกันเองไม่ถือตัวของนาง “ข้าส่งทุกท่านได้แค่นี้ ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ” “ขอบคุณคุณหนู” หญิงสาวยิ้มรับแต่รู้สึกถึงการมาของอาชาสามตัวที่วิ่งตรงมายังจุดที่นางยืนอยู่ ดวงตาคมหรี่มองอย่างประเมินผู้มาใหม่ บุรุษบนหลังม้าบังคับม้าให้หยุดตรงหน้านาง เสื้อคลุมกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มบ่งบอกว่าไม่ใช่คนธรรมดา เคอหลิ่งหลินจ้องมองอีกฝ่ายอย่างสงบนิ่งไม่หวาดหวั่นอีกฝ่ายที
“บ้านท่านหมอมู่ใช่หรือไม่”“ฟางเหนียง! ฟางเหนียง!” “ท่านพ่อ” ลูกสาวที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นแล้วส่งเสียงเรียกขานทำให้เขารู้ว่านี่ไม่ใช่ฝันไป หญิงสาวย่อตัวลงให้ฟางเหนียงลงจากหลัง เขารีบเข้าไปประคองลูกสาวที่เนื้อตัวมอมแมม “เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา พ่อนึกว่าจะเสียเจ้าไปแล้ว” “ข้า...ข้า...” “นางหลงป่า” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนคนที่อ้ำอึ้งอยู่ “หลงป่า? เจ้าเข้าไปทำอะไรในป่า” “ข้า...ข้า...” “นางไปหาสมุนไพร ท่านลุงอย่าได้ดุนางเลย นางอยากช่วยแบ่งเบาภาระให้ท่าน” เป็นเคอหลิ่งหลินที่เอ่ยตอบแทนเด็กสาวที่เวลานั้นอายุสิบสี่ปี “ฟางเหนียง ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปพ่อจะเอาหน้าที่ไหนไปพบแม่ของเจ้าที่ปรโลก” “ท่านพ่อ ฟางเหนียงผิดไปแล้ว” นางสำนึกผิด “แต่ข้าโชคดีที่พี่หลิ่งหลินมาช่วยไว้” “ฮืม...คนเราพบกันเพราะมีวาสนา” เคอหลิ่งหลินยืดอกด้วยท่าทางภูมิใจ “ข้าแอบไปฝึกเพลงขลุ่ยในป่าถึงได้เจอน้องฟางเหนียง” “น้องฟางเหนียง?” ท่านหมอมู่เอ่ยทวนสิ่งที่ได้ยิน “ก็นางอายุน้อยกว่าข้า ข้าก็
ทว่าเมื่อได้พบกับ ‘พี่หลิ่งหลิน’ ชีวิตนางก็เปลี่ยนไป แม้จะไม่รู้ว่า ‘พี่หลิ่งหลิน’ ของนางเป็นใคร ทำอะไรกันแน่ แต่ก็รู้สึกว่านางเป็นคนดีที่เชื่อใจได้ นางจะเชี่ยวชาญการรักษาที่บิดาถ่ายทอดความรู้ให้ ทว่านางกลับอ่อนด้อยเรื่องทิศทางยิ่งนัก นางเป็นคนที่จำเส้นทางไม่ค่อยเม่นยำมักหลงทางอยู่บ่อยๆ เพราะอย่างนี้นางจึงไม่ค่อยออกไปไหน เพราะเกรงตัวเองจะเป็นภาระผู้อื่น แต่เมื่อเคอหลิ่งหลินมาหานางจึงได้ไปโน้นไปนี่บ่อยขึ้น โดยเฉพาะขึ้นเขาหาสมุนไพรให้บิดา “อยากเห็นผู้ชายที่ทำให้พี่หลิ่งหลินฝึกเพลงขลุ่ยจริงๆ” มู่ฟางเหนียงยิ้มแล้วลุกขึ้นไปหน้าบ้านซึ่งเป็นทั้งโรงหมอและที่พักอาศัย ปีนี้นางอายุสิบหกแล้วมีแม่สื่อมาทาบทามหลายครั้งแต่นางก็ยังอยากอยู่กับบิดาเช่นนี้ และบิดาก็ตามใจนางสักวันนางคงเจอใครสักคน ที่ทำให้นางอยากบรรเลงเพลงขลุ่ยแสนหวาน เหมือนอย่างที่พี่หลิ่งหลินก็เป็นได้.หญิงสาวในชุดเสื้อผ้าเนื้อหยาบเดินเร็วๆ ตามแผ่นหลังของท่านหมอมู่โดยรักษาระยะห่างไม่เข้าใกล้จนอีกฝ่ายรู้ตัว แค่เพียงคิดถึงคุณชายเฉินผู้ที่มักจะอยู่ในชุดสีขาวปักลายเมฆผู้นั้น ใบหน้าของเคอหลิ่งหลินก็ปรากฏรอยยิ้มอย่า
“เป็นเช่นนั้นเองหรอกหรือ แม่นางช่างมีจิตใจอารีนอกจากจะช่วยแม่นมของข้าแล้วยังเป็นห่วงเป็นใยข้าด้วย”จิตใจอารี? หญิงสาวทำตาโต เกิดมาเพิ่งเคยมีใครพูดแบบนี้กับนางเป็นคนแรก ที่ผ่านมาได้ยินแต่ว่านางโหดเหี้ยมเสียมากกว่า “ข้าจำได้ว่าติดค้างเลี้ยงน้ำชากับแม่นาง”“ไม่เป็นไรๆ” นางโบกไม้โบกมือไปมา มือไม้เริ่มไม่รู้จะเอาไปไว้ที่ไหน “ข้ายังต้องรบกวนท่านหมอมู่รักษาดูอาการและพักฟื้นที่นี่หลายวัน ถ้าอย่างไร แม่นางผ่านมาก็แวะมาเยี่ยมเยือนได้ทุกเมื่อ”“จริงเหรอ ข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้เหรอ” บุรุษหนุ่มไม่ได้เอ่ยตอบแต่พยักหน้ารับ เพียงแค่นั้นหญิงสาวก็แทบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่ยังดีที่นางสำรวมกิริยาแล้วเหลือบตามองท่านหมอมู่เหมือนจะขอโทษอยู่ในที ท่านหมอมู่มองหญิงสาวแล้วส่ายหน้าไปมา ดีแล้วที่ลูกสาวของเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่จะว่าอย่างไรได้ ได้ยินว่านางเป็นเด็กกำพร้า คงไม่มีใครบอกนางเรื่องกิริยาที่ควรหรือไม่ควรต่อหน้าบุรุษนัก “วันนี้ข้ามารบกวนท่านแล้ว วันหน้าข้าจะมาใหม่”“ฮืม...”นั้นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เคอหลิ่งหลินมาชะเง้อมองบุรุษหนุ่มใบหน้าอ่อนหวานดุจเทพเจ้าผู้นั้นมาตลอดสองปี เมื่อไหร่ที