Share

Chapter5. พร้อมหน้าพร้อมตา

ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ มือใหญ่ของนักรบผู้กล้าใช้ตะเกียบคีบขาห่านส่งเข้าปากนาง ด้วยความหิวและความโกรธนางงับลงทันที กว่าจะรู้ตัวว่าหลงกลเจ้าน้องชายเข้าให้ก็ตอนที่นางลิ้มรสนุ่มละมุ่นของห่านอบน้ำผึ้งในปากของนางเอง

 เคอหลิ่งหลินจำใจนั่งลงที่เดิมแล้วใช้มือหยิบจับอาหารเป็นปกติ โธ่! นางอุตส่าห์แอบฝึกมารยาทมาอย่างดี  แต่ก็ต้องหลงกลน้องชายเผยนิสัยเดิมออกมาได้ ท่านแม่ทัพและฮูหยินหันมามองหน้ากันแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ ความใฝ่ฝันของฮูหยินอี้ ซิ่วคือบุตรีน่ารักน่าเอ็นดู แม้รับเคอหลิ่งหลินมาเป็นบุตรบุญธรรม แต่นิสัยนางซุกซนเหมือนเด็กรวมทั้งกิริยามารยาทไม่ได้อ่อนหวานนัก ขัดกับใบหน้าที่ละมุนละไมของนางมาก  

            “เอาเถิด แบบนี้ซิถึงจะดูเป็นครอบครัวเดียวกัน”

แม่ทัพจ้าวโบกมือห้ามไม่ให้สองพี่น้องปะทะคารมกันอีกไม่ถือสานิสัยของเคอหลิ่งหลิน เพราะรู้ดีว่านางใช้ชีวิตอยู่ในป่าเขามาตั้งแต่เด็กก่อนที่จะเข้ามาอยู่ในกองทัพเช่นนี้

            “ลำบากเจ้าดูแลจิ่นสือจริงๆ” ฮูหยินอี้ซิ่วมองหญิงสาวอย่างเอ็นดู เพราะเคอหลิ่งหลินค่อยติดตามสามีนางในสนามรบจนบัดนี้ก็มาค่อยดูแลบุตรชายคนเดียวของนางอีก ทั้งที่เป็นหญิงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่หญิงสาวทั่วไปนัก

            “ไม่ได้ลำบากอะไรหรอกเจ้าค่ะ”  เคอหลิ่งหลินพูดยิ้มๆ  อิ่มเอมกับอาหารเลิศรสแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาก “เป็นข้าที่ควรตอบแทนบุญคุณท่านทั้งสองที่เลี้ยงดูข้าต่างหาก”

            “การปราบกองโจรครั้งนี้นับเป็นผลงานยอดเยี่ยมมาก”  บิดาเอ่ยขึ้นเพื่อเปลี่ยนเรื่อง “แต่ก็อย่าชะล่าใจ คอยฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ”

            “ขอรับท่านพ่อ” แม้จะเล่นหัวกับเคอหลิ่งหลิน แต่เมื่อพูดคุยกับบิดาเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมเสมอ นั้นเพราะเขาต้องการให้บิดายอมรับว่าเขานั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่เด็กเล็กในร่างผู้ใหญ่อย่างเคอหลิ่งหลิน

            “ไม่เอาน่าท่านพี่ จิ่นสือก็ทำสุดกำลังแล้ว ท่านควรผ่อนหนักเบาให้ลูกชายบ้าง”   

มารดามักจะตกที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างพ่อลูกเสมอ คนหนึ่งแข็งคนหนึ่งอ่อน  นางต้องคอยประนีประนอมทั้งสองฝ่าย  

“ตอนนี้บ้านเมืองสงบสุขดี เราถึงได้อยู่กับพร้อมหน้า

พร้อมตาแบบนี้”

            การออกไปปราบโจรป่าครั้งนี้ไม่ได้หนักหนาอะไร เพียงแต่กินเวลาไปกว่าที่จ้าวจิ่นสือคิดไว้มาก จากเดิมที่คิดว่าจะใช้เวลาเพียงแค่สามวันแต่กินเวลาล่วงไปถึงห้าวันถึงกวาดต้อนโจรป่าออกมาได้หมด รวมทั้งหัวหน้าใหญ่นั่นด้วย

            “ข้ามีเรื่องอยากขอท่านพ่อ โปรดเมตตาพวกเขาด้วยเถิด เพราะความยากจนหิวโหยทำให้พวกเขากลายเป็นโจร หาได้มีสันดานเป็นโจรไม่ ข้าเองก็ไม่ต้องการให้มีการหลั่งเลือดรดแผ่นดิน จิ่นสือเองก็ออมมือไม่ทำร้ายพวกเขา” 

เคอหลิ่งหลินเอ่ยตามความจริงในใจ  นางเอกเองก็เคยเป็นเช่นเดียวกับคนเหล่านั้นจึงเข้าใจพวกเขาเป็นอย่างดียิ่ง

            “เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้กังวลไป” แม่ทัพจ้าวออกปากรับคำเองจึงทำให้เคอหลิ่นหลิงสบายใจขึ้น “ข้าจะให้จิ่นสือดูแลเรื่องนี้เอง”

            “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” ใบหน้าอ่อนหวานคลายความกังวลและแย้มยิ้มราวกับได้ของขวัญเป็นค่าตอบแทนที่นางออกไปช่วยจ้าวจิ่นสือกวาดต้อนโจรป่าในครั้งนี้

            “ช่างเถอะๆ อย่าคุยเรื่องงานเลย เอาเป็นว่าตอนนี้บ้านเมืองสงบสุข เจ้าสองพี่น้องเตรียมตัวเข้าเมืองหลวงเถิดนะ”

            “เข้าเมืองหลวง?”

จ้าวจิ่นสือชะงักมือไปเล็กน้อย “ไปทำอะไรหรือท่านแม่”

            “ฮ่องเต้มีพระราชสาส์นให้ครอบครัวของเราเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยง”   

มารดาพูดยิ้มๆ นางไม่ได้เข้าวังไปเจอพี่น้องคนอื่นๆ นานแล้ว จึงอดยิ้มอย่างคิดถึงไม่ได้ ฮูหยินอี้ซิ่วเดิมก็คือองค์หญิงอี้ซิ่ว เป็นพระขนิษฐาขององค์ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน แต่เมื่อมาสมรสกับแม่ทัพจ้าวซื่อก่วงที่แม้เดิมจะเป็นเพียงสามัญชนแต่มากความสามารถในการรบ นางยินดีติดตามสามีมาอยู่ชายแดน ทว่าช่วงที่บ้านเมืองยังไม่สงบ แม่ทัพจ้าวร้องขอให้ฮูหยินและบุตรชายรั้งอยู่เมืองหลวงหลายปี  จนแม่ทัพจ้าวกวาดล้างเหล่ากบฏชายแดนได้หมด  จึงให้ครอบครัวได้เดินทางมาพำนักพักอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

            “หมายถึงเข้าวังหรือเจ้าคะ” คิ้วเรียวก็ขมวดยุ่งขึ้นมาทันที “ข้าต้องไปด้วยหรือ”           

            สำหรับเคอหลิ่งหลินแล้ว นางเคยเข้าเมืองหลวงแต่ไม่เคยเข้าวังเลยสักครั้ง เพียงแค่คิดว่าต้องอยู่ในสถานที่อึดอัดที่ต้องคอยระวังกิริยามารยาทแล้วละก็... 

            “เป็นอะไรไป ผู้กล้าอย่างหลิ่งหลินไม่กล้าเข้าวังหลวงรึ”   จ้าวจิ่นสือดูออกถึงความกังวลของนางแต่ก็อดล้อมิได้ ก็แน่ล่ะ เขาเติบโตในรั้วในวังก่อนออกมาใช้ชีวิตข้างนอกจึงไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอะไร แต่สำหรับคนที่ไม่คุ้นกับพิธีรีตองต่างๆ อย่างเคอ หลิ่นหลิงมันคงเป็นเรื่องที่น่ากังวลไม่น้อย

            “ให้ข้าเข้าป่ายังจะดีเสียกว่า”

            ทั้งบิดามารดาบุญธรรมถึงกับสำลักน้ำชา ฮูหยินอี้ซิ่วถึงกับหัวเราะออกมา เพราะหญิงสาวช่างทำตัวเหมือนสามีของนางสมัยที่ยังทั้งสองครองรักกันใหม่ๆ นัก

            “หลินเอ๋อร์ แม่อยากให้เจ้าไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” 

            เคอหลิ่งหลินแอบถอนหายใจเบาๆ แต่ละเรื่องในวังหลวงที่ลอยเข้าหูนางไม่เห็นมีเรื่องสนุกสักเรื่อง  นางจึงไม่เคยมีความคิดอยากย่างกรายเข้าไปใกล้  แต่เมื่อเห็นสายตาของแม่บุญธรรมแล้ว นางก็ได้แต่ก้มหน้าจัดการอาหารบนโต๊ะโดยไม่พูดอะไร

            “ปีนี่พวกเจ้าทั้งคู่ก็อายุยี่สิบกันแล้ว พ่อกับแม่ก็เห็นว่ามันควรแก่เวลาที่พวกเจ้าจะแต่งงานกันได้เสียที”

            อุ๊ก! แค่กๆ

            เป็นเสียงสำลักของพี่น้องต่างสายโลหิต โดยเฉพาะเคอ หลิ่งหลินถึงกับเนื้อแกะติดคอ ฮูหยินอี้ซิ่วต้องยื่นมือมาทุบหลังให้นาง

            “ท่าน...ท่านแม่ ข้าว่าท่านอย่าลำบากคิดเรื่องนี้ให้ข้าเลย”  เคอหลิ่งหลินยิ้มเจือนเหมือนคนปวดท้อง

            “ใช่...ท่านแม่ข้าเองก็อยากทำงานรับใช้ราชสำนักเช่นกัน” จ้าวจิ่นสือพูดขึ้นบ้าง

            “หลิ่งหลิน” ฮูหยินอี้ซิ่วเรียกสติ “เจ้าอายุยี่สิบแล้ว สาวบ้านอื่นออกเรือนตั้งแต่สิบสี่สิบห้า แต่เจ้ายี่สิบแล้วนะ เจ้าจะให้แม่รู้สึกผิดที่เจ้าไม่ได้ออกเรือนเพราะมัวแต่ช่วยงานท่านแม่ทัพหรืออย่างไร”

            “สิ่งที่ข้าทำล้วนทำด้วยความเต็มใจยิ่งแล้วท่านแม่” นางทำหน้าหมองก่อนจะเหลือบตามองคนที่ชะตากรรมเดียวกันแล้วฉีกยิ้มออกมา “ถ้าจ้าวจิ่นสือยังไม่ได้แต่งงาน ข้าจะแต่งก่อนก็กระไรอยู่นะเจ้าค่ะ”

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status